โซ่ตรวนอันผุกร่อนของศาสนาคริสต์กับการเริ่มต้นของวิทยาศาสตร์และเหตุผล




ค.ศ.500-1400 ของยุโรป เกิดสงคราม Crusade ระหว่าง คริสเตียนกับมุสลิม
ระหว่างปี ค.ศ.1095-1291 มีสงครามครูเสดระดับใหญ่ เกิดขึ้น8ครั้ง
รวมเวลาประมาณ200ปี ของสงครามแย่งชิงJerusalem ที่พระคริสต์ถือกำเนิด

แผ่นดิน Jerusalem อาหรับเป็นผู้ครอบครองมาตั้งแต่ ค.ศ.659(ศตวรรษที่7)
ครั้น ถึง ค.ศ.1100 พวกคริสต์ได้อ้างว่าที่นี่คือสังเวชนียสถานของคริสต์ เช่น เยรูซาเลม ที่ซึ่งพระคริสต์ถูกตรึงกางเขน
เมืองนาซาเรท ที่พระเยซูใช้ชีวิตอยู่ และสถานที่อื่นๆ ที่พระเยซูทรงแสดงปาฏิหาริย์ในอดีตกว่าพันปี
ล้วนตกอยู่ใต้อำนาจอิสลามทั้งสิ้น จึงต้องไปแย่งคืน
โดยใช้เหตุจูงใจ เช่น ทาสที่ดินที่สมัครไปรบ จะเป็นไทพ้นทาส นักโทษสมัครไปรบก็จะพ้นโทษ
คนชั่วทำบาปทำกรรมใดๆ ก็จะพ้นบาป กองทัพคริสต์ส่วนใหญ่จึงมีสภาพใกล้กองโจร เกิดขาดเสบียง
ก็ปล้นดะรายทาง
ไม่เว้นแม้แต่เมืองคริสต์ด้วยกัน เป็นเหตุให้
พวกคริสต์โรมันคาทอลิกซึ่งขึ้นกับสันตะปาปาที่กรุงโรม และนิกายกรีกออโธดอกซ์
ซึ่งขึ้นกับสังขบิดรที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล รบกันเอง
และเป็นเหตุให้ คริสต์กรีกออโธดอกซ์ อ่อนแอลง จนต้องเสียเมืองคอนสแตนติโนเปิลให้แก่พวกอิสลามตุรกี
กลายเป็นเมืองอิสตันบูลทุกวันนี้
นี่คือความพ่ายแพ้ประการแรกของชาวคริสต์ ในสงครามครูเสด

ประการที่สอง คือหลังสงคราม พวกฝรั่งที่มารบได้พบเห็น วัฒนธรรมอิสลามในปาเลสไตน์ที่ดีกว่า สูงส่งกว่า
ทำให้เกิดความคิดแปลกแตกแยก จนเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิด
คริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ขึ้นที่เยอรมนีในศตวรรษที่16


ยุโรปเหนือ ส่วนใหญ่เป็นProtestants ยุโรปใต้เป็นCatholic นิกายCalvin เป็นรูปแบบหนึ่งของProtestants
John Calvin(ค.ศ.1509-1564) คือนักบวชฝรั่งเศสผู้ทรงอำนาจ สถาปนานครเจนีวา ให้เป็นเมืองอิสระ


การคัดค้าน ศาสนจักรของ Martin Luther(ค.ศ.1483-1546) ผู้สถาปนานิกายโปรเตสแตนท์
ท่ามกลางความเสื่อมของศาสนาคริสต์ในยุโรป
นำไปสู่ 'สงครามศาสนา' ระหว่างฝ่าย คาธอลิก และ โปรเตสแตนท์ ในเวลาต่อมา
เนื่องจากโปรเตสแตนท์สอนให้แยกอำนาจศาสนจักร และรัฐ ออกจากกัน
เมื่อมีการแยกตัวออกจากโรม ทำให้เกิดภาวะสุญญากาศในองค์กรศาสนา เปิดโอกาสให้ เกิดมีกษัตริย์ของรัฐชาติใหม่ในยุโรป
หันมานับถือโปรเตสแตนท์
ทำให้อำนาจของรัฐมีเพิ่มมากขึ้น จึงเกิดทรราชน้อยใหญ่ไปทั่วยุโรป ทำให้ศาสนจักรโรมันคาธอลิก
ก็เพิ่มความเป็นอำนาจนิยมสูงขึ้น
โดยใช้เหตุผลว่า ต้องมีอำนาจมากขึ้น เพื่อต่อสู้กับพวกโปรเตสแตนท์
ก่อให้เกิดการประหัตประหารกันเอง ระหว่างชาวคริสต์ กินเวลากว่า 30 ปี
จนท้ายที่สุด โซ่ตรวนอันผุกร่อนของศาสนาคริสต์ ที่เคยผูกมัดสังคมยุโรปเอาไว้ตั้งแต่ต้น ก็ขาดสะบั้นลง
ก่อให้เกิดการปลดปล่อยครั้งสำคัญ นั่นก็คือ
การเปิดทางให้กับการ'พัฒนาอย่างก้าวกระโดด' ในระดับ'ปฏิวัติ' ของสิ่งที่เรียกขานกันว่า 'วิทยาศาสตร์'


Leo tolstoy ไม่เคยเชื่อว่า'วิทยาศาสตร์'นั้นสามารถ จะนำมาใช้แทนที่'ศาสนา'ได้
เนื่องจากศาสนาเป็นสิ่งที่ติดตัวมากับธรรมชาติของมนุษย์ อย่างที่ไม่อาจแยก ขาดจากกันได้
หรือ "ศาสนาคือสัมพันธภาพที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ระหว่างตัวเขา กับจักรวาลอันไม่สิ้นสุดและไม่รู้จบ"
และมันเป็นสัมพันธภาพที่มีมาก่อนหน้า ที่ปรัชญาและวิทยาศาสตร์ จะถือกำเนิดขึ้นมา


Copernicus ผู้ประกาศว่า โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ปีละครั้ง และโลกมิได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล
ต้องตายไปแล้วกว่าร้อยปี กว่าทฤษฎีของเขา จะเป็นที่ยอมรับ
เพราะฉนั้น อย่าหวังว่าจะเปลี่ยนอะไรๆ ภายในเวลาที่คุณต้องการ

การเปลี่ยนกระบวนทัศน์ทางวิทยาศาสตร์ จึงไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้ชั่วข้ามคืน
หลังจากการค้นพบตอนบ่าย แล้วประกาศให้เป็นที่รับรู้กันในตอนค่ำ
สำหรับวิทยาศาสตร์แล้ว สิ่งที่สามารถศึกษาได้คือ 'สมอง' เท่านั้น
มิใช่ 'จิต' เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ ไม่อาจทดสอบหรือพิสูจน์ได้
จุดสิ้นสุดของความเป็นไปได้ คือ จุดที่ความเชื่อความรู้ของเรา และเทคโนโลยีที่สามารถจะตรวจสอบได้ในขณะนั้น
เพราะ
"คนเป็นมาตรวัดทุกสิ่ง ว่าอะไรเป็นอะไร หรือไม่เป็นอะไร"
Man is the measure of all things;of what is ,that it is,of what is not,that it is not.
Protagoras.
ก่อน ค.ศ. 480-410 ปี


ทำไมจึงไม่เขียน?
พระพุทธเจ้า พระเยซู โสกราตีส บุคคลในตำนานและประวัติศาสตร์
ต่างมีชีวิตอยู๋ในสังคมที่มีภาษาเขียน และเป็นผู้มีความรู้ อ่านออกเขียนได้ แต่ต่างเลือกที่จะเผยแพร่
ความคิดตนเอง ด้วยภาษาพุดเท่านั้น สิ่งที่เรารู้ในวันี้ คือสิ่งที่เขาเอื้อยเอ่ย เป็นถ้อยคำประโยคเมื่อร้อยเมื่อพันปีก่อน
โดยผ่านการจดบันทึกของสานุศิษย์ทั้งสิ้น

ทำไมจึงไม่เขียน?
โสกราตีส ผู้ประกาศว่า เขาไม่รู้อะไรเลย เป็นผู้ที่ไม่ยอมเขียนอะไรเลย
เพราะเขาเห็นว่า การสนทนาและถกปัญหาแบบ dialogue เป็นวิถีที่จะนำไปสู่ความเข้าใจจริง ทางปรัชญาได้อย่างแท้จริง
การตรึงตัวอักษรไว้อย่างตายตัว ไม่สามารถ ก่อให้เกิดบทสนทนาในฉับพลัน และนำไปสู่การเข้าใจผิดได้ง่าย

วิถีแห่งพุทธ ได้ตระหนักมานานว่า การแยกแยะเชิงมโนทัศน์ด้วยตา และ ตรรกะ เป็นการสร้างความจริงได้เพียงบางแง่มุม
และละเลยบดบังความจริง แง่มุมอื่นๆไปพร้อมๆกัน การเขียนจึงเป็นการตรึงภาษา และตรรกะอันลวงตาที่มนุษย์สร้างขึ้น

ความจริงประการหนึ่ง ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ก็คือ การอ่านออกเขียนได้
เป็นคุณสมบัติของชนชั้นสูงเท่านั้น การอุบัติขึ้นของภาษาเขียน จึงมาพร้อมกับการปกครอง แบ่งแยกชนชั้นอย่างเข้มข้น
ตัวอักษร กรือการเขียน มิได้ถือกำเนิดมาเพื่อให้คนสามัญทั่วไปใช้ ในขณะที่ศาสดาทั้งหลาย
พยายามสื่อสารกับมวลชนคนหมู่มาก ที่อ่นไม่ออก เขียนไม่ได้ มิใช่กับราชา ขุนนาง พ่อค้า ผู้มั่งมีในลาภยศ
ซึ่งคนเหล่านี้ ไม่สามารถ ซึมซับความคิด ของคนที่พวกเขารู้สึกว่าต่ำต้อยกว่าตัวเองได้ ดังเช่น อวจนะของพระเยซูที่ว่า
"การจูงอูฐให้เดินลอดรูเข็ม ยังจะง่ายเสียกว่า การให้คนร่ำรวย ก้าวเข้าประตูสวรรค์ไปสู่อณาจักรของพระเจ้า"




Seven Deadly Sins
บาปมหันต์ทั้ง 7

Lust - ตัณหาราคะ
Gluttony - ความตะกละ
Avarice - ความละโมบ
Sloth - ความเกียจคร้าน
Anger - ความโกรธ
Envy - ความอิจฉาริษยา
Pride - ความยโสโอหัง

ความยโสคือบาปขั้นสูงสุด นัยว่ามันคือการยึดติดกับตัวเองมากที่สุด
ว่ากันว่า สมัยก่อนหน้าที่จะมาลงตัวที่เล็ข 7 อันศักดิ์สิทธ์
พระชาวอียิปต์หรือกรีก นั่งนับนิสัยชั่วร้ายได้ 8 ชนิดด้วยซ้ำ
บาปที่หายไป คือ Dejection - ความซึมเศร้า ซึ่งถูกนำไปรวมกับ ความเกียจคร้าน
และ Vainglory - ความเย่อหยิ่งจองหอง นำไปรวมกับความยโสโอหัง
Envy - ความอิจฉาริษ คือบาปใหม่ที่เพิ่มเข้ามา





Alchemy
วิชาเล่นแร่แปรธาตุ

เป็นศาสตร์เก่าแก่สืบย้อนไปไกลถึงยุคอียิปต์โบราณ และมาเฟื่ยงฟูสุดขีดในยุโรป
ระหว่างศตวรรษที่ 16-17 อันเป็นรอยต่อ ที่สังคมตะวันตก กำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุควิทยาศาสตร์
ที่ถือเอาหลักเหตุผลนิยม เป็นบ่อเกิดแห่งความรู้ และเป็นบรรทัดฐานของความจริง
การเล่นแร่แปรธาตุ มีทั้งความเป็นศาสตร์ และ ไสย หรือเป็นวิชา หรือ อวิชชา รวมกันอยู่
คือ มีด้านที่ต่อมาพัฒนาเป็นวิชาเคมี และด้านที่ไปทางอำนาจลึกลับ พลังจิต
ในบริบทของยุคฟื้ฟูศิลปวิทยา ที่เพิ่งสลัดตัวเองออกจาก อำนาจล้นฟ้าของศาสนจักรในโลกตะวันตก
นี่นับเป็นความอหังการที่น่ายกย่องของมนุษย์ ที่จะสวมบทแทนที่พระเจ้า
ที่ใฝ่ฝันจะลุกขึ้นมาเอาชนะธรรมชาติของสรรพสิ่ง(แปรเหล็กให้เป็นทอง)
และเอาชนะธรรมชาติของมนุษย์(การเป็นอมตะ)

อวิชชา เปรียบเหมือน ปมของเชือก ที่ผูกซ้อนกันไว้เป็นชั้นๆด้วยปัญญา
คนเราย่อมสามารถแก้ปมเหล่านั้นออกได้ จนถึงปมสุดท้าย
แต่เมื่อปมสุดท้ายของเชือก ถูกแก้ออกแล้ว เชือกเส้นนั้นกลับหายไป
เพราะมีปม จึงมีเชือกอยู่ พอหมดปม เชือกก็ไม่ดำรงอยู่
เราจะพบความจริงของคำว่า 'อนัตตา' เมื่อการปฏิบัติธรรม เดินทางมาถึง
ปมสุดท้ายของอวิชชา ว่า ปมและเชือก มันไม่เคยมีตัวตนอยู่จริงเลยตั้งแต่ต้น



Create Date : 18 กันยายน 2553
Last Update : 7 เมษายน 2561 12:26:19 น. 0 comments
Counter : 756 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เข้ามาเลย หมาบ้านเราไม่กัด
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เข้ามาเลย หมาบ้านเราไม่กัด's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.