Group Blog
 
All Blogs
 

My Last Breath : Chapter 4 Starting Addiction [เริ่มหลงใหล]



สามอาทิตย์ผ่านไปหลังจากงานเลี้ยงคืนนั้น สองอาทิตย์หลังจากที่การถกเถียงเรื่องการหมั้นของเธอหยุดลง และเพิ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาเท่านั้นที่แฮร์รี่ยอมพูดกับเธอ เธอก็ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงเฝ้านับวันเวลาแบบนี้ อาจจะเป็นเพราะในตอนนี้มีเพียง มอลลนี่ จินนี่ แฮร์รี่ และลูน่าเท่านั้นที่ยอมพูดกับเธอและคบหาเธอ แต่มันน่าเศร้าตรงที่คนเหล่านี้มีน้อยจนนับได้โดยใช้มือแค่ข้างเดียวเท่านั้น
ปฏิกิริยาของคนอื่นที่มีต่อข่าวการหมั้นของเธอนั้นเลวร้ายกว่าที่เธอคิดไว้ รอนเหวี่ยงกำปั้นใส่อากาศอย่างโกรธเกรี้ยวเมื่อเขารู้ข่าวนั้น อาเธอร์ไม่มองหน้าเธอ นอกจากนั้นก็มีแค่ จอร์จ เพอร์ซี่ และอาจจะรวมชาร์ลีด้วยที่ไม่ว่าอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ สำหรับบิลนั้นเธอหวังกับเขามากกว่าคนอื่น ๆ ว่าเขาจะเข้าใจ แต่เพราะเหตุผลบางอย่างเฮอร์ไมโอนี่ก็คิดว่าเธออาจจะหวังมากเกินไป บางทีเธออาจจะทำได้แค่หวังให้มีใครซักคนพยายามจะเข้าใจและถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้นเท่านั้นก็ได้ แต่เท่าที่เธอได้รับก็มีเพียงความเงียบ แต่มอลลี่ก็ทำให้เฮอร์ไมโอนี่อุ่นใจอีกครั้งเมื่อเธอพยายามพูดกับอาเธอร์และพวกผู้ชายให้
แต่ถึงกระนั้นการแสดงออกของทุกคนก็ทำให้เธอพูดไม่ออก พวกเขาทำเหมือนกับว่าเธอตั้งใจทำอะไรที่เป็นการดูหมิ่นพวกเขา
หลังจากจบจากฮอกวอตส์มันก็กลายเป็นธรรมเนียมของพวกเราไปแล้วที่จะต้องมารวมตัวกันที่บ้านโพรงกระต่ายในคืนวันเสาร์ เพื่อมาพบเพื่อน ๆ และครอบครัว มาสังสรรค์กันและทานอาหารอร่อย ๆ ฝีมือคุณนายวีสลีย์ มันเป็นเรื่องปกติมาจนถึงเดี๋ยวนี้
และในตอนนี้เธอก็ได้รับเชิญไปที่บ้านโพรงกระต่ายอีกครั้งในคืนวันเสาร์ และเธอก็วิตกมากสำหรับเรื่องที่จะเกิดขึ้นในคืนนี้ ในตอนเช้าเธอทำความสะอาดทั่วทั้งแฟลต เธอจัดหมวดหมู่หนังสือใหม่และทำแม้กระทั่งเสียเวลาเป็นชั่วโมงอยู่กับการเลือกชุดเพื่อใส่ไปดินเนอร์คืนนี้ และเมื่อถึงตอนที่เธอดูนาฬิกาและมันบอกเธอว่าถึงเวลาที่เธอจะต้องออกจากบ้านได้แล้วเธอก็รู้สึกวิตกกังวลจนเกือบจะอาเจียนออกมา เธอสวมใส่เสื้อผ้าอย่างรวดเร็วและรวบผมเป็นหางม้าก่อนจะออกจากห้องของเธอและเดินไปอีกสองบล็อกไปยังจุดที่ปลอดภัยสำหรับการหายตัว

เธอหายตัวมาโผล่ที่สนามหญ้าด้านนอกของบ้านโพรงกระต่ายและเริ่มเดินไปสู่ดินเนอร์ที่ดูน่ากลัวในสายตาเธอ เธอพยายามสงบสติอารมณ์มากที่สุดและคิดกระทั่งว่าคืนนี้จะผ่านไปได้ด้วยดี แต่มันก็ไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่นัก ทุก ๆ ย่างก้าวที่เธอเดินนั้นเธอรู้สึกเหมือนเหยียบลงไปบนพื้นซีเมนต์เปียก ๆ และพบว่ายิ่งเข้าใกล้ประตูเท่าไหร่ขาของเธอก็ยิ่งก้าวช้าลงเท่านั้น เมื่อเธอเดินมาอีกสองฟุตจะถึงประตูเธอก็หยุดเพื่อทำจิตใจให้สงบ เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะเดินไปที่ประตูและเคาะมันเบา ๆ
ก่อนที่เธอจะได้ทันกระพริบตาประตูก็เปิดออกพร้อมกับที่เธอรู้สึกถึงอ้อมกอดที่อบอุ่นอ่อนโยนของนางวีสลีย์
“เฮอร์ไมโอนี่ที่รัก เธอเป็นยังไงบ้าง” เธอซบศีรษะกับไหล่นางวีสลีย์แน่นและพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะผละจากอ้อมกอดของเธอและยิ้มออกมา
“ที่จริงน่าจะดีกว่านี้ค่ะ หนูแค่ตื่นเต้นมากไปหนูว่านะคะ” นางวีสลีย์ยิ้มให้หญิงสาวและแตะแก้มเธอเบา ๆ ก่อนที่จะพาเฮอร์ไมโอนี่เดินไปที่ครัว เมื่อพวกเขามาถึงห้องครัวเธอก็เห็นจินนี่ยืนอยู่หน้าเตา กำลังคนอะไรบางอย่างในหม้อ เมื่อหญิงสาวก้าวเข้าไปในครัวเป็นเวลาเดียวกับที่จินนี่หันมาพอดี ทันทีที่เธอเห็นเฮอร์ไมโอนี่เธอก็อุทานด้วยความดีใจก่อนจะตรงเข้ามากอดเธออย่างแรง
“เฮอร์ไมโอนี่ เธอมาถึงซะที! ฉันกำลังสงสัยอยู่เลยว่าเธอจะเบี้ยวมือเย็นคืนนี้รึเปล่า” เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มให้จินนี่และบอกเธอว่าท้องของเธอโตขึ้นเล็กน้อยจากครั้งก่อนที่หญิงสาวเจอเธอ เธอยิ้มอย่างภูมิใจกับคำพูดนั้น
“ผู้บำบัดบอกว่าไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว”
“เยี่ยมเลย จินนี่ ฉันยินดีกับเธอและแฮร์รี่จริง ๆ”
“เฮอร์ไมโอนี่?” เมื่อเธอได้ยินเสียงที่ล้ำลึกนั้น เธอก็หันไปและพบกับแฮร์รี่ที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าห้องครัว
“แฮร์รี่! ดีใจจังที่เจอเธอ!” เขาเดินมาทางเธอและกอดเธออย่างอ่อนโยน
“ดีใจที่เจอเธอเหมือนกันเฮอร์ไมโอนี่ ขอโทษนะที่ครั้งก่อนฉันทำตัวแย่ไปหน่อย ตอนนั้นฉันค่อนข้างช็อคน่ะ แถมตอนนี้อาจจะยังช็อคอยู่ด้วยซ้ำ” เธอวางมือบนแขนของเขาและบีบมันเบา ๆ
“ไม่เป็นไรแฮร์รี่ ฉันเข้าใจ” เขายิ้มให้เธอบาง ๆ ก่อนจะหันหลังและเดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่น และจินนี่ก็จับแขนของเธอและพาเธอเดินไปยังห้องนั่งเล่นเหมือนกัน
“ทำไมเราไม่นั่งคุยกันล่ะ เมอร์ลินก็รู้ว่าฉันเมื่อยจะตายอยู่แล้ว” หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ กับคำพูดของจินนี่แต่เมื่อพวกเธอเข้าไปในห้องนั่งเล่น บทสนทนาที่มีมาก่อนหน้านั้นเงียบลงกะทันหัน เฮอร์ไมโอนี่ถูกต้อนรับด้วยความเงียบและสีหน้าถมึงทึงของพวกผู้ชายตระกูลวีสลีย์
เธอรู้สึกว่ารอยยิ้มบนหน้าของเธอกระตุกจนกระทั่งเธอยินสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นในหัว

‘ คนตระกูลมัลฟอยมักจะเชิดศีรษะขึ้นเสมอ อย่าได้ก้มหน้าเป็นอันขาด และที่สำคัญที่สุดจงภูมิใจ...... ’

เธอขอสาปแช่งอีตาคนน่ารำคาญ หลงตัวเอง และหยิ่งยโสคนนี้เสียทีเถอะ ถึงแม้ว่าเขาจะหน้าตาดีอยู่มากก็ตาม แต่ทำไมเขาเพิ่งมาพูดถูกเอาป่านนี้นะ?
เธอคิดพลางยกคางขึ้นสูงและส่งยิ้มให้กับพวกนั้นก่อนจะเดินไปที่โซฟาพร้อมกับจินนี่และนั่งลง และเหมือนว่าจินนี่ก็จะคิดเช่นเดียวกัน เพราะจินนี่ทำเป็นไม่สนใจที่พวกพี่ชายของเธอเงียบลงกะทันหันและหันมาทางเฮอร์ไมโอนี่
“บอกฉันซิว่าเธอทำอะไรในอาทิตย์ที่ผ่านมาบ้าง อาทิตย์ที่แล้วน่าเบื่อมากเลยและฉันก็คิดถึงเวลาที่เราทานน้ำชาด้วยกัน” เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มให้เธอก่อนจะเล่าว่าเวลาสามอาทิตย์ที่ผ่านมาเธอของเธอนั้นหมดไปกับการทำแงาน เธอบอกจินนี่เรื่องรายงานใหม่ที่เข้ามาและพยายามเลี่ยงการพูดถึงการแต่งงานของเธอกับลูเซียส และจินนี่เองก็รู้ดีพอที่จะพยายามเลี่ยงไม่ถามถึงเรื่องนั้นเหมือนกัน
และทันใดนั้นเองคุณนายวีสลีย์ก็เดินเข้ามาเพื่อเรียกทุกคนไปทานมื้อเย็น เมื่อพวกเขารับประทานอาหารคุณนายวีสลีย์และจินนี่ก็หาเรื่องมาคุยกับเฮอร์ไมโอนี่ต่อในขณะที่พวกผู้ชายต่างนิ่งเงียบและมีท่าทีเคร่งเครียด พวกเขาไม่มองหน้าเฮอร์ไมโอนี่เลยตั้งแต่มื้อเย็นเริ่มขึ้น และเธอก็คิดว่าทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีแล้ว ไม่มีการตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด ไม่มีการร่ายคำแช่งใส่ เธอสามารถพูดคุยกับคนอื่นได้ อย่างน้อย ๆ ก็ยังมีจินนี่และมอลลี่ที่ยังคุยกับเธอ และพวกเธอเกือบจะผ่านอาหารจานหลักไปแล้วขณะที่ของหวานกำลังรอเสิร์ฟอยู่ ขณะที่ทุกอย่างกำลังไปได้ด้วยดีก็มีบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงคืนนี้ออกไปโดยสิ้นเชิงเกิดขึ้น

“นี่เธอไม่คิดจะขอโทษซักคำเลยเหรอ” เธอเกือบจะสำลักน้ำในแก้วออกมาเมื่อเธอหันไปหารอน
“เธอว่าอะไรนะ?” เฮอร์ไมโอนี่จ้องเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ นี่เขาหมายความอย่างนั้นจริง ๆ หรือ? จินนี่เองก็จ้องรอนเช่นกันขณะที่นางวีสลีย์มีสีหน้าเหมือนเพิ่งถูกใครตบหน้า
“เธอได้ยินแล้วนี่ เรื่องที่เธอจะแต่งงานกับไอ้สารเลวมัลฟอยน่ะ เธอหาคนที่ดีกว่ามันไม่ได้แล้วเหรอ เธอไม่รู้หรือไงว่าเธอทำอะไรไว้กับครอบครัวของเราบ้าง เธอเป็นสมาชิกของที่นี่ เธอเป็นเพื่อนของพวกเรา และตอนนี้เธอก็จะหักหลังพวกเรางั้นรึ!”
รอนยืนขึ้นและตะโกนเสียงดัง และเท่าที่เธอทำได้ในตอนนี้ก็คือจ้องเขาเท่านั้น นายวีสลีย์กวักมือให้รอนนั่งลงและมองมาที่เฮอร์ไมโอนี่อย่างเย็นชา และเธอก็รู้สึกว่าหน้ากากที่เธอสวมนั้นหลุดไปจากใบหน้าเมื่อเธอรู้ว่าน้ำตาของเธอคลอเอ่อดวงตา
“คุณรู้สึกว่าหนูทรยศครอบครัวของคุณงั้นเหรอคะ” เธอพูดเสียงแข็ง แต่มันก็ไม่ดังไปมากกว่าเสียงกระซิบเลย
“ที่รัก....” นางวีสลีย์กำลังจะเริ่มพูดแต่เธอกลับถูกขัดจังหวะโดนสามีของเธอเอง
“ใช่ เรารู้สึกอย่างนั้น เธอไม่รู้เลยหรือว่า.....” อาเธอร์พูด
“อาเธอร์ วีสลีย์! คุณกล้าดียังไง” คุณนายวีสลีย์ยืนขึ้นและจ้องไปที่สามีของเธอ รอนมองมาทางเฮอร์ไมโอนี่และยิ้มเย้ยหยัน
“ที่จริงเธอน่าจะไปหาสามีผู้เสพความตายของเธอมากกว่านะ เธออยากไปเป็นนางบำเรอของมันใจจะขาดแล้วไม่ใช่เหรอ” จินนี่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที แต่ก่อนที่เธอจะทำอะไรไปมากกว่านั้นแฮร์รี่ก็คว้าร่างเธอไว้ก่อน และในวินาทีต่อมารอนก็ลงไปนอนเหยียดยาวกับพื้น

ในที่สุดน้ำตาของเฮอร์ไมโอนี่ก็ไหลอาบแก้ม และในไม่กี่วินาทีเธอก็ลุกขึ้นและวิ่งผ่านครัวออกไป เธอไม่รู้ว่าเธอวิ่งไปนานเท่าไหร่แต่เธอไม่หยุดวิ่งจนกระทั่งเธอลื่นล้มลงบนบ่อโคลน หน้าของเธอซบกับพื้นหญ้า เธอหอบหายใจอย่างหนักและทันใดนั้นเองเธอก็รู้สึกถึงสายฝนที่กระหน่ำเข้าที่แผ่นหลังของเธอ เธอลุกขึ้นนั่งด้วยความเจ็บปวดเมื่อคิดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น และไม่นานเธอก็ยืนขึ้นพร้อมกับชักไม้กายสิทธิ์ออกมาเพื่อหายตัวไปจากทุ่งหญ้าที่เปล่าเปลี่ยวแห่งนี้
ร่างของเธอกระแทกเข้ากับสนามหน้าที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี หญิงสาวตัวสั่นน้อย ๆ เมื่อเธอเริ่มเดินไปยังคฤหาสน์หลังนั้น


……………………………………………………………………………………………………………


ชายที่มาเปิดประตูให้เธอนั้นมองเธอราวกับเธอเป็นมนุษย์ต่างดาวที่เพิ่งมาปรากฏตัวหน้าประตูบ้านของเขา แต่ที่จริงแล้วเธอก็โทษเขาไม่ได้หรอก ลูเซียสมองสำรวจเธอด้วยสายตาที่แสดงถึงความสงสัยเล็กน้อย แต่สิ่งแรกที่เฮอร์ไมโอนี่สังเกตได้จากเขานั้นคือ เธอเพิ่งรู้ว่าเขาดูหล่อเหลาแค่ไหน เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีดำที่พับแขนขึ้นจนถึงข้อศอกและกระดุมเม็ดแรก ๆ ที่เปิดออกนั้นเผยให้เห็นแผ่นอกของเขา ผมของเขายังคงถูกรวบไว้ที่ระดับต้นคอ
“ในนามของเมอร์ลินนี่มัน………?”
“ขอโทษนะคะ ฉันแค่.....ฉันขอเข้าไปได้ไหมคะ” เธอเริ่มพูด รู้สึกวิตกขึ้นมา ลูเซียสหลบไปข้าง ๆ เพื่อให้เธอเดินเข้าไปในบ้านที่อบอุ่นโดยที่เขาคิดไม่ออกเลยว่าเธอนั้นหนาวสั่นเพียงไร
“คุณมาที่นี่ได้ยังไง” นั่นเป็นคำถามแรกของเขาขณะที่สายตาของเขายังคงสำรวจร่างกายของเธอ
“คุณคงลืมไปแล้วว่าฉันเคยมาที่นี่ครั้งนึงแล้ว แม้ว่ามันจะไม่ใช่ด้วยจุดประสงค์เดียวกันก็เถอะ” เธอหลับตาลง ตัวสั่นเพราะเสื้อผ้าเปียก ๆ ที่เธอสวม เขาพึมพำบางอย่างที่จับใจความไม่ได้ก่อนจะเรียกเอลฟ์ประจำบ้านออกมา
“ค่ะ นายท่าน”
“พามิสเกรนเจอร์ขึ้นไปข้างบนและอาบน้ำเธอซะ” ด้วยเหตุผลบางอย่างเธอรู้สึกหงุดหงิดที่ได้ยินเช่นนั้น เขาพูดราวกับเธอเป็นสัตว์เลี้ยงหรืออะไรซักอย่าง แต่ความหงุดหงิดนั้นก็หายไปเมื่อเขาหันมาทางเธอและมองเธอด้วยดวงตาสีเทาของเขา
“ผมจะคอยคุณอยู่ที่ห้องหนังสือเมื่อคุณแต่งตัวเสร็จแล้วที่รัก” และเขาก็ทิ้งให้เธออยู่ในความดูแลของเอลฟ์ประจำบ้านแทน แต่เมื่อหญิงสาวคิดถึงการได้อาบน้ำแล้วเธอก็ไม่อยากที่จะบ่นอะไรไปมากกว่านี้

หนึ่งชั่วโมงต่อมาเธอกำลังเดินลงบันไดลงมา เสื้อผ้าของเธอถูกนำลงไปที่ห้องซักรีดสำหรับซัก ตอนนี้เธอได้ถอดเสื้อคลุมสีแดงเข้มที่ดูเศร้าหมองนั้นออกและเปลี่ยนเป็นชุดนอนผ้าไหมสีครีมแทน
เมื่อเธอเดินเข้าไปในห้องสมุดเธอก็พบว่าลูเซียสกำลังนั่งอยู่หน้าเตาผิง ในมือของเขาถือแก้วบรั่นดีเอาไว้สีหน้าของเขาดูราวกับเขากำลังคิดเรื่องบางอย่างอยู่ เธอเดินเข้าไปในห้องและนั่งลงตรงโซฟาตรงข้ามกับเขา เขาจ้องมองเธอโดยไม่พูดอะไร ดวงตาสีเทาของเขาพยายามอ่านใจเธอด้วยความสงสัย
“ขอบคุณนะคะที่ยอมให้ฉันเข้ามา” เขาพยักหน้าและส่งแก้วบรั่นดีให้เธอ เธอรับมาพร้อมกับหวังว่ามันจะช่วยทำให้เธออุ่นขึ้น
“แน่นอน คุณต้องได้รับการต้อนรับที่นี่อยู่แล้ว เพราะอีกไม่นานคุณก็ต้องมาอยู่ที่นี่ แต่ตอนนี้ผมเกรงว่าความสงสัยของผมมีมากเกินกว่าที่จะยับยั้งไว้ได้ ทำไมคุณถึงมาที่นี่ ขอผมเพิ่มเติมหน่อยละกัน ในกลางดึกแบบนี้” เขาเอนหลังพิงพนักพิง ไม่มีรอยยิ้มเย้ยหยันบนริมฝีปากของเขา เขาเพียงแค่เฝ้ามองเธออย่างใกล้ชิดเท่านั้น
“ฉันไปทานมื้อเย็นที่บ้านครอบครัววีสลีย์ แล้วก็เกิดเรื่องร้าย ๆ ขึ้นหลังจากฉันตัดสินใจออกจากที่นั่นมา ฉันไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน ฉันไม่อยากกลับไปที่แฟลตที่ไม่มีใครให้ฉันคุยด้วย ฉันไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ฉันก็เลย.....”
เธอจิบบรั่นดีและรู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ไปในท้องของเธอ
“อืม.......แล้วเรื่องร้าย ๆ ที่ว่านั่นมันคือเรื่องอะไรกันล่ะ” มีประกายคมกล้าปรากฏขึ้นในดวงตาของเขาเมื่อเขาถามเธอ ลูเซียสนั่งตัวตรงบนเก้าอี้ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ไม่ได้จ้องมองเขาแต่อย่างใด เธอจิบบรั่นดีอีกครั้งและจ้องมองเปลวไฟในเตาผิง แต่ในหัวของเธอยังคงได้ยินเสียงของนายวีสลีย์ที่กล่าวโทษเธอ และเสียงของรอนที่ด่าทอเธอว่าเธอเป็นนางบำเรอ เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกถึงน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของเธอ เธอจึงจิบบรั่นดีเข้าไปอย่างหมดหวัง เพื่อไม่ให้มือของเธอว่างจนเกินไป
ทันใดนั้นเองลูเซียสก็ดึงแก้วบรั่นดีออกจากมือเธออย่างแผ่วเบา เขาคุกเข่าลงตรงหน้าเธอและใช้มือประคองใบหน้าเธอให้หันมาสบตาเขาขณะที่เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ
“บอกผมซิ” เสียงของเขาฟังดูสุภาพและอ่อนโยนจนทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย เธอสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหัวค่ำที่ผ่านมาจนกระทั่งเธอมาที่นี่และนั่งอยู่ในห้องหนังสือของคฤหาสน์มัลฟอยแบบนี้
เมื่อเธอเล่าถึงคำพูดของรอนที่ว่าเธอ ใบหน้าของลูเซียสก็ขาวซีด ดวงตาของเขาเป็นประกายสีเงิน มันทำให้เขาดูน่ากลัวราวกับเขาพร้อมที่จะฆ่าใครบางคนได้ เมื่อเขาลุกขึ้นจากพื้นและเดินไปหยุดอยู่หน้าเตาผิง เธอก็เริ่มหัวเราะขึ้นมาและลูเซียสก็หันมามองเธออย่างแปลกใจ
“ขอโทษค่ะ……ฉันแค่…….” เธอพยายามทำให้ตัวเองสงบโดยการสูดหายใจลึก ๆ อีกครั้ง “มันตลกดีว่าไหมคะ ในที่สุดฉันก็ต้องมาหาคุณที่นี่ แถมร้องไห้มาอีก”
เขายิ้มให้เธอก่อนจะเดินเข้ามาคุกเข่าลงตรงหน้าเธออีกครั้ง เขาค่อย ๆ เช็ดน้ำตาออกจากแก้มเธออย่างอ่อนโยน
“ผมก็อยากให้คุณอยู่ที่นี่มากกว่าที่อื่นเหมือนกัน เมื่อผมรู้ว่าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น”
เธอมองเขาอย่างแปลกใจ แทบไม่เชื่อว่านี่คือ ลูเซียส มัลฟอย คนเดิมที่เธอกำลังจะแต่งงานด้วยจริงหรือ เพราะตอนนี้เขาช่างอ่อนโยนและดูเป็นห่วงเป็นใยเธอเหลือเกิน ในที่สุดเขาก็ยืนขึ้นอีกครั้งและส่งมือมาให้เธอจับ
“ผมคิดว่าตอนนี้มันดึกมากแล้วที่รัก” เธอจับมือเขาขณะกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมของชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอในขณะนี้ เธอเดินตามเขาออกไปจากห้องสมุด ขณะที่เขากำลังพาเธอเดินลงบันไดไปเธอก็จ้องมองเขาอย่างสนอกสนใจ มันยังมีเวลาอีกมากที่เธอจะได้เรียนรู้เขา เธอรู้เรื่องนี้ดี แต่เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะตั้งตาคอยโอกาสนั้นแบบในตอนนี้
และขณะที่พวกเขากำลังเดินผ่านห้องโถงไป เธอก็หยุดอย่างกะทันหันจนเขาต้องหันกลับมาหาเธออย่างแปลกใจ
“มีอะไรรึ”
“เปล่าค่ะ” คิ้วของเขายกสูงกับท่าทีของเธอ แต่สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นตกใจเมื่อเธอจูบเขา

อันที่จริงมันมากกว่านั้น เพราะเธอแทบจะกระโดดใส่เขาเลยทีเดียว เธอตวัดแขนรอบคอเขาและเบียดร่างของเธอเข้าไปชดเชยช่องว่างระหว่างเธอกับเขา และนั่นทำให้หลังของลูเซียสถอยไปชนกำแพง และต้องขอบคุณเขาเป็นอย่างยิ่งที่รับร่างของเธอไว้ทันโดยที่เขาไม่ล้มลงไปก่อน
ผ่านไปหลายนาทีที่เธอไม่รู้สึกถึงสิ่งใดนอกจากริมฝีปากร้อน ๆ ของเขา เธอดันร่างแนบกับแผ่นอกของเขาขณะที่เขากลับมายืนตรงได้อีกครั้ง แต่ในที่สุดเธอก็รู้สึกว่าเธอต้องการอากาศหายใจเธอจึงต้องถอนริมฝีปากออกมา และเมื่อเธอกลับมาสบตาเขาเธอเห็นเพียงแค่ดวงตาสีเงินที่ดูพิศวงเท่านั้น เขาหายใจกระชั้นขึ้นและระหว่างที่เราจูบกันเธอก็สังเกตว่าเขาโอบแขนของเขารอบเอวของเธอ
“เอ่อ ถือว่าเป็นจูบราตรีสวัสดิ์ละกันนะคะลูเซียส ฉันคงต้องไ.....” เธอถูกขัดจังหวะเมื่อเขาเปลี่ยนที่ระหว่างเขาและเธอ และเธอก็ลงเอยด้วยการเป็นฝ่ายที่ยืนหันหลังพิงกำแพง
“ผมไม่คิดอย่างนั้นนะ” เขาเลื่อนริมฝีปากของเขาลงไปที่คอของเธอ และเธอก็รู้สึกว่าร่างกายหลอมละลายเมื่อเขาจูบหลังใบหูเธอ แขนสองข้างของเธอโอบรอบคอเขาและดึงเขาเข้ามาใกล้เมื่อเขาก้มลงจูบซอกคอเธอ เธอเริ่มแกะกระดุมเสื้อของเขาเพื่อที่จะได้เห็นร่างกายของเขาได้มากขึ้น ให้เธอรู้สึกถึงเขามากขึ้น ขณะที่ลูเซียสกำลังจูบขากรรไกรของเธอและทิ้งรอยแดง ๆ เอาไว้บริเวณนั้นเธอก็แกะกระดุมเสื้อเม็ดสุดท้ายของเขาเสร็จพอดี เธอปัดเสื้อของเขาไปข้าง ๆ และวางมือลงบนแผ่นอกของเขา
เขาหยุดหายใจเล็กน้อยเมื่อเขาดึงเสื้อคลุมของเธอออกและจูบลงไปที่ไหปลาร้าของเธอ มือของเขาสัมผัสทรวงอกของเธออย่างอ่อนโยนขณะที่มือของเธอวนเวียนอยู่แถวเอวของเขา แต่ไม่กล้าที่จะลงไปไกลกว่านั้น และเมื่อเขายกร่างของเขาขึ้นเล็กน้อยเธอก็สูดสมหายใจลึก ๆ โดยที่ไม่รู้ตัวว่าก่อนหน้านี้เธอได้กลั้นหายใจเอาไว้ เขาแตะหน้าผากเขาเข้ากับหน้าผากเธอและหัวเราะเล็กน้อย เสียงนั้นทำให้เธอขนลุก แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะความหนาวเย็นเพราะในตอนนี้ร่างกายของเธอกำลังรุ่นร้อนราวกับไฟลน
“คุณมีอะไรจะทำให้ผมแปลกใจอีกไหม ที่รักของผม”
“แล้วคุณต้องการให้ฉันทำไหมล่ะคะ”
“ไม่ล่ะ แต่ผมรู้ว่าผมต้องการอะไร....” และสิ่งต่อมาที่เธอรู้ก็คือเขาอุ้มเธอขึ้นมาและเริ่มเดินกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง โดยที่เสื้อคลุมของเธอและเสื้อเชิ้ตของเขาถูกทิ้งไว้ที่นั่น



*************************************************

ฟิคเรื่องนี้คนแต่งเขียนไว้เพียงเท่านี้นะคะ กะลังจะถึงฉากสำคัญเลยทีเดียว แถมเค้ายังลบเรื่องนี้ทิ้งไปแล้วด้วย TT^TT เพราะฉะนั้นตอนนี้จะเป็นตอนสุดท้ายที่เราแปลมาลงได้นะคะ




 

Create Date : 07 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 7 พฤษภาคม 2555 13:09:24 น.
Counter : 2810 Pageviews.  

My Last Breath : Chapter 3 Inamabilis Appetius



ตลอดทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมาเฮอร์ไมโอนี่เอาแต่กังวลว่าจะบอกคนอื่นอย่างไร พวกเขาจะคิดอย่างไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น และอื่น ๆ อีกมากมาย และเธอก็หมกมุ่นอยู่กับความคิดนี้จนทำให้เธอลืมคิดไปเลยว่าเธอจะใส่อะไรไปงานเลี้ยงดี หญิงสาวรู้สึกขายหน้าเป็นอย่างมากเมื่อเธอพบว่าเธอไม่มีชุดที่พอจะใส่ไปงานได้เลยขณะที่งานเลี้ยงนั้นกำลังจะมีขึ้นในคืนนี้
เธอใช้เวลาช่วงเช้าของเธอหมดไปกับความวุ่นวาย เธอเดินไปรอบ ๆ ห้องอย่างเคร่งเครียดเพื่อและใช้เวลาช่วงสุดท้ายไปสำหรับการเตรียมตัวออกไปช้อปปิ้งและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเธอจะสามารถหาชุดที่เหมาะสำหรับใส่ไปงานได้ ราวกับความคิดของเธอจมอยู่ใต้กองเสื้อผ้าขณะที่เธอได้ยินเสียงกริ่งดังขึ้น เฮอร์ไมโอนี่เดินตรงไปที่ประตูทันที
เธอเปิดประตูออกและเตรียมตัวที่จะจ้องไปยังใครก็ตามที่กล้ามารบกวนเธอในตอนเช้าวันเสาร์แบบนี้ และเธอก็พบว่าที่สายตาของเธอกำลังจ้องมองอยู่นั้นเป็นอกของลูเซียส มัลฟอยที่กำลังจ้องมาทางเธอด้วยสีหน้าราวกับมีใครสาดน้ำทั้งแก้วใส่หน้าเขา และเมื่อเขานิ่งเงียบไปเช่นนั้นหญิงสาวจึงปิดประตูเบื้องหลังลงอย่างรวดเร็ว
“คุณต้องการอะไร” เธอพูดอย่างรวดเร็วราวกับเธอเดือดร้อนกับการปรากฏตัวของเขา คิ้วข้างหนึ่งของเขาเลิกขึ้นสูงขณะที่เขามองมาที่เธอ ริมฝีปากของเขายกขึ้นอย่างเย้ยหยัน
“งั้นผมขอถามหน่อยนะที่รัก ว่าคุณออกมาเปิดประตูในชุดแบบนี้เป็นประจำเลยหรือ ผมคิดว่าคุณคงหาชุดที่มันเหมาะสมกว่านี้ใส่ไปงานเลี้ยงในคืนนี้นะ”
เธอขมวดคิ้ว เขากำลังพูดอะไรน่ะ? แต่เมื่อเธอมองลงไปที่ตัวเองเธอก็ต้องชะงัก เนื่องจากเธอกำลังวุ่นวายอยู่กับการหาเสื้อผ้าจะใส่ไปทั่วห้องของเธอในตอนเช้ามันจึงทำให้เธอลืมไปเลยว่าตอนที่เขามากดกริ่งนั้นเธอเธอสวมแค่กางเกงยีนส์และบราเท่านั้น เธอรู้สึกถึงความร้อนที่แผดเผาแก้มของเธอขณะที่เธอรีบหันหลังกลับอย่างรวดเร็วและรีบหายตัวเข้าไปในห้องนอนของเธอ

.................................................

เขามองเธอที่มีท่าทีตกใจก่อนจะรีบหายตัวเข้าไปในห้องนอนของเธอพร้อมกับประตูที่ปิดลงอย่างแรง เขาถึงกับช็อคทีเดียวเมื่อเธอมาเปิดประตูให้เขาทั้ง ๆ ที่ใส่แค่กางเกงยีนส์และบราเท่านั้น แถมเธอยังดูหงุดหงิดอีกด้วย และเขาต้องพูดว่าเขาแปลกใจไม่น้อยที่เห็นหญิงสาวที่เรียบร้อยเช่นเธอในกริยาที่ต่างออกไปแบบนี้ และในขณะเดียวกับเขาก็รู้สึกพอใจไม่น้อยที่รู้ว่าร่างกายของเขามีปฏิกิริยากับเธออย่างไร

เธอฉุนเฉียว โกรธง่าย หากแต่เย้ายวนและเขาก็รู้สึกถึงความต้องการที่จะปกป้องสิ่งที่กำลังจะมาเป็นของเขา เขาวางถุงที่ถืออยู่ในมือลงอย่างระมัดระวังไว้บนโต๊ะกาแฟ แฟลตของเธอนั้นไม่มีอะไรให้สนใจมากนัก เพราะว่าเธอจะไม่ได้อยู่ที่นี่อีกนานเท่าไหร่นัก เขาได้ยินเสียงเปิดประตูจากทางด้านหลัง เขาจึงหันไปและพบกับคู่หมั้นที่ดูประหม่าของเขาที่ในตอนนี้แต่งตัวอย่างเต็มยศ ซึ่งมันดูไม่เข้าท่าเลยในสายตาของเขา แต่ก็นะ เขามีเวลาอีกมากที่จะ........ที่จะเรียนรู้เธอหลังจากที่เขาและเธอแต่งงานกันแล้ว

“เอิ่ม ขอถามอีกทีนะ ว่าทำไมคุณถึงอยู่ที่นี่ คุณมัล.....ลูเซียส” เขาซ่อนรอยยิ้มไว้ก่อนจะหันไปยังถุงที่วางอยู่บนโต๊ะกาแฟ
“ผมคิดว่าคุณอาจจะต้องใช้มันสำหรับงานเลี้ยงคืนนี้....” เธอเงยหน้าขึ้นและสังเกตเห็นถุงใบนั้น แก้มของเธอเป็นสีแดงก่อนจะส่ายศีรษะอย่างดื้อรั้น
“ฉันไม่ต้องการรบกวนคุณค่ะ ลูเซียส ฉันคิดว่าฉันสามารถจัดการเรื่องพวกนี้ได้ ด้วยตัวของฉันเอง” เขานั่งลงบนโซฟาของเธอและยิ้มบาง ๆ ให้เธอ
“อย่างนั้นรึ ถ้าอย่างนั้นที่รัก ผมขอถามหน่อยได้ไหมว่าคุณวางแผนจะใส่อะไรในงานเลี้ยงคืนนี้” เธอทำหน้าบึ้งใส่เขาและยกมือขึ้นกอดอก
“แล้วมันเกี่ยวกับคุณตรงไหนกันคะ” อ้า และก็เป็นอย่างที่เขาคิดจริง ๆ ด้วย เธอไม่มีชุดจะใส่ไปงานในคืนนี้
เมื่อเห็นเช่นนั้นลูเซียสก็กำลังจะเอื้อมมือไปหยิบชุดอีกครั้ง แต่เขาก็หยุดการกระทำของเขาเมื่อเธอเดินไปที่ถุงนั่นและค่อย ๆ หยิบมันขึ้นมา นาทีต่อไปนั้นผ่านไปด้วยความเงียบเมื่อเธอหยิบชุดสีแดงเข้มขึ้นมาจากถุงและจ้องมองมันสีหน้าที่ดูเหมือนยอมจำนน คิ้วของเธอขมวดเข้าหากันขณะที่เธอกัดริมฝีปากล่าง
“ลองสวมดูสิ” เธอกันมามองทางเขาและกลั้นหายใจ
“อะไรนะคะ”
“ผมว่ามันน่าจะดีถ้าหากคุณลองสวมดูชุดดูว่ามันจะเข้ากับเครื่องประดับที่ผมเตรียมมาไหมน่ะ หรือคุณว่าไง”
“เครื่องประดับงั้นเหรอคะ” เขากลอกตาอย่างหมดความอดทนกับหญิงสาวที่มีท่าทีตกใจเบื้องหน้าเขา
“แน่นอน! คุณเป็นคู่หมั้นของผม ดังนั้นเราก็ควรจะทำตัวให้เหมาะสมกันหน่อย”

เธอมองเขาอย่างไม่แน่ใจแต่ก็ทำให้เขาแปลกใจโดยการยืนขึ้นและเดินกลับไปที่ห้องนอนของเธออีกครั้งพร้อมกับชุดในมือ ตอนแรกเขาคิดว่าเธอจะต้องดื้อดึงกว่านี้แน่นอนแต่เขาก็พบว่าเขาคิดผิด เขาหยิบกล่องที่อยู่ตรงก้นถุงออกมาวางบนโต๊ะและเปิดมันออก

เมื่อเธอปรากฏกายออกมาเขาถึงกับต้องกลั้นหายใจ ชุดราตรีแนบชิดทรวงอกเธออย่างพอดี สายชุดทั้งสองข้างระอยู่ตรงไหล่ของเธอ เนื้อผ้าแนบไปตามรูปร่างสมส่วนของเธออย่างเหมาะเจาะลงไปยังสะโพกของเธอก่อนจะพริ้วไหวอยู่กับขางามของเธอ เธอดูเคอะเขินและประหม่า หญิงสาวพยายามรีดชุดของเธอให้เรียบทั้ง ๆ ที่มันไม่มีรอยพับแต่อย่างใด เขายิ้มให้เธอและยืนขึ้นพร้อมกับสร้อยข้อมือทองคำในมือที่ประดับเพชรเม็ดเล็ก ๆ ซึ่งส่องประกายใต้แสงไฟ เขาค่อย ๆ จับมือเธอขึ้นมาเบา ๆ และสวมสร้อยข้อมือรอบมือเรียวเล็กของเธอ และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นจ้องมองใบหน้าของเธอ ดวงตาของเธอก็กำลังจับจ้องอยู่ที่สร้อยเส้นนั้น เขาพาเธอเดินกลับไปที่โต๊ะพร้อม ๆ เขาก่อนจะหยุดและสำรวจเธอด้วยสายตา แค่ใส่สร้อยข้อมืออันเดียวเธอก็ดูน่าหลงใหลมาก แต่เขายังคงมีสร้อยคอและแหวนเตรียมไว้สำหรับเธออีก

เขาเคลื่อนกายไปข้างหลังเธอและยกผมของเธอขึ้นเพื่อสวมสร้อยให้เธอ เธอสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อปลายนิ้วของเขาสัมผัสผิวที่ราวกับแพรไหมของเธอ สร้อยคอทิ้งตัวลงบนอกของเธอ จี้ของมันอยู่ในระดับทรวงอกของเธอพอดี และเมื่อเขาหันกลับไปหาเธออีกครั้งเขาก็ไม่สามารถห้ามตนเองไม่ได้ยิ้มกับภาพที่เห็นตรงหน้าได้
“สมบูรณ์แบบ” มีรอยแดง ๆ ปรากฏขึ้นบนแก้มของเธออีกครั้ง “ผมจะมารับคุณที่นี่อีกสองชั่วโมงข้างหน้า แล้วพบกันที่รัก” เขาจับมือเธอขึ้นมาจูบอย่างอ่อนโยนจากนั้นก็หมุนตัวกลับอย่างรวดเร็วเพื่อกลับไปยังคฤหาสน์ เรื่องนี้ชักน่าสนใจมากขึ้นแล้ว

.................................................

หลังจากที่ประตูปิดลงเธอนั่งลงบนโซฟา แก้มของเธอยังร้อนฉ่ากับเรื่องที่เกิดขึ้น ให้ตายเถอะ! ทำไมเธอถึงมีปฏิกิริยาแบบนั้นกับเขาได้นะ เป็นเพราะริมฝีปากอ่อนนุ่มของเขาบนมือของเธอหรือว่าดวงตาสีเทาดูลึกลับของเขาที่มองสำรวจร่างกายของเธอตอนที่เธอเปิดประตูให้เขาอย่างนั้นหรือ พระเจ้าช่วย นี่เขาทำอะไรกับเธอกัน! หญิงสาวคิดอย่างสับสน

เมื่อถึงเวลางาน

เธอวางมือของเธอลงบนแขนที่ยื่นออกมาของเขาอย่างระมัดระวัง เสื้อคลุมกำมะหยี่สีเข้มของเขาทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยขณะที่เขาและเธอกำลังเดินไปที่ห้องโถงที่เงียบเชียบของกระทรวง เธอเผลอกระชับมือของเธอกับเสื้อคลุมของเขาขณะที่กำลังใจลอยไปกับความคิดอื่นอยู่ ค่ำคืนนี้จะเป็นคืนที่ตัดสินอนาคตทั้งชีวิตของเธอ ซึ่งเธอแน่ใจว่ามันจะไม่ดีไปกว่าอดีตที่ผ่านมาอย่างแน่นอน
ขณะนั้นเองเธอรู้สึกว่าเขาหยุดเดินเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นสบดวงตาสีเทาลึกลับที่กำลังมองเธอของเขาอยู่
“คะ” เธอขมวดคิ้วกับท่าทีของเขา ไม่แน่ใจว่าเขาได้ถามคำถามบางอย่างกับเธอหรือว่าเธอเองที่เป็นฝ่ายพึมพำบางอย่างออกมาขณะที่เธอกำลังใจลอยอยู่กันแน่ และแล้วหลังจากเธอหลุดออกจากห้วงความคิดของตัวเองแล้วเธอก็เพิ่งรู้ตัวว่าเธอกำลังบีบแขนเขาอยู่!
“เอ่อ ไม่มีอะไร” เธอพูดขณะที่เธอแทบจะกระโดดออกห่างจากเขา ออกจากสัมผัสอ่อนโยนที่ทำให้เธอรู้สึกสงบได้เมื่อครู่
มีร่องรอยความประหลาดใจปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขาขณะที่เขาหันมามองเธอ และแล้วเสียงหัวเราะอย่างแปลกใจก็ดังออกมาจากริมฝีปากของเขาเมื่อเธอถอยห่างออกจากเขา เขาก้าวเข้ามาหาเธอโดยไม่ละสายตาจากเธอแม้แต่น้อย และในพริบตาเธอก็พบว่าหลังของเธอชนกับกำแพง เขายื่นตัวมาข้างหน้าและวางมือลงบนกำแพงเพื่อกักขังเธอเอาไว้ เธอหลบสายตาเขาและจ้องมองที่พื้น และทันใดนั้นเองเธอก็รู้สึกตัวสั่นเมื่อเธอรู้สึกถึงนิ้วของเขาที่สัมผัสขากรรไกรของเธอเบา ๆ และกุมใบหน้าของเธอให้หันมาสบตาเขา ดวงตาของเขาดูลึกลับและครุ่นคิดราวกับเขาสามารถมองเห็นความคิดของเธอได้ และโดยไม่คาดฝันมาก่อนเขาก็กลับไปยืนตรงเช่นเดิมและส่งยิ้มให้เธอ
“คุณรู้ไหมว่าเราต้องเข้าไปก่อนที่งานเลี้ยงจะเลิกน่ะ” เขายื่นแขนให้เธอจับอีกครั้ง ความหนาวเย็นเล่นผ่านกระดูกสันหลังของเธอขณะที่เธอยื่นมือไปวางที่แขนของเขาอีกครั้งและเธอกับเขาก็ออกเดินต่อ แต่ก่อนที่จะถึงงานเขาก็หยุดเดินอีกครั้งเพื่อพูดกับเธอโดนไม่หันมามอง
“คนตระกูลมัลฟอยมักจะเชิดศีรษะขึ้นเสมอ อย่าได้ก้มหน้าเป็นอันขาด และที่สำคัญที่สุดจงภูมิใจ......” เธอมองไปที่เขาอย่างสงสัย
“ที่บอกไปนั้นจะช่วยคุณให้ผ่านเรื่องทั้งหมดในคืนนี้ไปได้ เมื่อเราเดินเข้าไปท่ามกลางฝูงหมาป่า ถ้าหากว่าคุณแสดงความอ่อนแอออกมาเมื่อไหร่ล่ะก็ พวกนั้นจะรุมทึ้งคุณแน่” มือของเธอถูกกุมไว้ในมือที่ใหญ่โตของเขา ราวกับว่าถ้าเขาไม่ทำเช่นนั้นเธอจะหายใจไม่ออกไปเสียก่อน และครั้งนี้เป็นโอกาสของเขาที่จะตั้งคำถามทางสายตากับเธอบ้างแต่เขาก็ทำเช่นนั้นได้ไม่นานนักเมื่อเธอพยายามทำตามที่เขาบอก และก่อนที่ทั้งสองจะได้เข้าไปในงานเขาเธอก็นึกไปถึงคืนนั้นที่คฤหาสน์ของเขา เธอรู้สึกว่าอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ได้หลอมละลายไปจากร่างและดวงตาของเธอก็เปลี่ยนไปเป็นดวงตาที่ดูเยือกเย็นเสียแล้ว

เมื่อเข้าไปในงานเขาก็พาเธอเดินไปที่ประตูที่นำไปสู่ห้องโถงขนาดใหญ่ซึ่งตกแต่งด้วยสีขาวและทอง เพดานเบื้องบนร่ายมนตราไว้ให้แสดงภาพท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงดาวทอแสงอยู่ใต้ท้องฟ้าสีดำ
เธอมองไปตามกลุ่มคนหวังว่าอย่างน้อยจะได้เห็นผมสีแดงของครอบครัววีสลีย์เข้ามาในงานแต่กลับกลายเป็นว่าการปรากฏตัวของเธอและเขากลับไม่เป็นที่สนใจของผู้คนในงานเท่าที่เธอคิด แต่ถึงกระนั้นก็เธอยังเห็นบางคนจ้องมองเธอ และเห็นสีหน้าเย้ยหยันของบางคน เธอยกคางขึ้นสูงพยายามปั้นสีหน้าให้ดูเย็นชาแต่มือของเธอกลับบีบแขนของเขาแน่นราวกับว่าโลกทั้งโลกกำลังจ้องมองเธออยู่ขณะที่เธอและเขาเดินเข้าไปในห้องโถง

คุณเห็นรึเปล่า เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ เป็นคู่ควงของลูเซียส มัลฟอยน่ะ! ฉันเห็นพวกเขาเดินเข้างานมาด้วยกัน

เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกว่าเธอกำลังจะรับความกดดันเหล่านี้ไม่ไหวแล้วจนกระทั่งคิงสลีย์เดินมาทางพวกเขาและยิ้มบาง ๆ ให้ เธอรู้สึกขนลุกนิด ๆ เมื่อลูเซียสดึงร่างของเธอเข้ามาใกล้และโอบแขนของเขารอบเอวของเธอซึ่งทำให้เธอต้องยิ้มออกมาอย่างอาย ๆ
“เฮอร์ไมโอนี่ ยินดีที่ได้พบคุณอีก และก็ลูเซียส ผมดีใจที่คุณมางานนี้ได้”
“คิงสลีย์” ลูเซียสก้มศีรษะให้เขาก่อนจะยิ้มให้อย่างสุภาพ ผู้คนรอบข้างต่างจ้องมองมาทางทั้งสองและเฮอร์ไมโอนี่แน่ใจว่าพวกเขาได้รับความสนอกสนใจมากกว่าเมื่อครู่ยิ่งนัก และเมื่อเธอหันกลับไปสนใจชายทั้งสองคนอีกครั้งเธอก็พบว่าคิงสลีย์มองเธอและลูเซียสอย่างแปลกใจ เขาคงแปลกใจที่เห็นเธอและลูเซียสยืนใกล้ชิดกันขนาดนี้ แถมมือของลูเซียสยังโอบเอวเธออยู่ด้วย
“ผมไม่ได้จะหยาบคายอะไรนะ แต่ผมไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะเห็นคุณทั้งสองคนอยู่ด้วยกันที่นี่”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา คิ้วของเขาเลิกขึ้นขณะที่ส่งสายตาที่เคร่งเครียดให้ลูเซียสและมองไปทางเฮอร์ไมโอนี่อย่างกังวล เธอรู้สึกว่าลูเซียสกลั้นหายใจอยู่ข้าง ๆ เธอ บางทีเขาอาจจะสังเกตเห็นที่ดูเอาจริงเอาจังของคิงสลีย์เหมือนกับเธอก็เป็นได้
ลูเซียสปั้นรอยยิ้มขึ้นบนริมฝีปากบางเฉียบของเขาและก่อนที่เธอจะได้ทันคิดหาเหตุผลดี ๆ มาตอบคำถามนั้นเขาก็ยกมือของเธอขึ้นมาจูบอย่างรักใคร่ เธอยิ้มให้เขาหากแต่สาปแช่งเขาในใจเมื่อเธอได้ยินเสียงผู้คนอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจดังขึ้นในห้องราวกับสายลมที่ผัดผ่านห้องที่เงียบสงบ
“ใช่ อันที่จริงเราคิดว่าจะรอจนกว่าจะถึงเวลาเหมาะสมที่จะประกาศเรื่องนี้” โอ้ ไม่นะ “แต่ดูเหมือนว่าเรื่องนั้นจะไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วใช่ไหมที่รัก” เขามองมาที่เธอพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์ให้เธอ ขณะที่เธอได้แต่ภาวนาว่าเธอจะมีโอกาสลบรอยยิ้มเย้ยหยันนั้นออกจากปากของเขาและให้เขากินมันซะแทนที่จะต้องยิ้มตอบให้เขาอย่างเสน่หาที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้และบีบแขนของเขาแน่นก่อนที่จะหันกลับไปหาคิงสลีย์
“เราเพิ่งจะหมั้นกันเมื่อเร็ว ๆ นี้ค่ะ” เธอคิดว่าเสียงของเธอต้องสั่นและมันต้องฟังออกว่าเธอโกหกแน่นอน ให้ตายเถอะ เธออยากแค่ให้มันฟังดูยังไงก็ได้นอกไปเสียจากฟังดูราบรื่นและเป็นจริงมากขนาดนี้ คิงสลีย์อ้าปากค้าง คิ้วของเขายกสูงเกือบถึงแนวผมเมื่อเขาจ้องมาที่เธอและลูเซียสอย่างต่ำ ๆ สามนาทีหลังจากนั้น เกิดความเงียบขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสาม
คิงสลีย์กลืนน้ำลายอยู่สองครั้งก่อนจะพยายามส่งรอยยิ้มมาให้พวกเขาและอวยพรเรื่องงานแต่งงานที่กำลังจะมีขึ้น และก็มีผู้คนมากมายเดินเข้ามาตรงที่พวกเขากำลังยืนอยู่เพื่อกล่าวคำอวยพรให้กับคู่แต่งงานที่แปลกประหลาดที่สุด ลูเซียส มัลฟอย กับเฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ และในระหว่างการสนทนากับแขกหลายต่อหลายคนนั้น เฮอร์ไมโอนี่ก็จำเป็นต้องขอตัวออกจากตรงนั้นเมื่อเธอคิดว่าเธอต้องการเวลาสำหรับตั้งสติบ้าง

เฮอร์ไมโอนี่ยืนมองภาพสะท้อนของตัวเองอยู่หน้ากระจก นี่คือสิ่งที่สมควรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ใช่ไหม เธอจะไม่ได้เจอเพื่อน ๆ ที่เธอรู้จักอีกแล้วใช่ไหม หรือเป็นเพราะว่าพวกเขารังเกียจเกินกว่าที่จะมองหน้าเธอได้อีก เธอรู้สึกเหนื่อยล้าราวกับว่าเรี่ยวแรงของเธอนั้นถูกใช้ไปจนไม่เหลือให้เธอส่งรอยยิ้มให้ใครได้อีกแม้แต่เพียงครั้งเดียว
เธอเดินอย่างเงียบเชียบจากห้องน้ำเพื่อกลับไปในงาน เธอต้องการแน่ใจว่าจะไม่มีใครเห็นเธอเข้าขณะที่เธอกำลังมองหาลูเซียส และเธอก็เห็นเขาอยู่ที่มุมหนึ่งของงานกำลังคุยอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งที่ดูมีอายุมากกว่าเขา เมื่อเธอเดินไปหาพวกเขาลูเซียสก็หันมาทางเธอและยื่นมือของเขาให้เธอจับ เธอจับมือของเขาอย่างเต็มใจก่อนจะซบศีรษะของเธอลงบนไหล่ของเขา ถ้ามีใครมองอยู่ล่ะก็มันก็คงดูเหมือนว่าพวกเขากำลังตกหลุมรักซึ่งกันและกันขณะที่ลูเซียสก้มศีรษะของเขาลงมาเพื่อฟังสิ่งที่เธอพูด
“ฉันเกลียดคุณ และคุณต้องชดใช้เรื่องทั้งหมดนี่” เขาหัวเราะเบา ๆ พลางโอบแขนของเขารอบเอวของเธอและดึงร่างของเธอเข้ามาใกล้
“ผมก็เกลียดคุณเหมือนกันที่รัก แต่เราก็รู้อยู่แล้วนี่นาว่าการแต่งงานครั้งนี้จะนำผลประโยชน์อะไรมาให้แก่เราบ้าง”
เธอพึมพำบางอย่างที่ฟังดูสับสนออกมาเมื่อเธอรู้สึกว่าเขากำลังวาดวงกลมเล็ก ๆ บนหลังของเธอด้วยนิ้วของเขาซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกถึงความวาบหวิวที่แล่นผ่านไขสันหลังของเธออีกครั้ง
พระเจ้า เธอเกลียดผู้ชายคนนี้รวมทั้งทุก ๆ อย่างที่เขาทำด้วย แต่ดูเหมือนว่าร่างกายของเธอจะไม่ได้คิดอย่างที่เธอคิดนี่สิ
“ฉันเหนื่อยแล้ว ลูเซียส” เขาก้มลงมองที่เธอ มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเขา
“ตกลงที่รัก สุภาพบุรุษทุกท่าน ผมเกรงว่าเราจะต้องขอตัวก่อน” พ่อมดที่ดูสูงอายุก้มศีรษะให้พวกเขาและเธอก็รู้สึกว่าลูเซียสนำเธอเดินฝ่าฝูงชนออกมาตามมาด้วยจนกระทั่งทั้งสองออกมาด้านนอกที่เงียบสงบ อากาศเย็นยามคำคืนทำให้เฮอร์ไมโอนี่สงบลง
เธอสูดหายใจเข้าไปเต็มปอดเพื่อทดสอบร่างกาย และเธอก็พบว่าเธอผ่านคืนนี้ไปได้แล้ว



*************************************************




 

Create Date : 07 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 7 พฤษภาคม 2555 13:08:20 น.
Counter : 2449 Pageviews.  

My Last Breath : Chapter 2 Understanding




วันต่อมาเฮอร์ไมโอนี่เอาแต่นั่งอยู่ในห้องนอนและคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา เท่าที่เธอรู้ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเธอกำลังจะถูกทดสอบในเกมส์บ้า ๆ ระหว่างความเกลียดชังและความปรารถนานี้ เธอได้เดิมพันชีวิตทั้งชีวิตของเธอกับเกมส์ ๆ นี้ โดยที่เธอไม่รู้เลยว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร แต่เธอแน่ใจอยู่อย่างหนึ่งว่าการเดิมพันที่อันตรายระหว่างเธอกับลูเซียส มัลฟอยในครั้งนี้ จะมีผลที่ตามมาแค่สองอย่างเท่านั้น อย่างแรกคือเธอชนะ อย่างที่สองคือเธอพ่ายแพ้ขณะที่เธอกำลังพยายามจะเอาชนะเขา
เฮอร์ไมโอนี่ตื่นจากห้วงความคิดเมื่อเธอได้ยินเสียงร้องต่ำ ๆ ของนกฮูกดังมาจากทางหน้าต่าง มีนกฮูกตัวใหญ่สีเทาพร้อมกับจดหมายสองฉบับกำลังรอให้เธอเปิดหน้าต่างให้มัน เธอจึงรีบลุกจากเตียงไปเปิดหน้าต่างห้องนอนเพื่อให้มันบินเข้ามา นกตัวนั้นทิ้งจดหมายลงบนเตียงของเธอแล้วก็บินออกไปทางหน้าต่างโดยไม่แม้แต่จะรอจดหมายตอบจากเธอ
จดหมายฉบับแรกถูกปิดผนึกด้วยตราของกระทรวงเธอจึงตัดสินใจเปิดมันออกอ่านก่อน แน่นอนว่าเรื่องของกระทรวงต้องมาก่อนอยู่แล้ว


เรียน คุณ เกรนเจอร์
เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะเชิญคุณไปงานเลี้ยงเต้นรำฤดูหนาวของกระทรวงที่จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 9 ธันวาคมนี้ เราจัดงานครั้งนี้ขึ้นเนื่องในโอกาสที่โลกเวทย์มนตร์ประสบแต่ความสงบสุขมาเป็นปีที่ 5 และเพื่อเฉลิมฉลองปีแห่งความรุ่งเรืองอีกต่อ ๆ ไปในอนาคต
เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณจะมาร่วมงาน

รัฐมนตรีกระทรวงเวทย์มนตร์
คิงสลีย์ ชักเคิล-โบลต์


งานเลี้ยงเต้นรำ เยี่ยม! เป็นอะไรที่เธอต้องการพอดีเลย เธอถอนหายใจพลางคิดหาทางเลี่ยงไม่ไปงานนี้ แฮร์รี่คงไม่ไปร่วมงานแน่ เพราะเขาไม่มาทางทิ้งจินนี่ไปอย่างแน่นอน ส่วนรอนนั้นก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนในตอนนี้ เขาอาจจะไปเล่นควิดดิชอยู่ที่ไหนซักแห่งและพยายามจะอยู่ให้ไกลจากปัญหาทางบ้านของเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทันใดนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็นึกถึงจดหมายฉบับที่สองขึ้นมา เธอจึงหยิบมันขึ้นมาดูแต่หญิงสาวก็ต้องเสียใจกับการกระทำของเธอทีหลัง เพราะจดหมายฉบับนั้นถูกปิดผนึกด้วยตราของตระกูลมัลฟอย
ถ้อยคำที่เขียนอยู่ในจดหมายนั้นดูเย็นชาพอ ๆ กับที่เธอคิดว่ามันควรจะเป็น และมันทำให้เธอรู้สึกถึงความมีอำนาจของเขาที่แสดงออกมาทางจดหมายฉบับนี้


มิสเกรนเจอร์ที่รัก

ผมคิดว่าคุณคงทราบแล้วว่ากระทรวงเวทย์มนตร์ได้ตัดสินใจจัดงานเต้นรำฤดูหนาวอย่างเป็นทางการขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองในปีนี้ ผมแน่ใจว่าคุณคงไปร่วมงานนี้เนื่องจากผมเห็นชื่อของคุณในรายชื่อแขกที่ทางกระทรวงจะเชิญมาร่วมงาน และเราทั้งสองคนจำเป็นต้องปรากฏตัวต่อหน้าสื่อด้วยกันจนกว่าเราจะแต่งงานกัน เพราะฉะนั้นผมคิดว่ามันคงจะน่าประทับใจมากถ้าหากเราจะไปร่วมงานนี้ด้วยกัน

จนกว่าจะได้พบกันอีก
ล.ม.


มือของเธอสั่นเทาเมื่อเธอทิ้งจดหมายลงบนพื้น ทุกคนต้องรู้เรื่องนี้ก่อนจะสิ้นสุดคืนนั้นแน่ ๆ ทุก ๆ คนจะรู้เรื่องที่เธอกำลังจะแต่งงานกับลูเซียส มัลฟอย มันเร็วเกินไปสำหรับเธอ เธอยังได้เริ่มคิดด้วยซ้ำว่าเธอจะบอกทุกคนที่เธอรักอย่างไรในเรื่องนี้
เธอรู้สึกถึงความโกรธแล่นผ่านร่างกายของเธอเมื่อเธอเข้าใจว่าเขาทำแบบนี้ก็เพราะอะไร เพราะเขารู้เรื่องทุกอย่างดี เขารู้ว่าเธอยังไม่ได้บอกเพื่อน ๆ ของเธอในเรื่องนี้ และเธอก็ไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ จะไปบอกพวกเขาเกี่ยวกับการหมั้นอย่างกระทันหันในครั้งนี้ด้วย และเธอสามารถบอกได้จากถ้อยคำเย็นชาในจดหมายเลยว่าเขากำลังนับเวลารอให้หายนะเกิดขึ้นกับเธอถ้าหากเรื่องที่เธอกับเขากำลังจะแต่งงานกันแพร่ออกไป
โอกาสเดียวที่เธอมีสำหรับเรื่องนี้คือเธอต้องเอาชนะเขา เธอต้องบอกเรื่องนี้กับเพื่อน ๆ ของเธอเสียก่อน ทั้ง ๆ ที่เธอก็ไม่แน่ใจว่าเธอจะสามารถทำได้ เธอไม่แน่ใจว่าเธอจะสามารถเอาชนะเขาได้ จินนี่จะไม่มีวันเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นแน่ถ้าหากเฮอร์ไมโอนี่ไม่ได้เล่าความจริงทั้งหมดให้เธอฟัง แต่ในขณะเดียวกับหญิงสาวก็ไม่สามารถบอกความจริงที่ว่ากับแฮร์รี่ได้ เช่นเดียวกับที่เธอไม่สามารถบอกมันให้ครอบครัววีสลัย์ที่เหลือ ยกเว้นจินนี่และก็มอลลี่ฟังได้ ที่สำคัญเธอก็ไม่รู้เลยว่าจะอธิบายกับพวกเขาอย่างไรเกี่ยวกับงานแต่งงานที่กำลังจะมีขึ้น เพราะถ้าเธอไม่บอกความจริงกับพวกเขา เธอก็จะไม่มีเหตุผลพอที่จะอธิบายว่าทำไมเธอจึงแต่งงานกับลูเซียส มัลฟอย


.................................................


“แฮร์รี่ ได้โปรดเถอะ! เธอก็รู้นี่นาว่าฉันเดินได้ แล้วฉันก็สบายดีแล้วด้วย ปล่อยฉันลงเถอะอย่างน้อยก็ให้ฉันเดินในบ้านตัวเองบ้าง”
“เธอแน่ใจเหรอ ก็ก่อนหน้านี้เธอบอกว่าเธอเวียนหัวนี่....”
“แฮร์รี่ พอทีเถอะ ฉันดีขึ้นจนผู้บำบัดอนุญาตให้กลับบ้านแล้วนะ แล้วฉันก็สบายดีพอที่จะเดินได้เองและดูแลตัวเองได้โดยไม่ต้องมีเธอมาตามเฝ้าฉันทุกฝีก้าวหรอก” จินนี่เริ่มอารมณ์เสียอีกครั้ง แต่เธอพยายามที่จะใจเย็นลงเมื่อเธอเห็นความห่วงใยที่แสดงมาทางสีหน้าของเขา
แน่นอนว่าแฮร์รี่ไม่ได้แค่เป็นห่วงเธออย่างเดียวเท่านั้น แต่เขายังกลัวว่าเขาจะต้องสูญเสียเธออย่างที่เขาเกือบจะต้องเสียเธอไปในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ด้วย แต่เขาก็ต้องขอบคุณคนที่บริจาคเงินมาให้ ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม เพราะหลังจากที่จินนี่ได้รับการรักษาเป็นเวลาไม่เกินสี่วันเธอก็ดีขึ้นมากจนได้รับอนุญาตให้กลับมาบ้านได้
มือของเธอสัมผัสแก้มของเขาเบา ๆ และมองเขาด้วยแววตาที่อ่อนลง
“ฉันขอโทษ แฮร์รี่ ฉันคิดว่าฉันใจร้อนเกินไปในขณะที่เธอเองก็ใจเย็นเกินไปเหมือนกัน เมื่อเป็นอย่างนี้เราทั้งสองคนน่าจะมาพบกันคนละครึ่งทางดีกว่ามั๊ย” เขาผงกศีรษะอย่างตกลงก่อนที่ทั้งสองจะก้าวเข้าไปในบ้านของพวกเขาเพื่อพบกับครอบครัววีสลีย์ที่เหลือ
หลังจากการผ่านจูบต้อนรับ การกอด และการจูบอีกมากมายทั้งสองก็มีโอกาสพักหายใจและบอกครอบครัวที่เหลือเกี่ยวกับผู้บริจาคที่แสนจะมีน้ำใจคนนั้น รวมทั้งเรื่องที่แฮร์รี่สามารถเข้ารับการอบรมมือปราบมารต่อได้แล้ว
อาเธอร์ให้คำมั่นทั้งน้ำตาว่าเขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าผู้บริจาคคนนั้นเป็นใครเพื่อที่จะขอบคุณเขา แม้ว่าเขาจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิตของเขาเพื่อตามหาคน ๆ นั้นก็ตาม ขณะที่ครอบครัวที่เหลือของเขาก็เห็นด้วยกับที่อาเธอร์พูด เพราะพวกเขาคิดว่าพวกเขาคงจะหาตัวผู้บริจาคคนนั้นได้ไม่ยากนัก มันจะเป็นการยากเย็นอะไรกับการหาตัวคนที่บริจาคเงินคนนั้นจริงไหม พวกเขาคิดเช่นนั้น
ก่อนหน้านี้ไม่มีใครในครอบครัวที่รู้เรื่องอาการป่วยที่แท้จริงของจินนี่นัก เช่นเดียวกับที่พวกเขาไม่รู้ว่าต้องใช้เงินมากแค่ไหนในการรักษาเธอ แต่ก็น่าแปลกใจเหลือเกินที่พวกเขาเหล่านั้นรู้เรื่องเหล่านี้ได้ในเวลาอันรวดเร็วหลังจากที่จินนี่กลับมาบ้านหลังจากผ่านการเข้ารักษาตัวเป็นเวลาสี่วัน แต่เธอก็ต้องทานยาวันละสามเวลาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหนึ่งถึงสองปีเธอถึงจะหายขาดจากอาการป่วยนี้ แต่ถึงอย่างนั้นในตอนนี้เธอก็สบายดีและสามารถกลับมาบ้านได้แล้ว
ท่ามกลางครอบครัวของเธอ จินนี่สังเกตว่ามีคน ๆ หนึ่งไม่ได้อยู่ในงานเลี้ยงต้อนรับเธอกลับบ้าน และคน ๆ นั้นก็คือเฮอร์ไมโอนี่ เพื่อนสนิทของเธอ เธอไปอยู่เสียที่ไหนล่ะ? จินนี่กวาดสายตามองไปรอบห้องอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เฮอร์ไมโอนี่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเธอแล้วในตอนนั้น แล้วเธอก็ควรจะอยู่ที่นี่สิ แน่นอนว่าหญิงสาวต้องคิดถึงจินนี่จนอยากมาเจอเธออย่างแน่นอน
แต่เมื่อจินนี่ไม่สามารถหาเฮอร์ไมโอนี่พบ เธอจึงนั่งลงบนเก้าอี้ คิ้วของเธอขมวดเข้าหากันเพราะเธอกำลังใช้ความคิด แต่ก็ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าหญิงสาวผมแดงไม่ได้ร่วมวงสนทนากับพวกเขาแล้วในตอนนี้ แต่เธอกลับนั่งนิ่งจนน่าแปลกใจอยู่บนเก้าอี้ และจู่ ๆ ดวงตาของจินนี่ก็เบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจ
‘ ไม่ เธอต้องไม่ทำแบบนั้น………เธอทำแบบนั้นไม่ได้ ฉันต้องไปตามหาเธอ ’ จินนี่คิด

…………………………………………………………….

ราวกับมีหมอกอยู่ในหัวสมองของเธอมาเป็นเวลาตลอดทั้งสัปดาห์ เธอนอนไม่หลับแน่นั่นเป็นสาเหตุทำให้เธอไม่มีสมาธิในการทำงานและหงุดหงิดอยู่ตลอดเวลา และเพราะเธอมัวแต่กังวลเรื่องงานเลี้ยงเต้นรำที่จะมีขึ้นเร็ว ๆ นี้มันเลยทำให้เธอไปงานเลี้ยงต้อนรับจินนี่กลับบ้านสายอย่างไม่น่าให้อภัย
เมื่อเฮอร์ไมโอนี่ไปถึงบ้านของจินนี่กับแฮร์รี่เธอก็สายจากเวลานัดไปสองชั่วโมงแล้ว เธอถอนหายใจอย่างหนักก่อนจะก้าวเข้าไปในบ้านและทันใดนั้นเองเธอก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากครอบครัววีสลีย์ แฮร์รี่เดินเข้ามาหาเธอทันทีและกอดเธออย่างแรง
“ทำไมมาช้านักล่ะ เธอเกือบจะพลาดงานนี้ไปเชียวนะ!”
“โทษที ฉันติดงานน่ะ” เธอแก้ตัว ก่อนจะมองไปรอบ ๆ เพื่อหาเพื่อนรักของเธอท่ามกลางกลุ่มคนผมแดง และเฮอร์ไมโอนี่ก็พบเธอนั่งอยู่ตรงมุมโต๊ะ ใบหน้าของเธอดูซีดเล็กน้อย
หญิงสาวรีบเดินไปหาเธอ แต่เมื่อเฮอร์ไมโอนี่เดินเข้าไปใกล้เธอก็พบว่ามีแววน่ากลัวปรากฏอยู่บนใบหน้าของจินนี่ เธอจึงเลื่อนเก้าอี้ออกและนั่งลงข้าง ๆ หล่อน
“จินนี่ เธอเป็นอะไรรึเปล่า” สายตาของจินนี่ตวัดขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงของเธอ และในวินาทีต่อมาหล่อนก็คว้ามือของเฮอร์ไมโอนี่ขึ้นมาและพาตัวหญิงสาวออกไปนอกห้องเพื่อที่จะไม่มีใครได้ยินสิ่งที่พวกเธอจะพูดกัน
“มันจริงหรือเปล่า” สายตาของหล่อนแผดเผาเฮอร์ไมโอนี่จนเธอต้องหลบตาจินนี่ เธอสามารถมองเห็นได้จากดวงตาของหญิงสาวว่าหล่อนรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว จินนี่รู้เรื่องทั้งหมดก่อนที่เธอจะได้บอกหล่อนไป ดังนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงที่ไม่อาจจะโกหกได้อีกต่อไปจึงผงกศีรษะอย่างรวดเร็ว
“ใช่ แต่แฮร์รี่ต้องไม่รู้เรื่องนี้นะ และเธอต้องเชื่อฉันนะจินนี่ว่าฉันกำลังจะบอกเธอถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ดูเหมือนว่าเธอจะเดามันออกเสียก่อน” ดวงตาของจินนี่เริ่มรื้นด้วยน้ำตา เธอส่ายศีรษะเบา ๆ
“เฮอร์ไมโอนี่ เธอไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลย”
“จินนี่ ฉัน.....”
“ไม่ ฟังให้จบก่อน เธอไม่ควรทำขนาดนั้นเลย และฉันก็รู้สึกว่ามันวิเศษมากในสิ่งที่เธอได้ทำลงไป อย่างแรกเพราะเธอได้ช่วยชีวิตฉันรวมทั้งลูกในท้องของฉันไว้ อย่างที่สองฉันรู้สึกโชคดีเหลือเกินที่มีเธอเป็นทั้งเพื่อนและพี่สาวของฉัน ขอบคุณมาก เฮอร์ไมโอนี่” เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มให้เธอ และรู้สึกว่าที่จินนี่พูดมานั้นถูกต้อง เพียงแต่คนอื่นจะคิดแบบเดียวกับจินนี่หรือเปล่านี่สิ
“เขาจะเป็นคู่ควงไปงานเลี้ยงเต้นรำของกระทรวงกับฉัน จินนี่ และการหมั้นของเราก็จะถูกประกาศขึ้นที่นั่น ฉันไม่รู้เลยว่าจะบอกคนอื่น ๆ ที่เหลือว่ายังไง” คิ้วของจินนี่ขมวดเป็นปมเมื่อเธอต้องให้ความคิดอย่างหนักเกี่ยวกับเรื่องที่เฮอร์ไมโอนี่พูด
“แล้วเธอมีข้ออ้างอื่นที่จะแต่งงานกับมัลฟอยไหมล่ะ”
“ไม่ ฉันหาข้ออ้างไม่ได้เลยซักข้อเลย”
“ไม่เป็นไร ระหว่างนี้ปล่อยให้ฉันจัดการกับพวกเขาเอง เพราะยังไงมันก็เป็นสิทธิ์ส่วนตัวของเธอที่จะแต่งงานกับใครก็ได้ แต่ฉันก็หวังว่า[i]เรา[/i]น่าจะหาข้ออ้างได้ซักข้อนะ”
“เรางั้นเหรอ งั้นก็หมายความว่าเธอรับได้กับเรื่องทั้งหมดนี้ใช่ไหม” จินนี่หัวเราะเบา ๆ แต่ก็ส่ายหัว
“ไม่ ไม่ถึงกับรับได้เท่าไหร่หรอก แต่ฉันก็จะช่วยเธอ และฉันจะคอยอยู่ข้างเธอเสมอเวลาที่เธอต้องการฉัน” จินนี่กอดเธออย่างแน่นหนาก่อนจะยิ้มให้เธอ
“มาเถอะ ฉันว่าแฮร์รี่ต้องหัวใจวายไปแล้วแน่เลยถ้าเขารู้ว่าฉันหายไปน่ะ”
เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกอุ่นใจขึ้นเมื่อเธอเดินกลับเข้าไปในบ้าน เพราะเธอรู้ว่าอย่างน้อยก็มีจินนี่ที่จะอยู่เคียงข้างเธอไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น


*************************************************




 

Create Date : 07 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 7 พฤษภาคม 2555 13:06:25 น.
Counter : 1102 Pageviews.  

My Last Breath : Chapter 1 Deal with the Devil

My Last Breath
by Angelique Rose
Translated by piksi



ฟิคเรื่องนี้เป็นคู่ Lucius/Hermione นะคะ ใครไม่ชอบอย่าอ่านนะคะ ขอบคุณค่ะ


Summary : Hermione made the deal with Lucius, She was going to marry him for his help to someone she’s care. They both weren’t love each others, There is said to be passion in hate...



Chapter 1 : Deal with the Devil

เธอเดินตามเอลฟ์ประจำบ้านตัวหนึ่งไปอย่างเงียบเชียบ ผ่านห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ห้องหนึ่งของคฤหาสน์ที่โอ่โถงแห่งนี้ รองเท้าส้นสูงของเธอกระทบกับพื้นไม้เมเปิลเป็นเสียงดังคลิ๊ก ๆ ผมหยักศกนุ่มสลวยราวกับแพรไหมของเธอแผ่สยายอยู่ด้านหลัง เขามองเธอพร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัยและปล่อยให้สายตาของเขามองสำรวจร่างเธอ เธอไม่ได้เป็นแค่เด็กสาวตัวเล็ก ๆ อีกต่อไป ตอนนี้เธอได้เติบโตเป็นผู้หญิงเต็มตัวแล้ว
จากการมองแวบแรก เขาบอกได้เลยว่าเธอสง่างาม ทุกท่วงท่าของเธอนั้นช่างเปี่ยมสเน่ห์ราวกับเธอตั้งใจให้มันเป็นอย่างนั้นตั้งแต่แรก สีหน้าของเธอบ่งบอกได้ถึงความมุ่งมั่น ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยอารมณ์ขณะที่เธอนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับเขา เธอรับแก้วไวน์ที่เอลฟ์ยื่นให้ เขามองเธออย่างคาดหวังว่าเธอจะอธิบายเกี่ยวกับการมาเยือนของเธอในยามดึกแบบนี้
เธอเริ่มจิบไวน์ เปลี่ยนมานั่งไขว่ห้างและในที่สุดก็หันมาสบตาเขา
“คุณมัลฟอย ขอบคุณมากนะคะที่ยอมพบฉัน ฉันรู้ดีค่ะว่ามันดึกมากแล้ว แต่ฉันเกรงว่าฉันจะรอต่อไปไม่ได้แล้ว อีกอย่าง ฉันคิดว่าฉันควรจะคุยกับคุณเป็นการส่วนตัวมากกว่า” เขาเลิกคิ้วข้างหนึ่ง จิบไวน์ไปอึกหนึ่งแล้วจึงตอบเธอ
“อย่างนั้นหรือ คุณเกรนเจอร์ ถ้าคุณไม่ว่าอะไรผมก็จะขอถามนะว่า คุณมีเรื่องสำคัญเร่งด่วนอะไรถึงขนาดต้องมาขอพบผมกลางดึกแบบนี้ ที่คฤหาสน์ของผม ผมมีห้องทำงานส่วนตัวอยู่ที่กระทรวงเวทย์มนตร์และผมก็แน่ใจว่าคุณรู้เรื่องนั้น”
“ใช่ค่ะ ฉันรู้ แต่ฉันก็ยืนยันว่าฉันอยากคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว กำแพงมีหู แล้วเลขาของคุณก็เป็นพวกช่างเม้าท์เสียด้วย” เขายิ้มหยัน ๆ ใส่เธอ
“ผมไม่นึกว่าคุณจะเป็นคนหวาดระแวงขนาดนี้ คุณเกรนเจอร์” เธอมองเขาด้วยสายตาน่ากลัว ก่อนจะยืดกายขึ้น เธอทำท่าเหมือนกับเธอกำลังพูดอยู่กับกำแพงข้างหลังเขา
“ฉันกำลังอยู่ในภาวะนี้ค่ะ คุณมัลฟอย ฉันอยากจะให้บทสนทนานี้เกิดขึ้นอย่างเป็นส่วนตัว ฉันไม่ต้องการให้คนทั้งกระทรวงรู้เรื่องที่เราคุยกันเสียก่อนที่เราทั้งสองฝ่ายจะเข้าใจกัน”
“แล้วเรื่องอะไรที่เราจะต้องเข้าใจล่ะ ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณมาที่นี่ทำไม”

สายตาของเธอกับเขาสบกัน เขาสามารถเห็นแม้กระทั่งแววดิ้นรนในดวงตากลมโตสีทองคู่นั้นก่อนที่เธอจะละสายตาจากเขาไปยังผนังที่มีรูปภรรยาและลูกชายของเขาแขวนอยู่
“มันคงแย่มากสำหรับคุณในการสูญเสียครอบครัวที่ใกล้ชิดไป และมันคงยากที่จะต้องดำเนินชีวิตต่อไป ใช่ไหมคะ คุณมัลฟอย”
เขาขยับตัวอย่างกระอักกระอ่วนในสิ่งที่เธอพูดถึงพลางจ้องไปยังแก้วไวน์ในมือ
“ขอโทษด้วยคุณเกรนเจอร์ แต่ผมคิดว่าคุณเข้าใจผิดที่เห็นผมเป็นคนอ่อนแอจนไม่สามารถลืมเรื่องอดีตได้” เขายกแก้วไวน์ขึ้นจิบขณะที่มองเธอด้วยสายตาเยือกเย็น มีแววหวาดหวั่นในดวงตาของเธอขณะที่เธอจ้องเขาตอบ
“ไม่ใช่ค่ะ ฉันไม่ได้เข้าใจผิด ฉันรู้เรื่องของคุณมาบ้าง อย่างไรก็ตามมันก็ไม่ใช่เหตุผลที่ฉันมาที่นี่ในคืนนี้ ฉันมีบางอย่างมาเสนอคุณ มันเป็นข้อตกลง ถ้าคุณสนใจที่จะฟังมัน” เขายิ้มอย่างชั่วร้ายและเอนหลังลงพิงเก้าอี้
อย่างนี้สิมันถึงน่าสนใจหน่อย
“แล้วข้อเสนอที่ว่านั่นล่ะ”
“จินนี่ วีสลีย์กำลังป่วยหนัก เธออาจมีอันตรายถึงชีวิตได้”
“ผมเสียใจกับมิสวีสลีย์ด้วย แล้ว.......”
“เธอกำลังตั้งครรถ์ ถ้าหากเธอเป็นอะไรไป แฮร์รี่รวมถึงลูกของเขาก็จะ...... และฉันก็จะไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้นเป็นอันขาด ฉันจะไม่ยอมสูญเสียคนที่เป็นเหมือนพี่ชายและน้องสาวของฉันไป พวกเขาเป็นครอบครัวของฉันมาตั้งแต่พ่อแม่ของฉันถูกฆ่าตายในสงคราม ฉันพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อช่วยเธอและลูกในท้องของเธอ” เขาจ้องเธอ ราวกับเขาไม่เชื่อว่าเธอกำลังเล่าเรื่องโศกนาฏกรรมชีวิตของเธออยู่
“ขอโทษด้วย มิสเกรนเจอร์ แต่ผมยังไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้มันสำคัญกับผมตรงไหน”
“ฉันอยากให้คุณช่วยเธอ พวกเขาไม่มีเงินพอจะมาจ่ายค่ารักษาให้เธอ เธอต้องได้รับการรักษาและตรวจสอบว่าเธอป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่ พวกเขากำลังแย่ ค่าเข้าอบรมมือปราบมารของแฮร์รี่ก็เป็นเงินไม่ใช่น้อย และถ้าเขาจ่ายเงินเพื่อรักษาจินนี่ เขาก็จะไม่มีเงินพอสำหรับค่าอบรม”
“งั้นคุณก็เลยจะให้ผมจ่ายค่ารักษาให้มิสวีสลีย์ เพื่อให้มิสเตอร์พอตเตอร์ผ่านการอบรมมือปราบมารแต่โดยดีและช่วยพวกเขาจากปัญหาทางการเงิน ผมพูดถูกไหม” เสียงของเธอฟังดูอ่อนแรงเมื่อเธอตอบกลับมา
“ใช่ค่ะ”

เขามองใบหน้าของเธออย่างพอใจ ก่อนจะสบตาเธอ
“แล้วทำไมผมต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะ เท่าที่เห็นผมก็ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับเรื่องนี้ และอย่างที่ผมได้พูดไว้แล้ว เรื่องนี้มันไม่สำคัญกับผมเลยแม้แต่นิดเดียว”
“ภรรยาและลูกชายของคุณตายตอนที่สงครามจบลง พูดอีกอย่างก็คือ คุณไม่มีทายาทของตระกูลมัลฟอยอีกต่อไป สำหรับการจ่ายค่ารักษาจินนี่ ฉันจะให้ร่างกายของฉัน หัวใจของฉัน และชีวิตฉันกับคุณ รวมทั้งทายาทของตระกูลมัลฟอยด้วย แล้วถ้าคุณแต่งงานกับฉัน ชื่อตระกูลมัลฟอยก็จะพ้นมลทิน”
สิ่งที่เธอพูดออกมาทำให้เขายิ้ม เธอเป็นแม่มดที่ฉลาดที่สุดในรุ่นของเธอจริง ๆ เขาลูบแก้วในมือพลางใช้ความคิด ถูกของเธอที่รู้ว่าเขาต้องการทายาทของตระกูลมัลฟอยตั้งแต่เดรโกตายไประหว่างสงคราม และการแต่งงานของเธอก็จะนำประโยชน์มาให้กับตระกูลมัลฟอย
“คุณพูดได้ถูกต้อง คุณเกรนเจอร์ แต่ผมจะแน่ใจได้อย่างไรว่าคุณจะมีลูกให้ผมได้”
เธอจ้องเขากลับ สีหน้าโกรธเคืองอย่างเห็นได้ชัด แต่น้ำเสียงของเธอกลับฟังดูเยือกเย็นเมื่อเธอเอ่ยขึ้นมา
“ฉันจะทำทุกทางจนกว่าจะมีสายเลือดตระกูลมัลฟอยให้คุณได้ แม้ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตของฉันก็ตาม”
เขาพยักหน้าในเชิงตกลงก่อนจะยืนขึ้น เขาเดินไปหาเธอ คว้ามือเธอขึ้นมาด้วยมือของเขาและดึงเธอลุกขึ้นจากเก้าอี้ ดวงตาของเธอเบิกกว้างอย่างตกใจกับการกระทำของเขา
“ถ้าอย่างนั้น.......” เขาจูบมือเธอ ยิ้มให้เธออย่างมีเลศนัย “ผมแน่ใจว่าการหมั้นของเราจะมีขึ้นอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และคุณก็จะได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลสำหรับมิสวีสลีย์”


.................................................


เมื่อเขาจูบมือเธอ เธอรู้สึกหนาวเย็นไปจนถึงกระดูกสันหลัง เธอหลับตาลงครู่หนึ่ง มันต้องเป็นแบบนี้อยู่แล้ว เธอเพิ่งทำสัญญากับปีศาจอย่างเขาไปเพื่อรักษาชีวิตคนที่เธอรักเอาไว้
เขาหมุนตัว แล้วเดินไปยังโต๊ะไม้สีเข้มขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ริมหน้าต่าง เธอมองตามเขาทุก ๆ ย่างก้าวและทุกการเคลื่อนไหว เขาหยิบกระดาษขึ้นมาและเริ่มเขียนอะไรบางอย่างลงบนนั้น ก่อนจะกลับมาสนใจเธออีกครั้ง เธอเงยหน้าขึ้นและสบกับดวงตาเยือกเย็นของเขา รู้สึกราวกับเธอถูกจับโยนลงไปในถังน้ำแข็ง
“ผมแน่ใจว่าพวกเขาจะได้รับเงินในตอนเช้า แล้วมิสวีสลีย์ก็จะได้รับการรักษาอย่างดีที่สุดเท่าที่โรงพยาบาลจะมีให้เธอได้” เธอผงกศีรษะ วางแก้วในมือลงและเตรียมตัวจะกลับ เธอคิดว่าเธออยู่ที่นี่นานมากแล้ว แต่อย่างไรก็ตามเธอควรจะต้องทำตัวให้ชินกับที่นี่เอาไว้
“ขอบคุณมากค่ะ คุณมัลฟอย” เขาโบกมืออย่างไม่ใส่ใจก่อนจะเข้ามายืนข้างเธอ
“ไม่ใช่.....ตอนนี้เรากำลังจะแต่งงานกันแล้ว คุณควรเรียกผมว่า...ลูเซียส...ที่รัก” เธอมองเขาตอบ รู้สึกฝืนตัวเองเป็นอย่างมากก่อนที่จะพูดออกไป
“ได้ค่ะ ขอบคุณ ลูเซียส ฉันเชื่อว่าเราคงได้พบกันในอีกไม่ช้า”
“แน่นอน เราต้องได้พบกันแน่ เฮอร์ไมโอนี่” เธอตัวสั่นเมื่อได้ยินชื่อเธอออกมาจากปากของเขา


................................................


โรงพยาบาลนั้นเต็มไปด้วยเสียงอื้ออึงตลอดเวลา เสียงคนหัวเราะ เสียงคนร้องไห้ เสียงคนกรีดร้อง เธอไม่ต้องการยืนฟังเสียงพวกนั้นนานเท่าไหร่นักเธอจึงรีบเดินไปยังปีกที่จินนี่รักษาตัวอยู่ แฮร์รี่ส่งจดหมายมาหาเธอในตอนเช้า เขาบอกให้เธอมาที่โรงพยาบาลโดยด่วน แฮร์รี่ไม่ได้บอกอะไรเธอไปมากกว่านั้น เขาไม่ได้อธิบายกับเธอว่าเกิดอะไรขึ้น มันทำให้เธอกังวลจนแทบบ้า

หรือว่ามันสายไปแล้ว หรือว่าเธอเป็นอะไรไปแล้ว

เธอเดินไปข้างหน้าอย่างรีบร้อน ผลักประตูห้องของจินนี่ออก สิ่งแรกที่เธอเห็นคือภาพของชายหนุ่มผมดำคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย เขาดูซีดเซียว หนวดรกครึ้มและดวงตาบวม เขาหันมามองทันทีที่ประตูเปิดขึ้น และเมื่อเขาเห็นเธอ เขาก็ยิ้มขึ้นเป็นครั้งแรกของเดือนที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังนี้ รอยยิ้มนั้นทำให้ดวงตาสีเขียวของเขาดูสดใสขึ้น มันเริ่มดูมีประกายขึ้นอีกครั้ง เขาเดินเข้ามาหาเธออย่างเงียบ ๆ พาเธอออกไปจากห้องและกอดเธออย่างแรงจนเธอรู้สึกเจ็บซี่โครง
“แฮร์รี่ อะไรกัน”
“เธอนอนหลับอยู่ เธอไม่เป็นไร และเธอจะต้องไม่เป็นไร เฮอร์ไมโอนี่ มีคนบริจาคเงินก้อนใหญ่มา โรงพยาบาลบอกว่าพวกเขาสามารถดำเนินการรักษาได้ทันทีที่เธอตื่นขึ้นมา”
เธอรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ เธอเลยแกล้งยิ้มแทน
“นั่นมัน....วิเศษมากเลยแฮร์รี่!”
“ใช่ วิเศษมาก ฉันสงสัยจังว่าใครกันที่บริจาคเงินก้อนใหญ่ขนาดนั้น ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม ฉันอยากจะขอบคุณเขาซักครั้งที่เขาช่วยชีวิตจินนี่”
“ใช่ ฉันเดาไม่ถูกเลยว่าเป็นใคร” เธอมองไปที่กระดุมเสื้อของเขาแทนเวลาที่พูด แต่หัวใจของเธอยังคงเต้นแรงอยู่
“ฉันพยายามถามผู้บำบัดแล้วแต่พวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน คนที่บริจาคเงินไม่ประสงค์จะบอกชื่อ” เขายังคงพูดถึงเงินที่เพิ่งได้รับและผู้บริจาคปริศนานั่น แต่เธอกลับไม่ได้ยินเขาเลยแม้แต่น้อย

อย่างน้อยลูเซียสก็ฉลาดพอที่จะไม่บอกชื่อของตนเอง แล้วพวกเขาก็จะไม่ต้องรู้เหตุผลที่แท้จริงที่เธอแต่งงานเข้าตระกูลมัลฟอย




*************************************************




 

Create Date : 03 มิถุนายน 2553    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2555 9:55:50 น.
Counter : 1959 Pageviews.  


piksi
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 95 คน [?]




สวัสดีค่ะ เรา piksi นะคะ เรียกสั้น ๆ ว่าพิกก็ได้ค่ะ เราเป็นแฟนแฮร์รี่ พอตเตอร์คนหนึ่งที่ชื่นชอบคู่ D/Hr มากเลยค่ะ รวมทั้งรัก Tom Felton สุดหัวใจ >-< ใครที่ชอบคู่นี้และชื่นชอบทอมเหมือนกัน เค้ามาคุยกันนะคะ
Friends' blogs
[Add piksi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.