Group Blog
 
All blogs
 
ปฎิบัติการอวกาศ สัปดาห์ที่ 1


[ เนื้อหาที่บรรจุอยู่ในข้อความต่อไปนี้ เป็นเพียงความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านและรับรู้ ]
//poe.bloggang.com



October 9, 2006 00:02 [EST]

ว่าจะเล่าก็ไม่ได้เล่าซะที ล่วงเลยมาเป็นเวลาเดือนกว่า ที่แน่ๆก็คืออารมณ์และความรู้สึกมันคงศูนย์เสียไปบ้าง อีกอย่างตอนแรกว่าจะเล่ารายละเอียดการทำงานด้วย แต่มาตอนนี้ ผมตัดสินใจว่าไม่เล่าดีกว่า มันพาดพิงยุ่งเกี่ยวกับหลายคนเกินไป สุดท้ายแล้ว ผมจะเลือกเอาที่เป็นเรื่องทั่วๆไป ไม่เกี่ยวกับรายละเอียดของการทำงานก็แล้วกัน มาเริ่มเล่ากันเลยดีกว่า ต่อจากที่มาถึงที่นี่ก็แล้วกันนะครับ

หลังจากที่นอนหลับๆตื่นๆ มาทั้งคืน นาฬิกาปลุกมันก็ทำหน้าที่ของมัน โชคยังดีที่ผมเชื่อฟังมันเป็นอย่างดี ตื่นขึ้นมา อุ่นกับข้าวกิน อาบน้ำแล้วก็ออกไปลุยกับเมืองอันกว้างใหญ่ทันที

ระยะทาง 4 ช่วงตึก ใช้เวลาเดินไม่ถึง 20 นาที (รวมเวลายืนรอข้ามแยกต่างๆแล้ว) ผมก็มายืนที่หน้าตึกที่ทำงานใจกลาง Times Square มองไปทางไหนก็… มองไปทางไหนก็… “สกปรก” ผมว่าเราน่าจะดีใจได้เลยว่ากรุงเทพไม่ใช่ที่เดียวที่สกปรก อย่างน้อยเราก็มีเพื่อน แต่ผมว่ากรุงเทพสะอาดกว่าที่นี่แน่นอน

เดินเข้าไปในตึก แสดงตัว รอจนผ่านขั้นตอนการตรวจสอบ ขึ้นลิฟท์ผิดฝั่ง ในที่สุดผมก็มาถึงที่หมาย ลิฟท์เปิดออกมา ผมก็เจอกับผู้ชายหน้าตาหล่อเหลา ผอม สูง ในชุดสูทสีดำ เค้าคนนี้คือเจ้านายผมที่นี่ เป็นคนใจดี คุยง่าย วันแรกของการทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น ติดอยู่ 3 อย่างก็คือ อย่างแรก อาหารที่เจ้านายคนใหม่พาไปเลี้ยง ซึ่งเค้าก็อวดนักอวดหนาว่าเป็นร้านของ ESPN ซึ่งมีกีฬาให้ดู มีจอทีวีเต็มไปหมด ไอ้ของประดับประดาเหล่านี้มันก็ดูน่าตื่นตาตื่นใจไม่ใช่น้อย เพียงแต่ว่ารสชาติของอาหารนี่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย แถมแพงอีกต่างหาก ดีที่ผมไม่ได้เป็นคนจ่าย ส่วนข้อติดขัดอย่างที่สองก็คือ บัตรใหม่ของผมจะใช้ไม่ได้ไปจนถึงอาทิตย์หน้า (ซึ่งมารู้ทีหลังว่าของคนอื่นเค้าสองวันก็ใช้ได้แล้ว แล้วทำไมของผมต้องอาทิตย์หน้าด้วย) ซึ่งก็คือ ทุกครั้งที่ผมจะเข้าออกจากตึก ผมจะต้องเข้าไปคุยกับทีมรักษาความปลอดภัย (ต้องเรียกเป็นทีมเพราะว่ามีกันหลายคนเหลือเกิน หน้าตาดุๆกันทุกคน แต่ก็ใจดี) ยื่นบัตรแล้วก็แสดงตัว แล้วก็ต้องตอบคำถามเดิมๆซ้ำๆว่า “ผมได้บัตรมาวันอังคาร มันยังใช้ไม่ได้ ช่วยเปิดประตูให้ผมที” และผมจะไม่สามารถซื้ออาหารจากศูนย์อาหารของตึกได้ เพราะมันต้องใช้บัตรพนักงาน เติมเงินลงในบัตร แล้วก็ใช้ซื้อของ ซึ่งผมเติมไม่ได้ เลยต้องออกไปซื้อข้างนอกกิน แล้วทุกครั้งที่กลับมา ก็ต้องตอบคำถามเดิมๆทุกครั้ง น่าเบื่อเหมือนกันนะเนี่ย ดีที่ผมเลิกบุหรี่แล้ว ไม่อย่างนั้นยุ่งตาย จะสูบบุหรี่ทีต้องขอเข้าขอออก ประมาณว่า “ขอโทษครับคุณครู ผมขอออกไปสูบบุหรี่สัก 10 นาที เดี๋ยวกลับมาทำงานต่อ ไม่อู้แน่นอนครับ (ฮา)” อย่างสุดท้าย เจ้านายผมเค้าก็เพิ่งย้ายมาอยู่อเมริกาได้ไม่นานนี่เอง ไม่ค่อยรู้อะไรมาก และชอบกินข้าวที่โต๊ะ ดังนั้น เค้าจึงไม่ค่อยคุยกันเท่าไหร่

การทำงานก็เป็นไปตามวิถีของมัน ผมเจอคนหลากหลาย เรื่องภาษาไม่ใช่ปัญหาหลัก แต่เรื่องที่คนที่นี่เค้าคิดว่าเค้ารู้ทุกอย่างเป็นอย่างดีแล้วนี่สิ มันทำให้ผมใช้เวลานานมาก กว่าจะทำให้เค้าเข้าใจว่าที่เค้ารู้มาน่ะมันผิด และต้องใช้เวลาอธิบายเรื่องใหม่ๆให้พวกลุงๆฟัง มันไม่ใช่เรื่องสนุกเอาเสียเลย

แต่เรื่องยุ่งๆก็เกิดขึ้น เหมือนซ้ำเติมความเป็นอยู่ที่ผมพยายามปรับตัวและ “รับสภาพ” เรื่องก็คือ มีคนที่ทำงานซึ่งเค้าดูเป็นพี่ใหญ่ที่นี่ เค้าเป็นคนใจดีแต่ชอบยุ่งไปทุกเรื่อง แต่ทุกๆคนก็รักเค้านะ เค้าคงเป็นคนดีจริงๆ ผมว่าประมาณพวกขาโจ๋ใจนักเลงอะไรประมาณนั้น เค้ามาถามว่าผมพักที่ไหน พอเค้าได้ยินเท่านั้นแหละเค้ารีบถามใหญ่ว่าผมอยู่สบายไหม สะอาดหรือเปล่า แล้วมันเก่าหรือไม่ ผมก็ตอบไปแบบไทยๆ ว่า “โอเค” เพราะผมรับได้ นี่ยังถือว่าดีถ้าเทียบกับตอนที่ผมตะลอนๆค่ำไหนนอนนั่นตอนที่ทำงานที่อีสาน ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร ลำบากหน่อย แต่คงทนได้ ชิน และชอบในที่สุด ตามรูปแบบการใช้ชีวิตของผม แต่พี่แกก็ถามต่ออีกว่าค่าเช่าเท่าไหร่ พอบอกราคาเท่านั้นแหละครับ พี่แกโวยวายใหญ่ พูดโน่นพูดนี่ บอกว่าถ้าราคาอย่างนี้ หาที่ๆดีๆกว่านี้ได้เยอะแยะ แกเล่นเรียกที่ๆผมอยู่ว่า “Fucked Up” แกบอกให้ผมเปลี่ยนที่ อย่างน้อยก็เพื่อคนที่จะมาต่อจากผม ผมก็อึ้ง สวนไปในใจว่า “กูไม่รู้ กูพึ่งมา กูเป็นคนต่างชาติ กูไม่ได้เป็นผู้มีอำนาจจัดการเรื่องนี้ กูขอโทษ” แต่ก็ไม่ได้พูดออกไปเพราะกลัวเค้าเสียน้ำใจ เลยบอกเค้าไปแบบรับฟังๆ แต่เรื่องดันไม่จบ วันต่อมาพี่แกเล่นไปโวยวายกับหัวหน้าผม (หัวหน้าฝรั่ง) จนหัวหน้าเรียกไปคุยว่า เอ้อเรื่องมันเป็นยังไงผมก็เล่าตามจริง (ไม่รู้จะโกหกทำไม) แต่ก็บอกว่าที่อยู่น่ะ มันก็ “โอเค” สำหรับผม ผมไม่รู้ว่าที่ๆดีมันเป็นยังไง แล้วที่เป็นอยู่มันไม่ดียังไง เพราะไม่รู้จะเปรียบเทียบกับอะไร คุยกันจบก็เป็นอันว่าไม่มีเรื่องอะไร แต่ผมก็ย้ำไปว่าที่พี่ใหญ่แกมาพูดน่ะ เพราะหวังดีนะ (ผมได้กลิ่นว่าสองคนนี้จะไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่) จบเรื่องก็มาบอกพี่ใหญ่แกว่าผมคงอยู่ที่นี่แหละไม่เป็นไรหรอก ขอบคุณมาก แกก็ทำหน้าเซ็งๆ แต่เป็นอันจบเรื่องตรงนี้ไป แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกว่าผมก่อเรื่องยุ่งยากอีกแล้ว ผมไม่ควรเล่าเรื่องความเป็นอยู่ให้ใครฟังอีก

ปัญหาเรื่องบัตรโทรศัพท์ที่ผมพูดถึงเมื่อตอนที่แล้ว สุดท้ายกลายเป็นเรื่องยุ่งยากซะได้เพราะผม Fax เอกสารไปแล้วเค้าว่าไม่ได้รับ ใช้เวลาอยู่สองวันถึงได้รู้ว่าผม Fax ผิดด้าน (ซวยจริงๆ) เลย Fax ไปให้เค้าใหม่ ยืนยันกันเรียบร้อยว่าได้รับแล้ว ผมก็เลยอุ่นใจ กลับบ้าน แต่พอมาถึงบ้าน ยังไม่ได้ PIN เลยเช็คกับเค้าอีกที เค้าดันเปลี่ยนกะ แล้วคนกะใหม่ก็บอกไม่ได้รับ คุยกันอยู่นาน เค้าบอกให้ผมเลิกคุยกับเค้า (มีอย่างนี้ด้วย) เพราะเค้าทำอะไรให้ไม่ได้ แต่ก็ไม่บอกว่าแล้วจะทำยังไงต่อไป แล้วเค้าก็บอกว่าเค้ามีลูกค้าอีกเยอะที่ต้องดูแล ผมโมโหมากกับการให้บริการแบบนี้ เลยบอกยกเลิกไปเลย แล้วผมส่ง Email ไปบอก Citibank ด้วยว่าอย่าอนุมัติเงินตรงนี้ให้เค้า (คือบัตรเครดิต เค้าจะมีการกันวงเงินให้ก่อน จนกว่าจะมีการยืนยัน) ไม่อยากบอกว่าเป็นเจ้าที่ทุกๆคนชอบใช้กัน ไอ้ “Call ใคร” เค้าคงมีลูกค้าเยอะจริงๆ ไม่มีเวลามาบริการลูกค้าอย่างผม โชคยังดีที่ผมยังจำชื่อผู้ให้บริการอีกเจ้าได้ ซึ่งเป็นของอเมริกา ทุกอย่างง่ายและเรียบร้อย บริการดี และราคาก็พอๆกัน แพงกว่านิดหน่อย แต่คุณภาพดีกว่าอีก ไม่รู้ทำไมคนไทยที่นี่เค้าไม่ใช้กัน นั่นคือ nobelcom.com

กลับมาที่ห้องหลังจากทำงานวันที่สาม ผมรู้สึกแปลกๆว่าผมตื่นตอนกลางคืนบ่อยมาก มันเป็นแบบ หลับๆตื่นๆ เลยลองมานั่งดู เอ้อ… มิน่าล่ะ ก็สมควรอยู่ ตึกที่ผมอยู่ อยู่ตรงสุด block พอดี คืออยู่ระหว่างถนนสองเส้นและติดกับถนนอีกหนึ่งเส้น (จะเข้าใจไหมเนี่ย) คือเอาเป็นว่าถ้าตึกเป็นสี่เหลี่ยม 3 ด้านมันติดถนนแล้วกันครับ ตรงสองแยกที่ตึกผมติดนั้น ที่หัวมุมหนึ่งเป็นศูนย์ UPS อีกหัวมุมหนึ่งเป็นตึกที่กำลังสร้าง อีกหัวมุมหนึ่งเป็นศูนย์ FedEx แล้วถัดไปอีกนิดเป็นศูนย์จอดรถประจำทางของ MTA แล้วบนถนนหลังตึก ห่างจากตึกผมไปนิดไม่เกิน 100 เมตร เป็นสถานีตำรวจย่อย ส่วนตำแหน่งเดียวกันแต่เป็นถนนด้านหน้าตึกเป็นสถานีดับเพลิงย่อย ตรงข้ามตึกเป็นโกดังเอกชน แล้วถนนด้านข้างตึก ตอนเย็นๆถึงดึกๆ รถติดมาก รวมแล้วเลยทำให้เข้าใจว่า ผมตื่นเพราะเสียงดังนี่เองนี่เอง เดี๋ยวตำรวจก็ออกจากสถานี (ไม่รู้ไปจับอะไรกันนักหนา แล้วดึกๆดื่นๆ มันก็ไม่รู้จะเปิด Siren ไปทำไม แถมเปิดเป็นจังหวะกวนๆอีกต่างหาก ผมล่ะคิดว่าแมวน้ำ) เดี๋ยวก็มีรถดับเพลิงออกไปช่วยใครที่ไหนก็ไม่รู้ (คือพนักงานดับเพลิงที่นี่ ทำงานจับฉ่าย ยังกะป่อเต็กตึ้งบ้านเราดีๆนี่เอง) แล้วรถที่ติดๆนี่ ไม่รู้มันจะบีบแตรอะไรกันนักหนา มันก็รู้ว่าบีบไปก็ไม่ช่วยให้มันไปไหนได้เร็วขึ้นซักหน่อย ผมก็ไม่เข้าใจมัน แต่ที่แย่คือตอนเช้ากับตอนเย็น เหล่ารถประจำทางจะพากันถอยจอดเข้าซองรอออกไปปฏิบัติหน้าที่ แล้วเวลารถพวกนี้ถอย มันจะมีเสียงครับ แล้วที่มันไม่ธรรมดาคือ รถพวกนี้ มีเกือบร้อยคัน!! มันก็คือเสียงนาฬิกาปลุกดีๆนี่เอง ผมพยายามปิดกระจกดูแล้ว ก็ไม่เห็นจะช่วยอะไรมาก แถมจะพาลขาดใจตายซะก่อนเพราะผมไม่ได่เปิดเครื่องปรับอากาศเนื่องจากเหตุผลที่กล่าวไปตอนที่แล้ว ที่กระหน่ำซัมเมอร์เซลล์ก็คือ ถัดไปหนึ่ง block จากตึกที่ผมอยู่ เป็นแม่น้ำ Hudson ซึ่งตอนกลางวันและหัวค่ำมันก็ดูสวยดี เป็นวิวที่ดีทีเดียวจากมุมของระเบียงหลังห้องไป แต่ที่แย่คือ ตอนกลางคืนและตอนดึกๆ เวลาที่พวกเรือสำราญกลับเข้ามาที่ท่าเรือนี่ ไม่รู้ทำไม กลัวคนไม่รู้หรือไงว่ามันมากันแล้ว เล่นเปิดหวูดกันตั้งแต่ต้นแม่น้ำจนเข้ามาจอดเลย ผมเลยรู้ซึ้งถึงความหมายของคำว่า “Fucked Up” ของคุณพี่ใหญ่แกทันที ผมไม่ได้ดัดจริตอะไร แต่เสียงมันดังจริงๆ แต่ถึงยังไงผมก็คิดว่า อีกหน่อยก็ชินไปเอง สบายมาก!!

หลังจากจบเรื่องราวต่างๆและทำใจได้แล้ว วันหยุดแรกของผมที่นี่ ผมตัดสินใจไป China Town เพื่อไปหาของกินและข้าวสารตามที่คุณเมเนเจอร์ที่เมืองไทยแนะนำมา นั่งรถไฟฟ้าไป ผมเลือกลงเลยที่หมายไป 1 สถานี เพื่อจะได้เดินเล่นด้วย เดินมาเรื่อยๆผ่าน City Hall มา เป็นตึกตระหง่านอยู่ในละแวกนั้น ผมว่าดูสวยทีเดียว เดินมาเรื่อยๆ ก็เจอประตูอะไรไม่รู้ น่าจะเป็นประตูเมือง ใหญ่อลังการมาก และก็เดินมาเรื่อยๆ จนถึงสวนสาธารณะ ซึ่งผมว่าสวนสาธารณะที่นี่ดีทีเดียว มีเยอะมาก ทุกหย่อมหญ้า เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง สะอาดน่ามาใช้บริการ และคนที่นี่ก็มากองกันอยู่ตามสวนสาธารณะกันเยอะทีเดียว คงเป็นเพราะชีวิตในตึก ก็มีสวนสาธารณะนี่แหละที่พอจะช่วยทำให้จิตใจมันผ่องใสขึ้นมาบ้าง

ในที่สุดผมก็มาถึง China Town จนได้ มาถึงก็รู้เลยว่าใช่แน่ๆ (ก็ออกจะสกปรกขนาดนี้แถมคนหน้าตาเอเชียๆก็เดินกันให้ว่อน) ผมเดินสำรวจอยู่ราวครึ่งชั่วโมง เดินไปเรื่อยๆ ถ่ายรูปไปบ้าง พยายามมองหา China Town Kiosk ที่เป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ กะว่าจะถ่ายรูปสักหน่อย หาไปหามา หาไม่เจอ เลยเดินไปซื้อของดีกว่า เพราะเหนื่อยแล้ว ผมเดินหาร้านไทยอยู่ซักพัก หาร้านไทยไม่เจอ!! เออ แปลก เค้าว่ามี แต่ผมคงไม่เห็นเอง เลยตัดสินใจเข้าไปซื้อของจากร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตจีนแทน ซื้อของสดมาพอประมาณ แต่เรื่องใหญ่ก็คือข้าวสาร มันมีหลายขนาด ผมดันตัดสินใจอยู่นานสองนาน สุดท้ายเอาเป็นว่า เอามากระสอบนึงเลยก็แล้วกัน (25 Lbs) แบกทีเดียว ไม่ต้องมาแบกอีก ซึ่งกว่าจะเดินไปถึงสถานีรถไฟฟ้า ซึ่งตอนแรกผมหาไม่เจอ (ก็เล่นไปซ่อนซะหลังตู้ขายของ) เลยเดินวนอีกนิดหน่อย เดินแบกมาจนถึงบ้าน สรุปแล้ว มันก็หนักเอาเรื่องเหมือนกัน!! (ระหว่างที่เดินหาสถานีรถไฟฟ้าอยู่นั้น ผมก็เจอ ไอ้ China Town Kiosk … แต่ว่า มือมันล้าและของหนักเต็มมือ เลยไม่ได้ถ่ายรูปมันมา เอาเป็นว่า คราวหน้าผมจะต้องเก็บรูปมันมาให้ได้)

วันอาทิตย์ ผมรู้สึกเหนื่อยๆ เลยนอนพัก หุงข้าวเสก (ข้าวกระเทียมของคนอร์ พูดตามโฆษณาเค้าไปงั้น) ให้สมกับที่ไปแบกมา ทำกับข้าวกินอย่างราชา ก็เป็นอันจบสัปดาห์แรกของการมาอยู่ที่นี่ของผม

เตียงนอนครับ นุ่ม... นอนสบายดีอีกมุมหนึ่งของห้องนอน (TV จะตกมั๊ยน้า เค้าตั้งมาให้อย่างนี้)ตู้เสื้อผ้า กับเสื้อผ้าอันน้อยนิดรูปนี้ยิงแฟลตด้วย กลัวไม่เห็นแอร์ตัวดีกัน

ห้องรับแขก (โฟกัสไม่ดีเลย แต่ขี้เกียจถ่ายใหม่)ระเบียงหลังห้อง... กับถนนที่แสนวุ่นวาย (ถ่ายตอนตี 2)อ่างล้างจานในห้องครัวห้องครัว แหล่งประทังชีวิต

ตู้เก็บของห้องน้ำครับ ถ้าดูอย่างเดียวก็ดีอยู่หรอก...ขอต้อนรับเข้าสู่...

วิวจากระเบียงหลังห้องสู่แม่น้ำ Hudson...Welcome to Riverbank Westระหว่างทางไป China Town มาเจอถนนชื่อแปลกๆ 'กว้าง'...เดินมาเจอถนน 'ศาล' กับถนน 'กลาง'

ไม่รู้เค้าเรียกอะไร ผมเดาไปว่าประตูเมืองประตูเมือง (เรียกเอง... ผมถ่ายรูปเอียงนี่!!)ถึงจนได้ China Town (รูปเริ่มเละ)Lin Ze Xu (ใครก็ไม่รู้ เริ่มเหนื่อย ถ่ายไม่ตรง)

ความภาคภูมิใจ แบกมันกลับมาห้องจนได้วิวจากระเบียง (อีกสักที)วิวจากระเบียง (อีกสักทีน่า...)ยามค่ำคืน (Noise เพียบ กล้องตรู)

ยามค่ำคืน (อีกสักรูป Noise ก็ยังมีอยู่)ยามค่ำคืน (อีกสักรูปน่า... Noise น่ะช่างมัน คงถ่ายไม่ดีเอง)อยากกลับบ้าน (แอบเหงา...)


+ + + + + + + + + + + + +



Create Date : 10 ตุลาคม 2549
Last Update : 10 ตุลาคม 2549 16:35:06 น. 3 comments
Counter : 402 Pageviews.

 
ดูจากรูปแล้ว ห้องโป๊ะ ก็น่าอยู่ อยู่นา
ถ้าไม่นึกถึง เสียงดังๆ อย่างที่โป๊ะบอก
(ซึ่งซักวันนึง โป๊ะคงจะชิน )
อิอิ


โดย: กิ่งกิ๊ง IP: 203.144.229.194 วันที่: 10 ตุลาคม 2549 เวลา:18:46:47 น.  

 
มะ มะ แมวน้ำ

ฮ่าๆ อืม ถ่ายรูปสวยนี่ ว่างๆมาถ่ายแถวนี้บ้างดิ อิอิ


โดย: Namtarn IP: 128.2.141.22 วันที่: 14 ตุลาคม 2549 เวลา:2:34:17 น.  

 
I hope you can pass through in any obstacles. Keep in mind, if you think it's easy, it will be very easy!

be cheerful!


โดย: Ney IP: 125.24.209.12 วันที่: 14 ตุลาคม 2549 เวลา:15:22:30 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Poetra
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




กับเส้นทางที่ผ่านมา ถึงแม้จะไม่ได้ดี ไม่ได้เด่นเหมือนใครๆ แม้มันไม่ได้เลวร้ายเหมือนกับคนอื่นๆ แต่มันก็น่าจะเพียงพอที่จะมาเล่าสู่กันฟังได้บ้าง ...




Friends' blogs
[Add Poetra's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.