Group Blog
 
All Blogs
 

รักต้องห้ามภาค 2 : Chapter 11 Harry is injured

คุยกันก่อนอ่านนะคะ

เอาตอนที่ 11 มาลงให้แล้วนะคะ ไม่รู้ว่านักอ่านจะยังอยู่กันไหม พิกขอโทษนะคะที่หายไปนาน ขอโทษจริง ๆ ค่ะ แต่ตอนนี้กลับมาแล้วนะคะ แล้วสัญญาว่าจะพยายามอัพฟิคทุกเรื่องให้จบค่ะ อ้อ ส่วนเรื่องรักต้องห้าม ภาค 2 นี้แม้ว่าจะอ้างอิงมาจากหนังสือเล่ม 6 ก็ตามนะคะ แต่ว่าเนื้อความก็ไม่ได้เหมือนกับในหนังสือเปะ ๆ นะคะ พิกหมายความว่าบางฉากที่มีในหนังสือเช่นฉากที่แฮร์รี่ รอน เฮอร์ไมโอนี่คุยกันพิกมีการดัดแปลงคำพูดและสถาณกรณ์บ้างเล็กน้อยนะคะ เพื่อจะได้ไม่ดูเหมือนลอกหนังสือมาทั้งหมด ขอให้สนุกกับการอ่านนะคะ



เฮอร์ไมโอนี่กลับไปที่ตู้ของเธอในเวลาต่อมาและพบว่ารอนกลับมาที่ตู้แล้ว เขากำลังนั่งอยู่ที่เบาะข้างแฮร์รี่ ขณะที่เนวิลล์กับลูน่านั่งอยู่บนที่นั่งฝั่งตรงข้าม
“เธอกลับมาช้าจัง ไปเดินตรวจถึงไหนมาน่ะ” รอนถามเธอขณะที่ในมือกำลังกำเยลลี่เม็ดทุกรสอยู่
“ฉันไปแถวท้ายขบวนมาด้วยน่ะ” เด็กสาวหลบตาเพื่อนรักขณะตอบ
“แล้วเธอเจอมัลฟอยบ้างไหม” แฮร์รี่ถามขึ้น เฮอร์ไมโอนี่เงยหน้าขึ้นมองเขา
“เธอว่าอะไรนะ”
“ฉันถามว่าเธอเจอมัลฟอยบ้างไหม ก็เขาน่าจะอยู่ที่ตู้ท้ายขบวนนี่นา อีกอย่างฉันได้ยินจากรอนมาว่าเขาไม่ได้ไปที่ตู้พรีเฟ็ค” เด็กหนุ่มผมดำอธิบาย ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่จ้องเขาด้วยสายตาที่เกือบจะเรียกได้ว่าเอือมระอา
“นี่เธอยังไม่เลิกคิดอีกเหรอว่ามัลฟอยเป็นผู้เสพความตายน่ะ ฉันคิดว่าเธอหมกมุ่นเรื่องของเขาเกินเหตุแล้วนะแฮร์รี่” เด็กสาวพูดเสียงแหลม เธอพยายามทำท่าทีจริงจังเพื่อกลบอาการประหม่าของตัวเอง และเมื่อดูจากท่าทีของแฮร์รี่แล้วเฮอร์ไมโอนี่แน่ใจว่าเขาไม่รู้สักนิดว่าเธอมีเรื่องปิดบังเขาอยู่
“ฉันไม่ได้หมกมุ่นนะ เฮอร์ไมโอนี่ ฉันแค่......” แฮร์รี่ตั้งท่าจะอธิบาย แต่ประตูตู้ของพวกเขาก็เปิดออกเสียก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น แล้วที่ยืนอยู่ตรงหน้าตู้ของพวกเขาก็คือเด็กหญิงคนหนึ่งที่เฮอร์ไมโอนี่จำได้ว่าเธออยู่ปีสาม เธอสีผมสีบลอนด์เข้มและมีท่าทีประหม่า
“ฉันต้องส่งนี่ให้เนวิลล์ ลองบัตท่อมกับแฮร์รี่ พอตเตอร์ค่ะ” เธอพูดพร้อมกับหอบหายใจและยื่นจดหมายที่มีริบบิ้นสีม่วงผูกอยู่จำนวนสองม้วนมาให้เพื่อนของเธอ แฮร์รี่และเนวิลล์รับมันมาอย่างงุนงง และเมื่อพวกเขาแกะมันออกเขาก็พบว่ามันเป็นบัตรเชิญจากศาสตราจารย์ซลักฮอร์น อาจารย์ใหม่ที่แฮร์รี่เคยเล่าให้เธอฟัง
หลังจากผ่านช่วงเวลาที่งุนงงไปแล้ว แฮร์รี่และเนวิลล์ก็ตัดสินใจไปตามคำเชิญนั้น แต่ก่อนที่ทั้งสองจะออกไปจากตู้รถไฟ เด็กหนุ่มผมดำก็นึกขึ้นได้และหันกลับมาหยิบผ้าคลุมล่องหนไปด้วย
“เธอจะทำอะไรน่ะ แฮร์รี่” เฮอร์ไมโอนี่ถามเสียงเข้ม เมื่อเห็นเพื่อนรักซุกผ้าคลุมล่องหนไว้ในเสื้อคลุม
“ฉันจะเอาผ้าคลุมล่องหนไปด้วย เผื่อฉันจะได้เห็นมัลฟอยตอนที่เดินผ่าน ดูว่าเขาทำอะไรอยู่” แฮร์รี่ตอบตามตรง
“เธอจะไปสอดแนมเขาเหรอ เธอยังไม่เลิกคิดอีกเหรอว่าเขาอาจเป็นผู้เสพความตายน่ะ” เด็กสาวพูดเสียงแหลม ในใจของเธออยากจะตะโกนบอกเขาเหลือเกินว่าเขาไม่ได้เป็นอย่างที่แฮร์รี่คิด เพราะเธอเห็นแขนซ้ายของเขามาแล้วกับตา และมันก็ปราศจากตรามาร แต่เธอรู้ดีว่าเธอไม่อาจพูดอะไรเช่นนั้นออกไปได้
“ฉันเชื่อในสิ่งที่เห็น และฉันคิดว่ามันเป็นไปได้ที่มัลฟอยจะเป็นผู้เสพความตาย” แฮร์รี่พูดอย่างหนักแน่น
“ฉันว่าเธอคิดไปเองทั้งนั้น แฮร์รี่ เธอแน่ใจว่าเขาเป็นผู้เสพความตาย แล้วเธอมีอะไรที่พิสูจน์ไหมว่าเขาเป็น หรือว่าเธอจะเอาผ้าคลุมล่องหนนี่ไปแอบดูตรามารตรงแขนเขางั้นเหรอ” เธอพูดออกไปก่อนที่จะทันได้คิด แฮร์รี่มองเธออย่างไม่พอใจ
“ฉันจะทำทุกอย่างที่ฉันทำได้เพื่อพิสูจน์เรื่องนี้ อีกอย่างเธอแน่ใจได้ยังไงว่าเขาไม่ได้เป็นผู้เสพความตายแทนพ่อของเขาน่ะ เธอเคยเห็นแขนของเขาแล้วหรือไง” เด็กหนุ่มโต้ และคราวนี้เฮอร์ไมโอนี่ถึงกับพูดไม่ออก เธอไม่อาจบอกเพื่อนรักถึงสิ่งที่เธอเห็นได้จริง ๆ
ทั้งสองจ้องหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งจนกระทั่งรอนเป็นฝ่ายเข้ามาห้ามทัพ
“เฮ้ พวกเธอสองคนคงไม่ทะเลาะกันเองเพราะเรื่องนี้ใช่ไหม พวกเธอคิดว่ามัลฟอยมีค่าพอให้พวกเราเถียงกันงั้นเหรอ” รอนพูดขึ้น และราวกับคำพูดนั้นเตือนสติเด็กทั้งสอง แฮร์รี่มองเฮอร์ไมโอนี่ด้วยแววตาที่อ่อนลง ราวกับเขาเพิ่งรู้สึกผิดในสิ่งที่พูดออกไป
“เฮอร์ไมโอนี่ ฉัน........”
“ช่างมันเถอะแฮร์รี่ รอนพูดถูกแล้ว เราไม่ควรจะเถียงกันเพราะเรื่องนี้ อีกอย่างเธอกำลังจะไปหาอาจารย์สายนะ” เด็กสาวอ้อมแอ้มออกมาพลางหลบตาเพื่อนรัก แต่สายตาของเธอยังคงจับจ้องอยู่ที่ผ้าคลุมล่องหนในมือเขาแทน และดูเหมือนว่าแฮร์รี่จะสังเกตเห็นสิ่งนั้น
“ฉันรู้ว่ามันอาจจะฟังดูไร้สาระสำหรับคนอื่น แต่ฉันคิดว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างแน่ ๆ ที่ทำให้มัลฟอยทำตัวแปลก ๆ แบบนั้น และฉันจะต้องรู้ให้ได้ว่ามันคืออะไร” แฮร์รี่พูด และคำพูดของเขาก็กระทบใจดำของเฮอร์ไมโอนี่เข้าอย่างจัง แม้ว่าเด็กสาวจะไม่เห็นด้วยที่แฮร์รี่คิดว่ามัลฟอยเป็นผู้เสพความตาย แต่ในตอนนี้เขาก็กำลังคิดเหมือนกับเธอทุกอย่าง รวมทั้งกำลังค้นหาความจริงเช่นเดียวกับเธอ
“งั้นก็ตามใจเธอแล้วกัน แฮร์รี่” เฮอร์ไมโอนี่พูดเพียงเท่านั้น เด็กหนุ่มผมดำพยักหน้าให้เธอเบา ๆ ก่อนที่จะเขาจะเดินออกจากตู้ไป แต่เด็กสาวไม่รู้เลยว่าเธอจะไม่ได้เห็นเพื่อนรักของเธออีกเลยตลอดการเดินทางกลับฮอกวอตส์ในครั้งนี้

.................................................


อีกสองชั่วโมงต่อมาเนวิลล์กลับมาจากการไปพบศาสตราจารย์ซลักฮอร์นตามเพียงลำพังโดยไม่ได้มีแฮร์รี่กลับมากับเขาด้วย เมื่อเฮอร์ไมโอนี่ถามเนวิลล์ถึงเพื่อนรักของเธอ เด็กสาวก็ได้รับคำตอบว่าแฮร์รี่แยกไปที่อื่นหลังจากพบอาจารย์เสร็จแล้ว และเมื่อเนวิลล์พูดถึงตรงนั้นทั้งรอนกับเฮอร์ไมโอนี่ต่างก็มองหน้ากัน เด็กทั้งสองรู้ดีว่าแฮร์รี่จะไปที่ไหนต่อจากนั้น แต่ดูราวกับพวกเขาจะเห็นว่ามันไม่มีประโยชน์ใด ๆ ที่จะยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีก ดังนั้นแทนที่ทั้งสองจะมาโต้เถียงกันเรื่องที่แฮร์รี่น่าจะอยู่ที่ตู้สลิธีรินในตอนนี้หรือไม่ รอนกลับหันไปชวนเนวิลล์คุยเรื่องฤดูร้อนที่ผ่านมาแทนส่วนเฮอร์ไมโอนี่นั้นก็เอาหนังสือเรื่องการแปลงร่างขั้นสูขึ้นงมาอ่าน ใบหน้าของเด็กสาวจมอยู่ในหนังสือขณะที่รอนกำลังคุยกึงการฝึกซ้อมควิดดิชของเขาในช่วงวันหยุดที่ผ่านมาอย่างออกรส
หลายชั่วโมงผ่านไปเมื่อความมืดเริ่มโรยตัวปกคลุมภายนอกได้ไม่นานนักทิวทัศน์ที่คุ้นเคยก็บอกให้เด็ก ๆ รู้ว่าพวกเขากำลังจะเดินทางถึงฮอกวอตส์ในอีกไม่ช้าแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงปิดหนังสือและเก็บมันไว้ในกระเป๋าพร้อมกับหยิบเป้ของเธอขึ้นมา
“นี่เธอจะไปไหนน่ะ” รอนที่กำลังเคี้ยวขนมอยู่ถามเธอเมื่อเด็กสาวยืนขึ้น
“ฉันก็จะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าน่ะสิ หรือเธอจะให้ฉันเปลี่ยนที่นี่หรือโรนัลด์” เธอพูดไปตามความเคยชินแต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อเด็กสาวเห็นรอนหน้าแดงเพราะคำพูดของเธอ [ส่วนลูน่านั้นเดินไปคุยที่ตู้อื่นเรียบร้อยแล้ว]
“เอ้อ ไม่หรอก เธอไปเถอะ” เขาอ้อมแอ้มพลางเคี้ยวขนมต่อ เฮอร์ไมโอนี่ขมวดคิ้วกับใบหน้าที่แดงจนใกล้เคียงกับสีผมของเด็กหนุ่มก่อนจะบอกรอนกับเนวิลล์ว่าพวกเขาก็ควรเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้วและเธอก็เดินออกจากตู้ไป
ขณะเดินไปที่ห้องน้ำเด็กสาวยกนาฬิกาขึ้นมาดูแล้วก็พบว่ามันบอกเวลาทุ่มกว่า อันที่จริงแฮร์รี่ควรจะกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้วเพราะพวกเขากำลังจะถึงฮอกวอตส์ในอีกไม่กี่นาทีนี้แล้ว แต่เธอก็ยังไม่เห็นเงาของเพื่อนสนิทแต่อย่างใด และเพราะเหตุผลประการทำให้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกเป็นห่วงเพื่อนรักขึ้นมาอย่างประหลาดจนเธอเกือบจะไปตามหาเขาที่ตู้สลิธีรินเสียแล้ว แต่เด็กสาวก็ห้ามตัวเองไว้ได้ทันก่อนที่เธอจะได้ทำเช่นนั้นลงไปจริง ๆ
‘เราอาจจะคิดมากไปเองก็ได้ มันคงไม่มีอะไรหรอกน่า’ เธอคิดพลางเดินตรงไปที่ห้องน้ำ

หลังจากที่เฮอร์ไมโอนี่เปลี่ยนมาใส่ชุดนักเรียนของฮอกวอตส์เรียบร้อยแล้วเธอก็เดินกลับมาที่ตู้และพบว่าทั้งรอนและเนวิลล์ต่างเปลี่ยนมาสวมเครื่องแบบนักเรียนแล้ว และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือแฮร์รี่ยังไม่ได้กลับมาที่ตู้
เด็กสาวเลื่อนบานประตูเข้ามานั่งเงียบ ๆ เธอไม่ได้ถามอะไรออกไปแต่สายตาของเธอเอาแต่มองอยู่ที่ประตูกระจกเพื่อรอเพื่อนรักของเธอกลับมา

.................................................

หลังจากรถไฟเข้าจอดเทียบชานชาลาที่สถานีฮอกมีตส์แฮร์รี่ก็คงยังไม่กลับมา อันที่จริงเฮอร์ไมโอนี่คิดว่าจะไปตามหาเขาแต่รอนห้ามเธอไว้ก่อนพลางบอกว่าเขาคงจะลงไปที่ชานชาลาแล้ว เพราะแฮร์รี่ไม่มีเหตุผลใดที่จะอยู่บนรถไฟต่อไปในเมื่อรถเข้าเทียบชานชาลาแล้วแบบนี้ และดูเหมือนว่านี่เป็นครั้งแรกที่เฮอร์ไมโอนี่เห็นด้วยกับรอนเธอจึงลงไปที่ชานชาลากับเขา แต่เด็กสาวกลับไม่พบแฮร์รี่ในตอนที่พวกนักเรียนต้องนั่งรถที่ลากด้วยเธสตรอลไปยังปราสาท อันที่จริงเฮอร์ไมโอนี่และรอนไม่เห็นแม้กระทั่งเงาของแฮร์รี่เลยจนกระทั่งถึงงานเลี้ยงต้อนรับเปิดเทอมหลังจากการคัดสรรจบลงไปแล้ว
และภาพแรกที่เฮอร์ไมโอนี่เห็นเพื่อนรักของเธออีกครั้งก็คือตอนที่เขาเดินเข้ามากลางงานเลี้ยงในชุดไปรเวท และมีเลือดเปรอะไปทั่วหน้า
เด็กสาวยกมือขึ้นปิดปากเมื่อเธอเห็นว่าเลือดเหล่านั้นเป็นเลือดของแฮร์รี่เอง ขณะที่เด็กหนุ่มผมดำนั่งลงข้าง ๆ รอน
“นายไปไหนมา ให้ตาย ไปทำอะไรกับหน้ามาน่ะ” รอนร้อง ขณะที่แฮร์รี่ทำหน้างง ๆ ราวกับเขาไม่รู้จริงๆ ว่าหน้าตาของเขาดูแย่แค่ไหน แถมยังถามอีกว่ามีอะไรผิดปรกติ
“ก็มีเลือดเปรอะไปทั่วเลยน่ะสิ” เฮอร์ไมโอนี่ร้องพลางควานหาไม้กายสิทธิ์ “มานี่ เทอร์จิโอ” เธอใช้คาถาดูดเลือดที่แห้งกรังบนใบหน้าของเพื่อนรักออกไป
“ขอบใจนะ” แฮร์รี่ว่า
“เกิดอะไรขึ้นกับเธอแฮร์รี่ พวกเรากลัวแทบตายแน่ะตอนเธอไม่มาปรากฏตัวในงานเลี้ยงน่ะ” เด็กสาวพูด แล้วเธอก็พบว่าสายตาของเพื่อนรักไม่ได้จับจ้องอยู่ที่เธอแต่มันมองเลยเธอไปยังโต๊ะของบ้านสลิธีรินที่อยู่ถัดไป และเมื่อเฮอร์ไมโอนี่หันไปมองตามเธอก็พบสายตาของมัลฟอยที่กำลังมองมาทางพวกเขาอยู่
เมื่อเห็นเช่นนั้นเด็กสาวก็พอจะเดาได้แล้วว่าใครเป็นคนทำร้ายแฮร์รี่ แม้เธอจะไม่อยากเชื่อในเรื่องนี้นักก็ตาม เมื่อเป็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงหันกลับมามองแฮร์รี่อีกครั้งด้วยสายตาราวกับต้องการถามเขาว่าสิ่งที่เธอคิดนั้นถูกต้องหรือไม่
เพราะเฮอร์ไมโอนี่คิดว่าแฮร์รี่คงไม่ได้จะบอกเธอจริง ๆ ใช่ไหมว่าคนที่ทำให้หน้าของเขายับเยินขนาดนี้คือเดรโก มัลฟอย แม้ว่าเพื่อนรักของเธอทั้งสองจะเกลียดมัลฟอยเข้าไส้แค่ไหนก็ตาม แถมมัลฟอยก็ยังคอยหาเรื่องกลั่นแกล้งพวกมาตลอดตั้งแต่อยู่ปีหนึ่ง แต่พวกเขาก็ไม่เคยทำร้ายกันถึงขั้นเลือดตกยางออกแบบนี้เลย แถมสภาพของแฮร์รี่ในตอนนี้นั้นดูราวเขาถูกต่อยแรง ๆ ที่หน้าหรือไม่ก็ถูกจับเอาหักโขกกำแพงอย่างไงอย่างงั้นเลย
แม้จะรู้ว่าเพื่อนรักต้องการรู้เรื่องที่เกิดขึ้นมากเพียงใด แต่เด็กหนุ่มผมดำยังไม่ต้องการบอกเธอตอนนี้
“แล้วฉันจะเล่าให้ฟังทีหลัง” แฮร์รี่พูด
“แต่.....” เฮอร์ไมโอนี่พยายามพูด
“ไม่ใช่ตอนนี้เฮอร์ไมโอนี่” แฮร์รี่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงโกรธ ๆ และเมื่อเห็นเช่นนั้นเธอจึงยอมเงียบ แต่เด็กสาวก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทางโต๊ะสลิธีริน แต่เธอกลับพบว่าเด็กหนุ่มผมบลอนด์ไม่ยอมสบตาเธอเลยตลอดงานเลี้ยงที่เหลือ

งานเลี้ยงต้อนรับเปิดเทอมครั้งนี้ไม่ได้มีอะไรพิเศษนักนอกจากข่าวร้ายที่ว่าในที่สุดสเนปก็ได้สอนวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืดอย่างที่เขาปรารถนาเสียที หลังจากที่เขาพยายามสมัครเพื่อสอนวิชานี้มาตลอดแต่ดัมเบิลดอร์ไม่ยอมให้เขารับตำแหน่งเพราะไม่ต้องการให้เขากลับไปยุ่งเกี่ยวกับศาสตร์มืดที่เขาเคยหลงใหลอีก แต่ดูเหมือนในคราวนี้ดัมเบิลดอร์จะเปลี่ยนใจหรืออย่างไรเฮอร์ไมโอนี่ไม่อาจจะเดาได้ แต่เท่าที่เธอรู้ก็คือนักเรียนกริฟฟินดอร์หลายต่อหลายคนทำสีหน้าสยดสยองเมื่อรู้ข่าวนิ้ แฮร์รี่ถึงกับตะโกนออกไปดัง ๆ ว่า “ไม่เอา!” ส่วนนักเรียนบ้านสลิธีรินนั้นต่างส่งเสียงเชียร์อาจารย์ประจำบ้านของพวกเขาอย่างคับคั่งขณะที่เด็กกริฟฟินดอร์ทำหน้าราวกับพวกเขาเห็นศาสตราจารย์อัมบริดจ์กลับมาเป็นอาจารย์ใหญ่ของฮอกวอตส์อีกครั้งก็ไม่ปาน
สำหรับตำแหน่งอาจารย์วิชาปรุงยานั้นจะเป็นของศาสตราจารย์ซลักฮอร์นที่แฮร์รี่เล่าให้เธอฟังว่าเขากลับมาสอนที่ฮอกวอตส์อีกครั้งตามคำเชื้อเชิญของดัมเบิลดอร์ และเท่าที่สังเกตุดูเฮอร์ไมโอนี่ก็คิดว่าอาจารย์คนนี้ดูใจดีกว่าและแน่นอนเขาน่าจะเป็นอาจารย์ที่ยุติธรรมกว่าสเนปมากนัก
แต่อันที่จริงแล้วเรื่องการเปลี่ยนแปลงอาจารย์สอนวิชาต่าง ๆ รวมทั้งมือที่บาดเจ็บของดัมเบิลดอร์นั้นดูจะเป็นเรื่องเล็กไปเลยเมื่อเทียบกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับแฮร์รี่ โดยเฉพาะเมื่อเด็กสาวสงสัยว่าคนที่ทำร้ายเขาน่าจะเป็นเดรโก มัลฟอยคนรักของเธอเอง

‘คนรักอย่างนั้นรึ’ เฮอร์ไมโอนี่ทวนคำนั้นอย่างสับสน ‘ตอนนี้เธอยังสามารถเรียกเดรโกว่าเป็นคนรักของเธอได้อยู่อย่างนั้นหรือ ทั้ง ๆ ที่เขามีเรื่องปิดปังเธอมากมายขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่เขาอาจจะเป็นคนทำร้ายเพื่อนของเธอแบบนี้’
แต่เด็กสาวไม่มีเวลาคิดเรื่องดังกล่าวมากนัก เพราะเมื่อดัมเบิลดอร์ประกาศให้นักเรียนเข้านอนกันได้แล้วเฮอร์ไมโอนี่จึงชวนรอนที่ทำหน้าที่เป็นพรีเฟ็คเหมือนกับเธอไปนำเด็กปีหนึ่งบ้านกริฟฟินดอร์ไปที่หอพัก แต่ก่อนจะไปเด็กสาวก็ไม่ลืมหันไปบอกแฮร์รี่ว่า
“เราต้องไปทำหน้าที่ก่อน แล้วเจอกันที่ห้องนั่งเล่นรวมนะ แฮร์รี่” เธอพูดพลางลากรอนที่ทำหน้าเหมือนไม่เต็มใจทำงานเท่าไหร่ไปกับเธอ

การต้อนพวกปีหนึ่งไปที่หอนั้นใช้เวลาไม่นานเพราะพวกเด็กใหม่ยังไม่แสบพอที่จะกล้าขัดคำสั่งพรีเฟ็คในวันแรกที่เข้ามาเหยียบฮอกวอตส์แบบนี้ หลังจากที่เธอพาพวกเด็ก ๆ ไปที่ห้องนั่งเล่นรวมและบอกรหัสผ่านกับพวกเขารวมทั้งบอกทางไปยังหอนอนชายและหญิงซึ่งอยู่ตรงข้ามกันในหอแล้วก็เท่ากับเธอทำภารกิจในวันนี้เสร็จสิ้นแล้ว และเมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยเฮอร์ไมโอนี่ก็ชวนรอนไปนั่งตรงโซฟาที่แฮร์รี่กำลังนั่งอยู่เพียงลำพังตรงมุมห้องราวกับเด็กหนุ่มผมดำเลือกที่จะนั่งตรงนั้นเพราะมันไม่เป็นที่สะดุดตาคนอื่นเท่าไหร่นัก เฮอร์ไมโอนี่เดาว่าเขาคงไม่ชอบแน่ ๆ ถ้าจะมีคนอื่นมาฟังเรื่องที่เกิดขึ้นกับหน้าของเขาในวันแรกของการเข้าเรียนแบบนี้ แต่ก็เป็นโชคดีของเด็กทั้งสามที่ไม่มีเด็กคนอื่นอยู่ในห้องนั่งเล่นรวมมากนัก เพราะนักเรียนส่วนใหญ่มักจะขึ้นไปพักผ่อนบนหอนอนทันทีหลังจากที่พวกเขาผ่านการเดินทางที่ยาวนานและงานเลี้ยงที่อิ่มหนำมา

ทันทีที่เด็กทั้งสองนั่งลงเฮอร์มโอนี่ก็เริ่มซักไซ้แฮร์รี่
“เกิดอะไรขึ้นแฮร์รี่ บอกเรามาให้หมดเลยนะ”
“ใจเย็นน่าเฮอร์ไมโอนี่ ให้เขาหายใจบ้างสิ” รอนที่นั่งอยู่ข้างแฮร์รี่อีกฝั่งหนึ่งพูดและเด็กสาวก็เงยหน้ามองเขา
“จะให้ฉันใจเย็นได้ยังไงล่ะ ก็แฮร์รี่ถูกทำร้าย.......”
“ฉันไม่ได้ถูกทำร้ายนะเฮอร์ไมโอนี่” แฮร์รี่ท้วงออกมา เฮอร์ไมโอนี่จึงเปลี่ยนมาจ้องเขาแทนแม้ว่าตอนนี้ใบหน้าของเขาจะดูปกติแล้วก็ตาม
“เธอแน่ใจเหรอว่าเธอไม่ได้ถูกใครทำร้ายมาน่ะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความกังวล แน่นอนว่าเธอกังวลแทนเพื่อนรักของเธอ แต่สิ่งที่ทำให้เด็กสาวกังวลไปมากกว่านั้นก็คือเธอกลัวว่ามัลฟอยจะอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้
แฮร์รี่เงียบไปครู่หนึ่งเขาจึงยอมพูด ท่ามกลางสายตาของเพื่อนทั้งสองที่มองมาด้วยความเป็นห่วง
“มันก็แค่มัลฟอยน่ะ” เขาพูดราวกับเขาไม่ใส่ใจในเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่เฮอร์ไมโอนี่ต้องกลั้นหายใจเพราะคำพูดนั้น แม้ว่าเธอจะพอเดาได้ก่อนหน้านี้ว่าคนรักของเธอเป็นตัวการของเรื่องทั้งหมดนี่ก็ตาม
“เขาทำอะไรเธอ” เฮอร์ไมโอนี่ซักพลางเขย่าแขนแฮร์รี่ แต่คราวนี้เด็กหนุ่มกลับไม่ยอมตอบ
“เขาคงไม่ได้กระทืบหน้านายใช่ไหม” รอนพูดด้วยน้ำเสียงกังวล ขณะที่เด็กสาวทำหน้าตกใจ
“เธอเอาอะไรมาพูดน่ะรอน มัลฟอยคงไม่.......ใช่ไหมแฮร์รี่” เธอหันไปถามเด็กหนุ่มผมดำแทน
“ก็ฉันเห็นเขาทำท่าเหมือนกระทืบอะไรบางอย่าง” รอนอธิบาย
“อ๋อ ใช่ เขาทำอย่างที่รอนว่านั่นแหละ” เด็กหนุ่มผมดำยอมพูดออกมา “แถมเขายังสาปฉันให้ตัวแข็งแล้วก็เอาผ้าคลุมล่องหนคลุมฉันไว้เพื่อที่ฉันจะได้อยู่บนรถไฟด้วยตอนที่มันแล่นกลับลอนดอน”
“ไม่จริง!” เฮอร์ไมโอนี่ส่ายหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“อะไรทำให้เธอคิดว่ามัลฟอยจะไม่ทำแบบนั้น เฮอร์ไมโอนี่ เขาเกลียดฉัน เขาแค้นฉันที่ฉันทำให้พ่อเขาติดคุกนะ อันที่จริงฉันน่าจะแปลกใจด้วยซ้ำที่เขาไม่ร่ายคาถากรีดแทงใส่ฉันน่ะ!” แฮร์รี่พูดด้วยน้ำเสียงที่บอกว่าเขาเริ่มไม่พอใจแล้วที่เพื่อนทั้งสองโดยเฉพาะเฮอร์ไมโอนี่มาซักเขาในเรื่องที่เพิ่งทำให้เขาได้รับความอับอาย
“ฉันขอโทษ แฮร์รี่ ฉันแค่ไม่คิดมาก่อนเท่านั้น” เธอพูดเมื่อรู้ว่าเพื่อนรักเริ่มอารมณ์เสีย
“ฉันไม่รู้ว่าเธอจะเชื่อยังไงนะ เฮอร์ไมโอนี่ แต่เธอก็น่าจะรู้ว่ามัลฟอยน่ะชั่วร้ายพอที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้สบาย อีกอย่างฉันรู้สึกว่าเขาเปลี่ยนไปด้วย ดูเหมือนเขาชั่วร้ายมากขึ้น แต่ฉันก็ไม่แปลกใจในเรื่องนั้นเหมือนกัน เขาคงเป็นผู้เสพความตายไม่ได้ถ้าเขาไม่ชั่วร้ายพอจริงไหม” แฮร์รี่พูด ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ส่ายหน้าน้อย ๆ
“แล้วเธอหาหลักฐานยืนยันได้เหรอว่าเขาเป็นน่ะ” เด็กสาวพูดเบา ๆ
เด็กหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะเริ่มเล่า
“ฉันตามเขาไปที่ตู้ แล้วก็ปีนขึ้นไปแอบบนที่เก็บสัมภาระเหนือหัว แน่นอนว่าตอนนั้นฉันใส่ผ้าคลุมล่องหนอยู่ แล้วฉันก็ได้ยินอะไรบางอย่าง” เขาเล่ากับสีหน้าที่แสดงออกถึงความอยากรู้อยากเห็นที่ปิดไว้ไม่มิดของเพื่อนทั้งสอง
“เขาอยู่ในตู้กับพาร์กินสัน และก็ซาบินี่ มัลฟอยพูดกับพวกนั้นเหมือนว่าเขาจะไม่กลับมาเรียนที่ฮอกวอตส์อีกในปีหน้า เขาพูดเหมือนเขากำลังจะไปทำอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นซึ่งก็คือการรับใช้โวลเดอมอร์” รอนสะอึกเมื่อแฮร์รี่พูดชื่อนั้นออกมา “หรือไม่แน่เขาอาจจะกำลังจะรับใช้โวลเดอมอร์อยู่แล้วก็ได้“
“ฉันว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้นะแฮร์รี่” เฮอร์ไมโอนี่ส่ายหน้าช้า ๆ พลางวางมือลงบนแขนเพื่อนรัก
“เธอพูดแบบนี้มากี่ครั้งแล้ว เฮอร์ไมโอนี่ ฉันว่าสิ่งที่ฉันได้ยิน สิ่งที่พวกเราได้เห็นนั้นมันมีมูลมากพอที่จะเชื่อนะ” แฮร์รี่พูดเสียงเข้ม
“แต่มัลฟอยยังอายุไม่ครบเกณฑ์นะ ฉันยอมรับว่าเขาอาจมีคุณสมบัติที่คนที่เธอก็รู้ว่าใครต้องการ แต่เขาก็เป็นแค่พ่อมดที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะพอ ๆ กับพวกเราเลยนะ เธอคิดว่าคนที่เธอก็รู้ว่าใครจะไว้ใจเขาอย่างงั้นเหรอ เขายังเด็กเกินไป” เฮอร์ไมโอนี่พูด
“เราไม่มีทางรู้หรอกว่าโวลเดอมอร์จะไว้ใจใครหรือต้องการอะไรน่ะ” เด็กหนุ่มผมดำพูดเสียงเย็น และเมื่อเขาพูดจบรอนที่เงียบไปนานก็พูดขึ้น
“ฉันจะขอบคุณนายมากนะแฮร์รี่ถ้านายเลิกพูดชื่อนั้นเสียที แล้วอีกอย่างนี่เป็นครั้งที่สองแล้วนะที่พวกเธอสองคนเถียงกันเรื่องเจ้าสวะมัลฟอยน่ะ” เด็กหนุ่มผมแดงพูดเตือน และเพื่อนรักทั้งสองก็เงียบลงทันที แม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างออกไปแต่แฮร์รี่กลับไม่เปิดโอกาสให้เธอถามอะไรเขาไปมากกว่านี้
“ฉันควรจะไปนอนแล้ว แล้วเจอกันนะเฮอร์ไมโอนี่” แฮร์รี่พูดพลางลุกขึ้นจากโซฟา โดยมีรอนเดินตามเขาไป
“แล้วเจอกันนะ” รอนพูด เด็กสาวมองร่างของเพื่อนทั้งสองจนพวกเขาหายลับขึ้นบันไดหอนอนชายไปด้วยสายตากังวล หลังจากนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงลุกขึ้นจากโซฟา แต่เธอไม่ได้เดินไปที่หอนอนหญิงแต่อย่างใด เด็กสาวกลับเดินไปที่ช่องรูปภาพเพื่อทะลุรูปของสุภาพสตรีอ้วนออกไป
“เธอจะไปไหนน่ะหนู” สุภาพสตรีอ้วนถามอย่างแปลกใจเพราะนี่เป็นเวลาค่อนข้างดึกแล้ว
“เดินตรวจบริเวณน่ะค่ะ” เธอตอบออกไป และเมื่อสุภาพสตรีอ้วนเห็นเสื้อคลุมของเฮอร์ไมโอนี่ที่มีเข็มกลัดตัวพ. ที่ย่อมาจาก ‘พรีเฟ็ค’ อยู่เธอก็พูดขึ้นว่า “เหนื่อยหน่อยนะจ๊ะ”
เฮอร์ไมโอนี่พยักหน้าเบา ๆ เพื่อรับคำพูดของสุภาพสตรีอ้วนก่อนจะเดินไปตามระเบียงทางเดินแต่ทางที่เด็กสาวมุ่งไปนั่นกลับเป็นทางที่นำไปสู่หอพรีเฟ็ค

.................................................


ภายในหอพรีเฟ็คที่เกือบจะว่างเปล่า เดรโก มัลฟอยกำลังนั่งอยู่บนโซฟาหน้าเตาผิงเพียงลำพัง สายตาของเด็กหนุ่มเหม่อมองไปยังเปลวไฟที่กำลังเต้นรำด้วยท่าทีราวกับเขากำลังครุ่นคิดเรื่องบางอย่างอยู่ เหตุผลที่มัลฟอยมาอยู่ที่นี่และไม่กลับไปที่ห้องนั่งเล่นรวมของบ้านสลิธีรินทันทีหลังจากที่งานเลี้ยงเลิกก็เพราะเขาต้องการอยู่คนเดียว และหอพรีเฟ็คก็เป็นสถานที่ที่เหมาะที่สุดที่เขาจะไป แต่อันที่จริงแล้วมัลฟอยก็รู้ดีว่าเขาคงอยู่คนเดียวได้ไม่นานนักเพราะเด็กหนุ่มแน่ใจว่าต้องมีใครบางคนเข้ามาตามหาเข้าในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน
ไม่นานนักประตูหอพรีเฟ็คก็เปิดขึ้นและร่างของเด็กสาวคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามา แม้ว่ามัลฟอยจะไม่เห็นการมาของเธอเพราะเขากำลังนั่งหันหลังให้ประตูอยู่แต่เขาก็สามารถเดาได้ว่าร่างนั้นเป็นใคร โดยเฉพาะเมื่อเธอเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้าง ๆ โซฟาที่เขากำลังนั่งอยู่
“เธอมาที่นี่เพื่อจะมาต่อว่าฉันสินะ” เขาพูดขึ้นก่อนที่จะหันไปมอง แล้วเขาก็พบว่าเฮอร์ไมโอนี่กำลังยืนอยู่ไม่ไกลจากเขานัก ดวงตาสีน้ำตาลที่มองมาทางเขานั้นแฝงไว้ด้วยความโกรธและสับสน
“เธอทำแบบนั้นได้ยังไง มัลฟอย” เด็กสาวพูด น้ำเสียงของเธอนั้นเต็มไปด้วยความโกรธแต่มันกลับแฝงไว้ด้วยความเสียใจ
“ฉันทำอะไรหรือ เกรนเจอร์” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ “พอตเตอร์บอกอะไรเธอบ้างล่ะ”
เฮอร์ไมโอนี่มองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่พอใจก่อนจะนั่งลงข้างเขา
“แฮร์รี่บอกฉันทุกอย่างที่เกิดขึ้น แน่นอนหลังจากที่ฉันซักเขา” ริมฝีปากของมัลฟอยยกสูงขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“งั้นรึ ฉันคิดว่ามันจะวิ่งแจ้นมาฟ้องเธอเสียอีก” เขาพูดอย่างเหยียดหยาม
“เธอทำแบบนั้นได้ยังไงกัน มัลฟอย เธอทำร้ายเขาขนาดนั้นแถมยังตั้งใจจะส่งเขากลับลอนดอนอีก!” เด็กสาวพูดขึ้นมา น้ำเสียงของเธอบ่งบอกถึงความรู้สึกโกรธ ผิดหวัง และเสียใจที่ผสมปนเปกันอยู่ แต่เหตุผลที่เธอเสียใจนั้นไม่ได้มาจากการที่เพื่อนรักของเธอถูกทำร้ายเพียงอย่างเดียว แต่มันมาจากการที่ได้รู้ว่าคนรักของเธอเป็นคนทำร้ายเขามากกว่า
“เธอก็น่าจะรู้นะว่าทำไมฉันถึงทำแบบนั้น” แววตาสีเงินคู่นั้นของเขาดูเยือกเย็นยิ่งนักเมื่อมันมองมาทางเฮอร์ไมโอนี่
“ก็เพราะว่าฉันเกลียดมัน ฉันไม่มีวันลืมเรื่องที่มันทำให้พ่อฉันต้องติดคุกได้หรอกนะ อีกอย่างมันก็อยากแส่หาเรื่องเองนี่” มัลฟอยพูดราวกับเขาไม่แคร์ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะรู้สึกยังไงในสิ่งที่เขาพูด ขณะที่เด็กสาวมองเขาอย่างตกใจ เธอไม่แน่ใจว่าตอนนี้เธอควรจะโกรธหรือเสียใจมากกว่ากันดี
“ฉันคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่กองปริศนานั่นควรจะจบไปได้แล้วนะ มัลฟอย ไม่อย่างนั้นเธอก็น่าจะเกลียดฉันอย่างเดียวกับที่เธอเกลียดแฮร์รี่ด้วย!”
เฮอร์ไมโอนี่พูดออกไปก่อนที่เธอจะทันได้คิดว่ามัลฟอยจะรู้สึกโกรธมากแค่ไหนที่เธอพูดชื่อของแฮร์รี่ออกมา รวมทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นที่กองปริศนาด้วย แต่เด็กสาวกลับต้องแปลกใจเมื่อเธอพบว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่มีท่าทีโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย เพราะในวินาทีต่อมาเขาไม่ได้ตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราดว่า ‘อย่าเอ่ยชื่อมันต่อหน้าฉัน!’ ตรงกันข้ามเขากลับมองเธอด้วยแววตาที่อ่อนลง

“เธอก็รู้ว่าฉันไม่มีวันเกลียดเธอ เกรนเจอร์” เขาพูดพลางกลับมามองเธอด้วยแววตาแบบเดียวกับที่เขาใช้มองเธอเมื่อทั้งสองพบกันบนรถไฟในตู้ของเขา แววตาที่เขาใช้มองคนรักของเขา
“แต่เธอสิ เธอกำลังจะเกลียดฉันแทนเจ้าเพื่อนรักของเธอ” น้ำเสียงที่ดังออกมานั้นฟังดูเศร้าหมองยิ่งนัก และเมื่อเป็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจจะอารมณ์เสียใส่เขาได้อีกต่อไป เด็กสาวจึงพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“ฉันไม่ได้เกลียดเธอ มัลฟอย แต่ฉันโกรธเธอ เธอไม่ควรทำร้ายแฮร์รี่ขนาดนั้น” เธอพูด มัลฟอยชักสีหน้าเมื่อได้ยินคำว่า ‘แฮร์รี่’ ออกจากปากของเด็กสาว
“แล้วเธอจะทำยังไงกับเรื่องนี้ล่ะ เธอจะมาสาปฉันเพื่อแก้แค้นเทนเจ้าหัวแผลเป็นเพื่อนรักของเธองั้นรึ” เด็กหนุ่มพูดออกมาไม่ยี่หระ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มองเขาอย่างระอา เธอพยายามจะไม่สนใจถ้อยคำที่เขาใช้เรียกแทนตัวแฮร์รี่ก่อนจะพูดขึ้น
“เธอก็รู้ว่าฉันจะไม่ทำแบบนั้น แต่ฉันขอเถอะว่าอย่าใช้กำลังทำร้ายกันถึงกับเลือดตกยางออกแบบนี้อีกเลย ฉันขอเธอว่าอย่ามีเรื่องกับแฮร์รี่อีกจะได้ไหม” เด็กสาวพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงราวกับก่อนหน้านี้เธอไม่ได้โกรธเขาที่หักจมูกเพื่อนรักของเธอ เพราะเธอรู้ดีว่าการโวยวายและต่อว่ามัลฟอยนั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลย มันกลับจะยิ่งเป็นการทำให้เค้าโกรธแค้นแฮร์รี่มากยิ่งขึ้นด้วยซ้ำ อีกอย่างเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่ต้องการทะเลาะกับเขาทั้งที่ทั้งสองเพิ่งจะกลับมาเจอหน้ากันได้เพียงวันเดียวแบบนี้ เธอจึงคิดว่าควรจะใช้ไม้อ่อนกับเขามากกว่า

มัลฟอยมองเด็กสาวตรงหน้าอย่างแปลกใจที่จู่ ๆ เธอเป็นฝ่ายมาขอร้องไม่ให้เขาทำร้ายเพื่อนของเธออีก แต่ในวินาทีต่อมาดวงตาสีเงินที่เต็มไปด้วยความแปลกใจก็เปลี่ยนไปส่อแววเจ้าเล่ห์เมื่อเขาคิดอะไรบางอย่างได้
“เรื่องที่เธอขอมันทำยากอยู่นะ เกรนเจอร์” เขาพูดพลางทำท่าทีครุ่นคิด “แต่ฉันว่าฉันน่าจะทำได้ถ้ามีข้อแลกเปลี่ยน”
เฮอร์ไมโอนี่ขมวดคิ้วเพราะพูดนั้น แต่ก่อนที่เธอรู้ตัวเธอก็ถูกเด็กหนุ่มดึงเข้าไปสู่อ้อมแขนของเขาเสียแล้ว
“นี่ นาย! จะทำอะไรน่ะ!” เธอร้อง แต่เด็กสาวก็รู้ว่าเธอหลงกลมัลฟอยเข้าเสียแล้วเมื่อเขาพูดประโยคต่อมา
“จูบฉันก่อนสิ แล้วฉันสัญญาว่าฉันจะไม่ยุ่งกับเพื่อนรักของเธอเลย” เขาพูด ดวงตาสีเงินทอประกายเจ้าเล่ห์ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่อยากจะเสกคาถางงงันใส่ใบหน้ายียวนหากแต่หล่อเหลาของเขานัก!
“มัลฟอย ขี้โกงนี่!” เธอโวยวายแต่ก็ยอมให้เด็กหนุ่มกอดแต่โดยดี
“ก็ฉันเป็นมัลฟอยนี่นา จะให้เล่นตามกติกาได้ยังไงล่ะ” เขาตอบอย่างไม่ยี่หระ “ตกลงเธอจะยอมรับเงื่อนไขไหม” เด็กหนุ่มถามแล้วเฮอร์ไมโอนี่ก็หัวเราะน้อยๆ ออกมาเพราะคำพูดนั้น เธอแทบจะลืมความโกรธที่เธอมีต่อเขาก่อนหน้านี้ไปจนหมดเมื่อเธอสัมผัสลมหายใจของอีกฝ่ายที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม
“ฉันจะไม่จูบเธอจนกว่าเธอจะขอโทษ” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“ฉันต้องขอโทษเรื่องอะไรล่ะ” มัลฟอยเลิกคิ้วด้วยความสงสัย
“ก็เรื่องที่เธอเกือบทำแฮร์รี่จมูกหักน่ะสิ” เฮอร์ไมโอนี่พูดเสียงแหลม ราวกับจะบอกเขาว่า ‘นายไม่ต้องมาทำไขสือเลยนะ’
เด็กหนุ่มมีท่าทางงุนงงกับคำพูดนั้น “ฉันไม่ได้ทำจมูกเจ้านั่นหักเหรอเนี่ย”
“มัลฟอย!” เด็กสาวเตือนด้วยน้ำเสียงดุ ๆ
“เธอก็รู้ว่าฉันไม่วันไปขอโทษพอตเตอร์แน่นอน ต่อให้ฉันตายก็เถอะ” เขายืนกรานอย่างดื้อรั้น ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มองเขาด้วยท่าทีระอา
“ฉันไม่ได้หมายความว่าเธอต้องไปขอโทษแฮร์รี่ แต่อย่างน้อย ๆ ช่วยพูดอะไรที่ฟังดูเหมือนว่าเธอสำนึกผิดหรือเสียใจหน่อยได้ไหม” เด็กสาวพูด และเธอก็คิดไว้แล้วว่ามัลฟอยจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบอย่างไร เขาคงจะต้องพูดออกมาว่า ‘ฉันไม่มีวันเสียใจเรื่องที่ฉันทำกับเจ้านั่น’ หรือไม่ก็ ‘เธอคิดว่าฉันเป็นใครกัน เกรนเจอร์’ แต่เฮอร์ไมโอนี่กลับคิดผิด เพราะแม้ว่ามัลฟอยจะไม่ได้พูดออกมาตามตรงว่าเขาเสียใจในสิ่งที่ทำกับแฮร์รี่ก็ตาม แต่เด็กหนุ่มก็พูดประโยคต่อมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบและไม่มีแววโกรธเคืองหรือฝืนใจเจือปนอยู่เลย
“ฉันไม่เสียใจที่ฉันฉันตั้งใจหักจมูกพอตเตอร์” เขาพูด “แต่ฉันเสียใจที่การกระทำของฉันทำให้เธอไม่พอใจเพราะฉันทำร้ายเพื่อนรักของเธอ” เขาพูดอย่างไว้ตัวก่อนจะมองไปในแววตาของเด็กสาวและพูดประโยคต่อไปออกมา
“ฉันขอโทษที่ทำให้เธอโกรธ เฮอร์ไมโอนี่” เด็กหนุ่มพูดก่อนจะก้มลงจูบแก้มของเด็กสาว เธอพยายามขืนตัวหลบเขาแต่กลับไม่สามารถทำได้เมื่ออ้อมแขนแข็งแรงของมัลฟอยกอดเธอไว้อย่างแน่นหนา เฮอร์ไมโอนี่หลับตาลงเมื่อจมูกของเด็กหนุ่มสัมผัสพวงแก้ม จู่ ๆ ความรู้สึกโกรธหรือแม้กระทั่งความเสียใจก็จางหายไปจนหมด
เมื่อมัลฟอยละใบหน้ามาจากเธอ เด็กสาวก็จ้องตอบเขาอย่างกึ่งโกรธกึ่งงอน แต่ก่อนที่เด็กหนุ่มจะได้ก้มลงไปหอมแก้มเนียนอีกข้างของเธอ เฮอร์ไมโอนี่ก็บีบจมูกเรียว ๆ ของเขาเสียก่อน
“โอ๊ย ทำอะไรน่ะ เกรนเจอร์!” เขาร้อง
“ก็จะหักจมูกนายบ้างน่ะสิ ใครใช้ให้นายเจ้าเล่ห์นักล่ะ!” เธอพูดพลางจ้องเขาอย่างโกรธ ๆ ขณะที่มัลฟอยคลำจมูกของเขาที่แดงจากแรงบีบของเด็กสาวแม้ว่ามันจะไม่เจ็บเท่าไหร่ก็ตาม
“งั้นตาฉันเอาคืนบ้างนะยายตัวแสบ” เขาพูดพลางกอดเด็กสาวแน่นกว่าเดิม และรั้งร่างของเธอมาอยู่ในอ้อมแขนโดยให้หลังของเธอชนกับแผ่นอกของเขาขณะที่เขาซุกหน้าเข้าที่ซอกคอของเธอ

เฮอร์ไมโอนี่กรอกตาอย่างระอากับความมือไวของเดรโก แต่ถึงเขาจะมีข้อเสียมากมายแค่ไหนเธอก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอรักเขาอยู่ดี และเธอก็คิดว่ามันคงยากไม่ใช่น้อยสำหรับเขาที่จะพูดว่าเขาเสียใจที่ทำร้ายแฮร์รี่ออกมา (แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดออกมาตามตรงก็เถอะ) อีกอย่างเด็กสาวก็ไม่ต้องการทะเลาะกับเขาไปมากกว่านี้แล้ว เพราะเท่าที่เธอจำได้การทะเลาะกันแต่ละครั้งนั้นไม่ได้นำประโยชน์ใด ๆ มาให้พวกเขาเลยนอกจากความเสียใจที่เกิดขึ้นกับทั้งสอง ดังนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงเลิกดิ้นรนขัดขืนและเลิกหาเรื่องมาสนับสนุนความคิดที่ว่า ‘เขายังไม่แสดงออกว่าสำนึกผิดจริง ๆ ’ เสียที
มัลฟอยดูจะแปลกใจไม่น้อยที่เด็กสาวในอ้อมแขนของเขาไม่ดิ้นอย่างที่เคย ตรงกันข้ามกลับยอมให้เขากอดแต่โดยดี และเมื่อเห็นเช่นนั้นเขาจึงยกร่างของเฮอร์ไมโอนี่ขึ้นมานั่งบนตักของเขาและจูบผมของเธอ ซึ่งเด็กสาวก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด
“มัลฟอย” เสียงของเฮอร์ไมโอนี่ดังขึ้น “ฉันมีเรื่องจะถามเธอน่ะ”
“เธอจะถามอะไรฉันเหรอ เกรนเจอร์” เสียงของเด็กหนุ่มฟังดูกังวลขึ้นมาทันทีเมื่อเขาคิดว่าคำถามของเฮอร์ไมโอนี่จะเป็นหนึ่งในคำถามที่เขาตอบเธอไม่ได้หรือเปล่า
“ฉันรู้ว่ามันฟังดูบ้าไปหน่อยนะ แต่ว่า” เด็กสาวหันกลับมาสบตาเขา ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นดูสับสนและกังวลใจก่อนที่เธอจะเอ่ยประโยคต่อไปออกมา
“ฉันอยากรู้ว่าปีหน้าเธอจะกลับมาเรียนที่ฮอกวอตส์ไหม” เฮอร์ไมโอนี่ถามอกไปขณะที่มัลฟอยมองเธอด้วยแววตาที่ดูประหลาดใจ


*************************************************



คุยกันหลังอ่านนะคะ

เป็นยังไงบ้างคะตอนนี้ พิกพยายามไม่เขียนให้เครียดเท่าไหร่ ถ้าใครถามว่าทำไมเฮอร์มี่ให้อภัยพ่อเดรเร็วนักพิกก้อบอกได้เลยค่ะว่าไม่อยากเขียนฉากที่สองคนนี้ทะเลาะกันตอนนี้ค่ะ เพราะเขียนแล้วเครียดไงไม่รู้ จะพาลพาคนอ่านเครียดไปด้วย ช่วงนี้ยิ่งอากาศร้อน ๆ อยู่ด้วย [เกี่ยวไหมอ่ะพิก] เอาไว้ดราม่าตอนอื่นละกันนะคะ -*-
พิกมีเรื่องจะประกาศนะคะ หลังจากอัพฟิคเรื่องนี้แล้วพิกจะมาอัพฟิคให้อีกทีในช่วงสิ้นเดือนนี้นะคะเพราะพิกต้องอ่านหนังสือสอบซัมเมอร์ค่ะ ส่วนเรื่องหลัก ๆ ที่จะอัพก่อนนั้นจะเป็นเรื่องทาสหัวใจนะคะ เพราะอยากจะปิดเรื่องนี้ก่อน ส่วนเรื่องอื่น ๆ จะพยายามอัพให้ประปรายนะคะ แต่พิกอยากอัพเป็นเรื่อง ๆ ไปค่ะจะได้เขียนเร็วกว่าอัพแบบสลับเรื่องน่ะค่ะ
สุดท้ายอยากจะบอกว่าฟิคเรื่องนี้เขียนยากมากกกกกกกกกกก ยากยิ่งกว่าเรื่องทาสหัวใจอีกค่ะ พิกไม่แน่ใจว่าตอนนี้จะออกมาดีไหมเพราะไม่ได้เขียนเรื่องนี้นานมากแล้ว นักอ่านท่านไหนมีความเห็นยังไงเข้ามาคุยกันนะคะ ไรเตอร์เปิดรับทุกความคิดเห็นค่ะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ





 

Create Date : 13 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2555 17:07:30 น.
Counter : 2108 Pageviews.  

รักต้องห้ามภาค 2 : Chapter 10 Draco's Secerts




“แต่มันเป็นทางเดียวที่ฉันจะได้คำตอบที่ฉันต้องการ และที่เธอต้องทำก็ไม่มีอะไรมาก แค่เธอเปิดแขนเสื้อข้างซ้ายให้ฉันดูเท่านั้น” เฮอร์ไมโอนี่พูดขึ้น และจู่ ๆ ใบหน้าของมัลฟอยขาวซีดเพราะคำพูดนั้นของเธอ เขาเลื่อนมือขวาไปกุมแขนข้างซ้ายทันที!
“เกรนเจอร์!” เด็กหนุ่มเรียกชื่อเธอออกมาขณะที่ไม้กายสิทธิ์ของเด็กสาวกำลังจ่ออยู่ที่คอของเขา สายตาของเฮอร์ไมโอนี่เลื่อนตามมือข้างนั้นของมัลฟอยไปยังแขนซ้ายของเขา ก่อนจะเลื่อนขึ้นมาสบตาเด็กหนุ่มอย่างผิดหวัง และนี่เป็นอีกครั้งที่เดรโกเห็นว่าดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นของเธอมีแววเจ็บปวด
“นี่สินะสิ่งที่เธอพยายามจะปิดปังฉันน่ะ” เด็กสาวพูดด้วยน้ำเสียงแปลกแปร่งราวกับเธอต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากเพื่อบังคับไม่ให้เสียงของเธอสั่น
“เธอทำแบบนี้ได้ยังไงกัน!” เฮอร์ไมโอนี่พูดออกมาอย่างยากลำบากพอ ๆ กับการตะโกนออกมาขณะที่ลำคอของเธอแหบแห้ง เสียงที่ออกมาจากปากของเด็กสาวจึงไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบเลย แต่มัลฟอยกลับได้ยินมันอย่างชัดเจนยิ่งนัก
“มันไม่ใช่อย่างที่เธอคิด เกรนเจอร์” เด็กหนุ่มพยายามจะอธิบายทั้ง ๆ ที่เขารู้ว่ามันสายไปเสียแล้ว เพราะเฮอร์ไมโอนี่เชื่อว่าเขาเป็นผู้เสพความตายตั้งแต่วินาทีแรกที่เขาเลื่อนมือขวาไปกุมแขนข้างซ้ายซึ่งมันเป็นตำแหน่งที่เธอรู้ดีว่ามีตรามารอยู่!
“แล้วอะไรล่ะที่เป็นความจริง! เลิกโกหกฉันซักทีมัลฟอย! ถ้าเธอไม่ได้เป็นแบบที่ฉันคิดจริง ๆ ทำไมเธอถึงต้องตกใจด้วยถ้าฉันจะขอดูแขนซ้ายของเธอ” เธอพูดออกมาอย่างมีเหตุผล แม้ว่าน้ำเสียงของเธอจะฟังดูผิดหวังอยู่มากก็ตาม และเป็นเพราะคำพูดนั้นของเด็กสาวที่ทำให้เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมา
“ก็ได้ เกรนเจอร์ ฉันจะไม่ปิดบังเธออีกต่อไปแล้ว” เขาพูดอย่างยอมแพ้ ถึงแม้ว่าเขาจะต้องการปกป้องเฮอร์ไมโอนี่จากความลับดำมืดของเขาเพียงใดก็ตาม แต่มัลฟอยก็รู้ดีกว่าการทำแบบนั้นยิ่งจะเป็นการลากเธอเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น เพราะเด็กหนุ่มรู้นิสัยของเด็กสาวดีว่าเธอจะไม่ยอมเลิกราจนกว่าเธอจะได้รู้ความจริงที่เขาปิดปังเธอเป็นแน่ และถ้ามัลฟอยยังคงปิดบังเธออย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ไม่แน่ว่าความจริงที่เธอได้รู้ในวันข้างหน้ามันอาจจะเลวร้ายกว่าการที่ได้รู้ว่าเขาเป็นผู้เสพความตายไปแล้วก็เป็นได้!
“ถ้าเธอต้องการดูแขนซ้ายของฉัน ฉันก็จะให้เธอดู” มัลฟอยพูดออกมา ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มองเขาอย่างแปลกใจ แม้ว่าสิ่งที่เด็กหนุ่มกำลังจะทำนั้นเป็นสิ่งที่เธอต้องการมากที่สุดก็ตาม แต่ลึก ๆ แล้วเด็กสาวก็กลัวเหลือเกินว่าความจริงที่เธอกำลังจะรับรู้นั้นมันจะเป็นสิ่งที่เธอไม่สามารถรับไหว
มัลฟอยมีท่าทีอึดอัดใจอยู่ชั่วครู่ มือขวาที่กุมแขนซ้ายของเขาอยู่บีบแน่นอย่างเห็นได้ชัดก่อนที่เขาจะเลื่อนมันออกจากแขนข้างนั้น เด็กหนุ่มค่อย ๆ แกะกระดุมตรงแขนเสื้อเบา ๆ ขณะที่มัลฟอยกำลังทำเช่นนั้นอีกใจหนึ่งของเฮอร์ไมโอนี่อยากจะห้ามเขาไว้และดึงมือของเขาออกมา แต่เด็กสาวก็ไม่ได้ทำเช่นนั้นลงไป
มัลฟอยแกะกระดุมตรงแขนเสื้อจนครบสามเม็ดก่อนจะยื่นแขนซ้ายของเขามาให้เธอ
“สิ่งที่เธอต้องการจะดู เกรนเจอร์” เขาพูดขณะที่เฮอร์ไมโอนี่เลื่อนมืออันสั่นเทาของเธอไปจับแขนซ้ายของเขาไว้เบา ๆ เด็กสาวต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากที่จะบังคับมือของเธอไม่ให้สั่นก่อนจะใช้มันเปิดเสื้อของเขาออก!

ท้องแขนข้างซ้ายของเดรโกว่างเปล่า มีเพียงผิวขาวซีดเรียบเนียนของเด็กหนุ่มที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้น ไม่ได้มีตรามารอยู่ตรงนั้นแต่อย่างใด
เฮอร์ไมโอนี่มองท้องแขนของมัลฟอยอย่างงุนงงง ก่อนที่เธอจะเลื่อนสายตาขึ้นไปมองใบหน้าของเด็กหนุ่ม และเห็นได้ชัดว่าดวงตาสีเงินที่มองกลับมามีร่องรอยของความเสียใจ
“ทำไม….” เธอพูดออกมาอย่างสับสน
“ทำไมอะไร ทำไมฉันถึงไม่มีตรามารอยู่บนแขนอย่างนั้นเหรอ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แปลกแปร่ง มันฟังดูผิดหวังระคนเสียใจ
“มัลฟอย ฉัน…..” เฮอร์ไมโอนี่กำลังจะพูดออกมาแต่มัลฟอยกลับขัดขึ้นเสียก่อน
“ช่างมันเถอะ” เขาพูดและก้าวยาว ๆ กลับไปยังที่นั่ง เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงบนเบาะสีเข้มขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ตามไปเขาช้า ๆ
“ฉันเสียใจ มัลฟอย ฉัน…..” เธอพยายามจะอธิบาย แต่เด็กสาวก็ดูเหมือนจะสูญเสียความสามารถในการพูดไปชั่วขณะเมื่อเธอสบดวงตาสีเงินที่ดูผิดหวังของเดรโก
“ฉันไม่ว่าเธอหรอก เกรนเจอร์ ถึงยังไงพ่อของฉันก็เป็นผู้เสพความตาย มันก็ไม่แปลกที่เธอจะคิดว่าฉันจะเป็นเหมือนเขาเข้าซักวัน โดยเฉพาะตอนที่เขาไม่สามารถมารับใช้จอมมารได้แบบนี้” เด็กหนุ่มกล่าวด้วยท่าทีราวกับต้องการเย้ยหยันตัวเอง ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่นั่งลงบนเบาะข้าง ๆ เขา ดวงตาสีน้ำตาลที่เธอใช้มองเขาบอกได้ว่าเธอเสียใจมากแค่ไหนที่เธอสงสัยเขาแบบนี้
เด็กสาวมือไปเพื่อแตะตัวเขา แต่มัลฟอยกลับบัดมันออกและเบนหน้าไปอีกทางหนึ่งเสียก่อน เพราะการกระทำนั้นของเขาทำให้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกเจ็บจี๊ดที่อกราวกับมีใครเอามีดมากรีด!
“เดรโก ฉันขอโทษ” เธอพูดด้วยเสียงที่สั่นเครือ น้ำตาที่เคยเหือดแห้งกลับรื้นขึ้นมาอีกครั้ง และเป็นเพราะชื่อต้นของมัลฟอยที่ออกมาจากปากของเฮอร์ไมโอนี่ทำให้เขาหันกลับมาสนใจเด็กสาวอีกครั้ง สายตาของเด็กหนุ่มที่มองกลับมานั้นดูเย็นชาในตอนแรก แต่เมื่อมัลฟอยเห็นว่าเธอกำลังร้องไห้ ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที
“เกรนเจอร์” เด็กหนุ่มพึมพำ เขาดูตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นว่าเด็กสาวเสียใจมากแค่ไหน เดรโกดูลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนที่เขาจะคว้าร่างบางของเฮอร์ไมโอนี่มาไว้ในอ้อมแขน
“อย่าร้อง” เขากระซิบกับเธอ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ซบใบหน้าของเธอกับอกของเขาพลางร้องไห้ออกมา
“ฉันขอโทษจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่ฉันไม่ควรสงสัยเธอ ทั้ง ๆ ที่เธอสัญญาแล้วว่าเธอจะไม่ทำร้ายฉัน” เธอพึมพำขณะที่เด็กหนุ่มลูบศีรษะของเธอเบา ๆ อย่างปลอบประโยน
“ฉันเองก็ผิดที่ทำตัวแปลกไป เฮอร์ไมโอนี่” เขาพูดพลางจูบแก้มเธอเบา ๆ เพื่อซับน้ำตา ซึ่งเฮอร์ไมโอนี่ก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจกับการกระทำนั้นของเขา
“หยุดร้องเถอะ” เขาพูดพลางจูบอีกครั้งที่แก้ม ริมฝีปากของเด็กหนุ่มสัมผัสน้ำตาของมากมายของเธอ และเขาก็ใช้มันเช็ดน้ำตาเหล่านั้นไปจากใบหน้าของเด็กสาว
“เธอจะยกโทษให้ฉันได้ไหม” เฮอร์ไมโอนี่ถามขณะที่มัลฟอยมีสีหน้าครุ่นคิด
“ฉันไม่จำเป็นจะต้องยกโทษให้เธอ เฮอร์ไมโอนี่” เขาพูดเสียงเข้ม สีหน้าของเด็กสาวสลดลงทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้นขณะที่มัลฟอยมองเธอด้วยสายตาราวกับต้องการจะพิจารณา แต่จู่ ๆ เขาก็ยิ้ม ออกมา
“ก็เธอไม่ได้ทำอะไรผิดนี่นา แล้วฉันจะยกโทษให้เธอได้ยังไง แต่ถ้าเธอคิดมากขนาดนั้นล่ะก็ฉันจะยกโทษให้เธอก็ได้ ถ้าเธอเปลี่ยนมาเรียกฉันว่าเดรโกแบบนี้ตลอดไป” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเด็กหนุ่ม มันเป็นรอยยิ้มที่เด็กสาวไม่ได้เห็นมานานเหลือเกิน และเธอก็ไม่ลังเลเลยที่จะพูดว่าเธอคิดถึงมันมากพอ ๆ กับที่คิดถึงเจ้าของรอยยิ้มนั้น
“คนเจ้าเล่ห์” เธอพูดก่อนจะทุบแผ่นอกของเขาแต่มัลฟอยกลับไม่รู้สึกเจ็บเลย เด็กสาวพยายามขืนตัวออกจากอ้อมแขนของเด็กหนุ่ม แต่แขนแข็งแกร่งของเดรโกกลับรัดร่างของเธอไว้แน่นเกินกว่าที่เธอจะหนีเขาไปได้
“อะไรกัน เมื่อกี๊ยังร้องไห้ซบอกฉันอยู่เลยนี่นา” เขาพูดด้วยท่าทียียวน เฮอร์ไมโอนี่หน้าแดง
“ที่ฉันร้องไห้ก็เพราะฉันนึกว่านายโกรธฉันต่างหากล่ะ” เธอตอบอย่างโกรธ ๆ
“เธอก็รู้ว่าฉันไม่เคยโกรธเธอนี่นา ไม่ใช่สิฉันไม่โกรธเธอเพราะเรื่องนี้แค่นี้หรอก แต่ฉันยอมรับว่าฉันก็น้อยใจอยู่เหมือนกัน” มัลฟอยพูดพลางรัดร่างที่อยู่ในอ้อมแขนให้แน่นมากยิ่งขึ้น “ใครใช้ให้เธอกล่าวหาฉันแบบนั้นกันล่ะ”
“ก็ใครใช้ให้นายทำตัวแปลก ๆ แบบนี้ล่ะ ปล่อยฉันได้แล้ว” เธอพยายามดิ้นให้หลุดการเกาะกุมของเด็กหนุ่ม แต่แน่นอนว่ามัลฟอยไม่ยอมปล่อยเธอไปง่าย ๆ แน่
“เรื่องอะไรล่ะก็เธอเข้ามาหาฉันก่อนนี่นา แถมยังมาร้องไห้ซบอกฉันด้วยซ้ำ” เด็กหนุ่มว่าพลางหอมแก้มเฮอร์ไมโอนี่แรง ๆ ซึ่งทำเอาเด็กสาวหน้าแดงยิ่งกว่าลูกตำลึงสุกเสียอีก
“ปล่อยฉันนะ!” เฮอร์ไมโอนี่พึมพำออกมาเบา ๆ ความกังวลทั้งหลายของเธอหายไปเป็นปลิดทิ้งเมื่อเธอได้รู้ว่าคนรักของเธอไม่ได้เป็นผู้เสพความตายอย่างที่เธอกลัวมาตลอด แต่เด็กสาวก็บ่นอยู่ได้ไม่นานเมื่อเด็กหนุ่มใช่มือข้างหนึ่งของเขาจับคางของเธอไว้และรั้งใบหน้าของเธอให้เงยขึ้นสบตาเขา
“เธอก็รู้ว่าฉันไม่มีวันจะปล่อยเธอง่าย ๆ เฮอร์ไมโอนี่ ยิ่งเธอเป็นคนเข้ามาหาฉันเองแบบนี้ตอนที่ฉันกำลังคิดถึงเธอแทบแย่อย่างนี้ด้วย” เขาพูดและหอมแก้มเธออีกข้าง
เฮอร์ไมโอนี่ทำหน้าบึ้ง มัลฟอยหัวเราะกับสีหน้าของเด็กสาว
“ฉันจะปล่อยเธอก็ได้ แต่เธอต้องสัญญาก่อนว่าจะเรียกฉันว่า ‘ เดรโก ’ อย่างนี้ตลอดไป” เขาย้ำประโยคสุดท้ายอย่างชัดเจน พลางมองเฮอร์ไมโอนี่ด้วยแววตาที่ทำให้เธอไม่อาจปฏิเสธคำขอนั้นได้ เพราะเธอรู้ดีว่าเขาคงไม่ยอมปล่อยเธอแน่ถ้าหากเธอไม่ทำตามที่เขาต้องการ
“ก็ได้ เดรโก ปล่อยฉันก่อนเถอะ” เธออ้อมแอ้มออกมา ใบหน้าเป็นสีแดงยิ่งกว่าตอนที่ถูกเด็กหนุ่มหอมแก้มเสียอีก
“ดีมาก” เขาพูดพลางจูบหน้าผากของเฮอร์ไมโอนี่อย่างแผ่วเบาก่อนจะไล้ริมฝีปากลงมาตามขากรรไกรของเธอ มัลฟอยจูบเธอครั้งแล้วครั้งเล่าที่ใบหน้าราวกับเด็กหนุ่มต้องการถ่ายถอดความคิดถึงที่เขามีต่อเธอผ่านรอยจูบเหล่านั้น
“ไหนบอกว่าจะปล่อยฉันไงล่ะ” เฮอร์ไมโอนี่แย้งและเริ่มดิ้นรนในอ้อมแขนของเขา แต่เดรโกก็รัดวงแขนของเขาเข้ากับร่างบางไว้แน่นเพื่อกันไม่ให้เธอหนีเขาไปไหน
“ฉันบอกว่าจะปล่อยเธอ แต่ฉันไม่ได้บอกนี่นาว่าจะปล่อยเมื่อไหร่” เขาพูดอย่างเจ้าเล่ห์
“นาย!” เด็กสาวจ้องเขาเขม็ง นึกโกรธตัวเองไม่น้อยที่หลงกลเด็กหนุ่มเข้าจนได้ แต่ถึงอย่างไรความโกรธที่เธอมีก็ไม่อาจะเทียบได้กับความดีใจของเธออยู่ดี เพราะตอนนี้เฮอร์ไมโอนี่รู้แล้วว่ามัลฟอยไม่ใช่ผู้เสพความตาย ความกังวลและความเครียดที่เธอมีมาตลอดตั้งแต่วันที่เธอเจอเขาที่ตรอกไดแอกอนนั้นดูจะมลายหายไปในพริบตา เด็กสาวรู้สึกราวกับได้ยกภูเขาลูกใหญ่ออกจากอก เธอรู้สึกโล่งใจและมีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนและเมื่อเธอรู้สึกดีเช่นนี้ทำไมเธอจะต้องมานั่งโมโหเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขาด้วยล่ะ
ในที่สุดเฮอร์ไมโอนี่ก็หยุดดิ้น เธอซบใบหน้าลงกับอกของมัลฟอยเบา ๆ เด็กหนุ่มดูแปลกใจกับการกระทำนั้นไม่น้อย เขาเลิกคิ้วพลางถามขึ้น
“ไม่ดิ้นแล้วเหรอ” เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองเขา
“เธอก็รู้ว่าฉันไม่อยากทะเลาะกับเธอ เดรโก” เธอพูดชื่อต้นของเขาออกมาอีกครั้ง น่าแปลกเหลือเกินที่คราวนี้เธอพูดมันออกมาโดยไม่เขินอายเลยแม้แต่น้อย
มัลฟอยยิ้มให้เธอ
“งั้นก็ดีแล้ว เพราะฉันเองก็ไม่อยากเถียงกับเธอเหมือนกัน” เขาพูดกับเด็กสาว “ฉันบอกเธอแล้วใช่ไหมว่าฉันคิดถึงเธอน่ะ” เขาถาม เฮอร์ไมโอนี่พยักหน้า
“เธอบอกแล้ว แต่ฉันก็ยังอยากฟังอยู่ดี” เธอพูดออกมาโดยไม่ลังเลพลางมองดวงตาสีเงินของเขา
“ฉันคิดถึงเธอ เฮอร์ไมโอนี่ คิดถึงเธอมากกว่าอะไรทั้งหมด” มัลฟอยพูดออกมาก่อนจะประทับริมฝีปากของเขาลงบนริมฝีปากอวบอิ่มสีกุหลาบของเฮอร์ไมโอนี่อีกครั้งขณะที่เด็กหนุ่มกอดเธอไว้แน่นในอ้อมแขนของเขา

.................................................

“ปิดเทอมของเธอเป็นยังไงบ้าง” มัลฟอยถามขึ้นขณะที่เขาโอบกอดเด็กสาวไว้ มือของเด็กหนุ่มลูบแก้มเนียนของเธอเบา ๆ ทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกันในตู้ของเดรโกมาได้พักหนึ่งแล้ว
“ก็ดี ฉันใช้เวลาส่วนมากหมดไปกับการอ่านหนังสือเธอก็รู้” เฮอร์ไมโอนี่ตอบออกมา “แล้วก็กังวลเรื่อง ว.พ.ร.ส. แต่รอนบอกฉันว่า....” เด็กสาวยังไม่ทันพูดจบ มัลฟอยก็ขัดขึ้นเสียก่อน
“วีสลีย์งั้นรึ” เขาพูดเสียงเข้ม นี่เฮอร์ไมโอนี่ลืมไปได้ยังไงว่าเขาไม่ชอบให้เธอเอ่ยชื่อไอ้เพื่อนรักสองตัวนั่นของเธอต่อหน้าเขาน่ะ โดยเฉพาะหลังจากที่พ่อของเขาถูกจับเพราะพวกมันเป็นต้นเหตุแบบนี้!
“ขอโทษ” เด็กสาวพูดขึ้นทันทีเมื่อได้ยินน้ำเสียงของเขา ทั้ง ๆ ที่ปกติเธอเองก็ไม่ชอบเรื่องที่มัลฟอยมักจะหงุดหงิดทุกครั้งเมื่อเธอเอ่ยชื่อแฮร์รี่ หรือรอนก็ตามออกมา แต่ครั้งนี้ที่เธอยอมขอโทษเขาแต่โดยดีเป็นเพราะเด็กสาวไม่ต้องการจะทะเลาะกับเขาหลังจากเจอหน้ากันได้ไม่นาน
“ช่างเถอะ” เขาพูดพลางลูบแก้มเธออีกครั้ง แต่นิ้วของมัลฟอยก็ต้องกระตุกเมื่อเฮอร์ไมโอนี่พูดประโยคต่อมา
“แล้วเธอล่ะ ปิดเทอมของเธอเป็นยังไงบ้าง” เด็กสาวถามพลางมองเด็กหนุ่ม แต่เขากลับนิ่งเงียบและไม่ยอมตอบคำถามเธอ
รอยยิ้มจากหายไปจากใบหน้าของเฮอร์ไมโอนี่
“บอกฉันไม่ได้สินะ” เธอพูด สีหน้าดูผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด “ฉันไม่น่าจะถามเธอเลยทั้ง ๆ ที่เธอก็บอกไว้ในจดหมายอยู่แล้วว่าเรื่องของเราจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป” เฮอร์ไมโอนี่พูดขึ้น มัลฟอยมองเธออย่างแปลกใจ
“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น เฮอร์ไมโอนี่” เขาแก้ ขณะที่เด็กสาวในอ้อมแขนมองเขาราวกับต้องการจะถามว่า ‘ ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงบอกฉันไม่ได้ล่ะ ’ แต่เด็กหนุ่มกลับตอบคำถามนั้นด้วยการถอนหายใจแทน
“ฉันแค่ มีบางเรื่องที่....” เดรโกพูด
“บอกฉันไม่ได้” เธอต่อให้พลางเงยหน้ามองมัลฟอยอย่างหาคำตอบ
“ไม่ใช่อย่างนั้น” เขารีบพูด “เพียงแต่เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น.....มันเร็วเกินกว่าที่ฉันจะตั้งตัวได้ทัน ทั้งเรื่องครอบครัวฉัน” สีหน้าของเขาดูแปลกไปในทันทีเมื่อต้องพูดถึงเรื่องพ่อของเขาที่ถูกจับเข้าอัซคาบัน
“แล้วเธอจะบอกฉันได้ไหมว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นมันจะทำให้เรื่องของเราไม่เหมือนเดิมได้ยังไง” เฮอร์ไมโอนี่ถามเบา ๆ ราวกับเธอกลัวว่าถ้ามัลฟอยได้ยินคำถามนั้นแล้วเขาจะผลักไสเธอ
เด็กหนุ่มถอนหายใจอออกมาอีกครั้ง สีหน้าของเขาดูหนักใจเป็นอย่างมาก
“เธอก็รู้ว่าฉันบอกเธอไม่ได้ ได้โปรดอย่าถามฉันอีกเลย เฮอร์ไมโอนี่” มัลฟอยพูดออกมา และนี่เป็นครั้งแรกที่เขายอมขอร้องเธอ นี่เป็นครั้งแรกที่คนอย่าง เดรโก มัลฟอย ขอร้องเธอ! และเพราะคำพูดนั้นของเขามันทำให้เด็กสาวไม่อาจถามอะไรเขาต่อได้อีกต่อไป
เฮอร์ไมโอนี่ลุกขึ้นจากที่นั่งทันที เธอใช้มือข้างหนึ่งแกะแขนของเด็กหนุ่มที่โอบกอดเธออยู่ออกและเดินไปที่ประตูตู้ก่อนที่เด็กหนุ่มจะทันได้รั้งตัวเธอไว้
“เฮอร์ไมโอนี่” น้ำเสียงของมัลฟอยฟังดูแปลกใจ “เธอจะไปไหน”
“ฉันจะกลับแล้ว” เฮอร์ไมโอนี่ตอบออกมา เสียงของเธอฟังดูกระด้างยิ่งนัก มันไม่เหมือนเสียงที่เด็กสาวเคยใช้พูดกับเด็กหนุ่มเลยแม้แต่น้อย
“ฉันอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้ว ถ้ารอนกับแฮร์รี่.....” เธอยังไม่ทันจะพูดจบดี มัลฟอยก็ขัดขึ้นก่อน
“ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าเอ่ยชื่อพวกมันต่อหน้าฉัน!” เขาพูดไรฟันออกมา เขาไม่ลืมไปง่าย ๆ หรอกว่าเพราะไอ้เจ้าหัวแผลเป็นนั่นทำให้พ่อเขาต้องเข้าไปอยู่ในอัซคาบันแบบนี้!
“แต่ฉันบอกเธอเป็นร้อยครั้งได้แล้วนะว่าพวกเขาเป็นเพื่อนรักของฉันน่ะ” เฮอร์ใมโอนี่เถียง
“แต่พวกมันเป็นศัตรูกับฉัน” เขาโต้ออกมาในทันที
“รวมถึงฉันด้วยใช่ไหม” เด็กสาวพูดขณะที่เด็กหนุ่มมองเธออย่างอึดอัด
“เธอก็รู้ว่าฉันไม่ได้คิดอย่างนั้น เฮอร์ไมโอนี่ เธอไม่ได้ศัตรูของฉัน แต่เธอเป็น……” จู่ ๆคำพูดของมัลฟอยก็ขาดหายไป ราวกับเขาเองก็ยังลังเลที่จะพูดประโยคต่อมาออกไป

แน่นอนว่าเฮอร์ไมโอนี่เป็นผู้หญิงที่เขารักและมัลฟอยก็รู้ว่าเธอรักเขามาก มัลฟอยรู้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้วว่าเขาต้องการให้เฮอร์ไมโอนี่มาเป็นคนรักของเขา เป็นของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น! เพียงแต่สถานการณ์ของเขาในตอนนี้มันกลับไม่สนับสนุนให้เป็นเช่นนั้น ความจริงแล้วมัลฟอยอยากจะบอกเธอในทุกเรื่องที่เขาได้ประสบมา เขาอยากจะกอดเธอไว้แนบอกและให้เธอจูบปลอบโยนเขา แต่เด็กหนุ่มรู้ดีว่าเขาไม่อาจจะทำเช่นนั้นได้ เพราะมัลฟอยรู้ว่าถ้าหากเฮอร์ไมโอนี่รู้ความจริงทั้งหมด เรื่องที่เขาเป็นผู้เสพความตายรวมทั้งเรื่องที่เขากำลังวางแผนฆ่าดัมเบิลดอร์เธอคงจะโกรธเขาอย่างไม่มีวันจะให้อภัยเขาได้ และเมื่อถึงตอนนั้นเขาก็จะสูญเสียเธอไปตลอดกาล!

มือของเดรโกเลื่อนไปกุมมือข้างหนึ่งของเฮอร์ไมโอนี่ไว้เพื่อรั้งเธอไม่ให้ออกจากตู้ไปเสียก่อน
“เธอก็รู้ว่าเธอเป็นคนที่ฉันรัก” เขาพูดออกมาเบา ๆ และเพราะคำพูดนั้นมันทำให้เด็กสาวปฏิเสธที่จะปัดมือเขาออก
“แล้วเธอปฏิบัติแบบนี้กับคนที่เธอรักแบบนี้หรือ มัลฟอย” เธอกลับมาเรียกนามสกุลของเด็กหนุ่มอีกครั้ง
“เธอมีความลับกับคนที่เธอรักแบบนี้หรือ เธอสมควรจะปิดบังคนที่เธอรักอย่างที่เธอทำกับฉันอย่างนี้หรือเปล่า” เธอพูดอย่างมีเหตุผล แม้ว่าน้ำเสียงของเฮอร์ไมโอนี่ฟังดูอ่อนลงแต่มันแฝงความมุ่งมั่นเอาไว้ ราวกับเด็กสาวได้ตั้งใจแล้วว่าเธอจะต้องล้วงเอาความลับจากเขาไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเธอต้องการรู้เหลือเกินว่ามันเกิดอะไรขึ้นในชีวิตของเขาถึงขนาดที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของเขาและเธอเปลี่ยนไปอย่างที่ไม่สามารถจะกลับมาเป็นแบบเดิมได้!
“มันไม่ใช่อย่างนั้น ฉันแค่มีบางเรื่องที่ฉันบอกเธอไม่ได้จริง ๆ เฮอร์ไมโอนี่ ไม่ใช่ว่าฉันไม่ต้องการบอก เพียงแต่......” เสียงของเขาขาดหายไป

’ เพียงแต่ฉันกลัวว่าถ้าบอกเธอไปแล้วเธอจะเกลียดฉันไปชั่วชีวิต ’ คำพูดนั้นดังขึ้นในหัวสมองของมัลฟอย เด็กหนุ่มมีสีหน้าเจ็บปวดกับความคิดนั้น ราวกับมันเป็นเรื่องที่เขาหวาดกลัวมากที่สุดว่ามันจะเกิดขึ้น เพราะสำหรับเดรโกแล้วการที่เฮอร์ไมโอนี่เกลียดเขามันเลวร้ายยิ่งกว่าที่เขาจะต้องกลายเป็นฆาตกรเสียอีก!
เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มเงียบไป เด็กสาวจึงถามเขาขึ้นมา “เพียงแต่อะไร”
“เพียงแต่ฉันมีเหตุผลของฉันว่าทำไมถึงบอกเธอไม่ได้” เขาตอบ
“แล้วเหตุผลที่ว่านั่นล่ะ” เฮอร์ไมโอนี่ถาม แม้จะรู้ดีว่าเธอจะได้รับคำตอบอย่างไรก็ตาม
“ฉันบอกเธอไม่ได้” เด็กหนุ่มพูดออกมาในที่สุด และในครั้งนี้เด็กสาวถึงกับต้องกำหมัดแน่นเพื่อระงับอารมณ์ รวมทั้งห้ามตัวเองไม่ให้เดินออกจากตู้นี้ไปเสียก่อน

.................................................

หลังจากผ่านไปราว ๆ ครึ่งนาทีเฮอร์ไมโอนี่ก็หันกลับมาหาเดรโกอีกครั้ง เด็กสาวจ้องมองใบหน้าของเด็กหนุ่มอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะพูดออกมา
“เธอรู้ไหมว่าที่ฉันต้องการจะให้รู้เรื่องทั้งหมดก็เพราะฉันอยากช่วยเธอเท่านั้น”
“เพราะเธอบอกฉันเอง มัลฟอย ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นมันจะส่งผลให้เรื่องของเราสองคนเปลี่ยนแปลงไปจนไม่อาจจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ ฉันก็แค่ไม่อยากให้เรื่องระหว่างเราจบลง ฉันแค่อยากจะรู้เรื่องทั้งหมดเพื่อช่วยเธอหาทางออกเท่านั้น” เด็กสาวพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็พยายามที่จะไม่ร้องไห้ออกมา เธอเสียน้ำตามามากพอแล้วในวันนี้และเธอก็ไม่ต้องการร้องไห้ต่อหน้ามัลฟอยอีกแล้ว!
เฮอร์ไมโอนี่พยายามจะกลั้นน้ำตาของเธออย่างสุดความสามารถ แต่เธอก็พบว่าเธอไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้ร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้งได้เลย และในทันทีที่น้ำตาหยดแรกไหลออกมาจากดวงตาที่แสนจะอ่อนโยนคู่นั้นของเด็กสาว มัลฟอยก็คว้าร่างบางของเธอมาโอบกอดไว้แนบอก
“เธอไม่จำเป็นต้องช่วยอะไรฉัน เฮอร์ไมโอนี่” มัลฟอยพูดอย่างขมขื่น นี่เธอคิดจริง ๆ หรือว่าเธอจะช่วยอะไรเขาได้ เธอนึกหรือว่าเขาจะเอาเธอไปข้องเกี่ยวกับเรื่องที่เขากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้! และเธอคิดหรือว่าเขาจะยอมให้เธอรู้ว่าเขาได้รับภารกิจในการสังหารดัมเบิลดอร์มากจากจอมมารน่ะ เพราะถ้าเธอรู้ความลับของเขาแล้วล่ะก็เธอคงจะเกลียดเขาไปก่อนที่เขาจะได้ลงมือฆ่าดัมเบิลดอร์ด้วยซ้ำ!
“ฉันไม่ต้องการดึงเธอมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ อีกอย่าง” เด็กหนุ่มมองเด็กสาวที่อยู่ในอ้อมแขนอย่างแสนรัก “ถึงแม้ว่าเรื่องราวของเราจะไม่เหมือนเดิมแล้วก็ตาม แต่มันก็ยังจะไม่จบลง อย่างน้อย ๆ มันก็จะไม่จบลงจนกว่าเธอจะเป็นฝ่ายจบมันเอง” เขาพูด เฮอร์ไมโอนี่จ้องหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ
“เธอหมายความว่ายังไง” เด็กสาวถามอย่างแปลกใจ ในขณะที่เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากทันทีที่นึกได้ว่าเขาไม่น่าจะพูดแบบนั้นออกไปเลย เขาไม่น่าบอกเธอเป็นนัย ๆ เลยว่าต่อไปเธออาจจะเกลียดเขาจนไม่อยากแม้แต่จะมองหน้าเขาถ้าหากเขาฆ่าดัมเบิลดอร์สำเร็จ!
แต่เขาจะฆ่าดัมเบิลดอร์สำเร็จได้ยังไง ในเมื่อเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มทำภารกิจนี้จากตรงไหนเลยด้วยซ้ำ!

‘ นายต้องทำสำเร็จสิ เดรโก นายต้องทำภารกิจที่จอมมารมอบหมายให้จนได้ แม้ว่านายจะต้องเป็นฆาตกรก็ตาม เพราะถึงยังไงนายก็จะปล่อยให้พ่อกับแม่มาตายเพราะนายไม่ได้ และที่สำคัญนายจะให้เฮอร์ไมโอนี่รู้เรื่องนี้ก่อนที่นายจะลงมือไม่ได้ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นเธอต้องพยายามทำทุกวิธีทางที่จะขัดขวางนายอย่างแน่นอน และเมื่อถึงตอนนั้นนายก็จะต้องสู้กับเธอตามคำทำนายที่เธอได้เห็นมา! ’
เดรโกย้ำเตือนกับตัวเอง! เด็กหนุ่มหลับตาลงพลางใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้บีบหว่างคิ้วเบา ๆ เพื่อระงับความเครียดซึ่งมาจากการจินตนาการถึงเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตของเขา อนาคตที่เขาไม่ต้องการให้มันมาถึงเลยแม้แต่น้อย!!!

“มัลฟอย เธอเป็นอะไรรึเปล่า” เฮอร์ไมโอนี่ถามพลางมองเขาอย่างสงสัย แต่เด็กหนุ่มกลับยกมือขึ้นโบกเบา ๆ ในเชิงว่าไม่เป็นไร
เดรโกใช้เวลาอยู่ชั่วครู่ก่อนจะลืมตาขึ้นมา เขามองไปทางเด็กสาวตรงหน้าที่ส่งสายตาเป็นห่วงมาให้
“ที่ฉันพูดหมายความว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันก็จะยังรักเธอ เฮอร์ไมโอนี่ และจะรักเธอตลอดไป” เขาพูดพลางใช้สองมือประคองใบหน้าของเธออย่างแผ่วเบา
“ฉันเองก็รักเธอ เดรโก ฉันเองก็จะรักเธอไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น” เฮอร์ไมโอนี่พูดออกมา
มัลฟอยยิ้มให้เธอ อันที่จริงมันเป็นรอยยิ้มที่เด็กหนุ่มใช้เย้ยหยันตัวเองมากกว่า แต่เด็กสาวไม่ทันได้สังเกตเห็นมัน เพราะเดรโกเชื่อว่าเฮอร์ไมโอนี่จะไม่มีวันพูดแบบนี้แน่ถ้าหากเธอรู้ว่าเขากำลังวางแผนฆ่าอาจารย์ใหญ่ของฮอกวอตส์ที่เธอเทิดทูนนักหนาขณะที่เขากำลังกอดเธออยู่ในตอนนี้ แต่เด็กหนุ่มเองก็ไม่โทษเธอในเรื่องนั้น มันก็ไม่ผิดแล้วถ้าหากเธอจะเกลียดเขาอย่างไม่มีวันให้อภัยในสิ่งที่เขากำลังจะทำลงไปนี่ ถ้าหากเขาจะโทษใครซักคนหรืออะไรซักอย่างเขาคงต้องโทษโชคชะตามากกว่า ที่ทำให้ความรักของพวกเขาเป็นรักต้องห้ามที่ไม่มีวันเป็นไปได้ และไม่มีอะไรเป็นใจให้ความรักนี้ดำเนินต่อไปแม้กระทั่งโชคชะตาก็ตาม!
แต่ถึงอย่างนั้นทั้งสองก็จะลองฝ่าฝืนโชคชะตาที่พวกเขารู้ดีว่ามันแทบจะไม่มีทางทำได้เพียงเพื่อความรักของพวกเขาดูซักครั้ง!
หลังจากเงียบไปอึดใจหนึ่ง มัลฟอยก็พูดออกมา
“ฉันก็สัญญากับเธอ เฮอร์ไมโอนี่ ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตามฉันจะไม่มีวันทำร้ายเธอเป็นอันขาด” เดรโกพูดอย่างหนักแน่น แต่ลึก ๆ แล้วเด็กหนุ่มกลับรู้สึกหนักใจเหลือเกิน ขณะที่เด็กสาวในอ้อมแขนยิ้มให้เขา
“ฉันเชื่อเธอ เดรโก” เฮอร์ไมโอนี่พูดพลางซบใบหน้าลงบนอกของเด็กหนุ่มอีกครั้ง และนี่เป็นอีกครั้งที่เธอได้รู้ว่าเขาสูงขึ้นมากแค่ไหนในช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา เพราะเมื่อทั้งคู่ยืนขึ้นแล้วเด็กสาวพบว่าเธอสูงแค่ไหล่ของมัลฟอยเท่านั้น
“ฉันชอบให้เธอเรียกฉันแบบนี้” เขาพูดอย่างพอใจพลางใช้นิ้วม้วนปอยผมของเธอเล่น
“อันที่จริงฉันกะจะไม่เรียกเธอแบบนี้อีกแล้ว” เด็กสาวสารภาพ
“ทำไมล่ะ”
“ก็เพราะมันเป็นชื่อที่คนรักหรือไม่ก็คนที่สนิทกันมากใช้เรียกกันน่ะสิ” เฮอร์ไมโอนี่พูด
“แล้วตอนนี้เรายังไม่สนิทกับพออีกรึไง อีกอย่างเธอเองก็เป็นคนรักของฉันนะ” มัลฟอยพูดขณะที่เด็กสาวที่มีสีหน้าแปลก ๆ
“ฉันเองก็อยากเป็นอย่างนั้น มัลฟอย” เธอย้ำนามสกุลของเขาอย่างชัดเจน “แต่ฉันก็รับไม่ได้จริง ๆ กับการที่คนรักมีความลับกับฉัน” เธอพูดตามตรง เด็กหนุ่มนิ่วหน้า
“เธอเองก็เคยมีความลับกับฉันนี่ จำเรื่องยาเสน่ห์ได้มั๊ย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่บอกเฮอร์ไมโอนี่ว่าเขาพูดขึ้นมาเฉย ๆ มากกว่าจะยกเรื่องนี้มาตำหนิเธอ
“จริงสินะ งั้นเธอก็คงไม่ผิดที่เธอมีเรื่องปิดบังฉัน” เด็กสาวพูดเมื่อนึกขึ้นได้
“เธอโกรธฉันรึเปล่า” มัลฟอยถามอย่างไม่แน่ใจในท่าทีของเธอ แต่ที่เขารู้แน่ ๆ คือเขาไม่ต้องการให้เธอโกรธเขาเลยแม้แต่น้อย
“เปล่าหรอก” เฮอร์ไมโอนี่ตอบออกมาแทบจะในทันทีที่เขาถาม “ฉันแค่ ช่างเถอะ ฉันแค่กังวลเท่านั้น แต่พอฉันรู้ว่าเธอไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันคิดฉันก็ดีใจมากแล้ว” เธอพูดพลางมองมัลฟอยด้วยสายตาที่บอกเขาว่าเธอหมายความตามที่พูดจริง ๆ เด็กสาวดีใจมากจริง ๆ ที่เด็กหนุ่มไม่ได้เป็นผู้เสพความตายอย่างที่เธอกลัวมาตลอด
แต่เด็กสาวกลับไม่รู้เลยว่าคำพูดนั้นของเธอมันทิ่มแทงใจของมัลฟอยราวกับใบมีดที่คมกริบ
“เธอกังวลมากขนาดนั้นเลยเหรอว่าฉันจะเป็นผ้เสพความตายน่ะ” เขาถามด้วยน้ำเสียงแปลก ๆ
“ต้องใช้คำว่ากลัวมากกว่า ฉันสารภาพว่าฉันกลัวมาก เพราะฉะนั้นฉันจึงต้องบังคับเธอด้วยวิธีนี้ไงล่ะ” เธอบอกพลางมองไปที่แขนซ้ายของเด็กหนุ่ม “แต่ฉันดีใจมากที่เธอไม่เป็นอย่างที่ฉันกลัวน่ะ” เธอยิ้มบาง ๆ ให้เขา แต่มัลฟอยไม่ยิ้มตอบ
“และถ้าฉันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เธอจะทำยังไง” เดรโกถามขึ้นขณะที่เฮอร์ใมโอนี่ขมวดคิ้ว
“เธอหมายความว่ายังไง”
“ฉันแค่ถามเฉย ๆ น่ะ ช่างมันเถอะ” เด็กหนุ่มพูดตัดบท เขาไม่ต้องการรู้จากปากของเธอหรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อเธอพบว่าเขาได้เป็นผู้เสพความตายไปแล้ว เพราะแค่ดูจากสีหน้าของเฮอร์ไมโอนี่ มัลฟอยก็พอจะเดาออกว่าเธอจะผิดหวังและเสียใจมากแค่ไหนกับความจริงอันนี้
เด็กสาวมีสีหน้าแปลกใจ
“เธอกำลังจะบอกอะไรฉันหรือเปล่า มัลฟอย” เธอถาม แน่นอนว่าเฮอร์ไมโอนี่สังเกตุท่าทีลำบากใจของเขาได้ไม่ยาก
“ไม่มีอะไร เฮอร์ไมโอนี่ อีกอย่าง” เขาพูดพลางวางมือลงบนไหล่ของเด็กสาว “ฉันบอกแล้วไงว่าให้เรียกฉันว่าเดรโก” เขายิ้มเจ้าเล่ห์เพื่อกลบเกลื่อนทุกอย่าง เฮอร์ไมโอนี่หน้าบึ้งขึ้นมาทันที
“ไม่! ฉันจะไม่เรียกชื่นต้นของเธอ มัลฟอย จนกว่าเธอจะยอมเล่าความจริงทุกอย่างให้ฉันฟัง จนกว่าเธอจะเลิกปิดบังอะไร ๆ ฉันซักที” เด็กสาวบอกเสียงเข้ม
“เธอก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้” เขาพูดออกมา
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็ทำให้เธอไม่ได้เช่นกัน” เธอพูดอย่างหนักแน่น เดรโกถอนใจออกมา
“ตกลง ไม่เรียกว่า ‘ เดรโก ‘ ก็ได้” เด็กหนุ่มพูดพลางมองหน้าเธอ “เพราะไม่ว่าเธอจะเรียกฉันว่าอะไร เธอก็รักฉันอยู่ดี” มัลฟอยพูดด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์
“หลงตัวเอง!” เด็กสาวโต้กลับมาเบา ๆ
“หรือเธอจะปฏิเสธว่าเธอไม่รักฉันหรือ เฮอร์ไมโอนี่” เขาพูดด้วยท่าทีเป็นต่อก่อนจะค่อย ๆ ไล้นิ้วโป้งลงบนแก้มเนียนของเธออีกครั้งขณะที่มือหนึ่งของเขาคว้าเอวเธอเอาไว้ มัลฟอยก้มลงไปจูบเธอเบา ๆ ที่ริมฝีปาก เฮอร์ไมโอนี่หน้าแดงขึ้นมาทันที เธอพยายามผลักเขาออกห่าง
“ปล่อยฉันเถอะ ฉันต้องไปแล้ว” เธอพูดขึ้นมา ขณะที่มัลฟอยถอนใจออกมาเป็นครั้งที่ร้อย
“กลัวเจ้าเพื่อนรักของเธอสงสัยสินะว่าทำไมเธอถึงหายไปนานขนาดนี้” เขาพูดพลางจ้องมองเธอด้วยแววตาเฉียบคมแต่ยังไม่ยอมปล่อยเด็กสาวออกจากอ้อมแขน
“นายก็รู้เหตุผลของฉันดีแล้วนี่เพราะฉะนั้นปล่อยฉันได้แล้ว อีกอย่างนายก็คงไม่อยากให้ยายแพนซี่เข้ามาเห็นฉันอยู่ในตู้นี้กับนายหรอกนะ มัลฟอย” เธอพูดอย่างมีเหตุผล และคราวนี้เด็กหนุ่มจึงจำเป็นต้องปล่อยเธอแต่โดยดี
“เธอคงดีใจสินะที่ได้กลับไปร่วมงานกับวีสลีย์น่ะ” เขาพูด ขณะที่เด็กสาวมองเขาอย่างแปลกใจ
“เธอก็รู้นี่นาว่าฉันอยากทำงานกับเธอมากกว่า” เฮอร์ไมโอนี่พูดตามตรง ขณะที่มัลฟอยทำหน้าราวกับจะพูดว่า ‘ ขอให้มันจริงเถอะ ’
“หรืออย่างน้อยนายก็อยากทำงานกับฉันเหมือนเดิมใช่ไหม ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด” เด็กสาวพูดพร้อมกับยิ้มให้เขา เธอพยายามไม่สนใจกับท่าทีประชดประชันของเขา แต่เด็กหนุ่มกลับไม่ตอบอะไรออกไป
ถ้าปกติแล้วเขาต้องอยากร่วมงานกับเธอตามเดิมอย่างแน่นอน เพราะนั่นหมายความว่าเขาจะได้มีเวลาอยู่กับเธอสองต่อสองมากขึ้น แต่ในครั้งนี้มันไม่เหมือนครั้งก่อน ๆ แล้ว มัลฟอยยอมรับว่าเขาดีใจไม่น้อยที่อาจารย์เปลี่ยนให้พรีเฟ็คบ้านเดียวกันกลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้ง เพราะไม่อย่างนั้นมันคงเป็นการยากสำหรับเขาที่จะซ่อนความลับของเขาให้พ้นจากสายตาของเฮอร์ไมโอนี่
“ฉันว่าวีสลีย์น่าจะดีใจมากกว่านะที่ได้กลับมาคู่กับเธอน่ะ” มัลฟอยพูด เด็กสาวขมวดคิ้ว
“เธอหมายความว่ายังไง” เฮอร์ไมโอนี่ถามด้วยสีหน้างุงนงง และเพราะท่าทีของเธอมันเลยทำให้เด็กหนุ่มเดาได้ว่าเธอไม่รู้เลยซักนิดว่ารอน วีสลีย์คิดกับเธอยังไง
“เปล่าไม่มีอะไรหรอก” เดรโกพูดออกมา เขาไม่ต้องการบบอกเธอหรอกว่าจริง ๆ และไอ้หน้ากระเขรอะวีสลีย์ เพื่อนรักของเธอที่เป็นศัตรูของเขาอาจจะคิดอะไรมากกว่าเธอเกินเพื่อน ซึ่งมันก็เห็นได้ชัดอยู่แล้วตอนที่วีสลีย์พยายามจะทำร้ายเขาเนื่องจากเขาทำให้เฮอร์ไมโอนี่ร้องไห้เพราะเธอบังเอิญไปเห็นเขาจูบกับแพนซี่ตรงระเบียบทางเดิน รวมทั้งอีกนับครั้งไม่ถ้วนที่ไอ้หัวแดงนั่นพยายามจะฆ่าเขาเพียงแค่เขาพูดจาดูถูกเธอเท่านั้น
เฮอร์ไมโอนี่มองเขาด้วยสีหน้าสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง แต่เธอก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา
“ฉันต้องไปแล้วจริง ๆ มัลฟอย” เธอพูดขึ้นมา สีหน้าของมัลฟอยสลดลงเล็กน้อย แต่มันยังคงไว้ซึ่งความเรียบเฉย
“งั้นก็ไปเถอะ” เขาตอบเรียบ ๆ แต่มือหนึ่งของเด็กหนุ่มกลับคว้าร่างของเด็กสาวไว้และจูบเธอที่หน้าผากเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมกับพูดว่า ‘ ฉันรักเธอ ’
ใบหน้าของเฮอร์ไมโอนี่ขึ้นสีอีกครั้ง เธอทำได้แค่พึมพำตอบกลับมาว่า
“แล้วเจอกัน” เด็กสาวพูด มัลฟอยพยักหน้าให้เธอที่เธอก่อนจะออกจากตู้ไป

.................................................

หลังจากแน่ใจว่าร่างของเฮอร์ไมโอนี่ลับประตูตู้ไปแล้ว เดรโกก็ทรุดกายลงบนเบาะสีเข้ม มือขวาของเขาเลื่อนไปที่แขนข้างซ้าย เด็กหนุ่มหลับตาลงพร้อมกับพึมพำคาถาในใจ
และจู่ ๆ ตรามารก็ปรากฏขึ้นมาบนท้องแขนของเขาอีกครั้ง รอยสักรูปหัวกะโหลกที่มีลิ้นเป็นงูนั้นราวกับจะหลอกหลอนเขาทุกครั้งที่เขาจ้องมองมัน มัลฟอยรีบติดกระดุมแขนเสื้อทันทีและดึงเสื้อลงเพื่อซ่อนมันออกจากสายตาของใครก็ตามที่อาจจะเข้ามาในตู้นี้โดยที่เขาไม่รู้ตัว
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของเด็กหนุ่มที่เขารู้สึกดีใจที่พ่อสอนเวทย์มนตร์มืดให้เขารวมไปถึงการใช้เวทย์มนตร์โดยไม่ต้องใช้ไม้กายสิทธ์อันนี้ด้วย พอ ๆ กับที่ป้าเบลลาทริกซ์ของเขาสอนวิธีซ่อนตรามารให้แก่เขา แม้ว่ามันจะเป็นเวทย์มนตร์ขั้นสูงไปบ้างก็ตาม แต่มัลฟอยก็คิดว่าเขาใช้มันได้ดีทั้งสองอย่าง เพราะอย่างน้อยเขาก็สามารถทำให้เฮอร์ไมโอนี่เชื่อได้ว่าเขาไม่ได้เป็นผู้เสพความตายไปซักระยะหนึ่ง และที่เขาทำลงไปทั้งหมดนี่ก็เพราะเขาต้องการปกป้องเธอ เหมือนกับตอนที่เขาใช้เวทย์มนตร์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์ลบชื่อของเด็กสาวออกจากรายชื่อ ‘ กองทัพดัมเบิลดอร์ ’ ตอนปีห้า เพื่อไม่ให้เธอต้องโดนไล่ออกจากโรงเรียนในตอนนั้น
มัลฟอยหลับตาลงพลางพิงศีรษะเข้ากับเบาะกำมะหยี่ เด็กหนุ่มรู้สึกโล่งอกและหนักใจไปในคราวเดียวกัน เพราะถึงเขาจะสามารถซ่อนความลับดำมืดของเขาจากเฮอร์ไมโอนี่ได้ในครั้งนี้ แต่เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะปิดบังเธอได้ทุกครั้งไป โดยเฉพาะคนฉลาด ๆ อย่างเธอคงจะค้นพบสิ่งที่เขาพยายามจะปิดบังจากเธอได้ไม่ยาก และเมื่อถึงตอนนั้นเธอก็คงจะเกลียดชังเธอไปตลอดชีวิต!
และเพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้มัลฟอยต้องพยายามปิดบังความลับของเขาอย่างสุดความสามารถ อย่างน้อยก็จนกว่าเขาจะทำภารกิจที่เขาจอมมารมอบหมายให้ได้สำเร็จ
แต่เมื่อถึงตอนนั้น ถ้าเขาสามารถสังหารดัมเบิลดอร์ได้สำเร็จแล้วและความจริงทุกอย่างถูกเปิดเผยออกมา เมื่อถึงวันนั้นเฮอร์ไมโอนี่จะเกลียดชังเขามากแค่ไหนเด็กหนุ่มไม่สามารถเดาได้เลย


*************************************************




 

Create Date : 30 ตุลาคม 2552    
Last Update : 30 ตุลาคม 2552 23:21:10 น.
Counter : 643 Pageviews.  

รักต้องห้ามภาค 2 : Chapter 9 Back to Hogwarts




เฮอร์ไมโอนี่ตื่นนอนตอนเช้าด้วยอาการที่ไม่สดชื่นเท่าไหร่นัก เด็กสาวรู้สึกว่าเธอนอนยังไม่เต็มอิ่มเอาเสียเลยขณะที่นางวีสลีย์มาปลุกเธอและจินนี่ให้ไปทานอาหารเช้า การเดินทางจากบ้านโพรงกระต่ายไปยังสถานีคิงครอสต์นั้นเป็นไปอย่างราบลื่น ทางกระทรวงส่งรถส่วนตัวมารับพวกเขาถึงสองคันและส่งมือปราบมารมาคุ้มครองพวกเด็ก ๆ จนถึงชานชาลาที่เก้าเศษสามส่วนสี่ หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือทางกระทรวงส่งคนมาคุ้มครองแฮร์รี่อย่างใกล้ชิดจนกว่าเขาจะขึ้นรถไฟกลับฮอกวอตส์ เพราะตั้งแต่โวลเดอมอร์หวนคืนสู่อำนาจเมื่อสองปีก่อนแฮร์รี่ก็ถือได้ว่าเป็นบุคลลอันดับหนึ่งที่โวลเดอมอร์ไม่ต้องการให้มีชีวิตอยู่
มือปราบมารที่ถูกส่งมาคุ้มครองเด็ก ๆ นั้นไม่ได้มีแค่คนของภาคีที่เฮอร์ไมโอนี่รู้จัก บางคนก็เป็นมือปราบมารที่เธอไม่คุ้นหน้ามาก่อน แต่พวกเขาก็ทำงานของเขาได้อย่างไม่มีที่ติหรือบางทีอาจจะดีเกินไปด้วยซ้ำ เพราะเด็กสาวเห็นว่าแฮร์รี่มีท่าทีไม่พอใจเมื่อมือปราบมารที่ได้รับหน้าที่ให้คุ้มครองเขา คว้าต้นแขนของเขาเพื่อพาแฮร์รี่เดินผ่านแผงกั้นระหว่างชานชาลาที่เก้ากับสิบราวกับเขาเป็นเด็กเล็ก ๆ ที่เพิ่งหัดเดิน แต่แน่นอนว่าแฮร์รี่ก็กล่าวกับมือปราบมารคนนั้นอย่างสุภาพว่าเขาไม่ต้องการความช่วยเหลือแต่อย่างใด
เมื่อเด็กทั้งหมดเข้าไปยังชานชาลาเรียบร้อยแล้ว แฮร์รี่ก็ชวนเฮอร์ไมโอนี่กับรอนไปหาห้องว่างในรถไฟกัน แต่เธอต้องปฏิเสธเขา ว่าเธอและรอนไปกับเขาไม่ได้เพราะทั้งสองต้องไปอยู่ที่ตู้พรีเฟ็คในช่วงเช้า แฮร์รี่ดูมีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อยเมื่อเขาได้ยินเด็กสาวพูดเช่นนั้น แต่เด็กหนุ่มผมดำก็พยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่และรอนจะเดินไปทางด้านต้นขบวนของรถไฟ
เด็กสาวเดินนำรอนไปจนถึงตู้พรีเฟ็คซึ่งเป็นตู้ขนาดใหญ่สองตู้ตรงต้นขบวนถัดมาจากตู้ของอาจารย์และตู้ประธาน เธอเปิดประตูตู้ออกและพบว่ามีพรีเฟ็คบางคนอยู่ที่นั่นเรียบร้อยแล้ว เออร์นี่ มักมิลลัน กับ แฮนนาห์ อับบอต ฟรีเฟ็คของบ้านฮัฟเฟิลพัฟนั่นอยู่ติดกันตรงมุมตู้ ปัทมา พาติล ฟรีเฟ็คบ้านเรเวรคลอซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้วมองมาทางพวกเขาทันทีที่ประตูเปิดขึ้น แต่เมื่อปัทมาเห็นรอนเธอก็เบือนหน้าไปทางอื่นอย่างเย็นชาซึ่งเห็นได้ชัดว่าเธอยังไม่ลืมเรื่องที่เขาไม่เอาใจใส่เธอในงานเลี้ยงเต้นรำตอนปีสี่แม้ว่ามันจะผ่านมาเกือบสองปีแล้วก็ตาม
เฮอร์ไมโอนี่กับรอนเข้าไปนั่งในตู้และในอีกสองนาทีต่อมาแอนโทนี โกลด์สตีน พรีเฟ็คของบ้านเรเวนคลออีกคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น เด็กสาวเห็นว่าปัทมาเขยิบที่นั่งข้าง ๆ เธอให้แอนโทนีนั่งอย่างจงใจ เพราะเธอต้องการหนีห่างจากรอนให้มากที่สุด ในตอนนี้พรีเฟ็คจากทุกบ้านก็มากันพร้อมหน้าแล้วขาดแต่พรีเฟ็คของบ้านสลิธีรินซึ่งก็คือเดรโก มัลฟอย และแพนซี่ พาร์กินสันเท่านั้น
เฮอร์ไมโอนี่มองไปยังประตูตู้อย่างใจจดใจจ่อ เธอกำลังรอมัลฟอยอยู่ เธอมองหาเขามาตั้งแต่ตอนที่เธอเข้ามาที่ชานชาลาแล้วแต่เธอก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเด็กหนุ่ม เด็กสาวมองไปที่ประตูและหวังว่าในอีกไม่กี่นาทีต่อมามันจะเปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของเด็กหนุ่มผมบลอนด์ [ ซึ่งเฮอร์ไมโอนี่คงดีใจมากถ้าเขาจะปรากฏตัวขึ้นเพียงคนเดียวโดยไม่หนีบยายแพนซี่ พาร์กินสันมาด้วย ] มัลฟอยจะก้าวเข้ามาในตู้พร้อมกับมองไปรอบ ๆ ตู้พรีเฟ็คด้วยสายตาดูแคลนแบบที่เขาชอบใช้ และเขาจะเลือกที่นั่งให้ห่างจากรอนมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้อย่างที่เขาเคยทำ
ไม่ทันที่ความคิดของเฮอร์ไมโอนี่จะดำเนินต่อไปจนจบประตูตู้ก็เปิดขึ้น เด็กสาวเงยหน้าขึ้นและพบว่าร่างที่ยืนอยู่ตรงประตูตู้นั้นไม่ใช่เด็กหนุ่มที่เธออยากเจอมากกว่าอะไรทั้งหมด แต่ร่างนั้นกลับเป็นศาสตราจารย์มักกอนนากัล อาจารย์วิชาแปลงร่างของเธอ
ศาสตราจารย์มักกอนนากัลปรากฏตัวในเสื้อคลุมสีแดงเลือดหมูพร้อมกับหมวกทรงสูงแบบที่เธอใส่เป็นประจำ ในมือของเธอถือม้วนกระดาษจำนวนมาก เธอมองไปรอบ ๆ ตู้ด้วยสายตาคมกริบก่อนจะพูดออกมาว่า
“พรีเฟ็คจากสลิธีรินหายไปไหน” นักเรียนของเธอทั้งหมดมองหน้ากันเอง และเมื่อเธอพบว่าไม่มีนักเรียนคนไหนสามารถตอบคำถามของเธอได้ ศาสตราจารย์มักกอลนากัลจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“พรีเฟ็คปีหกของสลิธีริน มิสเตอร์มัลฟอย กับมิสพาร์กินสันมีใครเห็นพวกเขาบ้าง” ศาสตราจารย์มักกอนนากัลถามซ้ำขึ้นมาแต่ก่อนที่พรีเฟ็คที่เหลือจะได้ตอบคำถามของเธอ ก็มีร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นข้างหลังของอาจารย์ซึ่งเฮอร์ไมโอนี่จำได้ดีว่าร่างนั้นเป็นเด็กสาวหน้าหงิกจากบ้านสลิธีรินที่เป็นคู่อริของเธอมานาน แพนซี่ พาร์กินสันนั่นเอง
“ค่ะ อาจารย์” แพนซี่พูดขึ้นอย่างเกรง ๆ ขณะที่ศาสตราจารย์มักกอนนากัลหันมาทางเธอ
“มิสพาร์กินสัน แล้วมิสเตอร์มัลฟอยล่ะ” เธอถามด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“คือ.....มัลฟอยเขา” แพนซี่อ้ำอึ้งในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ขมวดคิ้วรอฟังสิ่งที่แพนซี่กำลังจะพูดอย่างใจจดใจจ่อ
“มิสเตอร์มัลฟอย เขาทำไม” ศาสตราจารย์มักกอนนากัลถามขึ้นอีกครั้งด้วยสีหน้ารำคาญใจ
“มัลฟอยเขาฝากมาบอกว่าเขาไม่ค่อยสบายน่ะค่ะ เขาอาจจะมาเดินตรวจบริเวณไม่ได้ในวันนี้” แพนซี่พูด หน้าเธอซีดเล็กน้อยเมื่อศาสตราจารย์มักกอนนากัลจ้องเธอด้วยแววตาเฉียบคม อาจารย์มองแพนซี่อยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะพูดออกมา
“ถ้ามิสเตอร์มัลฟอยไม่สบายจนไม่สามารถปฏิบัติงานได้ ฉันก็เกรงว่าเธอต้องรับหน้าที่ตรวจบริเวณคนเดียวในวันนี้ มิสพาร์กินสัน” ศาสตราจารย์มักกอนนากัลว่า
“เอาล่ะ เธอเข้าไปนั่งในตู้ก่อนฉันมีเรื่องจะแจ้งพวกเธอทุกคน” ศาสตราจารย์มักกอนนากัลพูดกับสีหน้าแปลกใจของแพนซี่ รวมทั้งเฮอร์ไมโอนี่ด้วย
“แต่ปีที่แล้วหนูไม่ได้ตรวจบริเวณคู่มัลฟอยไม่ใช่เหรอคะ” เธอถามขึ้นด้วยสีหน้างุนงง เพราะเมื่อปีก่อนมีการเปลี่ยนแปลงหน้าที่ของพรีเฟ็คทำให้เธอต้องไปทำงานร่วมกับเออร์นี่ มักมิลลัน ขณะที่มัลฟอยต้องไปตรวจบริเวณคู่กับเฮอร์ไมโอนี่แทน
“มีการเปลี่ยนแปลงหน้าที่ของพรีเฟ็คเล็กน้อยในปีนี้ เข้าไปนั่งในตู้ก่อนแล้วฉันจะอธิบายให้ฟัง” ศาสตราจารย์มักกอนนากัลกล่าวพลางเดินตามแพนซี่เข้าไปในตู้พรีเฟ็ค

*************************************************

เมื่อแพนซี่เข้ามานั่งในตู้แล้ว [ เธอเลือกนั่งให้ไกลจากเฮอร์ไมโอนี่มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ] ศาสตราจารย์มักกอนนากัลก็ตามเธอเข้ามา หลังจากประตูตู้พรีเฟ็คปิดลงเธอก็เริ่มคลี่ม้วนเอกสารในมือขึ้นอ่าน
“ในปีนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงกฎของโรงเรียนบางข้อ ส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับความปลอดภัย รวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงหน้าที่ของพรีเฟ็คอย่างพวกเธอด้วย” ศาสตราจารย์มักกอนนากัลกล่าวขณะมองไปยังพรีเฟ็คปีหกทุกคนที่อยู่ในตู้
“การรักษาความปลอดภัยของทางโรงเรียนในปีนี้จะเข้มงวดมากกว่าปีที่ผ่านมาหลายเท่า เนื่องจากเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นในตอนนี้ และฉันก็จำเป็นต้องบอกพวกเธอด้วยว่าฮอกวอตส์อาจจะไม่ใช่ที่ที่ปลอดภัยที่สุดอีกต่อไปถ้าไม่ได้รับความร่วมมือจากพวกเธอ” ศาสตราจารย์มักกอนากัลพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“สัมภาระของนักเรียนทุกคนจำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบก่อนจะนำเข้าปราสาท เพื่อป้องกันการแอบเอาสิ่งของที่มีเวทย์มนตร์มืดเข้ามาในโรงเรียน ทางเข้าออกทุกทางของโรงเรียนจะมีมือปราบมารเฝ้าอยู่เพื่อความปลอดภัยของโรงเรียนและที่สำคัญของตัวนักเรียนเองด้วย” เธอกวาดสายตาอันเฉียบคมไปยังพรีเฟ็คทุกคนที่กำลังตั้งใจฟังเธออยู่
“เนื่องจากโรงเรียนของเราอาจจะไม่ใช่ที่ที่ปลอดภัยที่สุดอีกต่อไป ดังนั้นฉันจึงจำเป็นต้องขอความร่วมมือจากพวกเธอทุกคน พรีเฟ็คของทุกบ้านต้องมารายงานอาจารย์ประจำบ้านทันทีที่พบอะไรผิดปกติ นอกจากนั้นพวกเธอยังได้รับอนุญาตให้ยึดสิ่งของของนักเรียนมาตรวจสอบได้หากเธอพบว่ามันน่าสงสัย” ศาสตราจารย์มักกอนนากัลกล่าวขณะที่รอนแอบกระซิบกับเฮอร์ไมโอนี่ว่า ‘ เยี่ยมไปเลย ’ ส่วนเด็กสาวก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่เธอรู้ดีว่ารอนอยากให้พรีเฟ็คมีอำนาจยึดของเล่นของพวกรุ่นน้องมานานแล้ว
“ส่วนเรื่องการเดินตรวจบริเวณ พวกเธอยังคงต้องปฏิบัติหน้าที่ตามเดิมแต่ต้องระมัดระวังมากยิ่งขึ้น แม้ว่าทางเข้าของโรงเรียนทุกทางจะถูกจับตาดู แต่ฉันก็ไม่อยากให้มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเธอระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่ ถ้าหากเธอพบอะไรไม่ชอบมาพากลฉันขอย้ำไว้เลยว่าอย่าเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอย่างเด็ดขาด ให้เธอไปแจ้งอาจารย์ทันทีเข้าใจไหม” ศาสตราจารย์มักกอนนากัลย้ำประโยคสุดท้ายอย่างชัดเจนขณะที่พรีเฟ็คทุกคนพยักหน้าตามอย่างเคร่งครัด
“นอกจากนี้พวกเธอทุกคนจำเป็นต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัดในปีนี้ โดยเฉพาะการเดินตรวจบริเวณนั้นห้ามมีการละเว้นใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าหากเธอไม่ป่วยหนักหรือมีเหตุจำเป็นจริง ๆ การโดดงานถือว่าเป็นความผิดที่ใหญ่หลวงและถ้าพรีเฟ็คคนใดทำเช่นนั้นฉันแน่ใจว่าเขาหรือเธอจะทำให้บ้านของตัวเองเสียแต้มอย่างมหาศาลไปเลยทีเดียว” เธอย้ำกับสีหน้าขาวซีดของเด็ก ๆ
“อีกอย่างในปีนี้มีการเปลี่ยนแปลงการทำงานของพรีเฟ็คเล็กน้อย อาจารย์ใหญ่มีคำสั่งให้ยกเลิกการจับคู่ระหว่างพรีเฟ็คต่างบ้านในปีก่อน และให้พรีเฟ็คบ้านเดียวกันมาทำงานร่วมกันตามเดิม” หลังจากศาสตราจารย์มักกอนนากัลพูดจบก็มีเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกมาจากพรีเฟ็คหลายคน แต่ที่แน่ ๆ คนที่เฮอร์ไมโอนี่ได้ยินอย่างชัดเจนว่าถอนหายใจนั้นก็คือ รอนและแพนซี่ ในขณะที่เด็กสาวซึ่งตกตะลึงกับคำสั่งนี้พูดออกไปก่อนที่เธอจะทันห้ามตัวเอง
“อะไรนะคะ!” เฮอร์ไมโอนี่ร้อง ศาสตราจารย์มักกอนนากัลรวมถึงพรีเฟ็คคนอื่น ๆ มองมาทางเธออย่างแปลกใจ
“เธอว่าอะไรนะมิสเกรนเจอร์” อาจารย์ถามเธอ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่หน้าแดงก่ำเมื่อรู้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไป
“เอ้อ.....หนู....เปล่าค่ะ......คือหนูต้องกลับไปคู่กับรอนใช่ไหมคะ” เธออ้อมแอ้มออกมา รู้สึกอับอายไม่น้อย ขณะที่ศาสตราจารย์มักกอนนากัลยังมองเธอด้วยท่าทีสงสัยอยู่
“ใช่แล้ว มิสเกรนเจอร์ เธอต้องกลับไปทำงานร่วมกับมิสเตอร์วีสลีย์ตามเดิม ซึ่งฉันคิดว่าเธอน่าจะพอใจกับคำสั่งนี้เสียนี้เสียอีกนะ” ศาสตราจารย์มักกอนนากัลพูด
“เอ่อ....ค่ะ....หนูพอใจมากเลยค่ะ” เด็กสาวแกล้งตอบ ทั้ง ๆ ที่ใจจริงแล้วเธออยากจะร่วมงานกับมัลฟอยตามเดิมมากกว่า เพราะมันทำให้เธอมีโอกาสอยู่กับเขาตามลำพังและเธอจะได้อาศัยโอกาสนั้นถามเขาถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี” ศาสตราจารย์มักกอนนากัลพูดพลางมองไปยังพรีเฟ็คที่เหลือ “พวกเธอมีอะไรสงสัยอีกไหม” พรีเฟ็คที่เหลือต่างพากันเงียบกริบ จนกระทั่ง แอนโทนี โกลด์สตีน พรีเฟ็คบ้านเรเวนคลอถามขึ้นมา
“แล้วคำสั่งใหม่ที่ว่านี่เริ่มใช้ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”
“แน่นอนว่าตั้งแต่เดี๋ยวนี้ มิสเตอร์โกลด์สตีน อ้อ แล้วฉันก็อยากแน่ใจด้วยนะว่าพวกเธอเดินตรวจตามทางเดินให้เรียบร้อย เพราะฉันคิดว่าคงมีเด็กจำนวนไม่น้อยที่ซื้อของเล่นจากร้านเกมกลวิเศษวีสลีย์มาแล้วอยากจะลองใช้มันบนรถไฟน่ะ” ศาสตราจารย์มักกอนนากัลพูดขณะที่รอนกระซิบกับเฮอร์ไมโอนี่เบา ๆ ว่า ‘ อย่างน้อยก็ฉันคนนึงล่ะ ’

.................................................

หลังจากอธิบายคำสั่งต่าง ๆ ให้พรีเฟ็คทั้งหมดเข้าใจแล้วศาสตราจารย์มักกอนนากัลก็ขอตัวไปคุยกับประธานนักเรียนที่ตู้ประธานต่อ เธอกำชับให้พวกเขาเริ่มเดินตรวจตามทางเดินได้ในทันที และอาจารย์ก็ไม่ลืมที่จะหันไปบอกแพนซี่ให้แจ้งมัลฟอยให้ทราบเรื่องการประชุมในวันนี้ด้วย รวมทั้งให้เธอบอกเขาว่าเขาจำเป็นต้องมาร่วมการประชุมพรีเฟ็คในครั้งต่อไปอย่างไม่มีข้อแม้ เว้นแต่เขาจะไม่สบายจนถูกส่งไปเซนต์มังโกเขาถึงจะขาดการประชุมได้
“ระหว่างนี้เธอต้องเดินตรวจทางเดินคนเดียวไปก่อนนะมิสพาร์กินสัน แล้วอย่าลืมที่ฉันสั่งให้บอกมิสเอตร์มัลฟอยล่ะ” เฮอร์ไมโอนี่ได้ยินศาสตราจารย์มักกอนนากัลย้ำกับแพนซี่ ก่อนที่เธอกับรอนจะเดินออกมาจากตู้
“ค่ะ อาจารย์ หนูจะบอกเขาทันทีที่หนูกลับถึงตู้เลยค่ะ ตอนนี้เขาไม่สบายมากเลยนอนพักอยู่ที่ตู้น่ะค่ะ” เฮอร์ไมโอนี่เลิกคิ้วกับคำพูดของแพนซี่ มัลฟอยไม่สบายมากอย่างนั้นหรือ
“ถ้าเขาไม่สบายมากอย่างที่เธอว่าจริง ๆ ฉันก็อยากจะไปดูเขาเสียหน่อยนะ มิสพาร์กินสัน เผื่อว่าฉันจะช่วยอะไรได้บ้างหากเขาเกิดเป็นอะไรขึ้น” ศาสตราจารย์มักกอนนากัลพูดอย่างเป็นห่วงขณะที่แพนซี่ตาโต
“ไม่ค่ะ อาจารย์ไม่ต้องไปดูเขาหรอกค่ะ......คือเขา.....เขา.....” เด็กสาวผมดำอ้ำอึ้ง
“เขาทำไม มิสพาร์กินสัน” อาจารย์ถาม เธอมองสีหน้าของแพนซี่อย่างแปลกใจ
“คือเขาไม่เชิงไม่สบายทางร่างกายอย่างเดียวน่ะค่ะ......หนูคิดว่ามันน่าจะมาจากทางด้านจิตใจของเขามากกว่า เขาเครียดมากค่ะเรื่อง......อาจารย์ก็รู้ใช่ไหมคะว่าเรื่องอะไร มัลฟอยบอกว่าเขาปวดหัวเลยมาประชุมไม่ได้ และตอนนี้เขานอนพักอยู่คนเดียวในตู้ หนูคิดว่าถ้าเขาได้พักผ่อนแล้วก็คงดีขึ้นน่ะค่ะ อาจารย์ไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ” แพนซี่พยายามอธิบาย และศาสตราจารย์มักกอนนากัลรวมทั้งเฮอร์ไมโอนี่ที่ฟังอยู่ก็เข้าใจว่าเรื่องที่มัลฟอยเครียดน่าจะเป็นเรื่องที่พ่อของเขาถูกจับเข้าคุก
“ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้เขาพักไปก่อนแล้วกัน แต่ถ้าอาการของเขายังไม่ดีขึ้นเขาก็ควรจะไปให้มาดามพินซ์ตรวจสักหน่อยนะ อ้อ แล้วอย่าลืมเรื่องที่ฉันฝากบอกเขาด้วยล่ะ มิสพาร์กินสัน” ศาสตราจารย์มักกอนนากัลย้ำกับแพนซี่เป็นครั้งสุดท้าย
“ไม่ลืมค่ะ อาจารย์” เธอพูดขณะที่ศาสตราจารย์มักกอนนากัลพยักหน้าอย่างพอใจก่อนจะเดินออกจากตู้ไป
เมื่อร่างของศาสตราจารย์มักกอนนากัลรวมทั้งแพนซี่ลับประตูตู้ไปแล้ว รอนก็สะกิดเฮอร์ไมโอนี่ที่แขน เธอหันไปมองเด็กหนุ่มผมแดงด้วยสายตาราวกับจะพูดว่า ‘ อะไร ’
“เราจะไปกันรึยัง” เขาถามกับสีหน้างุนงงของเด็กสาว
“ไปไหน” เธอถามกลับมา รอนมองเธออย่างงุนงงไม่แพ้กัน
“ก็ไปเดินตรวจทางเดินไงล่ะ ให้ตายเถอะเฮอร์ไมโอนี่ เธอเป็นอะไรรึเปล่าเนี่ย” เด็กหนุ่มถามขึ้นอย่างแปลกใจ เพราะเท่าทีเขาเห็นก็คือเฮอร์ไมโอนี่ยืนฟังศาสตราจารย์มักกอนนากัลพูดกับแพนซี่โดยไม่ยอมออกไปจากตู้พรีเฟ็คเสียที ซึ่งในตอนแรกรอนคิดว่าเธอจะรอให้อาจารย์และแพนซี่ออกไปเสียก่อน แต่พอสองคนนั้นเดินออกไปจากตู้แล้ว เธอก็กลับยืนเหม่อลอยอยู่อย่างนี้
“ฉัน....ไม่เป็นไรรอน” เฮอร์ไมโอนี่สะบัดศีรษะแรง ๆ และพยายามยิ้มกลบเกลื่อน
“แต่ฉันว่าเธอเป็นอยู่นา” รอนมองเธออย่างไม่วางใจ
“โถ่ รอน ฉันไม่เป็นไรจริง ๆ ว่าแต่เธอพูดเรื่องเดินตรวจทางเดินใช่ไหม” เด็กสาวถามขณะที่เด็กหนุ่มพยักหน้า
“งั้นฉันว่าเราน่าจะเริ่มกันได้แล้วนะ เธอไปตรวจช่วงกลาง ๆ ขบวนแล้วกัน ส่วนฉันจะไปตรวจช่วงท้ายขบวน เสร็จแล้วเราค่อยไปเจอกันที่ตู้ที่แฮร์รี่อยู่นะ” เธอว่า
“แต่ทำไมเราถึงไม่เดินตรวจด้วยกันล่ะ อีกอย่างตรงท้ายขบวนมีแต่พวกสลิธีรินนะ” รอนท้วงขึ้นมา เขารู้ดีว่าพวกสลิธีรินมักจะนั่งอยู่ตู้ท้าย ๆ ของขบวนรถไฟเสมอและเขาก็ไม่อยากให้เฮอร์ไมโอนี่ไปเดินตรวจทางเดินบริเวณนั้นคนเดียว
“ฉันไม่เป็นไรหรอกรอน อีกอย่างถ้าเราแยกกันตรวจมันจะได้เสร็จเร็วขึ้นไง เธอก็รู้ว่าแฮร์รี่คงอยากให้เราไปหาเขาที่ตู้เร็ว ๆ ” เธอพูดอย่างมีเหตุผล แต่ในความจริงแล้วเฮอร์ไมโอนี่มีเหตุผลอื่นมากกว่านั้นในการขอรอนไปตรวจทางเดินเพียงลำพัง
“ก็ได้ งั้นเจอกันที่ตู้ของแฮร์รี่นะ” เด็กหนุ่มผมแดงพูด
“ตกลง เจอกันรอน” เด็กสาวพูดพลางยิ้มให้เขา

*************************************************

หลังจากแยกกับรอนแล้วเฮอร์ไมโอนี่ก็ตรงไปยังท้ายขบวนรถไฟทันที แต่จุดประสงค์ของเธอไม่ใช่การไปตรวจทางเดินอย่างที่รอนเข้าใจ แต่เธอไปที่นั่นเพราะเธอต้องการพบเดรโก มัลฟอยต่างหาก!
จากที่แพนซี่บอกศาสตราจารย์มักกอนนากัลว่ามัลฟอยไม่สบายและนอนพักอยู่ที่ตู้ของเขาเพียงคนเดียวนั่นก็แปลว่าเขาต้องไล่แครบและกอยล์ออกไปจากตู้เพื่อจะพักผ่อนตามลำพังแน่นอน เฮอร์ไมโอนี่ไม่แน่ใจว่ามัลฟอยไม่สบายจริงอย่างที่แพนซี่บอกหรือเขาแกล้งไม่สบายเพื่อจุดประสงค์อื่นกันแน่ เพราะเท่าที่เธอรู้จักเขามามัลฟอยไม่เคยป่วยหนักจนถึงกับต้องขาดงานแบบนี้เลย และเด็กหนุ่มมักจะชอบเสมอเวลาเขาที่ต้องปฏิบัติงานในตำแหน่งพรีเฟ็ค เพราะมันหมายถึงการที่เขาสามารถใช้อำนาจข่มเหงเด็กรุ่นน้องได้ [ แม้ว่าพักหลัง ๆ นี้เขาจะเลิกทำแบบนั้นแล้วก็ตาม ] และมัลฟอยก็เป็นคนที่มีความรับผิดชอบพอตัวขนาดที่เขาคงไม่ยอมโดดงานเพราะปวดหัวเล็ก ๆ น้อย ๆ แน่
‘ หรือว่าเขาเครียดมากจริง ๆ ‘ เฮอร์ไมโอนี่คิด
แวบหนึ่งเด็กสาวคิดว่าเขาอาจจะเครียดเรื่องพ่อของเขาจนล้มป่วยก็เป็นได้ แต่หลังจากเธอลองไตร่ตรองเรื่องนั้นดูแล้ว ก็มีความคิดอีกความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาค้านกับความคิดแรกของเฮอร์ไมโอนี่ มันจะเป็นไปได้หรือที่เขาคิดมากเรื่องพ่อของเขาจนล้มป่วย ถึงแม้เด็กสาวจะรู้ดีว่ามัลฟอยรักพ่อของเขามากและเด็กหนุ่มก็เสียใจมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเขา แต่เขาก็มีท่าทีว่าเขาทำใจได้กับเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงก่อนปิดเทอมแล้ว ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่มีวันยกโทษให้เฮอร์ไมโอนี่ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้พ่อของเขาต้องเข้าคุกเป็นแน่ แต่ถ้ามัลฟอยไม่ได้กังวลเรื่องพ่อของเขา แล้วเขากังวลเรื่องใดมากถึงขนาดทำให้เขาเจ็บป่วยกัน

‘ ในฤดูร้อนปีนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตของฉันที่เปลี่ยนแปลงไป มันช่างรวดเร็วจนฉันแทบจะตั้งตัวไม่ทัน แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่มีทางเลือก ถึงอย่างไรฉันก็ต้องปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงนั้นให้ได้ ’

ถ้อยคำในจดหมายแวบเข้ามาในหัวสมองของเฮอร์ไมโอนี่ เด็กสาวขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิดขณะที่เธอเดินผ่านตู้ของเด็กฮัฟเฟิลพัฟ เป็นไปได้ไหมว่ามัลฟอยจะคิดมากเรื่อง ‘ ความเปลี่ยนแปลง ‘ นั้นจนเขาไม่สบาย และความเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้นมันจะใช่อย่างเดียวกับที่เธอกลัวรึเปล่า

‘ ไม่ว่ามันจะเป็นยังไงฉันก็ต้องหาคำตอบให้ได้ แล้วฉันจะต้องรู้มันในวันนี้ด้วย! ’ เด็กสาวคิดอย่างมุ่งมั่น เธอตัดสินใจไว้แล้วว่าเธอจะต้องถามมัลฟอยให้รู้เรื่องถึงเรื่องพฤติกรรมแลปประหลาดของเขา และที่เธอกำลังเดินไปยังท้ายขบวนก็เพื่อจุดประสงค์นี้ ตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่เธอจะได้อยู่กับเขาแค่สองต่อสอง เพราะแพนซี่ต้องไปเดินตรวจทางเดิน และแครบกับกอยล์ก็คงถูกมัลฟอยไล่ออกมาจากตู้แล้วแน่ ๆ ตอนนี้เป็นเพียงโอกาสเดียวเท่านั้นที่เธอจะเข้าไปถามเขาถึงเรื่องที่เธอสงสัยได้ และถ้าพลาดจากตอนนี้ไปเธออาจจะไม่มีโอกาสได้อยู่กับเขาตามลำพังอีกต่อไป เพราะเธอและเขาไม่ได้ทำงานร่วมกันอีกต่อไปแล้วตามคำสั่งใหม่ของอาจารย์

เฮอร์ไมโอนี่เดินไปจนถึงช่วงท้ายขบวนซึ่งมีแต่ตู้ของเด็กสลิธีริน พวกนั้นมองเธออย่างแปลกใจไม่น้อยว่าทำไมเด็กกริฟฟินดอร์อย่างเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้ แต่เนื่องจากเฮอร์ไมโอนี่เป็นพรีเฟ็คจึงไม่มีเด็กบ้านสลิธีรินคนไหนกล้าเข้ามาหาเรื่องเธอเท่าไหร่นัก
เด็กสาวเดินผ่านตู้ของเด็กปีหกกลุ่มหนึ่งและเธอก็ดีใจที่เธอเห็นแครบและกอยล์กำลังสวาปามขนมจำนวนมากอยู่ในตู้นั้น ขณะที่เบลส ซาบินี่กำลังอ่านนิตยสารควิดดิชอยู่
เฮอร์ไมโอนี่เดินผ่านตู้ของซาบินี่ไปจนเกือบถึงตู้สุดท้ายของขบวนซึ่งแทบไม่มีใครนั่ง และเธอก็พบมัลฟอยอยู่ที่นั่น เขานั่งอยู่คนเดียวในตู้ ศีรษะของเขาก้มต่ำเหมือนกำลังหลับอยู่ ใบหน้าของเด็กหนุ่มหันออกไปทางหน้าต่าง ผมสีทองของเขาล้อแสงแดดที่ส่องมาจากภายนอก
เฮอร์ไมโอนี่เดินเข้าไปใกล้ประตูตู้ของเขา เธอมองเขาผ่านกระจกที่ฝ้ามัว หัวใจของเธอเต้นแรงด้วยความคิดถึง เด็กสาวรู้สึกดีใจและเจ็บปวดในคราวเดียวกันที่ได้เห็นหน้าเขาอีกครั้ง ราวกันความคิดถึงที่เธอมีต่อเขาตลอดหน้าร้อนที่ผ่านมาซึ่งทับถมอยู่ในอกของเธอนั้นเริ่มล้นปรี่ออกมาเสียแล้ว เฮอร์ไมโอนี่มองภาพเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างโหยหาก่อนจะละสายตามาจากเขาและมองไปรอบด้าน เด็กสาวพอใจไม่น้อยเมื่อเธอพบว่าไม่มีเด็กคนไหนอยู่ตรงทางเดินแถบนี้เลย
เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครเห็น เฮอร์ไมโอนี่ก็เอื้อมมือที่สั่นเทาของเธอไปจับที่จับประตูตู้ และเปิดมันออกก่อนจะก้าวเข้าไปในตู้นั้น

*************************************************

เดรโก มัลฟอยเผลอหลับไป เขารู้สึกตัวอีกทีเมื่อมีใครซักคนเปิดประตูเข้ามา ในตอนแรกเด็กหนุ่มคิดว่าคงเป็นแครบกับกอยล์หรือไม่ก็แพนซี่ แต่เมื่อเขาลืมตาขึ้นเขากลับพบว่าร่างที่ยืนอยู่ตรงประตูตู้นั้นคือ เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ ศัตรูและคนรักของเขา
“เกรนเ......” เด็กหนุ่มทำท่าจะพูด แต่เฮอร์ไมโอนี่กลับยกไม้กายสิทธิ์ขึ้นก่อน เด็กสาวหันไปร่ายคาถากันรบกวนที่ประตู เธอดึงม่านลงมาปิดหน้าต่างเพื่อไม่ให้คนข้างนอกมองเข้ามาภายในห้องได้ จากนั้นเธอจึงหันกลับมาหาเด็กหนุ่มอีกครั้ง
“เธอมาทำอะไรที่นี่” เขาพูดเมื่อเห็นเฮอร์ไมโอนี่เดินมานั่งลงข้างเขา
“เธอก็รู้ว่าฉันมาหาเธอ” เด็กสาวพูดขึ้นทันทีที่เขาถามจบ “ทำไมเธอถึงไม่ไปที่ตู้พรีเฟ็ค”
“นั่นมันเรื่องของฉันเกรนเจอร์ ไม่เกี่ยวกับเธอ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงรำคาญใจ แต่เฮอร์ไมโอนี่ดูออกว่าเขาแกล้งทำมันขึ้นมา
“ฉันได้ยินว่าเธอไม่สบายเลยอยากมาดูเธอเท่านั้น” เฮอร์ไมโอนี่ว่า และเพราะคำพูดที่อ่อนโยนของเด็กสาวมันทำให้เด็กหนุ่มมีท่าที่อ่อนลง มัลฟอยหัวเราะในลำคอ
“แพนซี่บอกอาจารย์อย่างนั้นรึ” เขาถามขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ขมวดคิ้ว
“ใช่ นายไม่ได้ไม่สบายหรอกเหรอ” เธอถาม
“เปล่า” มัลฟอยพูดขณะยกแขนขึ้นหนุนศีรษะ “ฉันแค่บอกว่าฉันอยากอยู่คนเดียวไม่อยากให้ใครมากวน ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำเลยว่ายายนั่นไปบอกอาจารย์ว่ายังไง” เขาพูดอย่างไม่ใส่ใจ ในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่โน้มตัวเข้าไปใกล้เขา
“แพนซี่บอกอาจารย์ว่านายไม่สบายเลยไปที่ตู้พรีเฟ็คไม่ได้” เธอพูด
“เธอก็เลยมาตามฉันไปทำหน้าที่อย่างนั้นน่ะเหรอ” เด็กหนุ่มถามขึ้น เฮอร์ไมโอนี่ส่ายหน้า
“เปล่า.....ความจริงแพนซี่ต่างหากที่ได้ทำงานร่วมกับนาย ตอนนี้อาจารย์เปลี่ยนคู่พรีเฟ็คใหม่แล้ว อาจารย์ให้พวกเรากลับไปคู่กับพรีเฟ็คบ้านเดียวกันตามเดิม” เฮอร์ไมโอนี่อธิบาย “ตอนนี้นายก็ไม่ต้องทำงานร่วมกับฉันอีกแล้ว”
มัลฟอยเลิกคิ้วเพราะคำพูดของเธอ เขาดูแปลกใจไม่น้อย
“อย่างนั้นเหรอ” เขาเอนศีรษะลงพิงแขนทั้งสองข้างอีกครั้ง
“ใช่” เด็กสาวตอบ และแล้วความเงียบก็เข้ามาปกคลุมทั้งสอง มัลฟอยและเฮอร์ไมโอนี่มองหน้ากันและต่างฝ่ายก็ต่างรู้สึกถึงความคิดถึงที่อยู่ในแววตาของอีกฝ่ายหนึ่ง มีแววโหยหาอยู่ในดวงตาสีเทาของมัลฟอยขณะที่เขาใช้มันจ้องมองเธอ
และในวินาทีต่อมา โดยไม่มีการเตือนใด ๆ ทั้งสิ้น เด็กหนุ่มก็คว้าตัวเด็กสาวเข้ามาไว้ในอ้อมแขน เขามองสำรวจทั่วใบหน้าของเธออย่างโหยหา ราวกับต้องการมองเธอให้เต็มอิ่มเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่พวกเขาทั้งสองต้องจากกัน ในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ก็สัมผัสใบหน้าของเขาอย่างรักใคร่ ทุกอณูในร่างกายของเธอเรียกร้องเขา พระเจ้า! เธอคิดถึงเขาเหลือเกิน!
เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกถึงอะไรเย็น ๆ ที่ไหลจากดวงตามาสัมผัสแก้มของเธอ แต่ก่อนที่มันจะไหลลงไปยังคางของเธอ มือแข็งแกร่งของมัลฟอยก็มาเช็ดมันออกไปเสียก่อน เด็กสาวมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างโหยหา เธอกระซิบออกมาเบา ๆ เสียงของเธอสั่นเครือยิ่งนักยามที่เธอพูดออกมา
“ฉันคิดถึงเธอ” เฮอร์ไมโอนี่สารภาพ
มัลฟอยไล้นิ้วโป้งของเขาไปตามแก้มของเด็กสาวจนมันมาสุดที่คางของเธอ เขาจูบแก้มเธอบริเวณที่น้ำตาของเธอไหลออกมาเบา ๆ ราวกับเขาต้องการใช้ริมฝีปากของเขาเช็ดน้ำตาให้กับเธอ
“ฉันเองก็คิดถึงเธอ” เขาพูดพร้อมกับใช้มือของเขาเชยคางของเธอและดึงใบหน้าของเธอให้เงยขึ้น เด็กหนุ่มหลับตาลง เขากำลังจะจูบเธอ แต่ก่อนที่ริมฝีปากของทั้งสองจะสัมผัสกัน เฮอร์ไมโอนี่กลับพูดขึ้นมาเสียก่อน
“ฉันมีเรื่องจะถามเธอ”

.................................................

มัลฟอยลืมตาขึ้น เขามองเด็กสาวตรงหน้าอย่างงุนงง
“ฉันอยากจะถามเธอเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น มัลฟอย” เฮอร์ไมโอนี่รวบรวมความกล้าพูดออกมาในขณะที่มัลฟอยจ้องเธออย่างแปลกใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะหัวเราะในลำคอ เขานึกอยู่แล้วเชียวว่าเธอไม่ได้มาหาเขาเพราะแค่คิดถึงเพียงอย่างเดียวแน่
“ฉันอยากจะรู้ว่า ‘ ความเปลี่ยนแปลง ’ ที่เธอเคยพูดถึงในจดหมายนั้นมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องของเรา มันจะทำให้เรื่องของเรา.....ไม่มีวันเหมือนเดิมได้อย่างไร ฉันอยากให้เธอบอกฉัน รวมทั้งเรื่องพฤติกรรมแปลก ๆ ของเธอที่ตรอกนอร์กเทิร์นในวันนั้นด้วย มัลฟอย ฉันต้องการรู้ความจริงทั้งหมดจากเธอ” เด็กสาวพูดออกมาอย่างมุ่งมั่น แววตาสีน้ำตาลของเธอดูเด็ดเดี่ยวยิ่งนักยามที่มันจ้องมองเขา มันเด็ดเดี่ยวซะจนเด็กหนุ่มแน่ใจว่าเธอคงคิดเรื่องนี้มาเป็นอาทิตย์ก่อนที่จะมาถามเขา
เฮอร์ไมโอนี่มองไปทางมัลฟอยหลังจากพูดจบ เธอรอคอยคำตอบจากเขา แต่เมื่อเธอทำเช่นนั้นเด็กหนุ่มผมบลอนด์กลับลุกขึ้นจากเบาะที่นั่งอยู่แล้วเดินไปยืนอยู่ข้างหน้าต่างแทน
“ฉันเคยพูดแล้วไง เกรนเจอร์ ว่าฉันบอกเธอไม่ได้” เขาพูดอย่างเย็นชาขณะหันหลังให้เธออยู่
“ฉันไม่ได้ต้องการคำตอบแบบนี้ มัลฟอย แต่ฉันต้องการให้เธอบอกฉันถึงสาเหตุของเรื่องทั้งหมดนั่น” เธอยืนยันเสียงแข็งขณะที่มัลฟอยหันกลับบมาเผชิญหน้าเธอ
“เธอก็รู้ว่าฉันบอกเธอไม่ได้ ฉันให้เธอรู้เรื่องนี้ไม่ได้” เขาพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ
“แล้วถ้าฉันยืนยันว่าฉันต้องการจะรู้ล่ะ” เธอพูดเสียงแข็งพลางจ้องเขาอย่างไม่เกรงกลัว และนี่เป็นครั้งแรกที่เฮอร์ไมโอนี่สังเกตุว่าเขาตัวสูงขึ้นมากทีเดียวในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมานี่ เพราะตอนนี้เธอสูงเลยไหล่เขามาหน่อยเดียวเท่านั้น
เด็กหนุ่มถอนหายใจแล้วหลบตาเธอ
“มัลฟอย” เธอพูดพลางยื่นมือมาจับแขนของเขาไว้
“ฉันต้องการรู้จริง ๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เธอถึง.......ทำตัวแปลกไปขนาดนี้ เธอไม่รู้หรือไงว่าฉันกังวลแค่ไหนที่เธอเป็นแบบนี้ เธอรู้ไหมว่าฉันเสียใจแค่ไหนตอนที่เธอบอกฉันว่าเรื่องของเราจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว” เธอพูดด้วยน้ำเสียงปวดร้าว เด็กสาวอยากจะร้องไห้ขึ้นมาอีกรอบเมื่อเธอถึงนึกข้อความที่อยู่ในจดหมาย ข้อความที่บอกเธอว่าเรื่องของเขาและเธอจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป!
มัลฟอยมีสีหน้าลำบากใจอย่างที่สุด ความอึดอัดของเขาแสดงออกมาทางดวงตาสีเทาที่ใช้มองเธอ
“ถึงยังไงฉันก็ยังยืนยันคำเดิม เกรนเจอร์” เขาพูดขึ้น
“ฉันบอกเธอไม่ได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ถึงสิ่งที่ฉันกำลังเผชิญอยู่ สิ่งที่อาจจะทำให้เรื่องของเราไม่มีวันเป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป แต่ถึงยังไงฉันก็ยังยืนยันว่าฉันยังคงรักเธอเหมือนเดิม และฉันจะไม่มีวันทำร้ายเธอไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม” มัลฟอยพูดขึ้นด้วยสีหน้าปวดร้าว และเพราะสีหน้านั้นของเขามันทำให้เฮอร์ไมโอนี่เกือบจะใจอ่อน เธอเกือบจะล้มเลิกความตั้งใจในการค้นหาความจริงของเธอเสียแล้วเมื่อเห็นสีหน้าอึดอัดใจของเด็กหนุ่ม แต่เด็กสาวก็เตือนตัวเองได้ทันว่าเธอมาที่นี่เพื่อจุดประสงค์อะไร เพราะเธอต้องการรู้ความจริงทั้งหมดไม่ใช่หรือ แล้วเธอก็จะไม่ยอมเลิกราจนกว่ามัลฟอยจะยอมบอกเธอถึงสาเหตุที่ทำให้เขาเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้!

“เธอแน่ใจรึมัลฟอยว่าเธอจะไม่มีวันทำร้ายฉัน” เฮอร์ไมโอนี่ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา ซึ่งมันเป็นเสียงที่เด็กหนุ่มไม่คิดว่าเธอจะใช้กับเขา “อะไรทำให้เธอแน่ใจขนาดนั้นว่าเธอจะไม่มีวันทำร้ายฉัน”
แววตาสีซีดของเราดูปวดร้าวกับคำพูดของเธอ
“เธอไม่เชื่อฉันอย่างนั้นหรือ” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่แปลกแปร่ง
“ฉันไม่ได้ไม่เชื่อเธอ มัลฟอย ฉันแค่ต้องการคำยืนยัน ฉันต้องการรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ แต่เธอก็ปฏิเสธที่จะบอกฉัน ฉันเองก็อยากจะเชื่อเธอ แต่เธอจะให้ฉันเชื่อเธอได้ยังไงในเมื่อตอนนี้เธอก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว” เด็กสาวเอ่ยขึ้น เธอรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลมาอีกรอบ และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ น้ำตาของเธอไหลมาจากดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยอีกครั้ง เฮอร์ไมโอนี่พยายามจะเช็ดมันออกแต่มัลฟอยเร็วกว่า เด็กหนุ่มยกมือซ้ายของเขาขึ้นเช็ดน้ำตาให้เธอ เด็กสาวมองเขาอย่างสับสนก่อนที่เธอจะนึกอะไรขึ้นได้
เฮอร์ไมโอนี่ยกมือขวาของเธอขึ้นทาบกับมือของมัลฟอยที่อยู่ตรงแก้มของเธอ เพื่อให้มันแนบกับใบหน้าของเธอก่อนที่เธอจะพูดขึ้นมา
“ยังไงเธอก็จะไม่ยอมบอกฉันถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นใช่ไหม” เฮอร์ไมโอนี่ถามซ้ำ เดรโกส่ายหน้าอย่างจนใจ
“ฉันขอโทษ เกรนเจอร์ ฉันบอกเธอไม่ได้จริง ๆ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าเขาเสียใจ ในขณะที่เด็กสาวกลืนน้ำลาย ถ้าอย่างนั้นมันก็คงเหลืออยู่ทางเดียวแล้วสินะ ทางเดียวสำหรับเธอในการค้นหาความจริงอันนี้
มัลฟอยจ้องลึกไปในดวงตาเธอ มีแววเสียใจอยู่ในดวงตาสีซีดของเขาขณะที่เขาใช้มันจ้องมองเธอ เด็กหนุ่มละสายตาไปจากเธอพร้อมกับถอนมือของเขาออกจากใบหน้าของเธอ แต่เขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้เมื่อเฮอร์ไมโอนี่กลับจับมันไว้ มัลฟอยมองเธอด้วยสีหน้าประหลาดใจ และเขาก็พบว่าดวงตาสีน้ำคู่นั้นของเธอจ้องเขากลับมาอย่างเด็ดเดี่ยว
เฮอร์ไมโอนี่สูดลมหายใจและพูดขึ้นอย่างช้า ๆ
“ถ้าเธอบอกฉันไม่ได้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น มันก็มีอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้ฉันหายสงสัยเกี่ยวกับพฤติกรรมแปลก ๆ ของเธอ โดยที่เธอไม่ต้องอธิบายอะไรทั้งสิ้น” เด็กสาวพูด และก่อนที่มัลฟอยจะทันได้ตีความหมายของสิ่งที่เธอพูดออกมา เฮอร์ไมโอนี่ก็หยิบไม้กายสิทธิ์ของเธอขึ้นมาและชี้ไปที่เขา
“ฉันเสียใจที่ต้องทำแบบนี้ มัลฟอย” เธอพูดพลางชี้ไม้กายสิทธิ์ไปที่คอของเด็กหนุ่มที่มีสีหน้าตกตะลึง
“แต่มันเป็นทางเดียวที่ฉันจะได้คำตอบที่ฉันต้องการ และที่เธอต้องทำก็ไม่มีอะไรมาก แค่เธอเปิดแขนเสื้อข้างซ้ายให้ฉันดูเท่านั้น” เฮอร์ไมโอนี่พูดในขณะที่มัลฟอยหน้าซีดเผือด มือขวาของเขาเลื่อนไปกุมแขนข้างที่มีตรามารอยู่ทันที!


*************************************************




 

Create Date : 30 ตุลาคม 2552    
Last Update : 30 ตุลาคม 2552 23:18:24 น.
Counter : 625 Pageviews.  

รักต้องห้ามภาค 2 : Chapter 8 End of Summer




วันหยุดช่วงฤดูร้อนนั้นหมดลงอย่างรวดเร็วพอ ๆ กับไอศกรีมที่ถูกทิ้งไว้กลางแดดในหน้าร้อน เมื่อเฮอร์ไมโอนี่รู้สึกตัวอีกทีก็ใกล้วันที่เธอต้องเดินทางกลับฮอกวอตส์แล้ว
วันสุดท้ายของเดือนสิงหาคมเป็นวันที่อากาศดีอย่างไม่มีที่ติ หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ แฮร์รี่ รอน รวมทั้งจินนี่ก็พร้อมใจกันออกไปขี่ไม้กวาดเล่นตรงเนินเขาไม่ห่างจากบ้านโพรงกระต่ายเท่าไหร่นัก ในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ซึ่งไม่มั่นใจเท่าไหร่นักเมื่ออยู่บนไม้กวาดก็ขอนั่งอ่านหนังสือเงียบ ๆ ตรงพื้นหญ้าและมองดูพวกเขาบินฉวัดเฉวียนไปมามากกว่าจะเข้าไปร่วมด้วย
เด็ก ๆ ใช้เวลาตลอดทั้งวันบินเล่นบนไม้กวาด และลงมานั่งพักบนพื้นหญ้าบ้างเป็นครั้งคราว หลังจากเหนื่อยจากการบินมาเป็นเวลานานรอนและแฮร์รี่ก็ลงมานอนแผ่บนผ้าปูผืนเดียวกับเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ เด็กทั้งสองนอนแอ้งแม้งอยู่อย่างนั้นตลอดทั้งวันเพื่อซึมซับช่วงเวลาสุดท้ายของหน้าร้อนเอาไว้
เมื่อภายนอกเริ่มมืดเด็กทั้งหมดก็รู้ดีว่าถึงเวลาจะต้องกลับกันแล้ว ก่อนที่พวกผู้ใหญ่จะเป็นห่วงและออกมาตามหา แฮร์รี่ รอน เฮอร์ไมโอนี่ และจินนี่เดินเข้าบ้านโพรงกระต่ายไปพร้อมกับได้กลิ่นอาหารหอมฉุยลอยมาจากห้องครัว รอนรีบวางไม้กวาดพลางเดินตามกลิ่นนั้นไปทันที
ภายในครัวที่เล็กและคับแคบของครอบครัววีสลีย์ นางวีสลีย์และเฟลอร์ เดอ ลากรูว์กำลังปรุงอาหารเย็นกันอยู่ จะเรียกว่าช่วยกันปรุงก็ไม่ถูกนัก เพราะนางวีสลีย์มักทำหน้างออย่างรำคาญใจทุกครั้งที่เฟลอร์เสนอตัวจะช่วยเธอทำสตู
เมื่อนางวีสลีย์มองเห็นเด็กทั้งสี่ที่เพิ่งเดินเข้ามาเธอก็ยิ้มกว้าง
“กลับมาแล้วเหรอจ๊ะ เย็นนี้เรามีสตูทานกันจ๊ะ แล้วก็อย่างอื่นด้วยนะ เราคิดว่าจะทำอาหารให้พิเศษหน่อยสำหรับคืนนี้เพราะพรุ่งนี้พวกเธอก็จะกลับฮอกวอตส์กันแล้ว” นางวีสลีย์พูดพลางยิ้มให้เด็กทั้งสี่ราวกับเธอดีใจเหลือเกินที่มีใครสักคนมาขัดจังหวะการอยู่ด้วยกันสองต่อสองของเธอกับเฟลอร์
“ดีครับ ว่าแต่แม่มีอะไรให้ผมรองท้องก่อนไหมครับ ผมหิวน่าดูเลย” รอนพูดพลางลูบท้องที่กำลังส่งเสียงโครกครากของตนเอง แม้ว่าเขากำลังสนทนาอยู่กับแม่ของตัวเองก็ตาม แต่สายตาของรอนกลับมองเลยไปยังเฟลอร์ที่กำลังง่วนอยู่หน้าเตา แม้ว่าเธอกำลังอยู่ในห้องครัวที่ร้อนอบอ้าวมากแต่หญิงสาวก็ยังคงดูสวยอย่างไม่มีที่ติอยู่ดี
“ไม่มีจ๊ะ โรนัลด์ ลูกทนหิวซักชั่วโมงได้ไหมล่ะ” นางวีสลีย์พูดยังไม่ทันจบเสียงหวานใสราวกับกระดิ่งเงินก็ดังแทรกขึ้นมา
“ไม่ต้องหรอกค่า ก่อนหน้านี้ช้านอบพายเอาไว้ ช้านจะเอาให้เขาทานนะค้า” เฟลอร์พูดพลางเคลื่อนตัวอย่างสง่างามมาที่รอนพร้อมกับโบกไม้กายสิทธิ์เบา ๆ ถาดบรรจุพายจำนวนไม่น้อยก็ลอยมาตรงหน้าเด็กหนุ่ม
“ฉันไม่เห็นรู้เลยว่าเธอทำพายเอาไว้” นางวีสลีย์พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ช้านทำไว้ตอนคุณไปทำความสะอาดบ้านน่ะค่า ช้านถนาดมากเลยเรื่องขนมอบเนี่ย” เฟลอร์พูดพลางส่งยิ้มที่ดูสวยจนเหลือเชื่อมาให้รอน “ลองทานดูสิจ๊ะ พวกเธอมาทานกานได้เลยน้า แต่มันเป็นไส้เนื้อน้าฉันไม่รู้ว่าพวกเธอจะชอบกานหรือเปล่า” เธอหันมาพูดกับเด็ก ๆ ที่เหลือ ในขณะที่รอนทำหน้าเคลิ้มฝัน
“แน่นอน ผมชอบไส้เนื้อ วิเศษไปเลย” เด็กหนุ่มพึมพำ แววตาเหม่อลอยราวกับถูกคาถางงงันเข้าไปเต็ม ๆ
“ดีมากจ้า รอน ทานให้อาหร่อยน้าจ้า” เฟลอร์พูดพลาดหยิกแก้มรอนเบา ๆ ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังเอาพายจ่อริมฝีปาก เป็นผลให้เขาทำมันหล่นลงพื้น
“เธอก็มาทานด้วยสิจ๊า แอร์รี่” หญิงสาวชวน แต่แฮร์รี่ปฏิเสธอย่างสุภาพว่าเขาไม่หิวและอยากเก็บท้องไว้สำหรับอาหารเย็นมากกว่า และเมื่อแฮร์รี่พูดเช่นนั้นนางวีสลีย์ก็ยิ้มกว้างให้เขาอย่างพอใจพร้อมกับบอกว่าเธอจะทำทาร์ตน้ำตาลข้นของโปรดของเขาไว้ให้
“เอาล่ะ พวกเธอขึ้นไปจัดการอาบน้ำอาบท่าเสียก่อนแล้วค่อยลงมาทานอาหารเย็นนะจ๊ะ อ้อ แล้วอย่าลืมจัดสัมภาระให้เรียบร้อยภายในคืนนี้ด้วยล่ะ โดยเฉพาะลูกรอน แล้วก็แฮร์รี่ด้วยนะจ๊ะ สวรรค์รู้ดีว่าเราไม่ต้องการให้มีอะไรขลุกขลักในวันพรุ่งนี้หรอก จริงไหมจ๊ะ” เธอพูดพลางส่งยิ้มหวานเชื่อมมาให้แฮร์รี่ ในขณะที่รอนหยิบถาดพายขึ้นมาถือ ตายังมองตามเฟลอร์ที่หายเข้าไปในครัวด้วยอาการฝัน ๆ จนแฮร์รี่ต้องมาลากเขาขึ้นบันไดไป
“น่าสมเพชจริง ๆ !” จินนี่พูดออกมาอย่างไม่เกรงใจ เมื่อเห็นร่างของพี่ชายเดินหายขึ้นบันไดไปพร้อมกับแฮร์รี่
“นับวันยิ่งอาการหนักขึ้นทุกที คราวนี้ยิ่งหว่าถูกคาถางงงันเสียอีก แล้วใคร ๆ ก็รู้ว่าเขาน่ะเกลียดไส้เนื้อจะตาย!” เธอกระซิบกับเฮอร์ไมโอนี่ แต่มันไม่ใช่การกระซิบที่เบาเท่าไหร่นัก
“จินนี่!” นางวีสลีย์กระซิบเสียงดุมาจากในครัว นางหันไปทางเฟลอร์ที่กำลังปรุงสตูอยู่อย่างพิถีพิถันโดยไม่ระแคะระคายซักนิดว่าจินนี่เพิ่งจะแขวะเธอผ่านรอนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเธอนัก
“หนูพูดความจริงนี่นา” เธออ้อมแอ้ม “หนูจะขึ้นข้างบนแล้วนะคะ เดี๋ยวจะลงมาตอนทานอาหารเย็น”
“ลูกจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นจินนี่ ลูกต้องมาช่วยแม่เตรียมอาหาร” นางวีสลีย์สั่งเสียงเฉียบ
“แต่แม่ก็มีคุณ.....เฟลอร์อยู่ช่วยแล้วนี่คะ” เธอประท้วง เกือบจะเอ่ยคำว่า ‘ เฟล็ม ’ ออกมา ในขณะที่นางวีสลีย์จ้องเธอตาเขียวปั๊ดซึ่งเฮอร์ไมโอนี่ไม่ค่อยเห็นเธอใช้กับลูกสาวเท่าไหร่ ส่วนมากเธอจะใช้สายตาแบบนี้กับรอนหรือฝาแฝดมากกว่า
“แต่แม่ต้องการให้ลูกมาช่วยจ๊ะ แม่คิดว่าแม่จะออกไปจัดการสวนซะหน่อย คืนนี้เราจะทานข้าวเย็นกันในสวน แล้วตอนนี้มันก็โนมเต็มไปหมด แม่อยากจะแน่ใจว่าจะไม่มีใครโดนตัวโนมกัดตอนทานอาหารเย็นจ๊ะ” นางวีสลีย์พูด
“แต่แม่คะ” จินนี่ครางเมื่อรู้ว่าเธอต้องอยู่กับเฟลอร์ในครัวแค่สองคน
“ไม่มีคำว่าแต่จินนี่” นางวีสสีย์พูดเสียงเฉียบ “ส่วนหนูเฮอร์ไมโอนี่ ฉันคิดว่าหนูขึ้นไปจัดเตรียมสัมภาระไปฮอกวอตส์ดีกว่าจ๊ะ แล้วค่อยเจอกันตอนอาหารเย็นนะจ๊ะ”
“ให้หนูอยู่ช่วยจินนี่ก็ได้นะคะ คุณนายวีสลีย์” เด็กสาวเสนอ แต่นางวีสลีย์ส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรจ๊ะ มันคงไม่สะดวกแน่ ๆ หากมีแม่ครัวถึงสามคนในห้องแคบ ๆ น่ะ หนูขึ้นไปจัดของเถอะจ๊ะ” เธอพูดอย่างใจดีก่อนจะหยิบผ้ากันเปื้อนให้จินนี่ที่กำลังทำหน้าราวกับเพิ่งโดนบังคับให้กลืนทากเป็น ๆ อยู่
“ส่วนลูกไปช่วยเธอทำอาหารเย็นต่อ แล้วแน่ใจด้วยนะว่าเราจะมีสตูอร่อย ๆ ทานกัน ไม่ใช่เศษเนื้อในน้ำซอสแหยะ ๆ น่ะ” นางวีสลีย์กำชับก่อนจะเดินออกจากครัวไป

.................................................

เฮอร์ไมโอนี่กลับขึ้นมาที่ห้องนอนที่เธอใช้ร่วมกับจินนี่เกือบตลอดหน้าร้อนที่ผ่านมา ความจริงเด็กสาวจัดสัมภาระสำหรับไปฮอกวอตส์เสร็จตั้งแต่สามวันก่อนแล้ว แต่เมื่อคุณนายวีสลียอยากให้เธอขึ้นมาจัดเตรียมของมากกว่าอยู่ช่วยที่ครัวล่ะก็ เฮอร์ไมโอนี่ก็คิดว่าเธอน่าจะรื้อสัมภาระของเธอออกมาตรวจสอบอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่าเธอจะไม่ลืมเอาของสำคัญชิ้นไหนกลับไปโรงเรียน
เด็กสาวนั่งลงบนพื้นห้องข้าง ๆ กระเป๋าสัมภาระใบใหญ่สองใบของเธอ และเริ่มรื้อมันออกมาจัดใหม่ เธอต้องใช้เวลาอยู่นานพอดูกว่าจะหยิบข้าวของออกมาจากกระเป๋าหมดและเริ่มเรียงมันรอบ ๆ ตัวเธอพลางตรวจเช็คว่าเธอเอาของที่เธอต้องการไปครบหรือไม่
แต่ในขณะที่เธอกำลังหยิบตำรับตำราของเธอที่ตรวจสอบดีแล้วเรียงกลับเข้าไปในกระเป๋าใหม่อีกครั้ง ก็มีบางสิ่งบางอย่างหล่นลงมาจากหนังสือวิชาแปลงร่างขั้นสูงของเธอ เด็กสาวพบว่ามันเป็นจดหมาย จดหมายที่เดรโก มัลฟอย เด็กหนุ่มบ้านสลิธีรินเขียนถึงเฮอร์ไมโอนี่เพียงฉบับเดียวตลอดหน้าร้อนที่ผ่านมา!
เฮอร์ไมโอนี่หยิบจดหมายนั้นขึ้นมา เธอแกะมันออกอ่านอีกรอบหลังจากที่อ่านมันเป็นร้อย ๆ ครั้งตลอดหน้าร้อนที่ผ่านมานี้ [ แน่นอนว่าเธอแอบอ่านตอนที่ไม่มีใครเห็น ] เด็กสาวมองลายมือที่คุ้นเคยของมัลฟอยในจดหมายนั้น ซึ่งไม่มีใจความสำคัญอะไรมากไปกว่าเขาต้องการบอกเธอว่าเรื่องของเธอและเขาจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เฮอร์ไมโอนี่อ่านจดหมายไปจนถึงถ้อยคำที่เขาเขียนว่า

‘ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะไม่มีทางทำร้ายเธอเด็ดขาด ขอให้เธอมั่นใจได้ ’

ขณะที่อ่านข้อความนั้น เด็กสาวรู้สึกราวกับเขาได้ยินเสียงของมัลฟอยลอยมากระซิบที่ข้าง ๆ หู ถ้อยคำที่เขาได้ให้สัญญากับเธอไว้อย่างหนักแน่นเมื่อเด็กทั้งสองอยู่บนรถไฟขากลับจากฮอกวอตส์ด้วยกัน

‘ ฉันสาบานว่าฉันจะไม่มีวันทำร้ายเธอ ไม่มีวัน ’

‘ เธอจะทำอย่างนั้นได้จริงเหรอมัลฟอย ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เธอเองก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว บางทีตอนนี้เธออาจจะเป็นผู้เสพความตายไปแล้วก็ได้ ’
เด็กสาวคิดพร้อมกับน้ำตาหยดเล็ก ๆ ที่ไหลริน เฮอร์ไมโอนี่หลับตาลงอย่างสับสน และเมื่อเธอลืมตาขึ้นมาเธอก็เห็นข้อความที่อยู่ตรงท้ายจดหมาย

รัก
เดรโก มัลฟอย

เฮอร์ไมโอนี่ยกจดหมายตรงที่มีลายเซ็นของมัลฟอยขึ้นประทับริมฝีปาก พระเจ้า! เธอคิดถึงเขาเหลือเกิน! เธอคิดถึงเขาแทบทุก ๆ นาทีตลอดหน้าร้อนที่ผ่านมา!

‘ แต่วันพรุ่งนี้ฉันก็จะเจอเขาแล้วนี่นา และเมื่อฉันเจอหน้าเขาฉันจะถามเขาให้รู้เรื่องเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด รวมทั้งเรื่องที่เขาอาจจะเป็นผู้เสพความตายด้วย ’ เฮอร์ไมโอนี่คิดอย่างกล้าหาญพร้อมกับปาดน้ำตาออกและทันทีที่เธอทำเช่นนั้นประตูห้องก็เปิดออก!
เด็กสาวรีบเก็บจดหมายลงกระเป๋าทันทีพร้อมกับปาดน้ำตาแรง ๆ อีกหนเพื่อแน่ใจว่าร่างที่มาใหม่นั้นจะไม่เห็นว่าเธอร้องไห้ และปรากฏว่าร่างที่ยืนอยู่ตรงประตูที่เพิ่งเปิดออกนั้นคือ จินนี่

.................................................

“จินนี่! เธอทำพี่ตกใจหมดเลยรู้ไหม” เฮอร์ไมโอนี่ทักเธอ พยายามทำท่าทีร่าเริง
“ขอโทษค่ะ” จินนี่พูดพลางมองกองหนังสือรอบ ๆ ตัวเฮอร์ไมโอนี่อย่างแปลกใจ เธอสวมผ้ากันเปื้อนสีส้มที่นางวีสลีย์หยิบให้มันตัดกับสีผมของเธออย่างน่ากลัว
“พี่จัดของอยู่เหรอคะ หนูนึกว่าพี่จัดของเสร็จแล้วเสียอีก” เธอถาม
“เอ้อ แบบว่าพี่รื้อมาจัดอีกรอบน่ะ พี่มีนิสัยไม่ค่อยชอบอยู่นิ่ง ๆ ซักเท่าไหร่เธอก็รู้” เด็กสาวพูดไปตามเรื่องขณะที่จินนี่กระโดดข้ามกองข้าวของของเฮอร์ไมโอนี่มานั่งใกล้ ๆ เธอ
“ความจริงพี่น่าจะมาช่วยหนูทำอาหารเย็นมากกว่า ยายคุณเฟล็มนั่นไม่เหมาะกับงานบ้านงานเรือนซักนิดเดียว” จินนี่พูดพลางย่นจมูกราวกับเธอได้กลิ่นอะไรบ้างอย่างที่เหม็นอย่างร้ายกาจ
“พี่ก็อยากช่วยนะ แต่.....แล้วทำไมเธอขึ้นมาได้ล่ะจินนี่ อาหารเย็นเสร็จแล้วเหรอ” เฮอร์ไมโอนี่ถาม อย่างแปลกใจ เพราะเธอแน่ใจว่าเธอเพิ่งขึ้นมาข้างบนได้ไม่เกินสิบห้านาทีเท่านั้นจินนี่ก็ตามขึ้นมาแล้ว
เด็กสาวผมแดงส่ายหน้า
“เปล่าค่ะ หนูแค่ทิ้งงานไว้ให้คุณเฟล็มทำ ก็เธออยากพูดเองนี่ว่าเธอน่ะทำสตูได้อร่อยเหลือเชื่อ หนูก็เลยปล่อยให้เธอโชว์ฝีมือเสียคนเดียวเลย แต่หนูลองชิมแล้วนะ รสชาติเหมือนซุปฟักทองเก็บค้างคืนไม่มีผิด” เธอวิจารณ์เฟลอร์อย่างเผ็ดร้อน
“แล้วคุณนายวีสลีย์ล่ะจ๊ะ” เฮอร์ไมโอนี่ถามไปตามเรื่อง
“แม่ออกไปจัดพื้นที่ที่สวนสำหรับทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้วค่ะ เห็นแม่บอกว่าจะขึ้นมาข้างบน มาจัดของลงกระเป๋าให้พี่รอนกับแฮร์รี่ แม่รู้ดีว่าสองคนนี้ไม่มีวันจัดของจนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้าย” จินนี่ว่า เฮอร์ไมโอนี่พยักหน้า เธอรู้นิสัยเพื่อนทั้งสองดี
“หนูก็เลยแว๊บขึ้นมาบนนี้ตอนที่แม่ขึ้นไปจัดของให้พวกพี่ ๆ นั่นแหละ หนูอยากอยู่ห่างคุณเฟล็มซักห้านาทีก็ยังดี ไม่งั้นหนูคงต้องเหยียบเสมหะลื่นล้มอยู่ในครัวแน่ ๆ” จินนี่แขวะเฟลอร์พลางเอนหลังพิงกับเตียงนอน ซึ่งปกติเฮอร์ไมโอนี่จะต้องหัวเราะและเห็นด้วยไปกับเธอทุกครั้งที่จินนี่พูดอะไรร้าย ๆ ใส่เฟลอร์ แต่คราวนี้เธอกลับนิ่งเงียบจนจินนี่แปลกใจ

“พี่เฮอร์ไมโอนี่คะ พี่เฮอร์ไมโอนี่” จินนี่เรียกชื่อเธอ
“จ๊ะ........เธอว่าอะไรนะจินนี่” เด็กสาวสะดุ้งจากภวังค์
“พี่ไม่ได้ฟังหนูพูดเลยหรือคะ” จินนี่ถามเฮอร์ไมโอนี่ที่เธอเคารพเหมือนพี่สาว
“เอ่อ โทษทีจ๊ะ พี่เหม่อไปหน่อยน่ะ” เฮอร์ไมโอนี่พูด จินนี่ขมวดคิ้ว
“หนูว่าไม่หน่อยเลยนะคะ พักหลัง ๆ มานี่หนูเห็นที่เหม่อบ่อยมากเลย อย่าว่าแต่หนูเลยค่ะ ขนาดพี่รอนก็ยังพูดเลยว่าหมู่นี้พี่ใจลอยออกจะบ่อย แล้วพี่ก็รู้นะคะว่าพี่รอนน่ะไม่ใช่คนช่างสังเกตเอาซะเลย โดยเฉพาะเวลามียายคุณเฟล็มมาอยู่ใกล้ ๆ แบบนี้” เธอพูดอย่างตรงไปตรงมา
“พี่เป็นอย่างนั้นหรือจ๊ะ” เฮอร์ไมโอนี่ถามอย่างขลาด ๆ ทั้ง ๆ ที่เธอรู้ดีว่าพักหลังมานี่เธอมักเหม่อลอยบ่อย ๆ อย่างที่จินนี่ว่า และทุกครั้งที่เธอทำเช่นนั้นเธอมักจะคิดถึงมัลฟอย คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่ตรอกไดแอกอน เรื่องแปลกประหลาดที่เขาทำในร้านบอร์เจ็นและเบิร์ก รวมทั้งเรื่องที่เขาจูบเธอที่ร้านตัวบรรจงและหยดหมึกด้วย
“แล้วหนูก็คิดว่าพี่เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่กลับมาจากตรอกไดแอกอน” จินนี่เสริม
“อะไรนะ” เฮอร์ไมโอนี่ขึ้นเสียงสูงโดยที่เธอเองก็ไม่รู้ตัว
“หนูคิดว่าพี่แปลกไปตั้งแต่กลับมาจากตรอกไดแอกอนค่ะ” จินนี่บอก เธอเอื้อมมือมาแตะเข่าเฮอร์ไมโอนี่เบา ๆ “ถ้าพี่มีอะไรไม่สบายใจก็ปรึกษาหนูได้นะคะ เหมือนที่หนูเคยปรึกษาพี่เรื่องแฮร์รี่” จินนี่พูดถึงตอนที่เธอหลงรักแฮร์รี่เมื่อหลายปีก่อน แล้วเฮอร์ไมโอนี่ก็ให้ความเห็นว่าเธอควรจะตัดใจจากเขาซะแล้วลองเดทคนอื่น ๆ ดูบ้าง

เฮอร์ไมโอนี่มองจินนี่ที่เหมือนน้องสาวของเธอ แม้ว่าในใจของเธอจะร่ำร้องว่าเธออยากจะบอกใครซักคนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นมากก็ตาม เพราะในตอนนี้เธอต้องการแค่ใครซักคนที่เธอพอจะปรึกษาถึงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้ ใครซักคนที่เธอพอจะระบายความอัดอั้นตันใจที่เธอกำลังเผชิญอยู่ได้ แต่เฮอร์ไมโอนี่ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้จริง ๆ เธอไม่สามารถบอกใครแม้กระทั่งจินนี่ที่เป็นเหมือนน้องสาวของเธอได้ว่าเธอกำลังรักเดรโก มัลฟอย ศัตรูตัวฉกาจของเธออยู่
“พี่ไม่เป็นไรจ๊ะ จินนี่ พี่แค่เครียดเรื่อง ว.พ.ร.ส. เท่านั้นเอง” เธอพูดพลางวางมือลงบนมือของจินนี่ที่อยู่บนเข่าเธอ เฮอร์ไมโอนี่จำเป็นต้องโกหกจินนี่ว่าเธอกังวลเรื่องคะแนนสอบของเธอที่ได้ ‘ เกินความคาดหมาย ’ จากป้องกันตัวจากศาสตร์มืดมา 1 ตัว จากทั้งหมด 11 ตัว
“แต่เธอก็ช่างสังเกตมากนะ เธอรู้สึกว่าพี่แปลกไปตั้งแต่วันที่ไปตรอกไดแอกอน ความจริงแล้วพี่คิดมากตั้งแต่ได้คะแนนสอบแล้วล่ะจ๊ะ” เธอเสริม จินนี่ทำหน้าไม่เชื่อแม้ว่าพี่สาวคนนี้ของเธอจะเป็นคนที่เคร่งเครียดเรื่องเรียนมากก็ตาม แต่การได้ ‘ เกินความคาดหมาย ’ แค่ตัวเดียวมันคงไม่ทำให้เธอเศร้าอยู่เป็นอาทิตย์เป็นแน่
“หนูคิดว่าพี่มีปัญหาเรื่องความรักเสียอีก เพราะพี่ดูเหมือนหนูตอนที่หนูรักแฮร์รี่เลย” เด็กสาวพูดอย่างตรงไปตรงมาจนเฮอร์ไมโอนี่ต้องหลบตาเธอ
“พี่เป็นอย่างนั้นเหรอ” เด็กสาวถาม จินนี่พยักหน้า
“ค่ะ” เธอว่า “ในตอนแรกหนูคิดโง่ ๆ ไปเองถึงสาเหตุที่ทำให้พี่เป็นอย่างนี้น่ะค่ะ พี่ได้ยินแล้วห้ามโกรธแล้วก็ห้ามหัวเราะด้วยนะคะ”
“ไม่หรอกจ๊ะ เธอคิดว่ายังไงเหรอ” เฮอร์ไมโอนี่ถาม
“หนู......หนูคิดว่าพี่ชอบรอนค่ะ แล้วหนูก็คิดว่าที่พี่ซึมไปเพราะเห็นรอนหลงยายคุณเฟล็มนั่น” จินนี่สารภาพอย่างอาย ๆ เฮอร์ไมโอนี่หัวเราะ
“อะไรทำให้เธอคิดอย่างนั้น จินนี่”
“ไหนบอกว่าจะไม่หัวเราะไงคะ” จินนี่เตือน เฮอร์ไมโอนี่รีบหุบยิ้มทันที แต่ยังคงมีแววขบขันอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลของเธอ
“ก็พี่กับรอนสนิทกัน แล้วหนูก็หวังว่าพี่จะคบกับรอน เพราะหนูอยากได้พี่มาเป็นพี่สาวจริง ๆ นี่คะ พอหนูเห็นพี่แปลกไป หนูก็เลยคิดไปว่าพี่อาจจะไม่พอใจที่รอนปลื้มยายเฟล็มนั่น แล้วหนูก็คิดด้วยว่ายายนั่นน่ะสู้พี่ไม่ได้เลยซักนิดเดียว” เธอเสริม
“พี่เองก็อยากได้เธอมาเป็นน้องสาวนะจินนี่ แต่พี่ไม่ได้คิดกับรอนอย่างนั้นน่ะสิ” เฮอร์ไมโอนี่พูดตามตรง แม้จะแปลกใจอยู่บ้างก็ตามที่จินนี่คิดว่าเธอชอบรอน แต่จริง ๆ แล้วเด็กสาวไม่ได้รู้สึกอะไรกับรอนไปมากกว่าเพื่อนเลย คนที่เธอชอบจริง ๆ นั้นคือมัลฟอยต่างหาก
“พี่พูดจริงเหรอคะ ที่ว่าพี่ไม่ได้ชอบรอนน่ะค่ะ” จินนี่ถามซ้ำ น้ำเสียงของเธอบ่งบอกว่าผิดหวังอย่างชัดเจน “หนูหมายถึงชอบแบบที่ผู้หญิงชอบผู้ชายน่ะค่ะ”
“ไม่เลยซักนิดจ๊ะ รอนอาจจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของพี่ รวมทั้งแฮร์รี่ด้วย แต่พี่ก็ไม่ได้คิดอะไรกับรอนมากเกินคำว่าเพื่อนเลย” เฮอร์ไมโอนี่ตอบ จินนี่ถอนหายใจ
“งั้นรอนคงเสียใจแย่” เธอว่า เฮอร์ไมโอนี่เลิกคิ้ว
“อะไรนะจ๊ะ”
“หนูคิดว่ารอนคงผิดหวังน่าดูที่พี่ไม่ได้ชอบเขาน่ะ” จินนี่อธิบาย
“แต่รอนเองก็ไม่ได้ชอบพี่นี่จ๊ะ เขา.......” เด็กสาวตั้งท่าจะปฏิเสธ แล้วก็หยุดไปเมื่อนึกถึงพฤติกรรมแปลก ๆ ของรอนที่ผ่านมา เรื่องเขาไม่พอใจเมื่อเธอไปงานเลี้ยงเต้นรำกับวิคเตอร์ เรื่องที่เขากอดเธอไว้แนบอกและสาบานว่าจะฆ่ามัลฟอยเมื่อรอนรู้ว่าเขาทำให้เฮอร์ไมโอนี่ร้องไห้ เรื่องท่าทีแปลก ๆ เมื่อเธอถูกตัวเขาอย่างบังเอิญตอนที่เขาไปรับเธอที่บ้านช่วงต้นฤดูร้อนที่ผ่านมา
“หนูพูดไม่ผิดใช่ไหมคะ” จินนี่ถามขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของเฮอร์ไมโอนี่
“ไม่ใช่จ๊ะ......มันไม่มีทางเป็นไปได้” เด็กสาวตอบเธอ ใบหน้าของเธอดูสับสนเสียยิ่งกว่าตอนที่เห็นมัลฟอยเข้าไปในร้านบอร์เจ็นและเบิร์กเสียอีก
“พี่หมายความว่า รอนเป็นเพื่อนของพี่มานาน เขาไม่มีทาง......ไม่มีทางคิดอะไรกับพี่อย่างแน่นอน” เธอแก้
“แต่หนูรู้สึกว่าเขาคิดนะคะ” จินนี่พูดเรียบ ๆ ไม่สนใจเสียงทักท้วงของเฮอร์ไมโอนี่
“รอนแทบไม่สังเกตด้วยซ้ำว่าพี่เป็นผู้หญิงนะจินนี่” เฮอร์ไมโอนี่ท้วง
“หนูว่าเขาสังเกตเห็นแล้วนะคะ แม้ว่ามันออกจะช้าไปบ้างก็ตาม เขาน่ะมองพี่ตาค้างเลยตอนที่เห็นพี่กับครัมในงานเลี้ยงเต้นรำน่ะ” เด็กสาวผมแดงพูดด้วยท่าทีสบาย ๆ
“พี่ว่าเราเลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่าไหมจ๊ะ” เฮอร์ไมโอนี่รีบตัดบทก่อนที่จินนี่จะหาเหตุผลอะไรมาทำให้เธอเชื่อไปมากกว่านี้ว่ารอนชอบเธอ
“แล้วเรื่องเธอกับดีน โทมัสเป็นยังไงบ้าง” เด็กสาวรีบเปลี่ยนเรื่องคุย
“ก็ดีค่ะ” จินนี่อ้อมแอ้มตอบ เฮอร์ไมโอนี่สังเกตว่าแก้มของเธอขึ้นสีจนเกือบจะมีสีเดียวกับผมเมื่อพูดถึงดีน
“เขาเป็นคนดี ต่างกับอีตาไมเคิล คอร์เนอร์นั่นอย่างกับฟ้ากับดิน รอนดูท่าจะไม่ค่อยปลื้มเขาเท่าไหร่หรอกค่ะ แต่รอนก็มีปัญหากับทุกคนที่หนูเดทด้วยอยู่แล้ว” เธอพูดอย่างเซ็ง ๆ
“แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ชอบดีนเป็นพิเศษ คงเป็นเพราะรอนกับเขาเป็นเพื่อนกัน” เฮอร์ไมโอนี่พยักหน้าอย่างเข้าใจ เธอรู้ดีว่ารอนนั้นหวงน้องสาวคนเดียวของเขามากแล้วก็ไม่อยากให้ใครก็ตามมาแกะเกาะจินนี่ต่อหน้าเขา โดยเฉพาะดีน โทมัส เพื่อนร่วมบ้านกริฟฟินดอร์ของรอน
“นี่ยังดีนะคะที่รอนยังไม่รู้ว่าหนูจูบกับดีนแล้ว ไม่อย่างนั้น.....” จินนี่พูดออกไปก่อนเธอจะห้ามตัวเองได้ทัน เฮอร์ไมโอนี่ตาโต
“เธอจูบกับเขาแล้วเหรอจินนี่ เมื่อไหร่กัน” เด็กสาวถามอย่างแปลกใจ เธอไม่คิดว่าจินนี่ผู้ไร้เดียงสาจะมีจูบแรกเร็วขนาดนี้ หน้าของจินนี่แดงจนมีสีใกล้เคียงผมของเธอก่อนเธอจะตอบออกมา
“ตอนก่อนปิดเทอมน่ะค่ะ หนูกำลังบอกลาเขาก่อนจะนั่งรถไฟกลับ ตอนนั้นเด็กทั้งหมดลงไปรอขึ้นรถไฟกันหมดแล้ว เหลือเราแค่สองคนในห้องนั่งเล่นรวม หนูคิดว่าจะไม่ได้เจอเขาตั้งหลายเดือน หนูก็เลย......” เธออ้อมแอ้ม แม้ว่าเธอจะอายอยู่มากก็ตาม แต่จินนี่ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เฮอร์ไมโอนี่ฟังอย่างละเอียด
“จูบเขา” เฮอร์ไมโอนี่ต่อให้ จินนี่หน้าแดง
“ใช่ค่ะ อย่ามองหนูอย่างนั้นสิคะ” เธอประท้วงขึ้นมาเมื่อเห็นเฮอร์ไมโอนี่มองเธอด้วยสายตาล้อเลียน “มันเป็นเรื่องปกติจะตายไป การจูบแฟนตัวเองน่ะค่ะ”
เฮอร์ไมโอนี่ยิ้ม “จ๊ะ ปกติมาก ๆ เลย”
“แล้วพี่ก็เคยด้วยใช่ไหมคะ จูบกับผู้ชายน่ะค่ะ” จินนี่ถามอย่างอยากรู้ เฮอร์ไมโอนี่กระพริบตา
“พี่น่ะเหรอ” เธอถาม
“ใช่ค่ะ หนูรู้น่าว่าพี่เคยจูบใครแล้ว ใช่ไหมคะ บอกมาเถอะค่ะ หนูไม่บอกใครหรอก” จินนี่เซ้าซี้
“เอ่อ จ๊ะ ก็ทำนองนั้น” เธอจำเป็นต้องตอบเด็กสาวแต่โดยดี เพราะมันเป็นอย่างที่ที่จินนี่คิดจริง ๆ เฮอร์ไมโอนี่เคยจูบผู้ชายมาแล้ว แถมเด็กหนุ่มที่เธอจูบด้วยนั้นก็เป็นศัตรูตัวฉกาจของเธอกับเพื่อนรักทั้งสองอีกต่างหาก
“เขาเป็นใครคะ” จินนี่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้พลางถามเธอ ดวงตาสีฟ้าของเด็กสาวมีแววอยากรู้อยากเห็น
“เอ่อ....”
“บอกมาเถอะค่ะ หนูสัญญาว่าจะเก็บเป็นความลับ จะไม่บอกใครทั้งนั้นโดยเฉพาะรอน” จินนี่พูดพลางไขว้นิ้วเข้าหากันแล้วโชว์ให้เฮอร์ไมโอนี่ดู เด็กสาวลังเล แม้เธอจะรู้ดีว่าจินนี่คงไม่ผิดสัญญากับเธอแน่ แต่เด็กสาวจะทำหน้ายังไงนะหากรู้ว่าผู้ชายคนเดียวที่เฮอร์ไมโอนี่เคยจูบด้วยคือเดรโก มัลฟอย เด็กหนุ่มบ้านสลิธีริน
“วิคเตอร์น่ะจ๊ะ” เฮอร์ไมโอนี่โกหก ในขณะที่จินนี่ตาโต
“หนูกะแล้วเชียว เพราะพี่ไม่เคยออกเดทกับใครนอกจากเขา” จินนี่ว่า “แล้วเขาเป็นยังไงบ้างคะ” เธอถาม
“เอ่อ ก็ดีจ๊ะ พี่หมายถึงเขา......อ่อนโยนมาก” เธอพูด พลางนึกถึงจูบของมัลฟอย แม้ว่าเขาจะไม่ได้อ่อนโยนกับเธอตอนที่ทั้งสองจูบกันครั้งแรก แต่เด็กหนุ่มก็อ่อนโยนกับเธอมากในครั้งหลัง ๆ จูบของมัลฟอยช่างอบอุ่นและเร่าร้อนในคราเดียวกัน และการที่จินนี่ถามแบบนี้มันยิ่งทำให้เธอคิดถึงเขามากขึ้น
“ว้าว.....ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ......หนูหมายความว่า เขาออกจะ......” จินนี่อ้ำอึ้ง
“เขาอ่อนโยนมากจ๊ะ” เฮอร์ไมโอนี่ย้ำ แม้ว่ามันจะเป็นการพูดปดก็ตาม เพราะเธอไม่เคยจูบกับวิคเตอร์ ครัมมาก่อน ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียว คนที่เธอเคยจูบด้วยมีแค่มัลฟอยเท่านั้น แต่เด็กสาวคิดว่ามันคงดีกว่าถ้าจะให้จินนี่คิดว่าเธอจูบกับวิคเตอร์แทนที่จะบอกความจริงกับเธอ
“แต่เธอสัญญาแล้วนะว่าจะไม่บอกใครน่ะจินนี่” เฮอร์ไมโอนี่พูด
“แน่นอนค่ะ มันจะเป็นความลับระหว่างเราสองคน” จินนี่พูดพลางยื่นนิ้วก้อยออกมาให้เธอเกี่ยว เฮอร์ไมโอนี่พันนิ้วก้อยของเธอรอบนิ้วของเด็กสาวแล้วยิ้มให้เธอ


*************************************************


เฮอร์ไมโอนี่กับจินนี่คุยกันได้ไม่นานนักนางวีสลีย์ที่เพิ่งช่วยแฮร์รี่และรอนจัดสัมภาระสำหรับไปฮอกวอตส์เสร็จเรียบร้อยก็ลงมาตามจินนี่ให้ไปช่วยเฟลอร์ทำอาหารเย็นต่อ และเมื่อเด็กสาวเห็นสีหน้าบอกบุญไม่รับของจินนี่ เฮอร์ไมโอนี่ก็อาสานางวีสลีย์ลงไปช่วยเธอด้วยอีกคน
อาหารค่ำในคืนนี้ที่บ้านโพรงกระต่ายนั้นพิเศษกว่ามื้ออื่น ๆ ที่ผ่านมา ราวกับคุณนายวีสลีย์ตั้งใจจัดอาหารชุดพิเศษเพื่อเลี้ยงส่งพวกเขากลับฮอกวอตส์ บนโต๊ะทานข้าวที่ถูกนำมาตั้งที่สวนนั้นเต็มไปด้วยอาหารนานาชนิด และมันก็มีรสชาติอร่อยไปหมดทุกอย่าง เฮอร์ไมโอนี่ลองชิมสตูฝีมือเฟลอร์ที่จินนี่วิจารณ์ว่า ‘ รสชาติเหมือนซุปฟักทองเก็บค้างคืน ’ แล้วเด็กสาวก็พบว่ามันไม่ได้แย่อย่างที่คิด ตรงกันข้ามรสชาติของมันใช้ได้ทีเดียว ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเฟลอร์เริ่มเรียนรู้การเป็นแม่บ้านแม่เรือนเพื่อที่จะเป็นเจ้าสาวในอนาคตได้แล้ว
หลังจากมื้ออาหารที่แสนวิเศษผ่านไป ของหวานที่ปิดท้ายรายการก็ไม่น้อยหน้าอาหารค่ำเลยทีเดียว คุณนายวีสลีย์ทำของหวานทุกอย่างที่คิดว่าเด็ก ๆ น่าจะชอบ และแน่นอนว่าเธอไม่ลืมที่จะทำทาร์ตน้ำตาลข้นของโปรดของแฮร์รี่กับรอนด้วย
หลังจากทุกคนอิ่มหนำกับอาหารเย็นแล้ว นางวีสลีย์ก็ร่ายคาถาให้จานชามของพวกเขาลอยเข้าไปในครัวก่อนที่บิลจะช่วยแม่ของเขาใช้คาถายกของยกโต๊ะอาหารเข้าไปเก็บไว้ในบ้านตามเดิม
“เด็ก ๆ ขึ้นนอนได้แล้วนะจ๊ะ” เธอพูด “เราคงไม่อยากตกรถไฟเพราะมีใครไม่ยอมลุกจากที่นอนในวันพรุ่งนี้หรอกจริงไหม” นางวีสลีย์พูดกับแฮร์รี่ รอน เฮอร์ไมโอนี่ และจินนี่ ซึ่งเด็ก ๆ ก็ทำตามที่เธอพูดเป็นอย่างดี

.................................................

ก่อนเข้านอนเฮอร์ไมโอนี่เช็คสัมภาระของเธออีกครั้งแล้วจัดมันไว้ตรงปลายเตียงเพื่อที่เธอจะได้หยิบมันอย่างสะดวกในวันพรุ่งนี้ เธอกล่าวราตรีสวัสดิ์กับจินนี่ที่นอนอยู่อีกเตียงหนึ่งก่อนที่จะไฟในห้องจะดับลง
เฮอร์ไมโอนี่ล้มตัวลงบนที่นอนทั้ง ๆ ที่เธอไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด เด็กสาวพยายามจะข่มตาให้หลับเนื่องจากรู้ดีว่าพรุ่งนี้จะต้องออกเดินทางแต่เช้า แต่เธอกลับทำได้แค่พลิกตัวไปมาอยู่บนที่นอนเท่านั้น
เฮอร์ไมโอนี่ลุกขึ้นจากที่นอนเมื่อพบว่าเธอไม่สามารถข่มตาหลับได้อีกต่อไป เด็กสาวพิงแผ่นหลังกับหัวเตียงพลางครุ่นคิดถึงวันพรุ่งนี้ พรุ่งนี้เธอจะเดินทางกลับไปฮอกวอตส์แล้ว และในวันพรุ่งนี้เธอก็จะได้เจอเขาอีกครั้ง
เด็กสาวหลับตาลงอย่างสับสน เธอมักจะทำอย่างนี้ทุกครั้งที่คิดถึงมัลฟอย มือของเธอเลื่อนไปยังอกของตนเองและกุมสร้อยคริสตัลที่เธอสวมอยู่โดยไม่รู้ตัว เฮอร์ไมโอนี่หยิบมันออกมาจากคอเสื้อ แม้จะอยู่ในห้องที่มืดสนิทเช่นนี้ก็ตาม แต่จี้คริสตัลรูปหัวใจนั้นก็สามารถทอประกายเป็นสีเทาซึ่งบอกถึงอารมณ์มัวหมองของเธอในตอนนี้ได้
ใช่ ตอนนี้อารมณ์ของเธอกำลังมัวหมองและสับสนเป็นอย่างมาก เฮอร์ไมโอนี่ตั้งใจไว้ว่าเมื่อเธอเจอมัลฟอยอีกครั้งและมีโอกาสได้อยู่กับเขาสองต่อสอง เธอจะถามเขาถึงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด เรื่องพฤติกรรมแปลก ๆ ของเขาที่ตรอกนอร์กเทิร์น รวมทั้งเรื่องที่เธอและแฮร์รี่สงสัยว่าเขาอาจจะเป็นผู้เสพความตาย
เฮอร์ไมโอนี่คิดว่าการหาโอกาสอยู่กับมัลฟอยสองต่อสองนั้นคงทำได้ไม่ยากนัก แม้ว่ามันอาจจะยากที่เธอจะเจอเขาเพียงลำพังตอนที่อยู่บนรถไฟ แต่เมื่อกลับถึงโรงเรียนเฮอร์ไมโอนี่ก็ต้องร่วมงานกับเขาในฐานะพรีเฟ็ค การหาโอกาสอยู่กับเขาเพียงลำพังระหว่างเดินตรวจบริเวณด้วยกันนั้นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอเลย
แต่เรื่องที่ยากในความรู้สึกของเฮอร์ไมโอนี่ก็คือการถามเขาถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เด็กสาวรู้ดีว่ามัลฟอยคงไม่ยอมบอกอะไรเธอเช่นเดียวกับที่เขาทำตอนที่อยู่ที่ร้านตัวบรรจงและหยดหมึกเป็นแน่ และถ้าเขาทำเช่นนั้นเธอก็คิดไว้แล้วว่าเธอจะลงมือค้นหาความจริงด้วยตัวของเธอเอง ถ้าเขาไม่ยอมบอกเธอถึงสาเหตุของพฤติกรรมแปลกประหลาดของเขา เฮอร์ไมโอนี่ก็จะค้นหาต้นเหตุนั้นด้วยตัวเธอเอง แล้วเธอก็ไม่สนใจด้วยว่ามัลฟอยจะโกรธแค่ไหนถ้าเธอทำแบบนั้น แต่ที่เฮอร์ไมโอนี่กลัวมากกว่าการที่จะทำให้มัลฟอยโกรธที่เธอเข้ามายุ่งเรื่องของเขา ก็คือการที่เธอค้นพบว่าความจริงที่เขาพยายามจะปิดปังเธอไว้ ความจริงที่ว่าเขาได้กลายเป็นผู้เสพความตายไปแล้ว!
เด็กสาวคว้าหมอนขึ้นมากอดแน่นเมื่อเธอจิตนาการถึงภาพตรามารปรากฏขึ้นบนท้องแขนของมัลฟอย ถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้นจริงล่ะก็ เธอควรจะทำเช่นไร ถ้าเดรโก มัลฟอย ผู้ชายคนเดียวที่เธอรักกลายเป็นผู้เสพความตายอย่างที่เธอและแฮร์รี่สงสัยอยู่ในตอนนี้ เฮอร์ไมโอนี่ควรจะทำอย่างไรต่อไป เธอจะสามารถรักเขาต่อไปได้หรือไม่ ถ้าเธอรู้ว่าเขาได้กลายเป็นสมุนของจอมมารไปแล้ว เรื่องนี้เธอไม่สามารถตอบได้เลย แต่ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ เธอจะสามารถตัดใจจากเขาได้หรือเปล่าถ้าเธอพบว่าเขากลายเป็นผู้เสพความตายไปแล้วนี่สิมันเป็นเรื่องเฮอร์ไมโอนี่ไม่สามารถตอบตัวเองได้จริง ๆ


*************************************************




 

Create Date : 30 ตุลาคม 2552    
Last Update : 30 ตุลาคม 2552 23:15:20 น.
Counter : 641 Pageviews.  

รักต้องห้ามภาค 2 : Chapter 7 Nightmare




“มัลฟอย” เฮอร์ไมโอนี่พูดอย่างตกใจระคนดีใจ แต่ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไรมากไปกว่านั้นมัลฟอยก็เข้ามาปิดปากเธอไว้เสียก่อน เด็กหนุ่มเหลียวซ้ายแลขวาอย่างระมัดระวัง
“มานี่” เขาคว้าข้อมือของเฮอร์ไมโอนี่ไว้ก่อนจะลากเธอไปด้านหลังชั้นหนังสือที่ไร้ผู้คน
“นี่มันอะไรกันน่ะ” เธอเอ่ยขึ้นทันทีเมื่อมัลฟอยและเธอหลบอยู่หลังเงามืดของชั้นหนังสือที่สูงจรดเพดาน ตรงนี้เป็นมุมอับที่ปราศจากผู้คนและเงียบเชียบขัดกับบรรยากาศคึกคักด้านล่างของร้านเหลือเกิน
“เธอตามฉันมาทำไม” เด็กหนุ่มถามตามตรง และคำถามนั้นทำเอาเฮอร์ไมโอนี่ต้องหลบตาเขาขณะตอบออกไป
“ฉันเปล่าตามเธอซะหน่อย ฉันแค่จะมาซื้อหนังสือ” เธอเถียง
“มาซื้อหนังสือรึ ทั้ง ๆ ที่หนังสือเรียนทั้งหมดก็มีขายอยู่ข้างล่างแล้วเนี่ยนะ อย่ามาโกหกฉันหน่อยเลยเกรนเจอร์ เธอไม่ได้มาซื้อหนังสือ แต่เธอตามฉันมา เธอตามฉันมาตั้งแต่ฉันเข้าไปที่ร้านบอร์เจ็นและเบิร์กแล้ว” มัลฟอยพูด เฮอร์ไมโอนี่ตาโต นี่เขารู้ได้อย่างไรกัน
“บอร์เจ็นบอกฉันเรื่องที่เธอเดินทะเล่อทะล่าเข้าไปในร้านของเขาแล้วเกรนเจอร์ และถ้าคิดดูแล้วคนอย่างเธอคงไม่สนใจของศาสตร์มืดสักเท่าไหร่ของ จริงไหม” มัลฟอยพูดพลางเอามือหมุนปอยผมของเฮอร์ไมโอนี่เล่น
แม้การกระทำของเขาจะดูราวกับพวกเขากำลังพูดคุยเรื่องทั่ว ๆ ไปกันอยู่ แต่แววตาสีเทาเยือกเย็นของมัลฟอยกลับบอกเธอว่าเขาไม่เกรงใจเธอแน่หากเธอไม่ยอมพูดความจริงกับเขาเสียที
“ใช่ ฉันไปที่ร้านนั่นจริง ๆ แต่ฉันไม่ได้ตามนายไปเสียหน่อย เอ๋ เดี๋ยวก่อน นายบอกว่าบอร์เจ็นบอกนายว่าฉันเข้าไปในร้านของเขาน่ะเหรอ เขาจะบอกนายได้ยังไงกันในเมื่อนายไม่ได้กลับไปที่ร้านนั้นอีก” เฮอร์ไมโอนี่กล่าวอย่างสงสัย
“งั้นเธอก็ยอมรับแล้วสิว่าเธอตามฉันไปจริง ๆ น่ะ” เขาพูด
“ถึงฉันจะแอบตามเธอไปก็เถอะ แต่เธอจะรู้ได้ยังไงว่าฉันเข้าไปที่ร้านนั่น ไม่สิ บอร์เจ็นบอกว่าฉันเข้าไปที่ร้านของเขากับนายด้วยวิธีไหนกันนายถึงรู้เร็วขนาดนี้” เธอถามตามตรง มัลฟอยยิ้มมุมปากแปลก ๆ มันเป็นยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์ซึ่งเฮอร์ไมโอนี่ไม่ได้เห็นมันปรากฏบนริมฝีปากของเขามานานแล้ว
“ฉันมีวิธีของฉันก็แล้วกัน” เด็กหนุ่มพูดพลางวางแขนลงบนไหล่เธอ
“แล้วมันวิธีไหนกันล่ะ ที่ทำให้บอร์เจ็นสามารถติดต่อกับเธอได้เร็วอย่างนั้นน่ะ” เฮอร์ไมโอนี่ถามอย่างสงสัย มัลฟอยไม่ตอบเธอ
“นั่นมันเรื่องของฉันเกรนเจอร์”
“ทำไมนายต้องทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ด้วย ทำไมนายถึงต้องการของบางอย่างจากบอร์เจ็น และทำไมนายถึงไม่เอาซื้อมันไปเลยในวันนี้ ทำไมนายต้องถามบอร์เจ็นถึงวีธีการซ่อมของบางอย่างที่เหมือนจะเป็นคู่กันกับของอย่างแรก แล้วทำไมนายถึงต้องเอาคนที่ชื่อ เฟนเรีย เกรย์แบ็กมาขู่เขาด้วย!” เฮอร์ไมโอนี่พูดออกไปโดยไม่ทันจะคิด เธอถามคำถามที่เธอสงสัยและอยากรู้ออกไปเสียหมด โดยลืมคิดไปว่าเพราะคำพูดของเธอมันจะทำให้มัลฟอยรู้ว่าบทสนทนาระหว่างเขาและนายบอร์เจ็นนั้นไม่ได้เป็นความลับอย่างที่คิดไว้!
มัลฟอยพุ่งเข้าใส่เฮอร์ไมโอนี่ทันทีที่เธอพูดประโยคสุดท้ายจบ เด็กหนุ่มดันร่างของเธอไปติดกับชั้นหนังสือ แววตาราวโรจน์น่ากลัว
“เธอรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง รวมทั้งเรื่อง ‘ เฟนเรีย เกรย์แบ็ก ’ ด้วย” มัลฟอยถามด้วยสีหน้าดุดัน ในตอนแรกที่บอร์เจ็นส่งข่าวมาถึงเขาว่ามีเด็กสาวผมสีน้ำตาลคนหนึ่งเดินเข้าไปในร้านของเขาเกือบจะทันทีที่มัลฟอยเดินออกมาจากร้าน เธออ้างตัวว่าเป็นเพื่อนของเด็กหนุ่ม และพยายามหลอกถามว่ามัลฟอยได้จองอะไรไว้ในร้านของเขา ตั้งแต่ตอนนั้นมัลฟอยก็รู้ดีว่าเด็กสาวคนนั้นคือเฮอร์ไมโอนี่ และเธอคงตามเขามาที่ร้านของบอร์เจ็นแล้วคงบังเอิญได้ยินอะไรเกี่ยวกับของที่เขาต้องการจองไว้เข้า แต่การที่เฮอร์ไมโอนี่จะรู้เรื่องของ ‘ เฟนเรีย เกรย์แบ็ก ’ นั้นมันคงเป็นมากกว่าความบังเอิญแน่ ๆ
“นี่นายเป็นบ้าอะไรน่ะมัลฟอย ปล่อยฉันนะ” เฮอร์ไมโอนี่ร้องอย่างตกใจ เมื่อร่างของเธอตกอยู่ในพันธนาการของเด็กหนุ่มตรงหน้า
“เธอจะบอกฉันมาดี ๆ หรือเปล่า” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เฮอร์ไมโอนี่รู้ดีว่านั่นคือคำขาด และเมื่อเป็นเช่นนั้นเด็กสาวก็ยอมพูดออกมาแต่โดยดี
“ฉันแอบตามเธอไปที่นั่น และได้ยินที่เธอคุยกับบอร์เจ็นจากหูยืดยาว” เธอสารภาพ
“อ้อ ไอ้ของเล่นนั่นเองเรอะ” มัลฟอยพูดเยาะ ๆ
“เธอรู้จักมันด้วยเหรอ” เฮอร์ไมโอนี่เอ่ยอย่างแปลกใจ มันคงจะแปลกมากถ้ามัลฟอยจะสนใจของอะไรก็ตามที่ประดิษฐ์ขึ้นโดยฝาแฝดวีสลีย์
“นั่นมันเรื่องของฉัน แล้วเธอได้ยินฉันพูดอะไรกับบอร์เจ็นบ้าง” มัลฟอยถามเธอกลับโดยไม่สนใจที่จะตอบคำถามเธอ
“ก็ได้ยินทั้งหมดนั่นแหละ เราฟังนายคุยกับบอร์เจ็นจนนายออกจากร้านไป”
“เราอย่างนั้นรึ เธอหมายถึงพอตเตอร์กับวีสลีย์รึเปล่า” เมื่อมัลฟอยถามเฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ว่าเธอหลุดปากพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดออกไปเสียแล้ว
“เอ่อ” เด็กสาวอีกอัก
“ตอบมา!” เขาพูดพลางออกแรงบีบแขนเล็ก ๆ ของเธอแน่น
“ใช่ ฉันไปกับแฮร์รี่กับรอน พวกเราเห็นนายเดินอยู่นอกร้านเกมกลวิเศษวีสลีย์คนเดียวเลยตามนายไปที่ร้านบอร์เจ็นและเบิร์ก ฉันรวมทั้งแฮร์รี่กับรอนได้ยินเรื่องที่นายพูดกับบอร์เจ็นตั้งแต่ต้นจนจบจากหูยืดยาว และหลังจากที่นายออกจากร้านมาฉันก็ตัดสินใจตามนายมาคนเดียว เพราะฉันอยากรู้ว่าที่นายทำทั้งหมดนั่นมันอะไรกันมัลฟอย นายกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ทำไมถึงต้องทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อย่างนี้ด้วย!” เฮอร์ไมโอนี่พูดออกไปอย่างหมดความอดทน เธอไม่เข้าใจจริง ๆ ว่ามัลฟอยเป็นอะไรไป ทำไมเขาถึงทำตัวลึกลับขนาดนี้ แล้วทำไมเขาถึงทำกับเธอแบบนี้ มัลฟอยคนเดิมที่เคยอ่อนโยนกับเธอหายไปไหนเสียแล้ว!
และดูเหมือนกับมัลฟอยเองก็อับจนในคำถามเหล่านี้ของเธอ เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบอะไรออกมา แต่เขาก็ดูสงบนิ่งลง แววตาสีซีดดูอ่อนลงกว่าที่เคย
“ฉันบอกเธอไม่ได้” เขาพูดออกมาในที่สุด
“บอกไม่ได้งั้นเหรอ นี่เป็นคำพูดเดียวที่เธอพูดเป็นงั้นสินะ คำก็บอกไม่ได้ คำก็เรื่องของฉัน เธอเป็นอะไรไปน่ะมัลฟอย เมื่อก่อนเธอไม่เคยพูดกับฉันอย่างนี้เลยนี่” เด็กสาวเอ่ยอย่างตัดพ้อ
“ฉันบอกเธอแล้วไงเกรนเจอร์ว่าทุกอย่างระหว่างเรามันจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ตอนนี้ชีวิตของฉันได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว” เขาเถียง
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอต้องเจอกับอะไรบ้างตั้งแต่พ่อของเธอถูกจับ แต่ที่ฉันหวังมาตลอดว่าสิ่งที่จะยังคงอยู่ก็คือความรักของเราที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แต่ฉันไม่นึกเลย....” เธอพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะเกรนเจอร์” มัลฟอยพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ฉันยังรักเธอเหมือนเดิม เพียงแต่....”
“เพียงแต่ฉันยังบอกเธอไม่ได้ถึงสิ่งที่ฉันกำลังเผชิญ สิ่งที่ฉันกำลังเจออยู่ในตอนนี้ ฉันบอกเธอไม่ได้จริง ๆ และฉันก็ไม่อาจพูดได้ว่าความรักของเราจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เพราะถ้าฉันพูดออกไปก็เท่ากับฉันโกหก” เด็กหนุ่มพยายามอธิบาย
“ฉันพูดได้แค่ว่า ฉันยังรักเธอเหมือนเดิม และไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นฉันจะไม่มีวันทำร้ายเธอ ฉันสัญญา” มัลฟอยพูดพลางลูบศีรษะเฮอร์ไมโอนี่เบา ๆ เด็กสาวพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ขอโทษนะที่พูดไม่ดีกับเธอน่ะ” เขาพูดพลางลูบแก้มเนียนของเฮอร์ไมโอนี่เบา ๆ นานเท่าไหร่แล้วนะที่เขาไม่ได้เห็นดวงตาสีน้ำตาลคู่นี้ นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้สัมผัสพวงแก้มเนียนของเด็กสาวคนนี้
“ช่างมันเถอะ เธอเคยพูดกับฉันแรงกว่านี้อีกนี่ จำได้ไหม” เฮอร์ไมโอนี่พูดเบา ๆ มัลฟอยยิ้มขึ้นมา เขามองดูเด็กสาวตรงหน้าอย่างห่วงหา ความคิดถึงตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นทบทวีอยู่ภายในอกของเขา
มัลฟอยเลื่อนมือไปสัมผัสผิวรอบดวงตาของเด็กสาวอย่างเบามือ
“ตาเธอหายเขียวแล้วนี่” เขาพูดกวน ๆ ก่อนจะเลื่อนมือลงมาที่ริมฝีปากอวบอิ่ม
นานเท่าไหร่แล้วนะที่เขาไม่ได้สัมผัสริมฝีปากคู่นี้ของเธอ
โดยไม่ได้การบอกล่วงหน้า เด็กหนุ่มก็ก้มหน้าลงไปประทับริมฝีปากกับเด็กสาวตรงหน้า มัลฟอยรั้งร่างของเฮอร์ไมโอนี่มาชิดใกล้มากขึ้นในขณะที่ทั้งสองกำลังแลกจูบที่อ่อนโยนและแสนจะหอมหวานนั้นราวกับทั้งคู่กำลังถ่ายทอดความคิดถึงผ่านริมฝีปากที่สัมผัสกันอยู่

…………………………………………………………….

เฮอร์ไมโอนี่กลับถึงร้านเกมกลวิเศษวีสลีย์ในเวลาต่อมา แม้ว่าเธอจะไม่อยากแยกจากมัลฟอยเพียงไรก็ตาม และช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ทั้งสองได้พบกันตามลำพังนั้นก็ไม่เพียงพอที่จะให้พวกเขาได้ถ้ายทอดความคิดถึงที่มีต่อกัน แต่เด็กทั้งสองก็ไม่อาจดึงรั้งช่วงเวลาอันแสนหวานนี้ให้ยาวนานออกไปได้ เพราะมัลฟอยเองก็ต้องรีบกลับไปหาแม่ของเขาก่อนที่หล่อนจะสงสัย ในขณะเดียวกันเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจหายไปจากร้านเกมกลวิเศษวีสลีย์เป็นเวลานานกว่านี้ได้แล้ว

เด็กสาวผลักประตูหน้าร้านออก และพยายามเบียดเสียดกับคนจำนานมากเพื่อเข้าไปในร้าน แต่แม้จะอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่แน่นขนัด แต่ก็มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่อยู่ในความคิดคำนึงของเธอ นั่นก็คือถ้อยคำที่เด็กหนุ่มได้ฝากไว้กับเธอก่อนที่ทั้งสองจะจากกัน


‘ จำไว้นะว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะไม่มีวันทำร้ายเธอ ’ มัลฟอยกล่าวพลางจูบหน้าผากเฮอร์ไมโอนี่อย่างอ่อนโยนก่อนจะจำใจผละออกจากเธอไป

เฮอร์ไมโอนี่มัวแต่เหม่อลอยอยู่ท่ามกลางฝูงชนจนไม่สนใจเสียงเรียกชื่อของเธอเอง
“เฮอร์ไมโอนี่ เฮอร์ไมโอนี่!” เสียงของรอนดังมาอีกทาง เขาและแฮร์รี่กำลังแหวกผู้คนเพื่อเดินมาหาเธอ
เด็กสาวหันไปเห็นเพื่อนทั้งสอง
“ทำไมเธอไปนานจังล่ะ พวกเรารอเธอตั้งนาน” รอนพูดขึ้น
“นั่นสิ แล้วไหนหนังสือที่เธอว่าจะไปซื้อล่ะเฮอร์ไมโอนี่” แฮร์รี่พูดเสริม
“คือ พอดีมันหมดน่ะ ฉันก็เลยไม่ได้ซื้อมา” เธอปด
“งั้นเหรอ ฉันว่าเราน่าจะได้เวลากลับแล้วนะ” รอนพูดในมือถือถุงบรรจุของเล่นตลกที่ซื้อมา “แถมแม่ยังเริ่มสงสัยเรื่องที่เราหายไปแล้วล่ะ ถ้ายังไงเรารีบไปให้พ่อกับแม่เห็นหน้าพร้อมกันก่อนที่เขาจะรู้ว่าเราแอบไปทำอะไรมาดีกว่า” เขาเสนอ เฮอร์ไมโอนี่ไม่ได้ทำอะไรนอกจากพยักหน้าและเดินตามรอนไปแต่โดยดี


*************************************************


หลังจากที่เด็ก ๆ กลับมาจากตรอกไดแอกอนปิดเทอมฤดูร้อนดูเหมือนจะผ่านไปรวดเร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีกไม่กี่วันพวกเขาก็จะต้องเดินทางกลับฮอกวอตส์แล้ว เด็ก ๆ จึงเลือกที่จะใช้ช่วงเวลาสุดท้ายของปิดเทอมนี้ให้คุ้มค่ามากที่สุด ซึ่งสำหรับรอนแล้วหมายถึงการนอนอยู่เฉย ๆ อย่างเกียจคร้านทั้งวัน ซึ่งเป็นการพักผ่อนเพื่อเตรียมตัวรับศึกหนักในช่วงเปิดเทอมของเขา ส่วนเฮอร์ไมโอนี่นั้นเธอหมกมุ่นอยู่กับหนังสือเป็นส่วนใหญ่ น้อยครั้งเหลือเกินที่ใครต่อใครจะได้เห็นใบหน้าเต็ม ๆ ของเธอนอกจากส่วนตาและคิ้วที่โผล่พ้นปกหนังสือ สำหรับแฮร์รี่นั้นเขาใช้เวลาเกือบทั้งอาทิตย์คาดเดาว่ามัลฟอยเข้าไปทำอะไรในร้านบอร์เจ็นและเบิร์กในวันนั้น

จริง ๆ แล้วแฮร์รี่ไม่ใช่คนเดียวที่ครุ่นคิดเรื่องของมัลฟอยตลอดเวลา เพราะเฮอร์ไมโอนี่เป็นอีกคนที่ครุ่นคิดเรื่องของเขาพอ ๆ หรืออาจจะมากกว่าที่แฮร์รี่เพื่อนของเธอคิดด้วยซ้ำ เพียงแต่เฮอร์ไมโอนี่เลือกที่จะไม่พูดถึงความสงสัยและข้อสันนิฐานของตัวเองออกมา เพราะเธอไม่ต้องการให้เพื่อนทั้งสองคิดว่าเธอสนใจมัลฟอยมากเกินไป และมันอาจจะทำให้เธอเผลอหลุดปากเรื่องที่เธอไปเจอเด็กหนุ่มที่ร้านตัวบรรจงและหยดหมึกในวันเดียวกันนั้นออกมาก็ได้

ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมาแฮร์รี่กับรอนไม่รู้เลยว่าที่เฮอร์ไมโอนี่ตั้งหน้าตั้งหาอ่านหนังสือทุกวันนั้นไม่ใช่เพราะเธอต้องการทบทวนบทเรียนมาตรฐานปีหกใหม่อีกรอบ แต่เธอกำลังศึกษาเครื่องมือและวัตถุที่มีอำนาจต่าง ๆ จากหนังสือ คู่มืออุปกรณ์และวัตถุที่มีอำนาจพิเศษ เพื่อหาว่ามีวัตถุเวทย์มนตร์ใดบ้างที่จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีคู่ของมันเท่านั้น

แต่หลังจากผ่านไปหลายวันเฮอร์ไมโอนี่กลับไม่ประสบความสำเร็จในการค้นหาวัตถุเวทย์มนตร์นี้ แถมแฮร์รี่เพื่อนรักของเธอยังพยายามหาทฤษฏีใหม่ ๆ ที่จะมาเป็นคำตอบของพฤติกรรมแปลกประหลาดของมัลฟอยอยู่ทุกวัน ซึ่งทุกครั้งที่แฮร์รี่คาดคะเนได้เด็กสาวก็จำพยายามปฏิเสธความคิดของเขาทุกครั้ง ไม่ใช่ว่าเธอไม่เห็นด้วยกับความคิดของเพื่อนรักหรอกนะ แต่เธอกลัวที่จะยอมรับมันมากกว่า และที่สำคัญถ้ามัลฟอยเป็นอย่างที่แฮร์รี่พยายามคิดจริง ๆ เธอก็ไม่อยากให้แฮร์รี่เป็นคนรู้เรื่องนี้เร็วนัก การปรามเพื่อนของเธอและพยายามพูดว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นเป็นเรื่องไร้สาระเกินกว่าที่จะเกิดขึ้นได้จริงนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เธอพอจะทำได้ในตอนนี้

แต่แล้วความอดทนของเฮอร์ไมโฮนี่ก็จบลงเมื่อแฮร์รี่พูดประโยคหนึ่งเข้าหลังจากเข้าพยายามประติดประต่อเรื่องต่าง ๆ เข้าหากันเป็นเวลาหลายต่อหลายวัน
“เขาเป็นผู้เสพความตาย!” แฮร์รี่พูด “เขาเป็นผู้เสพความตายแทนพ่อของเขา!”
เฮอร์ไมโอนี่เอ่ยขึ้นอย่างไม่เห็นด้วยหลังจากที่รอนระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“ดูไม่น่าจะเป็นไปได้นะแฮร์รี่” เธอว่า “อะไรทำให้เธอคิดอย่างนั้น” เฮอร์ไมโอนี่พูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียดขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย

‘ มัลฟอยน่ะเหรอจะเป็นผู้เสพความตาย ไร้สาระน่า! ’ นั่นเป็นความคิดแรกที่ผุดขึ้นในหัวของเฮอร์ไมโอนี่ แต่เมื่อผ่านการตรึกตรองที่ดีแล้ว ความคิดต่อไปก็ตามมา

‘ มันก็อาจจะเป็นไปได้นะที่เขาจะเป็นผู้เสพความตาย หลังจากที่พ่อเขาล้มเหลวเมื่อครั้งก่อนแล้วถูกจับ จอมมารคงต้องการใครสักคนมาทำงานแทนนายลูเซียส และคนที่เหมาะสมที่สุดก็คือเดรโก ลูกชายของเขา ’
เสียงเล็ก ๆ นั้นดังขึ้นในหัวของเฮอร์ไมโอนี่เพื่อตอกย้ำความคิดที่เลวร้ายนั้น ความกลัวที่สุดของเธอ แต่ถ้าลองมานั่งคิดดูดี ๆ แล้ว การเป็นผู้เสพความตายนั้นสามารถอธิบายถึงพฤติกรรมแปลก ๆ ของมัลฟอยได้ทั้งหมด ความจริงแล้วเฮอร์ไมโอนี่สังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้ก่อนหน้านี้แล้ว และเธอก็สามารถคาดเดาคำตอบง่าย ๆ นี้ได้ก่อนแฮร์รี่ด้วยซ้ำ แต่ที่เธอไม่อยากจะพูดมันออกไป เป็นเพราะมันคือสิ่งที่เธอกลัว เธอกลัวที่จะต้องรับรู้ว่าผู้ชายที่เธอรักได้กลายเป็นผู้เสพความตาย กลายเป็นสมุนของจอมมารไปแล้ว

เฮอร์ไมโอนี่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองจนลืมใส่ใจแฮร์รี่ไปเสียสนิท ในตอนนี้เด็กหนุ่มกำลังพยายามหาเหตุผลต่าง ๆ นานามาสนับสนุนความคิดของเขาเอง จนกระทั่งแฮร์รี่หยิบเรื่องตรามารขึ้นมาพูด แต่ทั้งรอนและเฮอร์ไมโอนี่กลับทำท่าไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด ( เฮอร์ไมโอนี่พยายามทำหน้าตาเรียบเฉยที่สุดทั้ง ๆ ที่ในใจของเธอกังวลเป็นอย่างมาก ) แฮร์รี่ก็ผุนผลันออกไป

หลังจากแฮร์รี่เดินออกจากห้องไปรอนก็หันมาพูดกับเฮอร์ไมโอนี่
“เธอคิดว่ามัลฟอยจะเป็นอย่างที่แฮร์รี่พูดไหม” เขาถาม
“ถ้าเธอหมายถึงเป็นผู้เสพความตายล่ะก็ ฉันว่าไม่หรอก ไม่น่าจะเป็นไปได้” เธอพูดเบา ๆ ทั้ง ๆ ที่ในใจปั่นป่วนอย่างร้ายกาจ “อย่างมัลฟอยน่ะ” เธอตั้งท่าจะพูดแต่ก็กลับหยุดชะงักไป


‘ อย่างหนึ่งที่จะได้รับผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้นอกจากตัวฉันแล้ว ก็คือเรื่องของเรา ฉันคงต้องบอกเธอนะว่าต่อไปนี้เรื่องของเราจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ’

ถ้อยคำในจดหมายเพียงฉบับเดียวที่มัลฟอยส่งหาเธอตลอดทั้งหน้าร้อนนี้ผุดขึ้นมาในสมอง
“อย่างเขาน่ะไม่น่าจะเป็นผู้เสพความตายได้ใช่ไหม” รอนต่อให้ “ฉันก็คิดเหมือนเธอแหละเฮอร์ไมโอนี่ ว่าคนที่เธอก็รู้ว่าใครจะเอาเจ้าขี้แพ้นั่นไปเป็นลูกสมุนน่ะนะ บ้าสิ้นดี” เด็กหนุ่มพูดในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่นิ่งเงียบ
“ฉันเองก็หวังอย่าให้เขาเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เลย” เด็กสาวพูด รอนมองเธออย่างแปลกใจ
“ฉันหมายความว่าถ้าเขาเป็นผู้เสพความตายจริง ๆ ก็เท่ากับภาคีต้องเป็นศัตรูกับเขา” เธอตอบ
“ก็ใช่น่ะสิ แต่เธอพูดเหมือนกับว่าตอนนี้เจ้านั่นไม่ได้เป็นศัตรูของเรางั้นแหละเฮอร์ไมโอนี่! ทุกวันนี้เรากับมันก็แทบจะฆ่ากันตายไปข้างนึงอยู่แล้ว” รอนพูด เฮอร์ไมโอนี่เลิกคิ้ว
“ฉันแค่เปรียบเทียบน่ะ” เขาต่อเมื่อเห็นสีหน้าของเด็กสาว
“ก็ดีแล้วที่มันเป็นแค่คำเปรียบ” เธอพูดเสียงเรียบ “เพราะถ้ามัลฟอยได้เป็นสมุนจอมมารจริง ๆ แล้วล่ะก็ เรากับเขาก็คงจะต้องฆ่ากันต่างจริง ๆ อย่างแน่นอน” เด็กสาวเดินออกจากห้องทันทีที่จบประโยค รอนมองตามแผ่นหลังของเฮอร์ไมโอนี่ไปอย่างสงสัย ทำไมนะเขาถึงรู้สึกว่าเธอไม่เหมือนเฮอร์ไมโอนี่ที่เขาเคยรู้จัก


*************************************************


ท้องฟ้ายามราตรีมืดมิดดำขลับราวกับกำมะหยี่ปรากฏขึ้นพร้อมกับร่างสองร่างอยู่บนเนินเขาแห่งหนึ่ง ร่างทั้งสองยืนหันหน้าไปยังทิศทางเดียวกัน ร่างแรกเป็นชายหนุ่มผมบลอนด์ใบหน้าซีดขาวผู้สวมชุดดำตั้งแต่หัวจรดเท้า แววตาสีซีดของเขาราวกับกำลังจ้องมองไปยังที่ไกลแสนไกล ในขณะที่ร่างที่ยืนอยู่ด้านหลังเขานั้นเป็นหญิงสาวผมสีน้ำตาลหยักศก เธอบาดเจ็บที่ไหล่ซ้าย เลือดไหลซึมออกมาจากเสื้อคลุมของเธอ หญิงสาวใช้อีกมือหนึ่งประคองแขนซ้ายไว้
“เธอรู้ใช่ไหมว่ามันจะต้องเป็นอย่างนี้” มัลฟอยถาม เฮอร์ไมโอนี่พยักหน้าเล็กน้อย เธอจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยแววตาสีน้ำตาลที่แลดูโศกเศร้าหากแต่อ่อนโยน
ใช่ เธอรู้อยู่แล้วว่ามันต้องลงเอยเช่นนั้น เธอรู้อยู่เต็มอก ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าจะจบเช่นไร แต่เธอก็ยังดึงดันที่จะเดินบนเส้นทางนี้ต่อ ทั้ง ๆ ที่เธอรู้ทั้งรู้ว่าจุดจบของมันไม่น่าพิสมัยเลยแม้แต่น้อย!
“แต่เธอก็ยังรักฉันอย่างนั้นหรือ” มัลฟอยพูด แววตาสีเงินที่จ้องมองเฮอร์ไมโอนี่นั้นดูล้ำลึกยิ่งนัก ราวกับเขาต้องการจดจำทุกอย่างเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ไว้เป็นอย่างดี เพราะนี่คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เธอจะได้เห็นเขา
“ฉันรักเธอเดรโก” เฮอร์ไมโอนี่พูดขึ้น
“รักทั้ง ๆ ที่ฉันทำอย่างนี้น่ะนะ ฉันสัญญาไว้ว่าจะไม่ทำร้ายเธอ แต่ฉันก็ทำไม่ได้ ฉันรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเธอไม่ได้!” มัลฟอยพูดอย่างเกรี้ยวกราด! เขาเลือกที่จะระบายอารมณ์ด้วยการระเบิดต้นไม้ที่อยู่ใกล้ ๆ จนเป็นจุล!
เฮอร์ไมโอนี่ตกใจกับการกระทำของเขาเล็กน้อย แต่เธอรู้จักเขามากพอที่จะเคยชินกับนิสัยชอบทำอะไรรุนแรงของเขาเสียแล้ว
“ฉันไม่เคยโกรธเธอเลยสักนิด” เฮอร์ไมโอนี่พูดพลางเดินเข้าไปใกล้เขา หญิงสาวแตะแขนเขาด้วยมือข้างที่ไม่ได้บาดเจ็บ มัลฟอยหันมามองเธอ
“กับเรื่องทั้งหมดที่ฉันทำอย่างนั้นหรือ” มัลฟอยพูดอย่างราวกับจะเย้ยหยันตัวเอง ใช่ เขาทำเรื่องเลวร้ายลงไป เลวร้ายเกินกว่าที่เธอจะใช้อภัย แต่เธอก็ยังคงบอกว่าเธอไม่โกรธเขา
“ใช่ อย่าลืมสิว่าฉันยกโทษให้เธอได้เสมอ” เฮอร์ไมโอนี่พูดด้วยรอยยิ้ม มัลฟอยก้มลงมองบาดแผลของเธอเบา ๆ บาดแผลที่เขาเป็นคนทำ!
“เธอคงเจ็บมากสินะ” เขาพูด เฮอร์ไมโอนี่ส่ายหน้าเล็กน้อยถึงแม้ว่าเธอจะเจ็บมากก็ตาม แต่ความเจ็บปวดที่กายนั้นไม่ได้ครึ่งหนึ่งของความเจ็บปวดที่ใจเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้หัวใจของเธอนั้นราวกับถูกดึงทึ้งออกเป็นชิ้น ๆ
เฮอร์ไมโอนี่โผเข้ากอดมัลฟอย เขารับเธอเข้าไว้ในอ้อมแขนโดยไม่ลังเล เธอผู้เปรียบเสมือนทุกสิ่งที่อย่างในชีวิตของเขา แต่เขากลับทำร้ายเธอด้วยมือของเขาเอง!
“ฉันขอโทษเฮอร์ไมโอนี่ ฉันขอโทษจริง ๆ ” เขาเอ่ยพลางก้มลงจูบหัวไหล่ของเธอ จูบบาดแผลอันเกิดขึ้นจากฝีมือของเขาบนเรือนร่างของผู้หญิงที่เขารัก
เฮอร์ไมโอนี่ซุกใบหน้าลงในอกอุ่นของมัลฟอย นานเท่าไหร่แล้วนะที่เธอไม่ได้ทำเช่นนี้ นานเท่าไหร่แล้วที่เธอไม่ได
สัมผัสถึงความอบอุ่นจากผู้ชายคนนี้ ชายคนที่เธอรักมากที่สุด ชายผู้เป็นศัตรูของเธอ
ชายผู้เป็นผู้เสพความตาย!

“ฉันรักเธอเดรโก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันก็ยังคงจะรักเธอ แม้ว่าเธอจะเป็นคนที่ทำร้ายฉัน หรือจะเป็นคนฆ่าฉันก็ตามฉันก็จะไม่โกรธแค้นเธอเลย” เฮอร์ไมโอนี่พูด มัลฟอยหลับตาลง
“ในที่สุดทุกอย่างมันก็ต้องเป็นอย่างนี้สินะ” เขาพูดขึ้น “ในที่สุดฉันก็ต้องเป็นคนฆ่าเธอกับมือใช่ไหม” ชายหนุ่มพูดประโยคที่เจ็บปวดที่สุดออกมา
เฮอร์ไมโอนี่ที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาเงยหน้าขึ้นมองมัลฟอย เธอรู้คำตอบดี
“ใช่ ตามคำทำนายเธอต้องเป็นคนฆ่าฉันกับมือ นั่นเป็นบทสรุปเรื่องของเรา” เธอพูดช้า ๆ
มัลฟอยหัวเราะขึ้นมา เขาหัวเราะเบา ๆ ราวกับต้องการเย้ยหยันในโชคชะตาของตนเองที่ช่างกลั่นแกล้งเขานัก โชคชะตาช่างเล่นตลกกับเขาเหลือเกิน มันทำให้เขาพบผู้หญิงที่เขารักจนหมดหัวใจ มันทำให้เขาและเธอต้องเป็นศัตรูกัน และสุดท้ายนี้มันกำลังจะทำให้เขาต้องฆ่าเธอด้วยมือของเขาเอง!
ชายหนุ่มกอดหญิงสาวเอาไว้อย่างแน่นหนา ราวกับเขากลัวว่าเธอกำลังจะละลายหายไปในอากาศในเวลาต่อมา เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกเหมือนเวลาหยุดเดิน บาดแผลที่ไหล่ไม่สร้างความเจ็บปวดให้เธออีกแต่อย่างใด ในอ้อมกอดนี้ทำให้เธอลืมเลือนทุกสิ่งทุกอย่าง ราวกับว่าทั้งโลกนี้มีเพียงเขาและเธอสองคนเท่านั้น

เฮอร์ไมโอนี่สัมผัสความสุขนั้นได้ไม่นานนัก เสียงเฮและเสียงฝีเท้าที่ดังมานั้นปลุกเธอให้ตื่นจากภวังค์ หญิงสาวผละออกจากอ้อมกอดของมัลฟอย
“พวกนั้นกำลังมา” เขาพูดเรียบ ๆ พลางมองไปยังพื้นที่ที่ถูกเนินเขาลูกเล็ก ๆ บังเอาไว้ แววตื่นตระหนกปรากฏบนใบหน้าของเฮอร์ไมโอนี่ เธอสบตามัลฟอยอย่างกังวล “มันถึงเวลาแล้ว” เขาเสริม
ถึงเวลาที่จะยอมรับชะตากรรมแล้ว!
“ถ้าอย่างนั้นก็ลงมือเถอะ” หญิงสาวพูดเรียบ ๆ “ฆ่าฉันซะเถอะ”
“ไม่! ฉันจะไม่มีวันทำร้ายเธอ” เขาพูด
“ฆ่าฉันซะ แล้วกลับไปหาพวกนั้น เธอต้องฆ่าฉันตามคำทำนาย เธอถึงจะมีชีวิตรอดต่อไป” เฮอร์ไมโอนี่
“เธอจะให้ฉันฆ่าเธอเพื่อเอาตัวรอดน่ะเหรอ ถ้าอย่างนั้นฉันยอมตายดีกว่า” เขาว่า
“ไม่ เธอต้องฆ่าฉัน รักษาชีวิตได้เดรโก เพื่อฉัน” เธอพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ในขณะที่เสียงเฮนั้นเริ่มเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ
“ไม่ ฉันไม่ทำ ถ้ามีใครจะต้องตายล่ะก็ คน ๆ นั้นก็คือฉัน” มัลฟอยพูดพลางยื่นไม้กายสิทธิ์ในมือของเขาให้เธอ “ฆ่าฉันเถอะเฮอร์ไมโอนี่ ฆ่าฉันแล้วเอาไม้นี่ไปซะ แล้วหนีไป” เขาบอก
“ฉันทำไม่ได้......”
“ต้องได้สิ คำทำนายบอกว่าเราคนใดคนหนึ่งต้องฆ่ากันเอง ถ้าอย่างนั้นฉันขอเป็นฝ่ายถูกเธอฆ่า พอเธอฆ่าฉันแล้วก็หนีไปซะ ก่อนที่จอมมารจะมา” เขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“เดรโก” เฮอร์ไมโอนี่พูดด้วยน้ำตาที่ไหลพรากเมื่อชายหนุ่มตรงหน้าคุกเข่าลงตรงหน้าเธอ
“ฆ่าฉันซะเฮอร์ไมโอนี่ แต่ก่อนฉันตาย ฉันอยากให้เธอรู้ว่าฉันรักเธอ รักเธอเหลือเกิน” เขาพูด แววตาสีซีดของเขานั้นเปี่ยมไปด้วยความรักที่มีต่อเธอ ความรักมากพอที่จะทำให้เขาสละชีวิตตัวเองเพื่อช่วยเธอได้
มือที่ถือไม้กายสิทธิ์ของเฮอร์ไมโอนี่นั้นสั่นเทา เธอไม่คิดเลยว่าทุกอย่างจะต้องมาลงเอยแบบนี้ เธอไม่ได้อยากทำอย่างนี้เลย แต่เมื่อสบตาดวงตาสีเทาคู่นั้นแล้ว เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจปฏิเสธคำขอร้องครั้งสุดท้ายของมัลฟอยได้
หญิงสาวหลับตาลงพลางชี้ไม้กายสิทธิ์ไปที่มัลฟอยด้วยมือที่วสั่นเทา ชายหนุ่มหลับตาลงอย่างช้า ๆ เตรียมพร้อมรับชะตากรรม

แต่ก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่จะได้ร่ายคาถาก็มีเสียงเย็นยะเยือกดังขึ้น
“เอ็กซ์เปลลิอาร์มัส!” ไม้กายสิทธิ์ของเฮอร์ไมโอนี่ลอยหวือไปในทันที หญิงสาวหันไปมองทางต้นเสียง
ที่ยืนอยู่ตรงนั้นและเป็นผู้ปลดไม้กายสิทธิ์เฮอร์ไมโอนี่ก็คือจอมมาร! ผู้เสพความตายจำนวนมากตามหลังมาติด ๆ และหนึ่งในนั้นคือลูเซียส มัลฟอย พ่อของเดรโก เขาถึงกับถอดหน้ากากของตัวเองออกมาเพื่อให้มองภาพตรงหน้าชัด ๆ ภาพที่ลูกชายของเขาไปเกลือกกลั้วกับเลือดสีโคลน
“แก!” ลูเซียสคำรามพลางควักไม้กายสิทธิ์ออกมาและตรงไปยังเดรโก แต่จอมมารยกมือห้ามไว้เสียก่อน
“เจ้านาย!” นายมัลฟอยพูด
“ลูเซียส ปล่อยให้ข้าจัดการเอง” เขาพูดด้วยเสียงขู่ฟ่อ ๆ เจ้าแห่งศาสตร์มืดย่างกรายเข้ามา เสื้อคลุมสีดำสะบัดพลิ้วตามแรงลม เขามองดูเชลยทั้งสองด้วยสายตารังเกียจเดียดฉันท์
“ผู้เสพความตายสมุนข้ากับนังเลือดสีโคลนคนของดัมเบิลดอร์” จอมมารกล่าว “ช่างโรแมนติกเสียนี่กระไร” เขาเอ่ยอย่างประชดประชัน ผู้เสพความตายที่เหลือพากันหัวเราะครืน
“ข้าควรจะลงโทษพวกเจ้าอย่างไรดี” จอมมารพูด “โดยเฉพาะเจ้าเดรโกเจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าโทษฐานของการทรยศข้าคืออะไร” เขาถามพลางยิ้มราวโรจน์
“เจ้านาย ได้โปรดส่งลูกทรยศคนนี้มาให้ข้า ข้าจะจัดการมันด้วยมือของข้าเอง” ลูเซียสเอ่ยขึ้นท่ามกลางเสียงหัวเราะเย้ยหยันของเหล่าผู้เสพความตาย
“เงียบซะลูเซียส!” จอมมารตะคอกด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว “เดรโกเป็นสมุนของข้า ข้าจะลงโทษเขาด้วยตัวข้าเอง” จ้าวแห่งศาสตร์มืดหันไปทางชายหนุ่ม สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความขยะแขยงยิ่งนัก
“เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามข้าเลย เดรโก”
“สิ่งที่ผู้ทรยศควรได้รับคือ.......ความตาย” ชายหนุ่มพูดพลางกลืนน้ำลาย เขาไม่เกรงกลัวความตายเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่สิ่งที่เขากลัวมากที่สุดคือโทษทัณฑ์ที่ต้องได้รับก่อนที่เขาจะตาย และคนที่จะต้องทนทุกข์ทรมานนั้นไม่ใช่แค่เขา แต่เป็นหญิงสาวที่เขารักด้วย
มัลฟอยชำเลืองตามองเฮอร์ไมโอนี่ที่อยู่ข้าง ๆ จอมมารสังเกตเห็น เขายิ้มเหยียดหยัน
“น่ารังเกียจ ทั้ง ๆ ที่เจ้ามีเลือดบริสุทธิ์ที่สูงส่ง แต่กลับลดตัวลงไปเกลือกกลั้วกับพวกเลือดสีโคลน” จอมมารเอ่ย
“แต่ตัวท่านก็ไม่ใช่เลือดบริสุทธิ์มิใช่รึ” เสียงของเฮอร์ไมโอนี่ดังขึ้น ทุกสายตามองมาทางเธออย่างดุดัน
“นังโสโครก! เจ้ากล้าพูดกับท่านอย่างนั้นเชียวรึ! กล้าเอาริมฝีปากเปื้อนโคลนของเจ้าพูดกับเจ้าแห่งศาสตร์มืด” เบลลาทริกซ์ เลสแสตรงค์เอ่ยอย่างเกรี้ยวกราดชี้ไม้กายสิทธิ์มาทางเฮอร์ไมโอนี่ด้วยมือที่สั่นเทาด้วยความโกรธ
“เบลลา” จอมมารเอ่ยขึ้นเบา ๆ
“เจ้านายโปรดให้ข้าจัดการกับนางเลือดโสโครกนี่ด้วยเถอะค่ะ มันบังอาจ!” เบลลากรีดเสียง
“ไม่เบลลา ไม่ใช่เจ้า แต่เป็นเจ้าเดรโก!” เจ้าแห่งศาสตร์มืดพูดด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก ทุกคนหันมามองมัลฟอยเป็นตาเดียว
“ฆ่ามันซะ แล้วข้าจะให้อภัยที่เข้าทรยศ” จอมมารพูดพลางยื่นไม้กายสิทธิ์ในมือคืนให้เขา “ฆ่ามันด้วยมือของเจ้าเอง”
“ไม่! ข้าทำไม่ได้! เจ้านายได้โปรดฆ่าข้าเสีย แล้วปล่อยเธอไป” เดรโกอ้อนวอน
“แก! ถึงขนาดนี้แล้วยังกล้าขัดคำสั่งจอมมารอีกรึ” นายมัลฟอยพูด
“ฆ่านางเสียเดรโก” จอมมารพูดพลางโยนไม้กายสิทธิ์ลงบนพื้นหญ้าตรงหน้าชายหนุ่ม “ไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่าเจ้าเสียทั้งคู่”
“ข้ายอมตายพร้อมเธอ ดีกว่าต้องฆ่าเธอด้วยมือของข้าเอง” เดรโกพูดด้วยยน้ำเสียงที่หนักแน่น ใบหน้าลอร์ดโวลเดอร์มอร์กระตุกด้วยความโกรธ
“ฆ่านางซะ ถ้าไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่าพ่อของเจ้าด้วย!” ไม้กายสิทธิ์ในมือโวลเดอร์มอร์ตวัดไปทางลูเซียส มัลฟอยทันที เดรโกเบิกตาโต
“เดรโก ฆ่าฉันเสียเถอะ ลงมือซะ” เฮอร์ไมโอนี่พูดเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงกระซิบ เธอรู้ดีว่าตอนนี้ไม่มีทางเลือกสำหรับเขาอีกต่อไป ถ้าเธอไม่ฆ่าเขาซะอีกสองชีวิตก็จะต้องมาสังเวยเพราะเธอ เธอไม่ต้องการเลย
“ฉันทำอย่างนั้นไม่ได้เฮอร์ไมโอนี่ ฉันเคยสัญญากับเธอ” เขาพูด
“ลืมสัญญานั่นซะ ฆ่าฉันแล้วรักษาชีวิตไว้” เธอพูดเบา ๆ แววตาสีน้ำตาลคู่นั้นราวกับจะอ้อนวอนเขา
“เฮอร์ไมโอนี่”
“ลงมือเสียเถอะเดรโก ฉันจะไม่เสียใจเลยที่ตายด้วยมือเธอ”
เดรโกชี้ไม้กายสิทธิ์มาทางเธอ เขาไม่มีทางเลือกจริง ๆ
“ฉันขอโทษเฮอร์ไมโอนี่” เขาพูด มองเธอด้วยแววตาปวดร้าว
“ฉันไม่เคยโกรธเธอเลย เดรโก” เฮอร์ไมโอนี่พูดพร้อมกับหลับตาลง เธอรู้อยู่แล้วว่าเรื่องทั้งหมดนี่มันจะต้องเกิดขึ้น เธอรู้อยู่ตั้งนานแล้ว และเธอก็ยินดีที่จะให้จบลงในแบบนี้ ดีกว่าที่เขาจะต้องสละชีวิตของตัวเองไปพร้อมกับเธอ
แสงสีเขียวที่สว่างวาบบาดตาเป็นสิ่งสุดท้ายที่เฮอร์ไมโอนี่ได้เห็นก่อนที่เธอจะสะดุ้งตื่นขึ้นจากความฝัน เด็กสาวหอบหายใจอย่างรุนแรง เหงื่อกาฬไหลชุ่มใบหน้าและแผ่นหลัง!


*************************************************


เด็กสาวมองไปรอบ ๆ ทันทีที่ตื่นและเธอก็รู้สึกดีใจยิ่งนักที่พบว่าเธออยู่ใบห้องนอนของจินนี่ในบ้านโพรงกระต่าย และเหตุการณ์ทั้งหมดที่เธอเห็นเป็นเพียงความฝันเท่านั้น
เฮอร์ไมโอนี่ลุกขึ้นจากเตียงไปยังหน้าต่าง เธอรู้สึกว่าแผ่นหลังชุ่มไปด้วยเหงื่อ เด็กสาวเปิดหน้าต่างออกเพื่อให้อากาศระบาย คืนนี้เป็นคืนที่อากาศร้อนอบอ้าวยิ่งนัก แต่คงร้อนรุ่มไม่เท่าจิตใจของเฮอร์ไมโอนี่ในตอนนี้
สายลมเย็น ๆ พัดมากระทบใบหน้า เด็กสาวปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก ความฝันที่เธอเห็นช่างน่ากลัวยิ่งนัก และมันต่างกับภาพที่เธอเห็นในลูกแก้วคราวที่แล้วเหลือเกิน

‘ ถึงแม้มันจะแตกต่างกัน แต่จุดจบก็เหมือนกันอยู่ดี ’ เฮอร์ไมโอนี่คิดพลางถอนหายใจ ท้ายที่สุดมัลฟอยก็ต้องฆ่าเธอด้วยมือเขาใช่ไหม ไม่ว่ายังไงก็ตามเรื่องมันก็คงต้องลงเอยดังเช่นภาพที่เธอเห็น

เฮอร์ไมโอนี่ถอนหายใจ เธอมองเห็นอนาคตดำมืดพอ ๆ กับท้องฟ้ายามราตรีอยู่เบื้องหน้า บางทีโชคชะตาก็เป็นสิ่งที่ยากจะฝืน เธอเคยคิดเช่นนั้นมาตลอดจนกระทั่งมีใครบางคนมาหยิบยื่นความหวังให้กับเธอ

‘ฉันสาบานว่าฉันจะไม่มีวันทำร้ายเธอ ไม่มีวัน ’

เสียงของเด็กหนุ่มดังก้องอยู่ในหูของเฮอร์ไมโอนี่ราวกับเขามากระซิบอยู่ข้างหู

‘ ฉันควรจะเชื่อเธอเหรอมัลฟอย ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ’ เด็กสาวคิด ใช่ ตอนนี้มัลฟอยไม่ใช่คนเดิมที่เธอเคยรู้จักแล้ว เขาเปลี่ยนไป เขามีความลับบางอย่างที่เขาปกปิดเธอ ความลับบางอย่างที่น่าจะเกี่ยวกับเรื่องชั่วร้าย
เมื่อความคิดดำเนินมาถึงตรงนี้ คำพูดของแฮร์รี่เมื่อเย็นก็ผุดขึ้นในหัวของเฮอร์ไมโอนี่

‘ เขาเป็นผู้เสพความตาย! เขาเป็นผู้เสพความตายแทนพ่อของเขา! ‘

เธอหลับตาลงอย่างสับสน ขออย่าให้มันเป็นอย่างที่เธอคิดเลย เพราะถ้าความกลัวของเธอเป็นจริง มันก็เป็นเครื่องยืนยันว่าสิ่งที่เธอฝันอาจจะเป็นจริงเข้าสักวัน!
“เธอคงไม่ได้เป็นผู้เสพความตายจริง ๆ ใช่ไหมมัลฟอย” เฮอร์ไมโอนี่พึมพำ
“พี่เฮอร์ไมโอนี่” เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหลังเธอ เด็กสาวหันไปมอง จินนี่ยืนอยู่ตรงนั้น เธอสวมชุดนอนสีชมพูพลางขยี้ตาอย่างงัวเงีย “พี่นอนไม่หลับเหรอ”
“จ๊ะ พี่ร้อนก็เลยลุกขึ้นมาเปิดหน้าต่าง เธอคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมจินนี่” เด็กสาวพูด
“ไม่หรอกค่ะ ฉันแค่ตื่นมาแล้วไม่เห็นพี่บนที่นอน ก็เลยลุกมาดู”
“ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะ พี่ว่าเราไปนอนกันเถอะ” เธอพูดพลางเดินนำจินนี่กลับไปที่เตียง

เด็กสาวทั้งสองเข้านอนโดยไม่รู้เลยว่าในสถานที่ที่ไกลออกไป ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดในห้องนั้น ตั้งแต่ความฝันที่น่าสะพรึงกลัวของเฮอร์ไมโอนี่ จนถึงภาพที่เธอล้มตัวลงนอนบนเตียงนั้นปรากฏอยู่ในลูกแก้วสีขาวขุ่น โดยมีดวงตาสีดำขลับของโรสเฝ้าสังเกตอยู่ไม่ห่าง



***********************************************




 

Create Date : 30 ตุลาคม 2552    
Last Update : 30 ตุลาคม 2552 23:13:54 น.
Counter : 794 Pageviews.  

1  2  3  

piksi
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 95 คน [?]




สวัสดีค่ะ เรา piksi นะคะ เรียกสั้น ๆ ว่าพิกก็ได้ค่ะ เราเป็นแฟนแฮร์รี่ พอตเตอร์คนหนึ่งที่ชื่นชอบคู่ D/Hr มากเลยค่ะ รวมทั้งรัก Tom Felton สุดหัวใจ >-< ใครที่ชอบคู่นี้และชื่นชอบทอมเหมือนกัน เค้ามาคุยกันนะคะ
Friends' blogs
[Add piksi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.