Group Blog
 
All Blogs
 

Fire and Ice: Chapter 5 The Sacrifice of the Princess




***Chapter 5 The Sacrifice of the Princess: การเสียสละของเจ้าหญิง***



“สิ่งที่ข้าต้องการก็คืออาณาจักรของเจ้า คือการที่นอร์นไฮม์จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับแอสการ์ด และมันจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อเจ้าแต่งงานกับข้า”
สกาฎีไม่แน่ใจว่านางได้ยินคำพูดนั้นถูกต้องหรือไม่ บางทีหูของนางอาจจะผิดเพี้ยนไปที่ได้ยินถ้อยคำแบบนั้นออกมาจากปากของราชาแห่งแอสการ์ด แต่เมื่อเจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์เงยหน้าขึ้นและได้เห็นสีหน้าของฝ่ายตรงข้ามแล้วนางก็รู้ในทันทีว่านางไม่ได้ยินผิดไปแต่อย่างใดเมื่อโลกิเริ่มพูดต่อ
“สิ่งที่ข้าต้องการเป็นทางเดียวที่ข้าจะได้ความคงรักภักดีมาจากอาณาจักรของเจ้า และเป็นทางเดียวที่เจ้าจะรักษานอร์นไฮม์ของเจ้าไว้ได้ ด้วยการแต่งงานกับข้า” เขาบอกข้อเสนอกับนางราวกับมันเป็นการเจรจาข้อตกลงทางการเมือง ไม่ใช่การขอแต่งงานอย่างที่มันควรจะเป็น แต่แน่นอนว่าสกาฎีรู้ดีว่าสิ่งที่ราชาแห่งแอสการ์ดต้องการนั้นไม่ใช่การแต่งงานกับนาง หากแต่เป็นอาณาจักรของนางที่เขาจะได้จากการแต่งงานครั้งนี้ต่างหาก
และเมื่อเป็นเช่นนั้นสกาฎีก็พูดคำตอบแรกที่ผุดขึ้นในใจของนางออกมา
“ข้าไม่มีวันแต่งงานกับท่าน!” นางกล่าวออกไปราวกับนางลืมไปแล้วว่าชะตากรรมของนอร์นไฮม์นั้นอยู่ในกำมือชายตรงหน้า ขณะที่ราชาแห่งแอสการ์ดผู้เพิ่งถูกหญิงสาวปฏิเสธคำขอแต่งงานเป็นครั้งแรกนั้นยิ้มขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์
“ถ้าเจ้าไม่ยอมทำตามที่ข้าต้องการ เจ้าก็เตรียมบอกลาอาณาจักรของเจ้าเลยแล้วกัน” โลกิพูดพร้อมจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาที่บอกว่าเขาสามารถทำตามที่พูดได้อย่างแน่นอน ก่อนที่เขาจะเดินไปเบื้องหลังแท่นควบคุมไบฟรอสท์โดยที่มือใหญ่ของเขาเลื่อนไปกุมดาบที่ปักอยู่บนแท่นอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่มือใหญ่ของชายหนุ่มจะกดลงบนดาบที่ปักอยู่บนแท่นนั้น สกาฎีก็ร้องขึ้น
“อย่า!!!” เสียงแหลมสูงซึ่งเต็มไปด้วยความตระหนกของหญิงสาวดังขึ้น และเมื่อราชาแห่งแอสการ์ดมองไปยังต้นเสียง เขาก็พบกับใบหน้าที่ขาวซีดและดวงตาสีฟ้าที่มีน้ำตาคลอของเจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์ สีหน้าของนางดูสับสนเป็นอยู่ชั่วครู่ ราวกับนางต้องตัดสินใจเรื่องที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตของนาง ก่อนที่ริมฝีปากบางอันสั่นระริกของสกาฎีจะขยับเมื่อนางพูดออกมาว่า
“อย่า ได้โปรด! ข้ายอมแล้ว!” นางพูดออกมาพร้อมกับมองเขาด้วยสายตาอ้อนวอน และเมื่อเป็นเช่นนั้นโลกิจึงละมือจากแท่นควบคุมไบฟรอสท์ก่อนจะพูดขึ้น
“เจ้ายอมอะไรล่ะ” เขาพูดพลางมองเจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์ด้วยสายตาอันตราย ขณะที่อีกฝ่ายกลืนน้ำลายเมื่อได้เห็นสายตาของโลกิที่มองมาทางนาง หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่นางจะตัดสินใจพูดขึ้น
“ข้า……” นางพูดได้เพียงเท่านั้นก่อนที่น้ำเสียงอันสั่นระริกของนางจะขาดหายไปเมื่อมีน้ำตาหยดใหม่ไหลออกมาจากดวงตาคู่สวยของนางอีกรอบ ขณะที่อีกฝ่ายซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้หญิงสาวต้องเผชิญสถานการณ์อันน่าลำบากใจเช่นนี้นั้นกลับมองภาพตรงหน้าของเขาด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความพึงพอใจก่อนที่เขาจะพูดต่อ
“เจ้าก็รู้ดีนี่ว่ามีเพียงทางเดียวเท่านั้นที่เจ้าจะรักษาอาณาจักรของเจ้าไว้ได้ คือการที่เจ้าตกลงยอมแต่งงานกับข้าโดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ รวมทั้งเจ้าต้องยกอาณาจักรของเจ้าให้อยู่ในความครอบครองของข้าด้วย” เขาพูดกับใบหน้าซีดขาวของหญิงสาวตรงหน้าเมื่อเขาเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้านางอีกครั้ง และสิ่งที่เขาได้รับแทนคำตอบนั้นก็เป็นแววตาซึ่งแสดงถึงความสับสนของสกาฎีที่มองกลับมาก่อนที่โลกิจะพูดขึ้นอีกครั้ง
“ทีนี้มันก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว ว่าเจ้าจะยอมเสียสละตัวเจ้าเองเพื่อรักษาอาณาจักรของเจ้าไว้หรือไม่” โลกิพูดกับเจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์ซึ่งบัดนี้มีท่าทีว่านางจะยอมศิโรราบแก่เขาแต่โดยดี และถึงแม้ว่าสกาฎีจะไม่คิดมาก่อนว่าจะมีวันใดที่นางจะยอมตกลงแต่งงานกับชายผู้เป็นคนสังหารบิดาของนางอย่างโลกิได้ก็ตาม แต่ในขณะนี้นางก็ไม่มีทางเลือกอื่นที่จะรักษาอาณาจักรของนางรวมทั้งชีวิตประชาชนชาวนอร์นไฮม์ของนางไว้ได้นอกจากการยินยอมทำตามข้อเสนอของเขาเท่านั้น
และเมื่อคิดได้เช่นนั้นหญิงสาวจึงตอบออกไปด้วยหัวใจที่แตกสลายว่า
“ข้า……ข้ายอม” นางพูดออกมาอย่างยากเย็นพร้อมกับน้ำตาใสที่พรั่งพรูออกมาจากดวงตาคู่สวยที่แสนจะบอบช้ำ “ข้าตกลงแต่งงานกับท่าน” นางตอบออกมาในที่สุด หากแต่นางกลับไม่ยอมเงยหน้าขึ้นสบตาเขา จนทำให้โลกิที่เพิ่งเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าขสกาฎีนั้นใช้มือใหญ่ของเขาเชยคางนางขึ้นมาเพื่อบังคับให้ดวงตาสีฟ้าของหญิงสาวเงยสบดวงตาสีเขียวของเขาก่อนที่เขาจะถามต่อ
“เจ้าสาบานว่าจะเข้าพิธีอภิเษกกับข้า จะเป็นชายาของข้า และจะยกอาณาจักรของเจ้าให้อยู่ในความครอบครองของข้าหรือไม่” เขาถามซ้ำ ขณะที่สกาฎีซึ่งตอนนี้รู้สึกราวกับหัวใจของนางได้แตกสลายออกเป็นเสี่ยง ๆ นั้นได้ยินเสียงตัวเองตอบราชาแห่งแอสการ์ดออกไปว่า
“หากท่านสาบานว่าจะละเว้นอาณาจักรของข้า ข้าก็สาบานว่าจะทำตามที่ท่านต้องการ” นางตอบออกไปพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้มเนียน เจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์หลับตาลงในวินาทีนั้นราวมันเป็นหนทางที่ทำให้นางสามารถหลีกเลี่ยงความจริงที่นางกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ได้ แม้ว่านางจะรู้อยู่เต็มอกก็ตามว่านางไม่มีทางที่จะหลีกหนีความจริงอันแสนจะโหดร้ายนี้ไปได้นาน พอ ๆ กับที่นางไม่มีทางอื่นที่จะรักษาอาณาจักรของนางไว้นอกเสียจากการที่นางจะยอมเสียสละตัวเองโดยการแต่งงานกับราชาแห่งแอสการ์ดเท่านั้น!
ในขณะที่สกาฎีกำลังหลับตาลงเพื่อหลีกหนีความจริงที่นางต้องเผชิญอยู่นั้น ทางฝ่ายโลกิก็คลี่ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจกับภาพที่เขาได้เห็น ซึ่งเป็นภาพที่องค์หญิงแห่งนอร์นไฮม์ยอมศิโรราบและมอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องการให้แก่เขาอย่างง่ายดายเสียเหลือเกิน และอาจเป็นเพราะการได้เห็นภาพเจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์ซึ่งเดิมเคยมีท่าทีแข็งกร้าวและอวดดีกับเขาไม่ต่างจากบิดาของนางยอมจำนนต่อเขาแบบนี้แล้วนั้น การที่โลกิได้เห็นภาพใบหน้าซีดเซียวและแก้มเนียนที่เปรอะไปด้วยหยดน้ำตาของนาง รวมไปถึงริมฝีปากอิ่มที่สั่นระริกของนางในตอนนี้ทำให้เขารู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก และความพึงพอใจที่ราชาแห่งแอสการ์ดกำลังรู้สึกอยู่ในขณะนี้นั้นรุนแรงมากกว่าความรู้สึกพอใจของเขายามที่เขามีชัยชนะเหนือราชาแห่งนอร์นไฮม์เมื่อวันก่อนเสียอีก
และเมื่อเป็นเช่นนั้น เมื่อเขาได้เห็นภาพเจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์ ธิดาเพียงองค์เดียวผู้เป็นทายาทสืบราชบัลลังค์ของธีอาซียอมจำนนต่อเขาแบบนี้แล้ว มันก็ทำให้เขาต้องการจะแสดงอำนาจที่เขามีต่อนางมากยิ่งขึ้นไปอีก ราชาแห่งแอสการ์ดรู้สึกว่าความต้องการที่จะครอบครองรวมทั้งเอาชนะหญิงสาวตรงหน้าเช่นเดียวกับที่เขาต้องการจะครอบครองอาณาจักรของนางนั้นพุ่งสูงขึ้นเมื่อเขาตัดสินใจทำสิ่งที่สกาฎีหรือแม้กระทั่งตัวเขาเองก็ไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะทำลงไปในขณะนี้ เมื่อราชาแห่งแอสการ์ดเอ่ยคำพูดต่อไปของเขาออกมา
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะย้ำคำสาบานนี้ที่ริมฝีปากของเจ้า” เขากล่าวก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าไปหมายจะจูบหญิงสาวขณะที่มือหนึ่งกุมคางของนางไว้
หากแต่ก่อนที่ริมฝีปากบางของโลกิจะสัมผัสริมฝีปากอิ่มของสกาฎี อีกฝ่ายที่ล่วงรู้การกระทำของเขานั้นก็ไหวตัวทันโดยการเบี่ยงหน้าหลบ ซึ่งมันส่งผลให้ริมฝีปากบางของโลกิไปสัมผัสกับแก้มเนียมที่เปื้อนคราบน้ำตาของหญิงสาวแทน ก่อนที่เสียงอันสั่นระริกของเจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์จะดังขึ้น
“อย่า…….” นางพูดได้เพียงเท่านั้นขณะที่อีกฝ่ายถอนริมฝีปากของเขาออกมาจากแก้มของนาง ราชาแห่งแอสการ์ดจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มบาง ๆ ให้กับการขัดขืนที่ไร้ประโยชน์ของหญิงสาว
“เจ้าก็น่าจะรู้นี่ว่าเจ้าไม่อาจปฏิเสธข้าได้อีกต่อไป ในเมื่อเจ้าตกลงจะแต่งงานกับข้าแล้ว” เขาพูดพลางจ้องลึกไปในดวงตาสีฟ้าที่ดูหวาดหวั่นของฝ่ายตรงข้าม และเมื่อเขาเห็นว่าเจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์มีท่าทีว่าจะโต้เถียงอะไรเขาออกมา โลกิก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน ขณะที่นิ้วโป้งของเขาสัมผัสริมฝีปากสีกุหลาบของนางด้วยท่าทีประเมิน ราวกับเขากำลังสงสัยว่ามันจะรู้สึกอย่างไรถ้าเขาได้สัมผัสริมฝีปากนุ่มนวลของเจ้าหญิงองค์นี้ด้วยริมฝีปากของเขา
“เจ้าจะปฏิเสธข้าได้เพียงแค่ครั้งนี้เท่านั้น เจ้าหญิง เพราะตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เจ้าต้องอยู่ในความครอบครองของข้า ซึ่งนั่นหมายความว่าเจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธข้าได้อีกแม้แต่ครั้งเดียว” ราชาแห่งแอสการ์ดพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและแสดงถึงความเป็นเจ้าของ ขณะที่แววตาของเขาสำรวจใบหน้าของเจ้าหญิงคนงามผู้มีฐานะเป็นว่าที่ชายาของเขาอย่างพิจารณา
“ข้าจะได้เป็นผู้ชายคนแรกที่จูบเจ้า ครอบครองเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม แต่เจ้าจะต้องเป็นของข้า และเป็นของข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น เจ้าเข้าใจหรือไม่” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นและหนักแน่นจนทำให้อีกฝ่ายรู้ดีว่าเขาหมายความตามที่พูดในทุกถ้อยคำ และเพราะคำพูดนั้นของราชาแห่งแอสการ์ดเองที่ทำให้เจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์รู้สึกขนลุกขึ้นมา ราวกับคำพูดของเขาได้ส่งความหนาวเยือกเข้าสู่กระดูกสันหลังของนาง และถึงแม้ว่าสกาฎีจะต้องการหลุดพ้นจากสภาพที่เป็นอยู่นี้ ซึ่งก็คือการอยู่ภายใต้การครอบครองของโลกิมากเพียงใดก็ตาม หญิงสาวก็รู้ดีว่านางไม่อาจจะหนีจากเขาไปได้ พอ ๆ กับที่นางรู้ดีว่าไม่มีทางอื่นที่จะรักษาอาณาจักรของนางไว้ได้นอกจากการยอมแต่งงานกับโลกิเท่านั้น และเมื่อคิดได้เช่นนั้นหญิงสาวจึงตัดสินใจพูดออกไปหลังจากที่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งว่า
“ท่านจะได้ทุกอย่างที่ท่านต้องการ ขอเพียงท่านสาบานว่าจะละเว้นอาณาจักรของข้าเท่านั้น”
“ข้าสาบานว่าจะละเว้นอาณาจักรของเจ้า เมื่อเจ้ารวมทั้งชาวนอร์นไฮม์ยอมอยู่ใต้การปกครองของข้า และยอมรับข้าในฐานะราชาผู้ปกครองแอสการ์ดและนอร์นไฮม์ รวมทั้งอาณาจักรทั้งเก้าด้วย นี่คือข้อตกลงของข้า” โลกิกล่าวอย่างรอบคอบ พร้อมกับสังเกตท่าทีของอีกฝ่าย และถึงแม้ว่าสกาฎีจะไม่พอใจกับเงื่อนไขนี้ของเขามากเพียงใดก็ตาม แต่เจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์ก็ฉลาดพอที่จะคิดได้ว่านางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมทำตามความต้องการของโลกิในตอนนี้เลย
และเมื่อเป็นเช่นนั้นหญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นมองราชาแห่งแอสการ์ดอีกครั้งก่อนจะพูดขึ้น
“ขอเพียงท่านปล่อยอาณาจักรของข้าไป ข้าขอสาบานว่าท่านจะได้ทุกอย่างที่ท่านต้องการ” สกาฎีพูดก่อนจะหลับตาลงอย่างปวดร้าว ท่ามกลางสายตาของโลกิที่มองมาที่นางอย่างพออกพอใจ และเมื่อหญิงสาวลืมตาขึ้นอีกครั้งนางก็ได้ยินเสียงของชายหนุ่มพูดขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะถือว่าเจ้าเข้าใจในข้อตกลงของข้าดีแล้ว” เขากล่าว หากแต่เขากลับยังไม่ยอมดึงดาบออกจากแท่นควบคุมไบฟรอสท์แต่อย่างใด และในวินาทีต่อมาราชาแห่งแอสการ์ดก็ยกมือขึ้นพร้อมกับออกคำสั่งเรียกทหารที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องควบคุมไบฟรอสท์ให้เข้ามาหาเขา สิ้นคำสั่งของโลกิก็มีทหารสองนายมาเดินมาทางเขาในทันที
“เจ้า พาเจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์ไปที่พระราชวัง ให้นางพักในห้องพักของอาคันตุกะและสั่งให้ทหารยามเฝ้าไว้อย่าให้นางออกจากห้องได้แม้แต่ก้าวเดียว” เขาสั่ง และทันทีที่โลกิพูดจบ นายทหารคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาคุมตัวสกาฎีไว้ นางพยายามขัดขืนหากแต่นางก็ไม่สามารถสู้แรงผู้ชายได้โดยเฉพาะในยามที่นางไม่มีอาวุธติดกายเช่นนี้
“ยอมไปแต่โดยดีเถอะองค์หญิง ถ้าเจ้าขัดขืนข้าจะถือว่าเจ้าไม่ทำตามที่เราได้ตกลงกันไว้นะ” โลกิออกปากเตือน หากแต่เขากลับส่งสายตาห้ามปรามไปยังทหารคนที่กำลังเข้ามากุมตัวหญิงสาวเอาไว้ ราวกับเขาต้องการเตือนไม่ให้ทหารนายนั้นทำรุนแรงกับหญิงสาวมากเกินไปนัก ขณะที่สกาฎีเงยหน้าขึ้นมองโลกิก่อนจะพูดออกมา
“ท่านจะให้ข้าทำตามที่ท่านสั่งได้อย่างไร ในเมื่อข้าก็ยังไม่รู้เลยว่าท่านจะรักษาคำสัตย์ของท่านหรือไม่ ท่านยังไม่ดึงดาบนั่นออกมาเลยด้วยซ้ำ” นางกล่าวขณะที่สายตาของนางมองไปยังแท่นควบคุมไบฟรอสท์ซึ่งราชาแห่งแอสการ์ดยืนอยู่ไม่ไกลจากมันนัก ราวกับนางกลัวว่าหากนางออกไปจากที่นี่แล้ว โลกิจะผิดคำสัญญาและใช้ไบฟรอสท์ทำลายอาณาจักรของนางหลังจากนั้น
เมื่อได้ยินเช่นนั้น แม้ว่าสิ่งที่หญิงสาวพูดออกมาจะเป็นคำพูดที่หมิ่นเกียรติของราชาแห่งแอสการ์ดก็ตาม แต่โลกิกลับไม่ใส่ใจในคำพูดของสกาฎี ตรงกันข้ามเขากลับหันมาสบตาองค์หญิงคนงามผู้กำลังจะกลายเป็นชายาของเขาพร้อมกับส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ไปให้นาง
“มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เจ้าควรจะเรียนรู้ไว้นะ เจ้าหญิง ว่าเจ้าไม่มีวันรู้หรอกว่าข้าจะรักษาคำสัตย์ของข้าหรือไม่” เขาพูด “แต่ในทางตรงกันข้าม ข้าแน่ใจว่าข้าสามารถจะทำให้เจ้ารักษาคำสาบานทุก ๆ คำที่เจ้าให้ไว้กับข้าได้อย่างแน่นอน” เขากล่าวอย่างหนักแน่นพร้อมกับมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ สิ้นคำพูดราชาแห่งแอสการ์ดก็ร่ายเวทย์มนต์ที่ทำให้ในวินาทีต่อมามีกุญแจมือเหล็กปรากฏขึ้นบนข้อมือเล็กของเจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์ กุญแจมือที่เกิดจากเวทย์มนต์ของเขานั้นเกี่ยวรัดรอบข้อมือบอบบางของหญิงสาวไว้พร้อมกับเสียงดังคลิก
และเมื่อสกาฎีเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยแววตาตกใจ นางก็ได้ยินเสียงของโลกิที่ดังขึ้น
“เอาตัวนางไปได้แล้ว เมื่อถึงที่พักแล้วค่อยปลดกุญแจมือให้นาง แต่จำเอาไว้ล่ะว่าข้าห้ามไม่ให้นางออกจากห้องแม้แต่ก้าวเดียว” เอาออกคำสั่งอย่างไม่ยี่หระต่อสีหน้าและแววตาที่แสดงออกถึงความโกรธเคืองของหญิงสาว สิ้นเสียงสั่งการจากโลกิ นายทหารคนดังกล่าวก็คุมตัวเจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์ออกไปจากห้องควบคุมไบฟรอสท์ท่ามกลางเสียงร้องและการดิ้นรนขัดขืนของนาง!

…………………………………………………………………..


หลังจากแน่ใจว่านายทหารที่ทำหน้าที่คุมตัวเจ้าหญิงสกาฎีออกไปห่างจากพวกเขาแล้ว โลกิก็เดินลงจากแท่นควบคุมไบฟรอสท์และพยักหน้าให้ไฮม์ดัลกลับขึ้นมายังประจำตำแหน่งของเขาแทน
“ทีนี้ก็หมดเรื่องกบฎอีกครั้งของนอร์นไฮม์แล้วจริงไหม ข้าไม่ต้องเสียเลือดเนื้อในการปราบกบฎครั้งนี้แถมข้ายังได้นอร์นไฮม์มาครอบครองอีกด้วย” โลกิพูดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง ราวกับว่าเขาภาคภูมิใจในการกระทำของตัวเองเป็นอย่างมาก ที่เขาสามารถทำให้นอร์มไฮม์มารวมเป็นหนึ่งเดียวกับแอสการ์ดได้โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อซึ่งไม่เคยมีราชาแห่งแอสการ์ดคนใดทำเช่นนี้ได้มาก่อน แม้กระทั่งโอดินบิดาบุญธรรมของเขาก็ตาม
อันที่จริงโลกิต้องขอบคุณโอดินในเรื่องนี้ เพราะถ้าหากเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าครั้งหนึ่งโอดินต้องการใช้เขาเป็นเครื่องมือในการรวมแอสการ์ดกับโยธันไฮม์เข้าด้วยกัน เขาก็คงไม่มีวันคิดแผนการที่จะรวมนอร์นไฮม์เข้ากับแอสการ์ดผ่านการแต่งงานครั้งนี้ขึ้นมาได้ แต่แผนการในครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อนคือในครั้งนี้เขาไม่ได้เป็นเครื่องมือหรือเป็นเหยื่อในแผนการของโอดินเพื่อรวมอาณาจักรทั้งสอง หากแต่เขากลับเป็นผู้ดำเนินแผนการทั้งหมดเสียเอง เขาเป็นผู้วางแผนเพื่อรวมนอร์นไฮม์เข้ามาอยู่ภายใต้การปกครองของแอสการ์ดได้อย่างราบรื่นไม่มีที่ติ ไม่ต่างจากตอนที่เขาวางแผนยึดครองแอสการ์ดและสาปให้โอดินหลับใหลไปตลอดกาลก่อนหน้านี้
ขณะที่กำลังภาคภูมิใจในชัยชนะของตัวเองอยู่นั้น เสียงของไฮม์ดัลก็ปลุกโลกิขึ้นจากภวังค์
“ฝ่าบาท ท่านแน่ใจแล้วหรือที่จะอภิเษกกับเจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์” ไฮม์ดัลถามขึ้น และโลกิก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัยในคำพูดของนายทวาร
“แน่นอนว่าข้าแน่ใจ หรือเจ้ามีข้อโต้แย้งในการตัดสินใจของข้าอย่างนั้นหรือ” ราชาแห่งแอสการ์ดถาม
“ข้าไม่กล้า ฝ่าบาท แต่มีบางเรื่องที่ท่านควรรู้เกี่ยวกับเจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์” ไฮม์ดัลกล่าว และเมื่อเห็นว่าเจ้าเหนือหัวของเขามีท่าทีสนใจฟังในสิ่งที่เขากำลังจะพูดออกมานั้น เขาก็ตัดสินใจพูดต่อ
“เจ้าหญิงองค์นี้ นางมีคนรักอยู่แล้วที่อาณาจักรของนาง” ไฮม์ดัลพูดออกมาในที่สุด ขณะที่โลกิขมวดคิ้วด้วยท่าทีสงสัยในข้อมูลที่เขาเพิ่งได้รับชั่วครู่ก่อนจะยิ้มขึ้นแล้วถามว่า
“เจ้ากำลังจะบอกข้าว่าหญิงที่ข้ากำลังจะแต่งงานด้วย ไม่ใช่สาวบริสุทธิ์อย่างนั้นหรือ” เขาถามด้วยรอยยิ้ม หากแต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นกลับฟังดูดุดันยิ่งนัก
“ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น เจ้าหญิงสกาฎียังไม่เคยผ่านการอภิเษกมาก่อน ท่านจะได้เป็นชายคนแรกที่ได้ครอบครองนางตามที่ท่านได้พูดไว้” ไฮม์ดัลหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “แต่ข้าก็ค่อนข้างแน่ใจว่านางมีคนรักอยู่แล้วที่นอร์นไฮม์ ข้าจึงจำเป็นต้องบอกท่านในเรื่องนี้” สิ้นคำบอกเล่าของนายทวาร โลกิก็รู้ถึงความร้อนวูบวาบที่แล่นผ่านร่างของเขา แต่มันเกิดขึ้นเพียงครู่เดียวเท่านั้นก่อนที่มันจะจางหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเขาพูดขึ้นอีกครั้ง
“ข้าไม่สนใจว่านางจะมีคนรักอยู่ก่อนหรือไม่ แต่สิ่งเดียวที่ข้าสนใจก็คือข้าจะได้อาณาจักรของนางมาครอบครองผ่านการแต่งงานครั้งนี้ และที่สำคัญนางก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากยอมแต่งงานกับข้า แล้วบางทีการที่นางมีคนรักอยู่แล้วที่นอร์นไฮม์อาจมีส่วนช่วยให้นางยอมตกลงแต่งงานกับข้าแต่โดยดีก็เป็นได้ เพราะนางคงไม่ต้องการให้คนรักของนายย่อยยับไปพร้อมกับอาณาจักรของนางหรอกจริงไหม” โลกิกล่าวด้วยรอยยิ้ม
แต่ถึงแม้ว่าคำพูดของเขาจะบ่งบอกว่าเขาไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจที่ได้เรียนรู้ว่าสกาฎีมีคนรักอยู่ก่อนแล้วก็ตาม แต่น้ำเสียงของราชาแห่งแอสการ์ดที่เปล่งออกมานั้นกลับแฝงไว้ด้วยแววเกรี้ยวกราดและความรู้สึกไม่พอใจ แต่ถึงแม้ว่าไฮม์ดัลจะจับความรู้สึกที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของเจ้าเหนือหัวของเขาได้ แต่นายทวารกลับตัดสินใจที่จะไม่พูดอะไรต่อ เมื่อเขาละสายตาจากโลกิเพื่อมองไปยังพิภพเบื้องล่างอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้ไฮม์ดัลกลับต้องชะงักในสิ่งที่เขาเห็น
“เจ้าเห็นอะไรอย่างนั้นหรือ” ราชาแห่งแอสการ์ดที่สังเกตเห็นท่าทีนั้นของไฮม์ดัลถามขึ้นในทันที และหลังจากเฝ้ามองสิ่งที่ตนเห็นเพื่อให้แน่ใจอยู่ครู่หนึ่งแล้ว นายทวารก็ตอบออกมา
“ในตอนนี้ คงไม่ได้มีแค่ชายคนรักของเจ้าหญิงสกาฎีเท่านั้นที่นางห่วงใยเป็นอย่างยิ่งในอาณาจักรของนาง” สิ้นคำพูดของไฮม์ดัลโลกิก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย และเมื่อเห็นเช่นนั้นไฮม์ดัลจึงหันมามองเจ้าเหนือหัวของเขาก่อนจะพูดขึ้น
“ฝ่าบาท กษัตริย์ธีอาซี บิดาขององค์หญิงที่พลักตกเหวไประหว่างการประลองกับท่านยังไม่ตาย” เขาพูดออกมาในที่สุด ขณะที่โลกิมีท่าทีแปลกใจ
“เจ้าแน่ใจหรือ” นั่นเป็นคำพูดของราชาแห่งแอสการ์ดขณะที่เขามองไฮม์ดัลอย่างสนใจ
“นั่นเป็นสิ่งที่ข้าเห็น” นายทวารตอบ ก่อนจะละสายตาลงไปจ้องมองพิภพเบื้องล่างอีกครั้ง ขณะที่โลกิได้เข้ามายืนข้าง ๆ เขาและมองตามสายตาของไฮม์ดัลลงไปราวกับว่าเขาสามารถมองเห็นอาณาจักรทั้งหลายได้เช่นเดียวกับอีกฝ่าย
“แล้วพวกนอร์นไฮม์รู้ไหมว่ากษัตริย์ของพวกมันยังไม่สิ้น” ราชาแห่งแอสการ์ดถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ และในไม่ช้าไฮม์ดัลก็ตอบออกมา
“ไม่ พวกเขาไม่รู้ ร่างของกษัตริย์ธีอาซีติดอยู่ตรงซอกเขาใต้หน้าผาที่พวกท่านต่อสู้กัน บริเวณที่เขาตกลงไปมีหิมะปกคลุมเขาเลยไม่ถึงกับชีวิต และที่ผ่านมาเขาก็สลบอยู่ข้าจึงไม่รู้ว่าเขายังไม่ตาย” ไฮม์ดัลตอบ ขณะที่โลกิพยักหน้าอย่างรับรู้
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี” ราชาแห่งแอสการ์ดกล่าวขึ้นก่อนจะออกคำสั่งเรียกทหารยามที่รอรับคำสั่งอยู่ข้างนอกเข้ามา
“เจ้าจงไปแจ้งนายพลอาร์นเฮอยาให้เขานำทหารไปที่นอร์นไฮม์ บริเวณใต้หน้าผาที่ข้าประลองกับธีอาซีเมื่อวาน ไปค้นหาและนำร่างของธีอาซีกลับมาที่แอสการ์ด ถ้าอาการของเขาสาหัสนักก็ให้ห้องโอสถรักษาแต่หลังจากนั้นให้นำเขาไปขังไว้ที่คุกใต้ดิน ที่สำคัญก็คือห้ามให้ชาวนอร์นไฮม์คนใดล่วงรู้เรื่องนี้เป็นอันขาด ถ้าหากมีใครมาพบเห็นพวกเจ้าให้สังหารได้ทันที เจ้าเข้าใจหรือไม่” โลกิออกคำสั่ง ขณะที่ทหารคนดังกล่าวตั้งใจฟังเป็นอย่างดี
“เข้าใจพะย่ะค่ะ” เขาตอบ
“งั้นก็ดี รีบไปจัดการซะ ถ้าเรียบร้อยแล้วให้รีบมารายงานข้าด้วย” ราชาแห่งแอสการ์ดออกคำสั่งก่อนที่ทหารนายนั้นจะรีบเร่งไปทำหน้าที่ที่ตนเองได้รับมอบหมายมาเป็นอย่างดี

…………………………………………………………………..

ทางด้านสกาฎีที่ถูกคุมตัวจากสะพานไบฟรอสท์ไปยังพระราชวังแอสการ์ดนั้นไม่นานนักนางก็ถูกพามายังห้องนอนสำหรับอาคุนตุกะห้องหนึ่งในพระราชวัง หลังจากที่นายทหารคนดังกล่าวพานางเข้าไปในห้องแล้วเขาก็จัดแจงถอดกุญแจมือที่พันธนาการข้อมือเล็กทั้งสองข้างของเจ้าหญิงไว้ก่อนจะพูดขึ้น
“ท่านต้องอยู่ที่นี่ก่อน ตามคำสั่งของฝ่าบาท” นายทหารที่เป็นคนคุมตัวนางกล่าวขึ้นเมื่อเขาพานางเข้าไปในห้องนอนที่มีขนาดกว้างขวางและถูกตกแต่งอย่างสวยงาม แม้ว่าเจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์จะอดตื่นตาตื่นใจกับความยิ่งใหญ่อลังการของพระราชวังแอสการ์ดที่นางได้เห็นตลอดเส้นทางที่ถูกคุมตัวมาไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นสกาฎีก็ไม่ได้ต้องการที่จะอภิเษกกับราชาแห่งแอสการ์ดและเป็นชายาของเขาเลยแม้แต่น้อย ความยิ่งใหญ่ของบัลลังค์แอสการ์ดนั้นดูไม่มีค่าอะไรเลยเมื่อต้องแลกมาด้วยอิสระภาพของนางรวมทั้งเสรีภาพของอาณาจักรของนางแบบนี้
แต่ถึงจะไม่ยินยอมในการถูกพาตัวมายังพระราชวังแห่งนี้ก็ตาม แต่องค์หญิงแห่งนอร์นไฮม์ก็ไม่อาจจะห้ามตัวเองไม่ให้สำรวจห้องนอนซึ่งบัดนี้มันได้กลายมาเป็นที่พักของนางอย่างสงสัยใคร่รู้ไม่ได้
“ท่านได้โปรดทำตัวตามสบาย จะมีทหารเฝ้าอยู่หน้าห้อง ถ้าท่านต้องการสิ่งใดท่านสามารถเรียกพวกเขาได้ แต่ได้โปรดจำไว้ว่าท่านไม่มีสิทธิก้าวออกจากห้องแม้แต่เพียงก้าวเดียว นั่นเป็นคำสั่งของฝ่าบาท” นายทหารอธิบาย และคำพูดนั้นเองที่ทำให้ความตื่นตาตื่นใจเพียงน้อยนิดของหญิงสาวมีต่อที่อยู่ใหม่ซึ่งถูกตกแต่งอย่างสวยงามของนางจางหายไปในทันที มือเล็กของสกาฎีที่กำลังลูบพนักพิงเก้าอี้บุนวมชั้นดีอยู่ก็ชะงักเล็กน้อยก่อนที่นางจะเงยหน้าขึ้นมองทหารคนดังกล่าวแล้วพูดออกมา
“งั้นก็ช่วยไปบอกฝ่าบาทของเจ้าด้วยแล้วกัน ว่าถ้าเขาต้องการกักขังข้าแบบนี้ เขาควรจะนำตัวข้าไปขังคุกใต้ดินเสียดีกว่า” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงประชดประชัน หากแต่ถ้อยคำนั้นกลับไม่สามารถทำให้นายททารผู้มีหน้าที่ทำตามคำสั่งของเจ้าเหนือหัวรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจกับถ้อยคำประชดประชันที่นางเอ่ยขึ้นได้
“ฝ่าบาทสั่งให้ข้าพาท่านมาที่นี่ ข้าก็เพียงทำตามหน้าที่เท่านั้น” เขากล่าว และเมื่อได้ยินเช่นนั้นสกาฎีก็มีสีหน้าอ่อนลงในทันที นางพยักหน้าให้นายทหารคนนั้นเบา ๆ อย่างเข้าใจ
“ข้าจะปล่อยให้ท่านพักผ่อน ถ้าท่านต้องการอะไรได้โปรดเรียก” เขาพูดเพียงเช่นนั้นก่อนจะออกจากห้องไป และหลังจากที่นายทหารคนดังกล่าวออกไปรวมทั้งประตูบานใหญ่ได้ถูกปิดลงแล้ว เจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์ซึ่งถูกทิ้งให้อยู่ภายในห้องบรรทมที่กว้างใหญ่เพียงลำพังก็เริ่มเดินสำรวจที่อยู่ใหม่ของนางในทันที

…………………………………………………………………..

หลังจากจัดการกับการก่อกบฏของนอร์นไฮม์เป็นครั้งที่สองได้อย่างง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ อีกทั้งมันยังทำให้เขาได้นอร์นไฮม์มาอยู่ภายใต้การปกครองของเขาอีกด้วยแล้ว โลกิก็กลับไปยังพระราชวังตามปกติเพื่อรอคอยการกลับมาของทหารที่เขาสั่งให้ไปทำภารกิจที่นอร์นไฮม์
และหลังจากเขาเสียเวลารอคอยอยู่เกือบตลอดทั้งวัน ก่อนเวลาอาหารเย็นประมาณหนึ่งชั่วโมงก็มีนายทหารคนสนิทของนายพลอาร์นเฮอยามารายงานกับโลกิที่กำลังอยู่ในห้องสมุดว่าภารกิจที่เขามอบหมายไปนั้นสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี กษัตริย์ธีอาซีถูกนำตัวขึ้นมาจากหุบเหวที่พวกเขาต่อสู้กัน เขาบาดเจ็บภายนอกแต่ไม่ถึงกับชีวิต หลังจากถูกนำตัวไปรักษาที่ห้องโอสถแล้วเขาก็ถูกนำตัวไปขังไว้ที่คุกใต้ดิน โดยนายทหารคนนั้นรายงานว่าเขาตัดสินใจขังธีอาซีไว้เพียงลำพังแยกกับนักโทษคนอื่น ๆ เนื่องจากสภาพร่างกายที่ยังไม่ฟื้นตัวดีรวมทั้งสถานะกษัตริย์ของธีอาซีที่ทำให้เขาสมควรจะถูกขังแยกจากนักโทษทั่วไป ซึ่งโลกิเองก็คิดว่าเป็นการกระทำที่รอบคอบไม่น้อย หลังจากที่เขาพยักหน้าอย่างพอใจกับสิ่งที่นายทหารคนดังกล่าวได้รายงานเขามาแล้วนั้นโลกิก็โบกมือให้ทหารนายนั้นออกไปได้
ทันทีที่นายทหารเดินออกจากห้องสมุดไปก็มีนางกำนัลคนหนึ่งเข้ามาเฝ้าเขาและสอบถามว่าเขาต้องการทานอาหารเย็นที่ไหน ในห้องโถงใหญ่ร่วมกับสมาชิกของราชสำนักหรือในห้องของเขาเอง หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง โลกิก็ตอบออกไปว่าเขาต้องการทานอาหารตามลำพังในห้องส่วนตัวของเขา โดยให้คนจัดอาหารของเขาไว้ที่นั่น แต่เมื่อนางกำนัลรับคำสั่งและกำลังจะเดินออกไปจากห้องสมุด ราชาแห่งแอสการ์ดก็เรียกนางไว้ก่อน
“แล้วเจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์ล่ะ นางเป็นอย่างไรบ้าง” เขาถามเรียบ ๆ ราวกับเขาไม่ได้สนใจเรื่องของนางเป็นพิเศษ ขณะที่นางกำนัลผู้ถูกกษัตริย์ของตนสอบถามนั้นชะงักฝีเท้าเล็กน้อย ก่อนที่นางจะเดินกลับมาหยุดอยู่ตรงหน้าโลกิอีกครั้ง นางมีท่าทีครุ่นคิดอยู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมา
“นางอยู่ในห้องของนางตามคำสั่งของฝ่าบาทเพคะ มีคนนำอาหารกลางวันไปให้นาง แต่นางไม่ยอมทานเพคะ” นางกำนัลคนนั้นตอบ และเมื่อได้ยินเช่นนั้นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ผุดขึ้นบนริมฝีปากบางของโลกิ นี่เจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์คิดจะอดอาหารประท้วงเขาอย่างนั้นหรือ แน่นอนว่ามันไม่ได้ผลแต่อย่างใด เขาคิดเช่นนั้นก่อนจะพูดขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นก็ยกอาหารเย็นให้ไปนางที่ห้องตามเดิม แต่ถ้านางไม่ยอมทานล่ะก็ ให้บอกนางว่าข้าจะมาจัดการนางด้วยตัวเองโทษฐานที่นางขัดคำสั่งข้า อ้อ แล้วก็จัดการเรื่องเสื้อผ้าให้นางด้วย ให้นางเปลี่ยนมาใส่ชุดของแอสการ์ดเสีย และเอาชุดและสิ่งของที่เป็นของนอร์นไฮม์ทิ้งไปให้หมด” เขาสั่ง ขณะที่นางกำนัลรับคำด้วยท่าทีลังเล
“เพคะ แต่ข้าไม่แน่ใจว่านางจะยอมหรือไม่” นางกำนัลพูด “ฝ่าบาท ถึงเราจะเอาของ ๆ นอร์นไฮม์ออกจากตัวนางได้ แต่ข้าเกรงว่าเราจะไม่สามารถเอาความเป็นนอร์นไฮม์ออกไปจากตัวนางได้นะเพคะ” นางกำนัลกล่าว และเมื่อนางเห็นว่าเจ้าเหนือหัวของนางขมวดคิ้วด้วยท่าทีสงสัยกับสิ่งที่นางเพิ่งรายงานไป นางจึงพูดต่อ
“ข้าคิดว่า เจ้าหญิงองค์นี้ นางเป็นผู้ที่มีจิตวิญญาณที่เข็งแกร่งทีเดียวเพคะ” นางกำนัลผู้ได้รับหน้าที่ดูแลสกาฎีในตอนกลางวันกล่าว และถึงแม้ว่าโลกิผู้ได้ฟังคำพูดนั้นของนางกำนัลจะมีท่าทีแปลกใจในสิ่งที่เขาได้รับรู้ก็ตาม แต่เขาก็ยิ้มออกมาแทบจะในทันทีที่นางกำนัลพูดจบ
“เจ้าคิดว่าเจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์มีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งอย่างนั้นหรือ” เขาถาม และเมื่อได้ยินเช่นนั้น นางกำนัลก็ตอบออกมาอย่างไม่ลังเลเลยว่า
“เพคะ” ราชาแห่งแอสการ์ดยิ้มให้กับคำตอบนั้น ก่อนจะออกคำสั่งใหม่
“งั้นก็ดี เจ้าไปทำตามที่ข้าสั่ง แต่ถ้านางขัดขืนก็ไม่เป็นไร ข้าจะเป็นคนจัดการเอง อันที่จริงข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าข้าจะทำลายจิตวิญญาณของนางที่เจ้าคิดว่าแข็งแกร่งได้หรือไม่” เขากล่าวเพียงเท่านั้นก่อนจะสั่งให้นางกำนัลออกจากห้องไป

…………………………………………………………………..

หลังจากนางกำนัลออกไปทำหน้าที่ของนางเรียบร้อยแล้ว โลกิก็กลับไปที่ห้องนอนของเขา เขาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะทานอาหารเย็นเพียงลำพัง ปกติแล้วโลกิมักจะทานอาหารร่วมกับข้าราชบริพารของเขาที่ห้องโถงใหญ่ แต่เนื่องจากวันนี้เขาต้องการความสงบเพื่อจะครุ่นคิดบางเรื่องเขาจึงต้องการที่จะทานอาหารเพียงลำพังในห้องมากกว่า
และเรื่องที่ราชาแห่งแอสการ์ดจำเป็นต้องครุ่นคิดนั้นก็ไม่ใช่เรื่องอื่นใดนอกจากเรื่องเจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์ซึ่งเขาเพิ่งได้พบเป็นครั้งแรกในวันนี้ รวมทั้งเขายังได้ตกลงการแต่งงานระหว่างเขากับนางไปแล้วด้วย แม้ว่าจะเป็นการตัดสินใจที่กระทันหันมากในการเลือกคู่ครองของเขาก็ตาม แต่โลกิก็พบว่ามันคุ้มค่าไม่น้อยเมื่อการแต่งงานครั้งนี้จะมีสินสมรสเป็นอาณาจักรของนางที่จะมาสวามิภักดิ์ต่อเขา แม้ว่าเขาจะยังไม่แน่ใจก็ตามว่าเจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์คนนี้จะยอมอยู่ภายใต้อาณัติของเขาง่าย ๆ หรือแม้กระทั่งนางจะสร้างปัญหาให้เขาในภายหลังถ้าหากเขาแต่งงานกับนางไปหรือไม่ หรือว่าบางทีเขาอาจจะรีบร้อนตัดสินใจเกินไปในการเลือกราชินีแอสการ์ดคนต่อไป นี่ยังไม่นับการที่นางเป็นชาวนอร์นไฮม์ซึ่งไม่ใช่เทพเฉกเช่นเขาด้วย
แต่ถึงจะกังวลในการตัดสินใจแต่งงานซึ่งมีเหตุผลหลักมาจากการเมืองในครั้งนี้ของเขาอยู่บ้าง แต่ในไม่ช้าโลกิก็สามารถหาทางออกสำหรับปัญหาที่เขากำลังเผชิญอยู่นี้ได้อย่างง่ายดาย เมื่อเขาคิดได้ว่า อันที่จริงแล้วเขาไม่จำเป็นจะต้องแต่งตั้งให้สกาฎีเป็นราชินีของแอสการ์ดในทันทีเลยก็ได้ แต่เขาสามารถกักตัวนางไว้ในฐานะคู่หมั้นของเขา ซึ่งจะทำให้นอร์นไฮม์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะยอมสวามิภักดิ์ต่อเขา และในตอนนี้เขาไม่ได้มีเพียงอาณาจักรของนางเท่านั้นที่เป็นตัวประกันสำหรับสกาฎี หากแต่ชีวิตของธีอาซีซึ่งเป็นบิดาของนางก็อยู่ในกำมือของเขาด้วยเช่นกัน โลกิจะใช้ทั้งสองสิ่งนี้บังคับให้เจ้าหญิงคนนี้ยอมศิโรราบต่อเขาอย่างที่เขาได้ทำไปแล้วในวันนี้ และเมื่อเขาแน่ใจว่านางยอมสวามิภักดิ์และมอบความจงรักภักดีให้กับเขาอย่างแท้จริงแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็จะแต่งตั้งให้นางเป็นมเหสีของเขา เป็นราชินีแห่งแอสการ์ดเพื่อเชื่อมทั้งสองอาณาจักรเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์

‘ แล้วบิดาของนางเล่า อย่าลืมนะว่ากษัตริย์แห่งนอร์นไฮม์ยังคงมีชีวิตอยู่ ’
เสียงเล็ก ๆ ในหัวนั้นเตือนเขาถึงเรื่องของธีอาซีซึ่งต่อมาอาจเป็นภัยต่อเขาได้ แต่หลังจากผ่านการขบคิดไปได้ครู่หนึ่ง ราชาแห่งแอสการ์ดก็ได้คำตอบของการแก้ปัญหาเรื่องธีอาซี แน่นอนว่าการมีชีวิตอยู่ของธีอาซีอาจจะเป็นภัยต่อเขาก็จริง แต่เขาก็สามารถใช้มันให้เป็นประโยชน์แก่เขาได้เมื่อโลกิคิดว่า เขาจะใช้ธีอาซีเป็นตัวประกันในการข่มขู่ให้สกาฎียอมทำตามที่เขาต้องการ ในขณะเดียวกัน หลังจากที่เขาแต่งงานกับเจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์เพื่อเชื่อมอาณาจักรทั้งสองเข้าด้วยกันแล้ว เขาก็จะใช้ธิดาของธีอาซีเองเป็นตัวประกันเพื่อไม่ให้บิดาของนางคิดเข็งข้อและคิดทรยศเขาเมื่อเขาปล่อยให้ธีอาซีกลับไปปกครองนอร์นไฮม์ซื่งในตอนนั้นมันก็คงอยู่ใต้อำนาจของแอสการ์ดอย่างสมบูรณ์เสียแล้ว
เมื่อคิดหาวิธีที่จะทำให้เขาสามารถครอบครองอาณาจักรนอร์นไฮม์ไว้ได้แล้ว โลกิก็อดยิ้มให้กับแผนการที่ช่างสมบูรณ์แบบในความคิดของเขาออกมาไม่ได้ มันเป็นแผนการที่เขาจะสามารถได้ประโยชน์ในทุก ๆ ทาง เพราะมันทำให้เขาสามารถครอบครองนอร์นไฮม์ได้อย่างราบรื่นผ่านการแต่งงานกับเจ้าหญิงผู้มีสิทธิในบัลลังค์ของนอร์นไฮม์อย่างสกาฎี โดยที่เขาไม่ต้องเปลืองแรงทำสงครามให้ต้องสูญเสียเลือดเนื้อเลยแม้แต่น้อย
เมื่อถึงตอนนี้โลกิก็ค้นพบว่า ก่อนที่แผนการครอบครองนอร์นไฮม์ของเขาจะเสร็จสมบูรณ์ได้นั้นเขาก็จะต้องเริ่มจากการครอบครองเจ้าหญิงสกาฎีผู้มีสิทธิในบัลลังค์อย่างสมบูรณ์เสียก่อน เพราะเขาจำเป็นที่จะต้องแน่ใจว่านางจะยอมศิโรราบให้แก่เขาอย่างแท้จริง รวมทั้งนางจะยอมอยู่ใต้อำนาจของเขาและไม่สร้างปัญหาให้กับเขาในภายภาคหน้าเมื่อเขาแต่งตั้งให้นางเป็นราชินีแห่งแอสการ์ดแล้ว
ใช่แล้ว เขาต้องครอบครองนางเสียตั้งแต่ตอนนี้ ไม่ใช่หลังจากที่พวกเขาเข้าพิธีอภิเษกกันแล้ว แต่เขาจะต้องครอบครองนางรวมทั้งปราบพยศนางให้ได้ก่อนที่พวกเขาจะแต่งงานกัน ราชาแห่งแอสการ์ดคิดเช่นนั้น
และเป็นเพราะความคิดดังกล่าวนี้เองที่ทำให้โลกิหวนนึกไปถึงใบหน้าของเจ้าหญิงคนงามแห่งนอร์นไฮม์ เขานึกไปถึงดวงหน้างามซึ่งรับกับดวงตาสีฟ้าที่มีน้ำตาคลอเอ่อของนางยามที่นางตกลงแต่งงานกับเขา ชายหนุ่มนึกไปถึงริมฝีปากอิ่มของนางที่เขาเคยได้สัมผัสแค่จากนิ้วโป้งของเขาเท่านั้น ทำให้เขานึกสงสัยว่าริมฝีปากสีกุหลาบของนางนั้นจะนุ่มนวลเพียงใดหากเขาสัมผัสมันด้วยริมฝีปากของเขา และผิวพรรณผุดผ่องของนางจะเนียนนุ่มเพียงใดหากเขาสัมผัสมันด้วยมือของเขา และมันจะรู้สึกเช่นไรเมื่อเขาได้ครอบครองเจ้าหญิงคนงามแห่งนอร์นไฮม์หลังจากที่เขาได้มีชัยเหนืออาณาจักรของนางมาแล้ว
แต่ถึงกระแสความคิดของราชาแห่งแอสการ์ดจะก่อให้เกิดข้อสงสัยขึ้นมากเพียงใดก็ตาม เขาก็รู้ดีว่าเขาไม่มีวันที่จะล่วงรู้ถึงคำตอบของข้อสงสัยเหล่านั้นได้เลยหากเขาไม่ลงมือค้นหามันด้วยตัวเอง ใช่แล้ว เขาจำเป็นต้องค้นหามันด้วยตัวของเขาเอง เขาจำเป็นต้องครอบครองเจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์เพื่อที่จะทำให้นางยอมศิโรราบต่อเขาแต่โดยดี แม้ว่าในส่วนลึก ๆ โลกิจะรู้ดีว่าความต้องการของเขาที่จะครอบครองสกาฎีในตอนนี้นั้น ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากความปรารถนาของเขาที่มีต่อนางรวมอยู่ด้วยก็ตาม เพราะในตอนนี้โลกิไม่อาจจะปฏิเสธได้เลยว่าเขาปรารถนาที่จะครอบครองเรือนร่างงดงามของเจ้าหญิงองค์นี้พอ ๆ กับที่เขาปรารถนาที่จะครอบครองอาณาจักรของนาง หากแต่ดูเหมือนว่าการกระทำตามความปรารถนาทั้งในเรื่องส่วนตัวและเรื่องการเมืองของราชาแห่งแอสการ์ดในครั้งนี้ล้วนแต่จะนำผลประโยชน์มาให้แก่เขาและแอสการ์ดอย่างมหาศาล เพราะหลังจากที่เขาได้ครอบครองเจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์แล้ว หลังจากที่เขาสามารถทำให้นางมาเป็นของเขาและทำให้นางยอมสวามิภักดิ์ต่อเขาได้แล้ว นอร์นไฮม์ก็จะต้องยอมสวามิภักดิ์ต่อเขาเช่นเดียวกับนาง
และเมื่อได้ข้อสรุปของแผนการที่สามารถนำประโยชน์มาให้เขาได้ในทุก ๆ ทางแล้ว โลกิก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะเดินออกจากห้องนอนของเขาไป ราชาแห่งแอสการ์ดมุ่งหน้าไปยังห้องที่เจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์พักอยู่อีกฝั่งหนึ่งของพระราชวัง เพื่อไปครอบครองในสิ่งที่เป็นของเขา



************************************************************






 

Create Date : 09 เมษายน 2557    
Last Update : 9 เมษายน 2557 21:28:54 น.
Counter : 978 Pageviews.  

Fire and Ice: Chapter 4 The Avenge of the Princess





***Chapter 4 The Avenge of the Princess: การแก้แค้นของเจ้าหญิง***


ทางด้านสกาฎี องค์หญิงแห่งนอร์นไฮม์นั้น นางได้มายืนป่าวประกาศท้าสู้ตัวต่อตัวกับโลกิมาเป็นเวลานานแล้ว แต่กลับไม่มีวี่แววการปรากฏตัวของราชาแห่งแอสการ์ดหรือแม้กระทั่งคนที่เขาส่งมาเลย แต่ถึงกระนั้นธิดาแห่งกษัตริย์ธีอาซีผู้เพิ่งสูญเสียพระบิดาไปด้วยน้ำมือของโลกิแห่งแอสการ์ดนั้นก็ยังคงยืนรอคอยการตอบรับคำท้าจากอีกฝ่ายอยู่ท่ามกลางสายลมหนาวที่พัดกระหน่ำ จนกระทั่งนางกำนัลผู้เป็นห่วงองค์หญิงของนางมากกว่าอะไรทั้งหมดพูดขึ้น
“องค์หญิง ข้าว่าท่านเสด็จกลับเถอะเพคะ จนป่านนี้แล้วทางแอสการ์ดคงไม่ตอบรับคำท้าของท่านแล้ว” เอลล่า นางกำนัลของสกาฎีพูดขึ้น ท่ามกลางสายลมหนาวที่พัดกระหน่ำ แต่ถึงกระนั้นดูเหมือนว่าองค์หญิงแห่งนอร์นไฮม์จะไม่สนใจคำพูดของนางกำนัลคนสนิทของนางเลยแม้แต่น้อย
“ข้าบอกแล้วไง เอลล่า ว่าข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้นจนกว่าข้าจะแก้แค้นให้ท่านพ่อได้ หรือไม่ก็จนกว่าข้าจะสิ้นชีพเท่านั้น” นางหันไปพูดกับนางกำนัลด้วยท่าทีเข็มแข็งก่อนจะเงยหน้าขึ้นบนฟ้าที่เต็มไปด้วยเสียงหวีดหวิวของลมพายุ
“ว่าไงล่ะราชาแห่งแอสการ์ด ทำไมไม่ปรากฎตัวเสียที หรือว่าท่านกลัวที่จะสู้กับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างข้า แต่ถ้าท่านเป็นลูกผู้ชายอย่างแท้จริงท่านก็คงไม่หวาดกลัวที่จะมาสู้กับข้ากระมัง” นางป่าวประกาศร้องท้าทายราชาแห่งแอสการ์ดต่อ แม้ในใจจะคิดว่าสิ่งที่นางได้รับก็คงไม่มีอะไรนอกจากความเงียบงันและเสียงลมหวีดหวิวที่พัดตอบกลับมาเหมือนกับก่อนหน้านี้ แต่ในครั้งนี้นางกลับคิดผิด เพราะเมื่อองค์หญิงแห่งนอร์นไฮม์เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบนอีกครั้งนางก็ได้ยินเสียงกึกก้องราวกับฟ้าคำรามพร้อมกับแสงสว่างเจิดจ้าที่สาดส่องครอบคลุมร่างของนาง และก่อนที่สกาฎีจะได้ทันตั้งตัวลำแสงดังกล่าวก็ดูดร่างของนางจากพื้นดินที่ยืนอยู่ไปยังจุดหมายปลายทางที่ไกลเกินกว่านางจะจินตนาการได้เสียแล้ว

เมื่อรู้สึกตัวอีกทีองค์หญิงสกาฎีก็พบว่านางกำลังยืนอยู่ในห้องโถงที่ประดับประดาด้วยผนังสีทองที่มีลวยลายสวยงาม เบื้องหน้าของนางเป็นร่างของชายผู้หนึ่งที่สวมชุดเกราะสีทองซึ่งเป็นสีเดียวกับผนังห้อง เขามองมาทางนางจากแท่นสูงด้วยท่าทีเรียบเฉย และในขณะที่นางกำลังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง และเป็นเพราะการที่สกาฎีมองสำรวจไปรอบกายด้วยเพื่อต้องการหาคำตอบนั้นเองทำให้สายตาของหญิงสาวไปสะดุดกับอีกร่างหนึ่ง เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูงผู้มีผมสีดำ ดวงตาสีฟ้าอมเขียวรวมทั้งผิวขาวซีดของเขารับกับเครื่องแต่งกายสีเขียวและทองที่เขาสวมใส่อยู่อย่างประหลาด รวมทั้งท่าทีของเขานั้นที่แลดูเย่อหยิ่งและถือตัวนั้นก็รับกับหมวกรูปทรงแปลกตาที่เขาสวมอยู่ไม่น้อยทีเดียว
แม้นางจะไม่รู้จักเขามาก่อนแต่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์รวมทั้งสายตาของเขาใช้มองมาทางนางนั้นทำให้สกาฎีรู้ในทันทีว่านางไม่ควรจะไว้ใจชายผู้นี้ แต่ก่อนที่องค์หญิงแห่งนอร์นไฮม์จะได้มีโอกาสเอ่ยปากถามไถ่ว่าในตอนนี้นางกำลังอยู่ที่ไหนนั้นสายตาของนางก็ไปสะดุดเข้ากับคฑาในมือของชายหนุ่มผมดำตรงหน้าเสียก่อน มันเป็นคฑาสีทองด้ามยาวที่มีลักษณะเฉพาะ และที่สำคัญนางเคยเห็นมันมาก่อน ในหนังสือที่ท่านพ่อมักอ่านให้นางฟังประจำตอนที่นางยังเป็นเด็ก เกี่ยวกับผู้คุ้มครองอาณาจักรทั้งเก้า คฑาอันนี้คือคฑาของเทพบิดาผู้ปกครองแอสการ์ดและเป็นผู้คุ้มครองอาณาจักรทั้งเก้า มันคือคฑาของโอดินซึ่งบัดนี้ตกอยู่ในมือของผู้ปกครองแอสการ์ดคนใหม่ซึ่งก็คือโลกิ ผู้ที่สังหารบิดาของนางนั่นเอง!
และเมื่อเห็นเช่นนั้นความโกรธเกรี้ยวรวมทั้งความปรารถนาที่จะแก้แค้นก็เข้ามาเกาะกุมจิตใจของสกาฎี ในวินาทีต่อมาองค์หญิงก็ยกดาบในมือขึ้นและพุ่งไปยังชายหนุ่มที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า!

…………………………………………………………………..

แม้จะรู้ดีว่าคมดาบนั้นพุ่งมาเพื่อปลิดชีพเขาก็ตาม แต่โลกิก็ไม่มีท่าทีหวั่นไหวหรือตกใจแต่อย่างใด เพราะทันทีที่องค์หญิงแห่งนอร์นไฮม์พุ่งดาบมาใส่เขา ราชาแห่งแอสการ์ดใช้เวทย์มนต์ทำให้ร่างของเขาจางหายไปจากจุดที่เขายืนอยู่เมื่อครู่ ส่งผลให้องค์หญิงนอร์นไฮม์ที่พุ่งเข้าโจมตีเขาเมื่อครู่นั้นเสียหลักจนล้มลงไปกองกับพื้น และถึงแม้ว่านางจะมีท่าทีงงงวยอยู่ไม่น้อยกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เมื่อสกาฎีเห็นโลกิปรากฎตัวขึ้นบริเวณด้านหลังของนางห่างจากแท่นไบฟรอสท์ไปไม่ไกลนัก เจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์ก็ลุกขึ้นพร้อมกับพุ่งดาบใส่เขา แต่ราชาแห่งแอสการ์ดก็ไม่อาจยอมให้นางเข้ามาทำร้ายเขาได้เมื่อเขายกคฑาของเทพบิดาขึ้นก่อนจะใช้มันปลดอาวุธจากมือของหญิงสาว และในวินาทีต่อมาลำแสงจากคฑาในมือของโลกิที่พุ่งไปยังดาบของฝ่ายตรงข้ามก็ส่งผลให้มันกระเด็นออกไปอีกทิศทางหนึ่ง
แต่ถึงอย่างไรก็ตามการโจมตีนั้นมีเจตนาเพียงเพื่อปลดอาวุธฝ่ายตรงข้ามเท่านั้นทำให้หญิงสาวไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด และเมื่อองค์หญิงแห่งนอร์นไฮม์พบว่านางไม่อาจทำอันตรายโลกิได้เนื่องจากอาวุธของนางได้หลุดจากมือไปแล้ว สกาฎีก็มองราชาแห่งแอสการ์ดที่เป็นศัตรูของนางด้วยสายตาเคียดแค้น
“ท่านขี้โกงนี่ที่ใช้คฑาของเทพบิดาในการประลองแบบนี้!” นางกล่าว ก่อนจะยืนขึ้นประจันหน้าเขา ขณะที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาหานางด้วยท่าทีสบาย ๆ ดวงตาสีเขียวของโลกิมองสำรวจหญิงสาวอย่างสนอกสนใจก่อนที่เขาจะตอบออกมา
“ใครบอกกันว่าข้าจะประลองกับเจ้า ข้าแค่นำตัวเจ้ามาที่นี่ก็เท่านั้นเอง” เขาพูดด้วยท่าทีเจ้าเล่ห์ ขณะที่เจ้าหญิงผู้เพิ่งรู้ตัวว่านางเสียรู้ราชาแห่งแอสการ์ดเข้าเสียแล้วได้แต่พูดออกมาอย่างโกรธแค้นว่า
“ท่าน!”
“อย่าเพิ่งโมโหไปเลยองค์หญิง ข้านำตัวเจ้ามาที่นี่เพื่อต้องการจะเจรจายุติเรื่องระหว่างสองอาณาจักรเท่านั้น” โลกิกล่าวขณะที่เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าสกาฎีพลางมองสำรวจนาง

ร่างตรงหน้าของเขานั้นเป็นหญิงสาวผู้มีใบหน้ารูปไข่เรียวสวย ล้อมกรอบไปด้วยผมสีบลอนด์เกือบขาวที่ยาวสยายถึงเอว และแม้ว่ารูปร่างของนางจะบอบบางจนดูไม่เข้ากับชุดเกราะเทอะทะที่นางสวมอยู่นี้ก็ตาม แต่ดวงตาสีฟ้าของนางกลับดูเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวราวกับว่ามันสามารถแสดงความปรารถนาที่จะแก้แค้นเขาออกมาให้เขารับรู้ได้
หลังจากสำรวจร่างตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง โลกิก็อดที่จะยอมรับไม่ได้ว่าเจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์คนนี้นั้นเป็นหญิงที่งดงามไม่น้อย แม้ว่าในตอนนี้นางจะกำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อก็ตาม แต่ไม่ทันที่เขาจะได้มองสำรวจนางให้ละเอียดไปมากกว่านี้ เสียงขององค์หญิงสกาฎีก็ดังขึ้น
“ไม่มีอะไรจะต้องเจรจากันอีกแล้ว ในเมื่อท่านสังหารบิดาของข้า! สำหรับท่านกับข้ามีเพียงการสู้รบกันเท่านั้น!” นางบอกอย่างเด็ดเดี่ยว ขณะที่ราชาแห่งแอสการ์ดยิ้มให้กับความดื้อรั้นของนาง
“อะไรที่ทำให้เจ้าคิดว่าข้าจะประลองกับเจ้ากัน” เขาถาม และเพราะคำถามนี้ที่ทำให้นางนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมา
“ท่านจะประลองกับข้าเพราะท่านไม่อยากเสียศักดิ์ศรี เพราะท่านไม่ต้องการจะถูกประณามว่าไม่กล้าประลองแม้กระทั่งกับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างข้า” นางตอบ แต่โลกิกลับยิ้มราวกับเขารู้สึกขบขันในคำตอบของนาง
“แล้วเจ้าไม่คิดหรือว่าถ้าข้าประลองกับเจ้าแล้วข้าชนะขึ้นมาก็จะกลายเป็นว่าข้ารังแกผู้หญิงน่ะสิ” เขาย้อน แต่หญิงสาวตรงหน้าก็ไม่ต้องเสียเวลาคิดนานเท่าไหร่นักก่อนที่นางจะตอบออกมา
“แต่ถ้าท่านไม่ประลองผู้อื่นก็จะประนามว่าท่านกลัวผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างข้า” นางตอบ และโลกิก็ยิ้มกว้างให้นาง
“ถ้าข้ารักศักดิ์ศรีของข้าถึงเพียงนั้น และไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าข้ามีปัญหาในการประลองกับเจ้า สู้ข้าฆ่าเจ้าปิดปากเสียไม่ดีกว่าหรือ ทีนี้ก็จะไม่มีใครรู้เรื่องที่เจ้ามาท้าข้าประลองแล้ว มันง่ายออกจริงไหม โดยเฉพาะการสังหารเจ้าในตอนที่เจ้าไม่มีอาวุธป้องกันตัวแบบนี้ด้วย” เขาพูดพลางมองนางด้วยดวงตาสีฟ้าอมเขียวที่ฉายแววเจ้าเล่ห์ ขณะที่อีกฝ่ายตาโตเพราะคำพูดของเขา
“ท่านไม่ทำเช่นนั้นหรอก” สกาฎีเถียงออกมา แต่โลกิกลับมองนางด้วยสายตากรุ้มกริ่มก่อนจะพูดต่อ
“ทำไมข้าจะทำไม่ได้ล่ะ ในเมื่อเจ้ามาอยู่ในกำมือข้าแล้วตอนนี้ หรือไม่ข้าอาจจะจับเจ้าไปขังที่คุกใต้ดิน และขังเจ้าไว้ที่นั่นจนเจ้าไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันโทษฐานที่เจ้าก่อกบฏต่อข้าก็เป็นได้ ซึ่งเท่าที่ข้าดูเจ้าก็มีความผิดจริง” เขาพูดอย่างไม่ยี่หระ ขณะที่เจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์นั้นเริ่มหน้าซีด นางเพิ่งรู้ตัวในตอนนี้เองว่านางเสียเปรียบฝ่ายตรงข้ามมากแค่ไหน แต่ถึงกระนั้นนางก็จะไม่มีวันยอมให้โลกิล่วงรู้เป็นอันขาดว่าเขามีอำนาจเหนือนาง นางไม่มีทางยอมให้เขารู้เป็นอันขาดว่านางเกรงกลัวเขา ดังนั้นองค์หญิงแห่งนอร์นไฮม์จึงพูดออกไป
“ข้าอาจจะก่อกบฎต่อท่านจริง แต่ที่ข้าทำได้เพราะต้องการแก้แค้นให้ท่านพ่อของข้า และสาเหตุที่ท่านพ่อของข้า รวมถึงนอร์นไฮม์ของเราก่อกบฎขึ้นก็เพราะเราไม่ยอมรับการครองบัลลังค์ของท่าน เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านจะมาบังคับเอาความจงรักภักดีจากเราได้อย่างไร ในเมื่อท่านพ่อของข้า ตัวข้า รวมทั้งประชาชนนอร์นไฮม์ไม่มีมันให้ท่าน และในเมื่อข้ามาที่นี่เพื่อแก้แค้นแทนพ่อ ทำไมท่านจึงไม่มาประลองกับข้าให้มันจบ ๆ ไปเสียล่ะ” นางกล่าวโดยพยายามควบคุมอารมณ์รวมทั้งน้ำเสียงของนางไม่ให้แสดงออกถึงความหวาดกลัวต่อสิ่งที่นางกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ ขณะที่อีกฝ่ายนั้นกลับมีท่าทีสบาย ๆ ราวกับพวกเขากำลังคุยกันเรื่องลมฟ้าอากาศกันอยู่
“ข้าบอกแล้วไงว่าข้าจะไม่เปลืองแรงไปประลองกับเจ้า แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะข้าก็สงสัยเหมือนกันว่าเจ้าคิดหรือเปล่าว่าถ้าเจ้าแพ้ขึ้นมา จะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า” เขาถามพลางมองลึกเข้าไปในดวงตาสีฟ้าของหญิงสาว ขณะที่สกาฎีหายใจกระตุกราวกับนางไม่เคยคิดมาก่อนถึงผลของการพ่ายแพ้ให้แก่ราชาแห่งแอสการ์ด แต่ถึงกระนั้นองค์หญิงแห่งนอร์นไฮม์ก็สามารถเรียกสติของนางกลับมาได้อย่างรวดเร็วพอ ๆ กับที่นางค้นพบคำตอบของคำถามที่เพิ่งถูกถามออกมาได้ว่า ถ้าหากนางพ่ายแพ้ในการประลองกับโลกิจริง ผลลัพธ์ของมันก็คือความตายเป็นแน่ ไม่ต่างจากที่พ่อของนางต้องเผชิญมาก่อนหน้านี้ และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเจ้าหญิงก็เชิดหน้าขึ้นด้วยท่าทีมั่นใจก่อนจะเอ่ยออกไป
“ถ้าข้าแพ้ท่านสามารถจัดการข้าได้ตามใจท่านปรารถนา ข้าจะไม่ปริปากขอความเมตตาจากท่านเลยแม้แต่น้อย และข้าก็รู้ดีว่าถ้าหากท่านชนะท่านก็คงไม่ปล่อยให้ข้ามีชีวิตรอดเป็นแน่ สิ่งที่ข้าต้องเผชิญก็มีเพียงความตายเท่านั้น แต่ความตายก็เป็นสิ่งเดียวที่ท่านต้องเผชิญเช่นกัน หากท่านพ่ายแพ้ให้แก่ข้า” นางกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวแม้ว่าโอกาสในการชนะการประลองของนางกับโลกิจะริบหรี่ยิ่งกว่าแสงเทียนที่ถูกตั้งทิ้งไว้ท่ามกลางสายลมหนาวก็ตาม แต่นางก็ยังมีท่าทีเด็ดเดี่ยวและมั่นคงในสิ่งที่นางได้ตัดสินใจลงไปราวกับว่านางพร้อมที่สละสิ้นทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิตของนางเพียงเพื่อโอกาสในการแก้แค้นให้บิดาเท่านั้น และเพราะท่าทีมั่นใจรวมทั้งแววตาที่แสดงถึงความเด็ดเดี่ยวของหญิงสาวนั้นเองที่ทำให้โลกิเกิดสนใจนางขึ้นมา บางทีนางอาจจะน่าสนใจพอที่เขาจะลองเจรจากับนางต่อเพื่อยืดเวลาชีวิตของนางต่อไปอีกเสียหน่อยก็ได้
และเมื่อคิดได้เช่นนั้นโลกิเคลื่อนกายเข้ามาใกล้หญิงสาวมากขึ้น เขามองลึกเข้าไปในดวงตาสีฟ้าที่มองเขากลับมาอย่างไม่ไว้วางใจก่อนจะพูดขึ้นว่า
“เจ้าเข้าใจผิดเสียแล้วล่ะองค์หญิง มีหลายสิ่งที่เลวร้ายมากกว่าความตายยิ่งนัก” เขาพูดพร้อมกับเดินห่างออกจากนาง โลกิก้าวขึ้นไปบนแท่นควบคุมไบฟรอสท์หลังจากที่ไฮม์ดัลหลีกทางให้เขา ราชาแห่งแอสการ์ดยืนอยู่เบื้องหน้าแท่นควบคุมโดยที่สายตาของเขามองเลยองค์หญิงแห่งนอร์นไฮม์ไปยังพิภพเบื้องล่างที่ไม่มีอะไรไปมากกว่าจักรวาลและดวงดาวนับพันในสายตาของผู้อื่นที่ไม่ใช่นายทวารอย่างไฮม์ดัลก่อนจะพูดขึ้น
“และสิ่งหนึ่งที่น่าจะเลวร้ายมากกว่าความตายสำหรับเจ้า ก็น่าจะเป็นความตายของประชาชนนอร์นไฮม์ของเจ้า!” โลกิพูดพร้อมกับจับดาบของไฮม์ดัลที่ปักอยู่ที่แท่นไบฟรอสท์ ส่งผลให้มีกระแสไฟฟ้าซึ่งส่องแสงสว่างเจิดจ้าไปทั่วห้องโถง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ลงมือเปิดสะพานไบฟรอสท์แต่อย่างใด
“ท่านหมายความว่ายังไง” สกาฎีกล่าวด้วยสีหน้าที่ผสมปนเปไประหว่างความสงสัยและความตื่นตระหนกขณะที่โลกิยิ้มให้นาง
“ข้าหมายความว่าข้าสามารถทำลายนอร์นไฮม์ที่เจ้ารักได้โดยไม่ต้องเปลืองแรงเลยโดยใช้สะพานไบฟรอสท์นี่ ข้าบอกเจ้าตามตรงเลยแล้วกัน ว่าที่จริงแล้วข้าคิดจะให้มันกำจัดพวกเจ้าตั้งแต่ตอนแรกแล้วด้วยซ้ำ เพียงแต่มันง่ายดายเกินไปเท่านั้น ดังนั้นข้าจึงส่งกองทัพของข้าลงไปกำราบพวกเจ้าแทน” เขาพูดพร้อมกับจ้องมองร่างเล็กของหญิงสาวตรงหน้า “ข้าสังหารประชาชนของเจ้า รวมทั้งพ่อของเจ้าในโทษฐานที่พวกเจ้าบังอาจก่อการบกฎขึ้นต่อข้าผู้เป็นราชาปกครองอาณาจักรทั้งเก้า และในตอนนี้ข้าก็กำลังจะลงโทษเจ้าที่บังอาจมาท้าประลองกับข้าด้วยการทำลายอาณาจักรของเจ้า!” เขาพูดพร้อมกับกุมดาบในมือ เตรียมพร้อมที่จะกดมันลงกับแท่นเพื่อทำการเปิดสะพานไบฟรอสท์ในทันที แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำเช่นนั้นร่างเล็กของสกาฎีก็เข้าปรี่เข้ามาตรงหน้าแท่นควบคุม นางร้องห้ามเขาอย่างที่เขาคาดเอาไว้
“ไม่! ท่านทำแบบนั้นไม่ได้!” นางละล่ำละลักด้วยใบหน้าขาวซีด ดวงตาของนางแสดงถึงความตกใจจนเกือบจะเรียกได้ว่าตื่นตระหนก แต่ที่มากไปกว่านั้นมันดูราวกับนางกำลังวิงวอนขอความเมตตาจากเขาอยู่
“ทำไมข้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้ล่ะ องค์หญิง ในเมื่อข้ามีสิทธิทุกอย่างที่จะจำกัดอาณาจักรที่บังอาจก่อบกฎต่อข้า ข้าสามารถจะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของเจ้าได้ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ และหลังจากที่ข้าทำเช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะเป็นชาวนอร์นไฮม์คนสุดท้ายที่เหลืออยู่ในอาณาจักรทั้งเก้า อ้อ จริง ๆ ข้าต้องพูดว่าแปดสินะ หลังจากที่ข้าทำลายอาณาจักรของเจ้าไปแล้ว” เขาพูดขณะที่โน้มร่าวลงมาส่งยิ้มให้หญิงสาวที่บัดนี้กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าเขา ขณะที่สกาฎีตั้งท่าจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่โลกิก็ขัดขึ้นก่อน
“และเมื่อถึงตอนนั้น ตอนที่เจ้าได้กลายมาเป็นชาวนอร์นไฮม์คนสุดท้ายที่เหลืออยู่ในจักรวาลนี้แล้ว บางที ข้าอาจจะใจดีไว้ชีวิตเจ้าก็ได้” โลกิพูดพร้อมกับส่งรอยยิ้มโหดเหี้ยมมาให้นาง สายตาที่ราชาแห่งแอสการ์ดมองเจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์นั้นทำให้นางรู้สึกราวกับนางเป็นเพียงลูกไก่ในกำมือที่เขาสามารถบีบให้ตายคามือของเขาได้อย่างง่ายดายก็ไม่ปาน และถึงแม้ว่านางจะรู้สึกเจ็บใจที่นางเสียเปรียบชายตรงหน้ารวมทั้งแม้ว่านางจะแค้นเคืองเขามากเพียงใดก็ตาม แต่สกาฎีก็ทำได้แค่เก็บความเคียดแค้นนั้นไว้ในใจพร้อม ๆ กับที่มือเล็กของนางกำแน่นจนเล็บของหญิงสาวจิกเข้าไปในอุ้งมือของนางเอง เมื่อเจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์เงยหน้าขึ้นมองราชาแห่งแอสการ์ดผู้เป็นศัตรูคู่แค้นของนางก่อนจะพูดออกมา
“ท่านจะไม่ทำลายอาณาจักรของข้าหรอก เพราะนั่นเป็นการกระทำที่เสียเกียรติ และราชาแห่งแอสการ์ดอย่างท่านก็คงมีเกียรติหลงเหลืออยู่บ้างจริงไหม” นางโต้ตอบอย่างเฉลียวฉลาด แถมคำพูดของนางยังเป็นการพูดกระทบกระแทกฝ่ายตรงข้ามอย่างเห็นได้ชัด แต่โลกิกลับยิ้มพรายให้กับความพยายามของหญิงสาวตรงหน้า แน่นอนว่าราชาแห่งแอสการ์ดไม่หลงกลต่อคำพูดของนางพอ ๆ กับที่เขารู้ดีว่าถ้อยคำกระทบกระแทกของไม่สามารถทำอะไรเขาได้เมื่อเขาพูดขึ้นอีกครั้ง
“เจ้าคิดผิดแล้วองค์หญิงที่คิดว่าข้าสนใจเรื่องเกียรติขนาดนั้น” เขาพูดอย่างไม่ยี่หระ แต่มือของเขายังคงกุมดาบที่ปักอยู่ที่แท่นควบคุมไบฟรอสท์อยู่ “และข้าก็ลองคิดดูแล้วว่าการทำลายอาณาจักรของเจ้าก็ไม่เป็นการกระทำที่เสียเกียรติเท่าไหร่หรอก ถ้าหากมันเป็นการทำลายอาณาจักรที่คิดแข้งข้อต่อข้าก่อน อีกอย่างหลังจากที่ข้าฆ่าล่างเผ่าพันธุ์ของเจ้าแล้วก็คงไม่เหลือชาวนอร์นไฮม์คนไหนนอกจากเจ้าที่จะมาประณามข้าในเรื่องนี้ได้หรอก จริงไหม” เขาพูดอย่างยียวนราวกับว่าสิ่งที่ทั้งสองกำลังพูดกันนั้นไม่ได้เกี่ยวกับความเป็นความตายของนอร์นไฮม์และผู้คนจำนวนนับล้านเลย
“แต่อาณาจักรทั้งเก้าต้องประณามท่านแน่……” สกาฎีพยายามพูด หากแต่นางกลับถูกขัดด้วยคำพูดของชายผู้กุมชะตากรรมของนอร์นไฮม์ไว้ในมือ
“เมื่อถึงตอนนั้น แม้ว่าอาณาจักรที่เหลือจะมีแค่แปดจะประณามข้าก็ตาม แต่ข้าก็สามารถกำจัดศัตรูที่อาจหาญมาต่อกรกับข้าได้ ศัตรูที่มีความผิดโทษฐานก่อการบกฎต่อข้าก่อน และด้วยเหตุนี้ข้าคิดว่าข้าคงไม่ถูกอาณาจักรที่เหลือประณามมากเท่าไหร่หรอกจริงไหม” โลกิกล่าว และเมื่อมาถึงตรงนี้สกาฎีก็ไม่อาจจะหาเหตุผลใดมาโต้เถียงกับราชาแห่งแอสการ์ดได้อีกแล้ว เมื่อเขาพูดถูกทุกอย่าง ว่าเขามีอำนาจที่จะทำลายล้างอาณาจักรของนางได้อย่างง่ายดาย โดยที่นางไม่มีทางแม้แต่จะขัดขืนหรือต่อกรกับเขา นางรวมทั้งประชาชนชาวนอร์นไฮม์ของนางนั้นไม่ต่างจากมดตัวเล็ก ๆ ที่เขาจะเหยียบให้จมดินเมื่อไหร่ก็ได้
และเมื่อมาถึงตอนนั้น เจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์ก็เพิ่งรู้ตัวว่านางโง่เขลาเบาปัญญาเพียงใดที่คิดจะมาท้าประลองกับราชาแห่งแอสการ์ดอย่างเขา เพราะนอกจากนางจะไม่มีทางต่อกรของเขาได้แล้ว การกระทำของนางยังนำเอาหายนะมาสู่ประชาชนของนางผ่านโทสะของโลกิที่บัดนี้เตรียมจะทำลายอาณาจักรของนางอีกด้วย!
และเมื่อเป็นเช่นนั้น เมื่อรู้ดีว่านางไม่มีกำลังอะไรไปขัดขืนหรือแม้กระทั่งปกป้องอาณาจักรของนางจากการลงทัณฑ์ของราชากุมชะตากรรมของอาณาจักรทั้งเก้าไว้ในมือได้ ก็มีเพียงทางเดียวเท่านั้นที่นางจะสามารถทำได้เพื่อรักษาอาณาจักรของนางรวมทั้งประชาชนชาวนอร์นไฮม์ไว้ได้ และเมื่อคิดได้เช่นนั้นองค์หญิงสกาฎีจึงเงยหน้าขึ้นมองชายผู้กุมชะตากรรมของนางและนอร์นไฮม์ไว้ในมือก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า
“ท่านทำเช่นนั้นไม่ได้…….ท่านทำลายนอร์นไฮม์ไม่ได้……..ได้โปรด” นางพูดออกมาในที่สุด แม้ว่ามันจะเสียเกียรติสำหรับนางมากก็ตามที่นางจะต้องมาขอร้องชายผู้สังหารบิดาของนางแบบนี้ แต่ถึงกระนั้นสกาฎีก็ไม่มีทางเลือกอื่นที่จะปกป้องอาณาจักรของนางจากการทำลายล้างของโลกินอกจากร้องขอความเมตตาจากเขาเท่านั้น ขณะที่อีกฝ่ายยิ้มให้กับการกระทำของเจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์ก่อนจะพูดขึ้น
“ข้าบอกแล้วไง องค์หญิง ว่าข้าสามารถทำลายนอร์นไฮม์ของเจ้าได้ง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ”
“ข้าหมายถึงท่านทำเช่นนั้นไม่ได้ ได้โปรด! ข้าขอร้องท่าน ได้โปรดอย่าทำลายอาณาจักรของข้า!” นางพูดออกมา ดวงตาสีฟ้าที่ก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น บัดนี้คลอเอ่อไปด้วยน้ำตา และเมื่อเห็นเช่นนั้นโลกิก็กลับยิ่งรู้สึกพอใจกับการกระทำของตนมากขึ้น
“นี่ข้าหูฝาดไปหรือเปล่า เจ้ากำลังขอร้องข้าอยู่อย่างนั้นหรือ ไหนเจ้าเคยบอกไว้ว่าเจ้าจะไม่ร้องขอความเมตตาจากข้ายังไงล่ะ เจ้าหญิง” เขาพูดยียวน หากแต่สกาฎีนั้นไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะโกรธเคืองรวมทั้งโต้เถียงเขาออกไปได้ ในสถานการณ์ที่ชะตากรรมของอาณาจักรของนางอยู่ในกำมือของเขาแบบนี้
“ท่านสามารถทำอะไรกับข้าก็ได้…….” นางพูดออกมาราวกับนางไม่ต้องเสียหยุดคิดเลย “โทษฐานที่ข้าล่วงเกินท่าน แต่ได้โปรดปล่อยประชาชนของข้าไป” นางพูดราวกับนางไม่อาทรในชีวิตของนางอีกต่อไปแล้ว และเป็นเพราะคำพูดนั้นของนางนั่นเองที่ทำให้โลกิปล่อยมือจากดาบที่อยู่บนแท่นควบคุมไบฟรอสท์ ราชาแห่งแอสการ์ดเดินลงจากแท่นควบคุมอย่างเชื่องช้า ขณะที่สายตาของเขายังคงจับจ้องหญิงสาวตรงหน้าอย่างพิจารณาอยู่
“เจ้าบอกว่าข้าจะทำอย่างไรกับเจ้าก็ได้ เพียงแค่ข้าปล่อยประชาชนของเจ้าไปอย่างนั้นหรือ” โลกิทวนคำพูดของนาง ขณะที่สกาฎีที่กำลังเงยหน้ามองอีกฝ่ายที่เพิ่งมายืนอยู่ตรงหน้านางอยู่นั้นกลืนน้ำลายก่อนจะตอบออกมา
“ใช่ ท่านจะฆ่าจะแกงข้ายังไงก็ได้ ข้าขอเพียงแค่……..” นางกำลังจะพูดต่อ แต่โลกิก็กลับหยุดนางไว้เสียก่อน
“ชู่ว์” เขากล่าวก่อนจะขยับเข้ามาใกล้หญิงสาวมากขึ้น ดวงตาสีฟ้าอมเขียวของเขามองสำรวจนางอย่างใกล้ชิด ก่อนที่มือใหญ่ของเขาจะเลื่อนมาเชยคางของเธอไว้
“ข้ายังไม่ได้คิดจะฆ่าจะแกงเจ้าในตอนนี้หรอก เจ้าหญิง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลกว่าเดิม หากแต่สายตาของเขาที่ใช้มองหญิงสาวตรงหน้านั้นกลับดูไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย “เพียงแต่ข้าสงสัยว่าเจ้าจะยอมเสียสละแค่ไหน เพื่อประชาชนของเจ้ากัน” เขากล่าวพลางมองอย่างพินิจพิเคราะห์ ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามนั้นตอบออกมาแทบจะในทันที
“ข้ายอมทำทุกอย่างเพื่อประชาชนของข้า ข้ายอมแม้กระทั่งสละชีวิตเพื่อพวกเขา ประชาชนนอร์นไฮม์ของข้าไม่มีความผิด ที่ผ่านมาพวกเขาเพียงแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น ได้โปรดละเว้นพวกเขา ท่านจะฆ่าจะแกงข้ายังไงก็ได้ ข้ายอมทุกอย่าง…..เพียงแค่ท่านไว้ชีวิตพวกเขาเท่านั้น” นางเริ่มพูดแต่ก็ถูกโลกิขัดขึ้นอีกครั้ง
“ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่าข้าจะไม่ได้ฆ่าไม่แกงเจ้า…..ในตอนนี้” เขาลงน้ำหนักเสียงที่ท้ายประโยคก่อนจะพูดต่อ
“จากที่เจ้าพูดมา ถ้าหากข้ารับปากว่าจะไม่ทำลายอาณาจักรของเจ้า…….” เขาเว้นระยะราวกับเขาต้องใช้เวลาครุ่นคิดก่อนจะพูดออกมา “เจ้าก็จะยอมสละชีวิตของเจ้าให้ข้าอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงของเขาช่างฟังดูอันตรายยิ่งนัก และเพียงแค่ได้ยินคำพูดของฝ่ายตรงข้ามเท่านั้นมันก็พอจะทำให้เจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์ขนลุกเพราะความหวาดกลัวได้ แต่ถึงกระนั้นนางก็ไม่อาจจะล้มเลิกความตั้งใจที่จะช่วยเหลืออาณาจักรของนางไว้ลงง่าย ๆ เมื่อนางตอบออกมา
“ท่านคิดถูกแล้ว” โลกิยิ้มให้กับคำตอบนั้นก่อนจะถามต่อ
“แล้วถ้าข้าไม่ต้องการชีวิตของเจ้าล่ะ องค์หญิง เจ้าพร้อมที่จะสละสิ่งอื่นให้ข้าแทนได้ไหม” เขาพูดก่อนจะปล่อยมือที่กุมคางนางไว้และหันหลังกลับเพื่อเดินไปยังแท่นควบคุมไบฟรอสท์อีกครั้ง ทิ้งให้สกาฎีมองตามแผ่นหลังของเขาไปด้วยความสงสัย
“ท่านหมายความว่าอย่างไร” นางถามเมื่อโลกิหันกลับมาเผชิญหน้าเขาอีกครั้ง บัดนี้เขาได้กลับไปยืนอยู่บนแท่นควบคุมไบฟรอสท์ที่กุมชะตากรรมของอาณาจักรของนางเอาไว้ สายตาของเจ้าหญิงมองไปยังดาบที่ปักอยู่บนแท่นอย่างหวาดกลัวเมื่อนางเกรงกลัวว่าโลกิอาจจะกดดาบลงบนแท่นและเพื่อเปิดสะพานไบฟรอสท์ทำลายอาณาจักรของนางในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง
“ข้าต้องการจะรู้ว่าเจ้าพร้อมจะเสียสละแค่ไหนเพื่ออาณาจักรของเจ้า” เขาถาม
“ท่านก็รู้ว่าข้ายอมตายได้เพื่อประชาชนของข้า” องค์หญิงแห่งนอร์นไฮม์ตอบออกไป ดวงตาของนางที่มองราชาแห่งแอสการ์ดนั้นเต็มไปด้วยความสงสัย ขณะที่อีกฝ่ายนั้นกำลังมองนางอย่างประเมินพร้อม ๆ กับกำลังครุ่นคิดแผนการอยู่ในใจ
“แต่การฆ่าเจ้าก็ไม่ทำให้ข้าได้ประโยชน์อะไรจริงไหม แม้ว่ามันจะเป็นการจำกัดคนที่ต้องการชีวิตข้าไปอีกคนนึงก็ตาม” เขากล่าว และเมื่อเห็นว่าหญิงสาวขมวดคิ้วเพราะคำพูดของเขา โลกิจึงพูดต่อ
“การที่ข้าเอาชีวิตเจ้าไปไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรกับข้าเลย แต่ในทางตรงกันข้าม การที่เจ้ามอบชีวิตให้ข้านั้นดูน่าจะเป็นประโยชน์ต่อข้ารวมทั้งต่อแอสการ์ดมากกว่า” เขาพูดก่อนจะมองสกาฎีด้วยสายตาอันตรายซึ่งหญิงสาวไม่อาจจะอ่านเจตนาของเขาที่แฝงอยู่ในดวงตาคู่นั้นออกได้ และเมื่อเป็นเช่นนั้นหญิงสาวจึงถามออกไป
“ท่านต้องการอะไรจากข้ากันแน่” เพราะคำพูดนั้นของเจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์เองที่ทำให้ราชาแห่งแอสการ์ดจ้องมองนางด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ รอยยิ้มฝุดขึ้นบนริมฝีปากบางของเขาก่อนที่เขาจะพูดออกมา
“สิ่งที่ข้าต้องการก็คืออาณาจักรของเจ้า คือการที่นอร์นไฮม์จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับแอสการ์ด และมันจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อเจ้าแต่งงานกับข้า”



************************************************************






 

Create Date : 09 เมษายน 2557    
Last Update : 9 เมษายน 2557 21:27:43 น.
Counter : 334 Pageviews.  

Fire and Ice: Chapter 3 Princess of Nornheim




***Chapter 3 Princess of Nornheim: เจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์***

ในขณะเดียวกับที่โลกิเดินทางกลับพระราชวังแอสการ์ด ณ พระราชวังนอร์นไฮม์ซึ่งเคยเป็นที่ประทับของกษัตริย์ธีอาซีมาก่อนก็วุ่นวายโกลาหลไม่น้อยจากเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อนางกำลังนางหนึ่งรีบผลีผลามเข้าไปภายในห้องบรรทมของเจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์ซึ่งเป็นธิดาเพียงองค์เดียวของกษัตริย์ธีอาซีด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
เมื่อประตูเปิดขึ้น องค์หญิงสกาฎี (อ่านว่าสะ-กา-ดี นะคะ เธอเป็นตัวละครหนึ่งในตำนานเทพนอร์สซึ่งเราเอามาดัดแปลงให้เป็นนางเอกเรื่องนี้ค่ะ – ผู้เขียน) ผู้กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งข้างหน้าต่างก็เงยหน้าขึ้นมองร่างที่เพิ่งมาเยือนในทันที ดวงตาของนางแลดูแปลกใจเมื่อเห็นร่างของนางกำนัลที่รีบผลีผลามเข้ามาในห้อง รวมทั้งเมื่อนางได้เห็นสีหน้าที่ขาวซีดของนางกำนัลคนสนิทแล้วสกาฎีก็รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินไปหาร่างที่เพิ่งมาใหม่ในทันที
“มีอะไรอย่างนั้นหรือ เอลล่า” สกาฎีเอ่ยปากถาม ดวงตาสีน้ำตาลของนางจับจ้องใบหน้าขาวซีดของนางกำนัลคนสนิทด้วยท่าทีร้อนใจ เมื่อเอลล่าอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่งจึงยอมพูดออกมา ริมฝีปากของนางสั่นระริกเมื่อนางต้องเอ่ยปากแจ้งข่าวร้ายให้แก่องค์หญิงของนางทราบ ในขณะเดียวกันนั้นเจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์ก็รอคอยสิ่งที่นางกำนัลของนางกำลังจะพูดออกมาอย่างใจจดใจจ่อ
ริมฝีปากของเอลล่าสั่นระริกในขณะที่นางพยายามจะพูดออกมา ท่าทีของนางราวกับนางต้องการมาแจ้งเรื่องที่สำคัญมาก หากแต่ในขณะเดียวกันนางก็ไม่สามารถพูดเรื่องดังกล่าวออกมาได้เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมององค์หญิงของนางด้วยแววตาโศกเศร้า และเมื่อเห็นเช่นนั้น เจ้าหญิงสกาฎีที่รู้อยู่แล้วว่าข่าวที่เอลล่านำมาแจ้งแก่นางนั้นจะต้องไม่ใช่ข่าวดีแน่ ๆ ก็ยื่นมือออกไปหมายจะสัมผัสมือของนางกำนัล
“เจ้าบอกข้ามาเถอะเอลล่า” นางพูดพร้อมกับจับมือนางกำนัลคนสนิทไว้ ก่อนที่หญิงสาวตรงหน้านางและพูดออกมาด้วยริมฝีปากที่สั่นระริกและแววตาที่เศร้าโศก
“องค์หญิงเพคะ พระบิดาของท่าน กษัตริย์ธีอาซีสิ้นพระชนม์แล้วเพคะ!” นางกำนัลเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ!
เมื่อได้ทราบข่าวการสิ้นพระชนม์ของบิดา ดวงตาสีน้ำตาลขององค์หญิงแห่งนอร์นไฮม์ก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ! มือเล็กของนางที่เคยกุมมือนางกำนัลอยู่ก็ผละออกมาจากมือของเอลล่าในทันที ดวงตาสีของสกาฎีที่ลืมขึ้นนั้นมองสบกับดวงตาที่มีน้ำตาคลอเอ่อและใบหน้าที่ขาวซีดของนางกำนัลคนสนิท หากแต่ดวงหน้าที่ขาวซีดและดูหมองเศร้าของเอลล่านั้นไม่อาจเทียบกับดวงหน้างามที่ซีดเซียวและดูทุกข์ระทมของเจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์ได้เลย ริมฝีปากอิ่มของนางสั่นระริก และในวินาทีต่อมาหยดน้ำตาใสก็ไหลอาบแก้มเนียนของนาง เจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์ต้องใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งหลังจากได้รับรู้ข่าวดังกล่าวกว่าที่นางจะสามารถพูดออกมาได้ นางเม้มริมฝีปากที่แห้งผากก่อนจะมองลึกเข้าไปในดวงตาสีฟ้าของเอลล่าอย่างค้นหาแล้วจึงถามขึ้น
“ที่เจ้าบอกข้ามาเมื่อครู่เป็นความจริงหรือ” นางถามด้วยน้ำเสียงที่แห้งผากและเต็มไปด้วยความตกใจ มือเล็กของนางยกขึ้นบีบมือกำนัลคนสนิทราวกับนางคิดว่าสิ่งที่เอลล่าได้บอกนางเมื่อครู่นั้นไม่ใช่ความจริง แต่ถึงจะถามออกไปเช่นนั้นก็ตาม สกาฎีก็รู้ดีว่าเอลล่าไม่มีวันที่จะโกหกนางเป็นแน่ โดยเฉพาะในเรื่องที่สำคัญยิ่งแบบนี้ ดังนั้นเรื่องราวที่นางเพิ่งได้รับรู้มาเมื่อครู่นั้นก็ต้องเป็นความจริงอย่างที่นางไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้!
ส่วนทางด้านนางกำนัลเอลล่าที่ถูกตั้งคำถามนั้น บัดนี้น้ำตาใสก็ไหลอาบแก้มของนาง นางได้แต่พยักหน้าอย่างโศกเศร้าก่อนจะพูดขึ้น
“เป็นความจริงเพคะ ม้าเร็วเพิ่งมาแจ้งข่าวจากสนามรบเมื่อครู่เองเพคะ” นางกำนัลกล่าว และเมื่อได้รับการยืนยันว่าข่าวร้ายที่สุดสำหรับนางเป็นเรื่องจริงนั้น สกาฎีก็แทบจะยืนไม่อยู่ นางรู้สึกราวกับโลกทั้งใบมืดมนลงกระทันหัน นางรู้สึกราวกับมีแรงดูดมหาศาลที่ดูดนางให้จมดิ่งลงสู่พื้นพสุธา ความรู้สึกมึนงงและคลื่นเหียนเข้าครอบงำเจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์จนนางแทบจะทรงตัวยืนอยู่ไม่ไหว และหากไม่ใช่เพราะความเข้มแข็งเยี่ยงขัตติยนารีที่บิดาของนางเคยพร่ำสอนนางมาตั้งแต่เยาว์ที่ช่วยพยุงร่างเล็กของนางให้ยืนอยู่บนพื้นไว้ได้ในตอนนี้ นางก็คงล้มลงไปร้องไห้คว่ำครวญอยู่กับพื้นแล้วเป็นแน่
ทางด้านเอลล่านั้น เมื่อเห็นว่าองค์หญิงของนางมีท่าทีราวกับจะยืนไม่ไหว นางก็รีบเข้ามาประคองร่างบางเบื้องหน้าเอาไว้ แต่ทันทีมือของนางกำนัลแตะโดนแขนของสกาฎี เจ้าหญิงก็ยกมือห้ามเอาไว้ ดวงตาสีฟ้าเงยหน้าขึ้นสบนางกำนัลคนสนิทก่อนที่นางจะพูดขึ้นอีกครั้ง
“เจ้าพอรู้ไหมว่าท่านพ่อของข้าตายยังไง แล้วพระศพของท่านล่ะ” องค์หญิงถามด้วยท่าทีเข้มแข็ง แม้ว่าบัดนี้หัวใจของนางแทบจะแตกสลายด้วยความโศกเศร้าก็ตาม และเมื่อได้ยินคำถามเช่นนั้นนางกำนัลเอลล่าก็มองเจ้าหญิงของนางด้วยท่าทีลังเลราวกับนางไม่กล้าพอที่จะพูดในสิ่งที่นายหญิงของนางกำลังถามนางออกมา
“ตอบข้ามาสิ เอลล่า ท่านพ่อตายยังไง ใครเป็นคนสังหารท่าน นักรบแอสการ์ดอย่างนั้นหรือ” เจ้าหญิงถามซ้ำ ขณะที่เอลล่าหลบสายตาของนางด้วยท่าทีอึดอัดใจ แต่ในไม่ช้านางกำนัลก็ตัดสินใจว่านางจำเป็นต้องตอบคำถามองค์หญิงในสิ่งที่นางต้องการรู้ออกมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังจากใช้เวลาตัดสินใจอยู่เพียงชั่วครู่ริมฝีปากของนางกำนัลขยับอีกครั้งก่อนที่นางจะพูดขึ้น
“ฝ่าบาทมิได้ถูกสังหารด้วยน้ำมือของทหารแอสการ์ด หากแต่พระองค์สิ้นพระชนม์จากการประลองตัวต่อตัวกับราชาแห่งแอสการ์ดที่เสด็จมายังสนามรบในวันนี้เพคะ ฝ่าบาทหลงกลศัตรูของพระองค์ในการประลองจนต้องสิ้นพระชนม์เพคะ” นางเอ่ย ขณะที่สกาฎีนั้นตาโตเมื่อได้รู้ความจริงที่ว่าบิดาของนางนั้นสิ้นพระชนม์ด้วยน้ำมือของ โลกิ ราชาแห่งแอสการ์ดผู้เป็นศัตรูและเป็นสาเหตุที่ทำให้นอร์นไฮม์เปิดศึกกับแอสการ์ดในครั้งนี้
“ราชาแห่งแอสการ์ดอย่างนั้นหรือ ที่เป็นผู้สังหารท่านพ่อของข้า” นางพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ดวงตาสีฟ้าที่เคยเศร้าโศกบัดนี้มันกลับแลดูครุ่นคิดและที่ยิ่งไปกว่านั้นมันเต็มไปด้วยประกายความแค้น ขณะที่เอลล่าซึ่งกำลังกุมมือเล็กที่สั่นเทาขององค์หญิงอยู่นั้นพยักหน้าเบา ๆ
“แล้วพระศพของท่านล่ะ เอลล่า” นางถามต่อด้วยดวงตาที่คลอเอ่อไปด้วยน้ำตา และเมื่อเป็นเช่นนั้นดวงตาของนางกำนัลก็กลับยิ่งแสดงออกถึงความไม่สบายใจมากขึ้น มือของนางเลื่อนไปบีบมือเจ้าหญิงแน่นขึ้นก่อนที่นางจะเอ่ยปากพูดออกมา
“องค์หญิงของข้า พระบิดาของท่านหลงกลโลกิจนพลัดตกหน้าผา ทำให้เราไม่สามารถนำศพของพระองค์กลับมาได้เพคะ” เมื่อได้ยินเช่นนั้นดวงตาของสกาฎีก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ ในวินาทีนั้นเองที่องค์หญิงแห่งนอร์มไฮม์รู้สึกว่าความเข้มแข็งทั้งหมดของนางได้มลายหายสูญไปสิ้น เมื่อเข่าเล็ก ๆ ของนางอ่อนยวบยาบพร้อม ๆ กับที่นางรู้สึกว่าร่างกายหมดเรี่ยวแรงขึ้นมาในทันใดนั้นเอง และสิ่งต่อมาที่เจ้าหญิงคนแห่งนอร์นไฮม์รู้สึกก็คือความมืดที่เข้าปกคลุมสติสัมปชัญญะของนางเมื่อร่างบางของสกาฎีล้มลงกับพื้นภายใต้เสียงร้องอย่างตกใจของนางกำนัลคนสนิท

…………………………………………………………………..

หลังจากได้รับชัยชนะจากการรบที่นอร์นไฮม์มาหมาด ๆ ซึ่งเป็นเพราะการประลองระหว่างเขากับธีอาซีที่ทำให้การศึกทั้งหมดจบลงอย่างรวดเร็วแถมมันยังนำเอาชัยชนะมาให้แอสการ์ดได้อย่างง่ายดายด้วยนั้น โลกิก็สั่งให้จัดงานฉลองขึ้นหลังจากที่นักรบแอสการ์ดเกือบทั้งหมดกลับมาจากนอร์นไฮม์แล้ว เขาจัดงานเลี้ยงฉลองชัยชนะขึ้นเฉกเช่นเดียวกับที่ธอร์เคยทำทุกครั้งที่ชนะการรบมา แต่ถึงกระนั้นโลกิกลับพบว่างานเลี้ยงฉลองชัยชนะในครั้งนี้นั้นน่าเบื่อไม่แพ้กับการนั่งอยู่บนบัลลังค์แอสการ์ดเพื่อมองดูความเป็นไปของโลกทั้งเก้าเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำหลังจากงานเลี้ยงฉลองโลกิก็ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ
ในตอนแรกราชาแห่งแอสการ์ดคิดจะหาอะไรทำแก้เบื่อเสียหน่อย บางทีเขาอาจจะกลับไปที่นอร์นไฮม์อีกครั้งเพื่อตรวจดูการทำงานของทหารแอสการ์ดบางส่วนที่ยังคงอยู่ที่นั่น เพื่อที่เขาจะสามารถแน่ใจว่านอร์นไฮม์นั้นยอมสวามิภักดิ์กับเขาจริง ๆ และถ้าหากการเดินทางไปยังนอร์นไฮม์ซึ่งบัดนี้ได้กลับมาอยู่ภายใต้การปกครองของเขาไม่ได้ช่วยให้เขาหายเบื่อขึ้นมาได้ เขาก็ตัดสินใจว่าจะไปท่องเที่ยวยังอาณาจักรอื่นเสียให้มันรู้แล้วรู้รอดดีกว่าที่จะต้องมาอุดอู้อยู่แต่บนบัลลังค์แอสการ์ดแบบนี้ แต่ยังไม่ทันที่โลกิจะตัดสินใจขี่ม้าไปยังสะพานไบฟรอสท์เพื่อเดินทางไปยังนอร์นไฮม์นั้น ทหารนายคนหนึ่งก็รุดเข้ามารายงานเขาก่อนที่เขาจะทานอาหารเช้าเสร็จด้วยซ้ำว่าไฮม์ดัลต้องการพบเขาด้วยเรื่องสำคัญ
แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร แต่ราชาแห่งแอสการ์ดก็พอจะรู้ว่าสาเหตุที่ไฮม์ดัลต้องการพบเขานั้นต้องเป็นเรื่องสำคัญอย่างที่ทหารคนดังกล่าวมารายงานเขาเป็นแน่ เพราะตั้งแต่โลกิครองบัลลังค์มานั้น ไฮม์ดัลก์ไม่เคยส่งทหารมาเชิญเขาไปยังสะพานไบฟรอสท์เลยแม้แต่ครั้งเดียว แม้กระทั่งตอนที่นอร์นไฮม์ก่อกบฎไฮม์ดัลก็เลือกที่จะส่งทหารมาแจ้งข่าวกับเขามากกว่าจะต้องใช้ราชาแห่งแอสการ์ดอย่างเขาเป็นฝ่ายไปพบไฮม์ดัลด้วยตัวเอง
เมื่อเป็นเช่นนั้นโลกิจึงตัดสินใจขี่ม้าไปยังสะพานไบฟรอสท์ในทันที และเมื่อเขาไปถึงจุดหมาย เขาก็เห็นไฮม์ไดล์ในชุดสีทองที่กำลังยืนมองความเป็นไปของอาณาจักรทั้งเก้าอยู่ด้วยท่าทีสงบ
โลกิเดินเข้าไปใกล้ไฮม์ดัลก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
“เจ้าบอกว่ามีเรื่องสำคัญต้องพบข้า มีอะไรอย่างนั้นหรือ” นายทวารละสายตาจากพิภพเบื้องล่างก่อนจะหันมามองเจ้าเหนือหัวของเขา
“มีการก่อกบฎขึ้น ข้าจึงจำเป็นต้องรายงานท่าน” เขากล่าว ขณะที่โลกิขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“กบฎอีกแล้วอย่างนั้นหรือ ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีคนชอบข้าซักเท่าไหร่เลยนะ” เขาพูดด้วยท่าทีสบาย ๆ “แล้วที่ไหนกันล่ะคราวนี้ วานาไฮม์ หรืออัลไฟม์กันล่ะ” เขาพูดด้วยท่าทีไม่ยี่หระ ในขณะที่ไฮม์ดัลส่ายหน้าช้า ๆ
“เป็นที่นอร์นไฮม์ต่างหาก ฝ่าบาท” นายทวารตอบ และเมื่อได้ยินเช่นนั้นรอยยิ้มยียวนก็จางหายออกไปจากริมฝีปากบางของโลกิ เขาหรี่ตาลงอย่างสงสัยก่อนจะถามออกมา
“นอร์นไฮม์หรือ แต่ข้าแน่ใจว่าข้าสังหารราชาแห่งนอร์นไฮม์ไปแล้วนี่” เขากล่าว
“แน่นอนว่าท่านสังหารธีอาซีไปแล้ว แต่คราวนี้มีคนต้องการล้างแค้นแทนเขา” ไฮม์ดัลรายงานก่อนจะละสายตาจากเจ้าเหนือหัวของเขาก่อนจะจ้องมองลงไปยังพิภพเบื้องล่างอีกครั้ง

…………………………………………………………………..

ณ จุดไบฟรอสท์ที่นอร์นไฮม์ มีร่างบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งแต่งตัวด้วยชุดนักรบแบบเต็มยศกำลังยืนอยู่ท่ามกลางพายุหิมะที่พัดกระหน่ำ นางสวมบูธลุยหิมะสูงเท่าเข่า เสื้อเกราะของนางส่องแสงแวววาวปะทะลมหนาว มือหนึ่งของนางถือโล่ขณะที่อีกมือหนึ่งถือดาบเล่มยาว ผมสีทองปลิวสยายไปตามสายลม ท่ามกลางพายุอันหนาวเหน็บนางยืนป่าวประกาศท้าทายให้ราชาแห่งแอสการ์ดลงมาสู้ตัวต่อตัวกับนางอยู่ได้พักหนึ่งแล้ว แน่นอนว่าหญิงสาวคนนั้นคงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากสกาฎี เจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์ผู้เพิ่งเสียพระบิดาไปจากการประลองตัวต่อตัวระหว่างเขากับโลกิ
“ถ้าท่านมีเกียรติสมกับเป็นราชาผู้ปกครองอาณาจักรทั้งเก้าจริงก็ลงมาสู้กับข้าตัวต่อตัวสิ!” นางป่าวร้องท่ามกลางสายลมหนาว แม้ว่าริมฝีปากของนางจะซีดเซียวเพราะความหนาว แม้ว่าพวงแก้มเนียนจะขึ้นสีด้วยเหตุผลเดียวกัน และแม้ว่านางจะยืนอยู่ตรงนี้เพื่อรอคอยการปรากฎตัวของราชาแห่งแอสการ์ดมาเป็นเวลานานแล้วก็ตาม และแม้ว่านางจะไม่รู้ว่าเขาจะรับคำท้าที่จะต่อสู้กับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างนางหรือไม่ หากแต่นางไม่มีทางเลือกอื่นที่จะแก้แค้นให้บิดานอกจากรอคอยการปรากฎตัวของเขาเท่านั้น
ทางด้านผู้ถูกนางท้าทายอย่างราชาแห่งแอสการ์ดผู้กำลังยืนอยู่ซึ่งสะพานไบฟรอสท์ข้าง ๆ ไฮม์ดัลนายทวารนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เห็นภาพรวมถึงได้ยินคำกล่าวของเจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์เหมือนไฮม์ดัลก็ตาม แต่โลกิก็สามารถรับรู้เรื่องราวทั้งหมดได้จากการบอกเล่าของไฮม์ดัลผู้สามารถมองเห็นความเป็นไปของพิภพทั้งเก้าได้
“ใครกันที่ต้องการแก้แค้นให้เจ้าอสูรธีอาซี พวกประชาชนที่จงรักภักดีของมันอย่างนั้นหรือ” โลกิถามอย่างยี่หระ เขาเกือบจะพูดออกไปแล้วว่าถ้าหากเป็นอย่างที่เขาคิดจริง เขาจะส่งกองทัพของแอสการ์ดไปปราบนอร์นไฮม์เสียให้ราบเป็นหน้ากลองให้สมกับความกำแหงของพวกมัน หากแต่คำตอบที่อีกฝ่ายบอกเขานั้นกลับแตกต่างจากที่เขาคิดไว้เป็นอย่างมากเมื่อไฮม์ดัลพูดขึ้นขณะที่ดวงตาของเขายังคงจ้องมองไปยังอาณาจักรทั้งเก้าว่า
“ผู้ที่ต้องการแก้แค้นท่านคือหญิงสาวตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งเท่านั้น นางเป็นธิดาของธีอาซีที่ท่านเพิ่งสังหารไป นางมาป่าวประกาศท้าทายให้ท่านมาสู้กับนางตัวต่อตัวอยู่ครู่หนึ่งแล้ว” กษัตริย์แห่งแอสการ์ดมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันทีหลังจากที่ไฮม์ดัลพูดจบ โลกิเดินเข้ามาใกล้จุดที่นายทวารยืนอยู่อีกสองก้าว ดวงตาสีฟ้าอมเขียวของเขาจ้องมองไปยังพิภพเบื้องล่างราวกับว่าเขาสามารถมองเห็นพิภพเหล่านั้นได้เหมือนไฮม์ดัลก่อนที่เขาจะเอ่ยปากถามขึ้นมา
“เจ้าว่า ธิดาของธีอาซีมาท้าประลองกับข้าอย่างนั้นหรือ” เขาถาม
“ใช่ นางเป็นธิดาเพียงองค์เดียวของธีอาซี เป็นเจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์” อีกฝ่ายตอบกลับมา
“แล้วชื่อของนางล่ะ” โลกิถาม ไฮม์ดัลนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมา
“สกาฎี นามของนางคือสกาฎี”
เป็นชื่อที่แปลกประหลาดเสียเหลือเกิน แต่ถึงกระนั้นการกระทำของเจ้าหญิงนางนี้กลับน่าแปลกประหลาดยิ่งกว่านามของนางหลายเท่านัก เพราะใคร ๆ ต่างก็รู้ดีว่าการกระทำของนาง คือการที่นางมาท้าทายอำนาจของเขาผู้เป็นราชาแห่งแอสการ์ดและผู้ปกครองอาณาจักรทั้งเก้านั้นเปรียบเสมือนการพาตัวเองเดินเข้าหาความตายก็ไม่ปาน แต่หญิงนางนี้กลับทำสิ่งที่ร้ายแรงยิ่งกว่าการท้าทายอำนาจของเขาซึ่งก็คือการเอ่ยปากท้าประลองกับเขาทั้ง ๆ ที่มันไม่มีทางที่นางจะชนะการประลองและแก้แค้นให้บิดาของนางได้สำเร็จ แต่ถึงจะเห็นว่าการกระทำของเจ้าหญิงนอร์นไฮม์คนนี้เป็นเรื่องบ้าบิ่นและน่าขบขันขนาดไหนก็ตาม แต่ก็โลกิก็ไม่อาจปล่อยให้นางท้าทายเขาไปนานมากกว่านี้ได้พอ ๆ กับที่เขารู้ดีว่าเขาไม่ต้องการลดตัวไปประลองกับผู้หญิงไร้ความคิดอย่างนางเลยแม้แต่น้อย
เมื่อคิดได้เช่นนั้นราชาแห่งแอสการ์ดจึงถามขึ้นอีกครั้ง
“นางเป็นคนยังไง จากที่เจ้าจับตามองนอร์นไฮม์โดยตลอด” และเพราะคำถามนั้นทำให้ไฮม์ดัลนิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่เขาจะตอบออกมา
“นางถูกเลี้ยงมาเยี่ยงขัตติยนารี นางเป็นนักรบหญิงที่มีฝีมือ แม้ว่าจะไม่แข็งแกร่งและเก่งกาจเท่าเลดี้ซิฟก็ตาม แต่นางก็เชี่ยวชาญอาวุธหลายแขนง นางเลือกใช้ดาบมาสู้กับท่าน” เมื่อได้ยินคำตอบ โลกิก็มีสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามต่อ
“เจ้าบอกว่านางเป็นธิดาเพียงองค์เดียวของธีอาซี แสดงว่านางเป็นผู้สืบทอดบัลลังค์ต่อจากเขาอย่างนั้นหรือ นางมีพี่ชายหรือน้องชายหรือเปล่า” เมื่อได้ยินคำถามนั้น ไฮม์ดัลก็ตอบออกมาในทันที
“ไม่มี นางเป็นธิดาเพียงองค์เดียวของเขา และแน่นอนว่านางเป็นผู้สืบทอดบัลลังค์ต่อจากบิดาของนาง”
“แต่นางก็เลือกที่จะท้าประลองกับข้าตัวต่อตัว แทนที่จะระดมกำลังทหารมาทำสงครามกับแอสการ์ดอย่างนั้นสิ” โลกิเอ่ยราวกับต้องการพูดกับตัวเองมากกว่าจงใจถามคำถามนั้นกับไฮม์ดัล แต่ถึงกระนั้นผู้เป็นนายทวารก็ตอบคำถามของเขาออกมาแต่โดยดี
“เป็นอย่างที่ท่านคิด” เขากล่าว “นางคงไม่ต่างจากบิดาของนางที่ห่วงใยประชาชนและไม่ต้องการให้เกิดการนองเลือดขึ้น นางถึงตัดสินใจมาท้าประลองกับท่านตัวต่อตัว” ไฮม์ดัลตอบตามตรง และเพราะคำตอบนั้นของเขาทำให้รอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดขึ้นที่ริมฝีปากบางของโลกิ
“เจ้ากำลังจะบอกข้าอย่างนั้นหรือว่าธิดาของธีอาซีรักและเป็นห่วงประชาชนของนางไม่ต่างจากบิดาหน้าโง่ของนางน่ะ” ราชาแห่งแอสการ์ดกล่าวพลางจ้องมองลงไปยังพิภพเบื้องล่างราวกับเขาสามารถมองเห็นเจ้าหญิงผู้อหังการของนอร์นไฮม์ได้เช่นเดียวกับไฮม์ดัล ขณะที่อีกฝ่ายตอบคำถามของเขาออกมา
“ข้าก็เพียงตอบตามที่ข้าเห็นเท่านั้น” นายทวารกล่าว ขณะที่โลกิมีท่าทีครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะถามต่อ
“นางมาที่สะพานไบฟรอสท์เพียงลำพังอย่างนั้นหรือ หรือว่านางขนกองทัพมาด้วย เผื่อว่าถ้าข้ายอมลดตัวไปประลองกับนางแล้วชนะนางขึ้นมา นางจะให้ทหารของนางมาลอบสังหารข้ารึเปล่า” เขาถามพลางยิ้มพรายราวกับว่าเขาไม่ใส่ใจกับคำตอบที่จะได้รับเท่าไหร่นัก แต่ถึงกระนั้นโลกิก็เป็นคนเจ้าเล่ห์และรอบคอบเกินกว่าที่จะไม่ประเมินกำลังของคู่ต่อสู้ แม้ว่าคู่ต่อสู้ของเขาคนนี้จะเป็นเพียงหญิงสาวตัวเล็ก ๆ ก็ตาม
ไฮม์ดัลนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบออกมา
“นางตั้งใจมาสู้ตัวต่อตัวกับท่านเพียงอย่างเดียว เพราะไม่มีใครมากับนางด้วยเลยแม้แต่องครักษ์ มีเพียงนางกำนัลติดตามมาคนหนึ่งและม้าอีกสองตัวเท่านั้น” เขารายงาน และเมื่อได้ยินเช่นนั้นโลกิก็หรี่ตาลงด้วยท่าทีครุ่นคิด ราชาแห่งแอสการ์ดกำลังตัดสินใจว่าเขาจะจัดการอย่างไรกับเรื่องนี้ดี เขาสมควรจะรับคำท้าแล้วลดตัวลงไปประลองกับหญิงสาวผู้อาจหาญนางนี้ดี หรือเขาจะทำเพียงแค่ส่งนักรบลงไปสังหารนางเสียเพื่อตอบแทนความอวดดีของนาง อาจจะไม่ต้องถึงขั้นส่งนักรบลงไปก็ได้ แค่เพียงหุ่นดิสตรอยเยอร์เท่านั้นก็เพียงพอที่จะกำจัดเจ้าหญิงอวดดีแห่งนอร์นไฮม์คนนี้เสีย แต่ถ้าเขาทำเช่นนั้นก็จะกลับกลายเป็นว่าเขาหมิ่นเกียรติของตนเองด้วยการทำร้ายผู้หญิงไม่มีทางสู้อย่างนางซึ่งอาจจะทำให้ชาวนอร์นไฮม์ที่เพิ่งจะสวามิภักดิ์ต่อเขาไปหมาด ๆ แข็งข้อกับเขาขึ้นมาอีกก็ได้ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่ต้องการจะรับคำท้าประลองของนางซึ่งดูเหมือนเป็นการปล่อยให้นางมาจูงจมูกเขา อีกทั้งหลังจากที่เขาเพิ่งลดตัวลงไปประลองกับบิดาของนางและได้รับชัยชนะมาหมาด ๆ โลกิก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะต่อสู้กับใคร แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่อาจจะปล่อยให้เจ้าหญิงแห่งนอร์นไฮม์ท้าทายเขาไปนานมากกว่านี้ได้อีกแล้ว
ใช่ เขาไม่อาจจะปล่อยให้นางทำตัวอวดดีมาท้าทายเขาไปนานกว่านี้ได้อีกแล้ว
และเมื่อคิดได้เช่นนั้นโลกิก็ออกคำสั่งกับไฮม์ดัลด้วยท่าทีที่ไม่มีความลังเลใจเลยแม้แต่น้อย
“พานางมาที่นี่ ไฮม์ดัล แต่เฉพาะเจ้าหญิงตัวยุ่งนั่นเท่านั้นนะ ไม่ต้องพานางกำนัลหรือม้าของนางมาด้วย” เขาพูดด้วยท่าทีสบาย ๆ ขณะที่ไฮม์ดัลเงยหน้ามองเจ้าเหนือของหัวของเขาด้วยท่าทีสงสัย
“แต่นางต้องการแก้แค้นท่านนะ ฝ่าบาท ถ้าข้านำตัวนางมาที่นี่อาจจะเป็นอันตรายต่อท่านได้” นายทวารเตือน แต่โลกิกลับไม่สนใจฟังคำพูดของไฮม์ดัลเลยแม้แต่น้อยเมื่อเขาพูดขึ้นว่า
“เจ้าคิดว่าผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างนางจะทำอะไรข้าได้อย่างนั้นหรือ ข้าสั่งให้เอาตัวนางมาพบข้ายังไงล่ะ” เขาสั่งเสียงเข้มที่ท้ายประโยคและเมื่อได้ยินเช่นนั้นไฮม์ดัลก็จำเป็นต้องเปิดสะพานไบฟรอสท์เพื่อนำตัวองค์หญิงแห่งนอร์นไฮม์มายังแอสการ์ดตามบัญชาของเจ้าเหนือหัวเขาแต่โดยดี


************************************************************






 

Create Date : 09 เมษายน 2557    
Last Update : 9 เมษายน 2557 21:26:43 น.
Counter : 438 Pageviews.  

Fire and Ice: Chapter 2 King VS King



***Chapter 2 King VS King: การสู้รบของสองราชันย์***

“ฝ่าบาท ท่านต้องการพบพวกเราอย่างนั้นหรือ” เลดี้ซิฟกล่าวขึ้นขณะที่นางและสามสหายนักรบของนางกำลังคุกเข่าอยู่ต่อหน้าโลกิ แววตาทั้งสี่คู่ที่จ้องมองมาทางเจ้าเหนือหัวของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยความจงรักภักดี และแน่นอนว่าดวงตาทุกคู่นั้นล้วนเป็นสีฟ้าอ่อนเพราะมันต้องมนต์สะกดจากพลังอำนาจของเทสเซอร์แรคที่โลกิใช้สะกดคนที่เขาแน่ใจว่าจะต้องขัดขืนเขาเอาไว้
โลกิยิ้มให้นักรบทั้งสี่ก่อนจะกล่าวขึ้น
“ข้าได้ข่าวว่านอร์นไฮม์ก่อกบฎขึ้น อาจจะเป็นเพราะพวกเขาไม่ยอมรับในสิทธิการครองบัลลังค์ของข้า” เขาเริ่มพูดพร้อมกับเดินวนไปมาหน้าบัลลังค์
“พวกนั้นช่างไร้ความคิดที่ไม่ยอมรับท่านเป็นกษัตริย์เหนือหัวของพวกเขา” เลดี้ซิฟพูดขึ้นมา และเพราะคำพูดนั้นเองที่ทำให้โลกิชะงักฝีเท้าและหันไปยิ้มให้กับนาง
“แน่นอนว่าข้าไม่สนใจว่าพวกนั้นจะคิดยังไง หรือจะยอมรับข้าหรือไม่” เขาพูด ขณะที่ในใจเขาคิดว่า ‘ แน่นอนว่าเจ้าคงคิดแบบเดียวกัน หากเจ้าไม่ตกอยู่ในมนต์สะกดแบบนี้ ซิฟ ’ แต่แน่นอนว่าโลกิก็ฉลาดพอที่จะไม่พูดความในใจของเขาออกไปจนหมด ตรงกันข้ามเขาพูดขึ้นว่า
“ที่ข้าต้องการมีเพียงแค่ความสงบสุขของแอสการ์ดและอาณาจักรทั้งเก้าเท่านั้น พวกเจ้าจงนำทัพไปปราบนอร์นไฮม์และสั่งสอนพวกมัน ให้พวกมันรู้ผลของการกระทำครั้งนี้เสีย” โลกิพูดขณะที่เขายืนประจันหน้านักรบทั้งสี่ ก่อนที่ทั้งหมดจะก้มศีรษะพร้อมกับรับคำอย่างหนักแน่น
“เราจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง ฝ่าบาท” เลดี้ซิฟพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจก่อนที่นางและนักรบทั้งสามจะก้มศีรษะเพื่อเป็นการทำความเคารพกษัตริย์ของพวกเขาแล้วจึงเดินจากไปเพื่อทำภารกิจที่ได้รับมอบหมาย โดยมีเสียงของโลกิดังไล่หลังตามมา
“ข้าจะดูการรบของพวกเจ้าอยู่บนนี้” โลกิกล่าวก่อนจะนั่งลงบนบัลลังค์ของโอดินที่ทำให้ผู้นั่งสามารถมองเห็นความเป็นไปในอาณาจักรทั้งหลายได้อีกครั้ง ขณะที่เขามองเลดี้ซิฟและนักรบทั้งสามเดินออกไปจากท้องพระโรงด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความพึงพอใจ

…………………………………………………………………..

แม้ว่าจะรู้สึกพอใจที่การเปิดศึกกับนอร์นไฮม์ทำให้การปกครองในรัชสมัยของเขาน่าเบื่อน้อยลงก็ตาม แต่ถึงหลังจากผ่านไปไม่นานนักโลกิก็รู้สึกว่าการนั่งดูภาพสมรภูมิจากบังลังค์ของแอสการ์ดช่างน่าเบื่อเสียนี่กระไร ความสนุกสนานตื่นเต้นจากการเปิดสงครามคงอยู่ได้ไม่กี่วันก่อนที่เขาจะกลับสู่สภาพเบื่อหน่ายอีกครั้งเมื่อโลกิพบว่าเขาไม่มีอะไรให้ทำมากไปกว่าการนั่งมองภาพสงครามที่กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกที หากแต่ภาพเหล่านั้นก็เป็นภาพเดิม ๆ เหมือนที่เขาเคยเห็นมาก่อนหน้านี้ ภาพทหารล้มตาย ภาพกองทัพแอสการ์ดเข้าโรมรันกับชาวนอร์นไฮม์อย่างดุเดือด และภาพชาวนอร์นไฮม์ล้มตายเหลือคณานับ
ในตอนแรกหลังจากที่พบว่าการเปิดศึกกับนอร์นไฮม์นั้นไม่สามารถให้ความรู้สึกตื่นเต้นแปลกใหม่กับเขาได้อีกต่อไป โลกิก็คิดว่าเขาจะทำลายนอร์นไฮม์ด้วยสะพานไบฟรอสท์เสีย เช่นเดียวกับที่เขาเคยจะใช้มันทำลายโยธันไฮม์เมื่อก่อนหน้านี้ แต่แน่นอนว่าเขาคิดจะทำเช่นนั้นหลังจากที่เขาเรียกกองทัพของเขากลับมายังแอสการ์ดแล้ว หากแต่โลกิก็ต้องล้มเลิกความคิดนี้เมื่อเขาคิดได้ว่าการทำลายนอร์นไฮม์นั้นจะทำให้เรื่องทั้งหมดจบลงอย่างรวดเร็วเกินไป ซึ่งมันจะน่าเบื่อเสียยิ่งกว่าการนั่งดูฉากการรบที่แทบจะไม่มีอะไรตื่นเต้นในสายตาของเขาแบบในตอนนี้เลยด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจล้มเลิกความคิดนี้เสีย ก่อนจะตัดสินใจดูฉากการรบที่นอร์นไฮม์ซึ่งน่าสนใจมากกว่าการนั่งอยู่บนบัลลังค์เฉย ๆ ไม่มากเท่าไหร่นักต่อไป
แต่หลังจากตัดสินใจนั่งดูฉากการรบไปได้ไม่นานเท่าใดนัก โลกิก็เปลี่ยนใจ เมื่อเขาพบว่าความรู้สึกเบื่อหน่ายของเขาได้พุ่งสูงถึงขีดสุดแล้ว โลกิก็ตัดสินใจลุกจากบัลลังค์แอสการ์ด ก่อนจะเดินออกจากท้องพระโรงไป

ในไม่กี่อึดใจ โลกิก็มาปรากฏตัวที่สะพานไบฟรอสท์บนหลังม้าสีดำสนิท ซึ่งมีไฮม์ดัลผู้ทำหน้าที่นายทวารกำลังยืนอยู่ประจำตำแหน่งของเขา ดวงตาต้องมนต์สะกดของไฮม์ดัลละจากกการเฝ้าดูโลกทั้งเก้ามาจ้องมองเจ้าเหนือหัวของเขาอย่างแปลกใจ
“ท่านเสด็จมาที่นี่ด้วยธุระอันใดหรือฝ่าบาท” เขาถาม
“เปิดไบฟรอสท์ให้ข้า ไฮม์ดัล ข้าต้องการไปยังนอร์นไฮม์” โลกิกล่าว
“แต่ที่นั่นกำลังเกิดสงคราม กองทัพของเขากำลังโรมรันชาวนอร์นไฮม์อยู่ ที่นั่นเป็นสมรภูมิอันตราย” เขาพูดขณะที่โลกิเดินอยู่มาอยู่เบื้องหน้าเขา
“เพราะเป็นเช่นนั้นข้าถึงจะไปยังไงล่ะ กษัตริย์องค์ก่อน ๆ ของแอสการ์ดล้วนต่อสู้มาในสมรภูมินับครั้งไม่ถ้วนและตอนนี้ข้าก็กำลังจะทำเช่นนั้น เปิดไบฟรอสท์ให้ข้า ไฮม์ดัล” โลกิสั่ง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจราวกับว่าการปรากฎตัวของเขาจะสามารถช่วยให้แอสการ์ดชนะศึกได้เร็วขึ้น และเมื่อเป็นเช่นนั้นไฮม์ดัลจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการยอมเปิดสะพานไบฟรอสท์ให้โลกิแต่โดยดี
“ตามแต่ท่านจะบัญชา” นายทวารกล่าวก่อนจะเสียบดาบของเขาเข้ากับแท่นวางเพื่อเปิดสะพาน ดวงตาของไฮม์ดัลจับจ้องที่ใบหน้ายิ้มกระหย่องซึ่งเต็มไปด้วยความมั่นใจของโลกิเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ร่างของนายเหนือหัวของเขาจะหายลับไป

…………………………………………………………………..

สิ่งที่โลกิรู้สึกต่อมาก็คือสายลมเย็นที่พัดเข้าปะทะใบหน้าเมื่อกีบม้าที่เขากำลังขี่อยู่แตะลงบนพื้นหญ้าที่มีน้ำแข็งเกาะ และเมื่อมองไปรอบ ๆ กาย เขาก็พบว่ากำลังอยู่บนเนินเขาที่เบื้องล่างเป็นสมรภูมิสู้รบระหว่างทหารแอสการ์ดและพวกกบฎนอร์นไฮม์ ทั้งสองฝ่ายกำลังโรมรันต่อสู้กันอย่างดุเดือด ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บและเสียงลมหวีดหวิวของนอร์นไฮม์ และเมื่อพิจารณาจากภูมิประเทศรอบด้านแล้ว โลกิก็เข้าใจในทันทีว่าเป็นเพราะนอร์นไฮม์เป็นอาณาจักรที่มีอากาศหนาวเหน็บตลอดปีนี่เองที่เป็นข้อได้เปรียบทางภูมิอากาศของดินแดนแห่งนี้ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้แอสการ์ดไม่สามารถเผด็จศึกครั้งนี้ได้อย่างรวดเร็วอย่างที่เขาคิดไว้ในตอนแรก
เพราะแท้ที่จริงแล้วพวกนอร์นไฮม์นั้นเป็นชนเผ่าที่ไม่มีพลังพิเศษเหมือนดังเช่นทวยเทพแห่งแอสการ์ด แม้ว่าพวกเขาจะเป็นนักรบที่แกร่งกล้าและมีความเข้มแข็งผิดกับพวกมนุษย์ที่มีรูปร่างภายนอกเหมือนกับพวกเขาก็ตาม แต่ถึงกระนั้นชาวนอร์นไฮม์ซึ่งไม่มีพลังพิเศษหรือเวทย์มนต์ใด ๆ ก็คงไม่อาจจะต้านทานกองกำลังแอสการ์ดได้นานไปกว่านี้แน่หากไม่ได้ภูมิอากาศที่หนาวเหน็บเป็นตัวตัดกำลังกองทัพแอสการ์ดในการสู้รบแบบนี้
แต่ถึงกระนั้นก็ตามอากาศหนาวเหน็บของนอร์นไฮม์ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อโลกิแต่อย่างใด เนื่องจากกำเนิดที่แท้จริงของเขาเป็นยักษ์น้ำแข็ง อีกทั้งอากาศที่นอร์นไฮม์ก็ไม่ได้หนาวเหน็บและโหดร้ายเท่าโยธันไฮม์เลยแม้แต่น้อย แต่เขาก็เข้าใจว่าภูมิอากาศที่แตกต่างจากอากาศที่อบอุ่นของแอสการ์ดบวกกับพายุที่พัดหวีดหวิวนำความหนาวเย็นยะเยือกมาให้ตลอดการสู้รบที่เองทำให้ทหารแอสการ์ดไม่อาจเผด็จศึกครั้งนี้ได้อย่างรวดเร็วอย่างที่มันควรจะเป็น
ขณะที่เขาทอดสายตามองภาพการสู้รบท่ามกลางสมรภูมิที่หนาวเหน็บแห่งนี้ โลกิก็อดคิดไปถึงครั้งที่เขาและธอร์ รวมทั้งเหล่าสหายนักรบไปเหยียบโยธันไฮม์เป็นครั้งแรกไม่ได้ กระแสความคิดของโลกิหวนไปถึงวันที่ธอร์เข้าไปโรมรันกับพวกยักษ์น้ำแข็ง วันที่เขาได้พบลาฟฟี่ซึ่งแท้ที่จริงแล้วก็คือบิดาบังเกิดเกล้าของเขาเป็นครั้งแรก รวมทั้งวันที่เขาได้ค้นพบว่าแท้จริงแล้วกำเนิดของเขาไม่ใช่ชาวแอสการ์ดแต่อย่างใด หากแต่เขาเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจร้ายที่โอดินและทหารแอสการ์เคยฆ่าทำลายมาแล้วนับไม่ถ้วน
เป็นเพราะกำลังหวนนึงถึงอดีตที่ผ่านมาของตนเองอยู่นั้นเองที่ทำให้โลกิลืมระมัดระวังตัวและลืมตัวไปชั่วขณะว่าเขากำลังอยู่ในสนามรบ และเมื่อโลกิรู้สึกตัวอีกครั้งเขาก็ได้ยินเสียงหวีดหวิวของอาวุธที่พุ่งแหวกอากาศเข้ามาทางเขา
หอกเล่มนั้นพุ่งเฉียดใบหน้าของเขาไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น และการเบี่ยงตัวหลบหอกของคู่ต่อสู้อย่างจวนตัวทำให้โลกิเสียหลักตกลงจากหลังม้า และเมื่อราชาแห่งแอสการ์ดรู้สึกตัวอีกที เขาก็กำลังยืนประจันหน้ากับกองทัพม้าของนอร์นไฮม์ซึ่งเป็นศัตรูของเขาในสมรภูมินี้
รวดเร็วเท่ากับความคิด เมื่อโลกิตั้งตัวได้เขาก็ใช้คฑาของเทพบิดาทำร้ายกองทัพม้าที่กำลังรุดหน้าเข้ามาในทันที นายทหารบนหลังม้าคนหนึ่งล้มลงกับพื้น ก่อนที่คนที่อีกสองจะดาหน้าเข้ามาหาเขา โลกิใช้คฑาของโอดินกำจัดพวกมันที่ประจันหน้าเข้ามาอย่างไม่ละเว้น และเมื่อกษัตริย์แห่งแอสการ์ดรู้ตัวอีกที เบื้องหน้าของเขาก็มีร่างไร้วิญญาณของทั้งม้าและทหารของนอร์นไฮม์ที่กองสูงอยู่ตรงหน้าเขาราวกับเนินเขาย่อม ๆ เสียแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนั้นกองทหารที่ไล่หลังมาเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้าก็เกิดความลังเลใจที่จะเข้ามาโรมรันกับโลกิ และเมื่อเห็นเช่นนั้นกษัตริย์ผู้ปกครองอาณาจักรทั้งเก้าจึงกระทุ้งคฑาของเขาเข้ากับพื้นที่มีน้ำแข็งจับของแผ่นดินนอร์นไฮม์เกิดเป็นเสียงดังกึกก้องไปทั่ว พร้อมกับประกาศขึ้นว่า
“พวกเจ้าชาวนอร์นไฮม์ทั้งหลายช่างโง่เขลายิ่งนักที่บังอาจมาก่อการกบฎต่อข้า ซึ่งเป็นเจ้าเหนือหัวผู้ปกครองอาณาจักรทั้งเก้ารวมถึงอาณาจักรของพวกเจ้าด้วย!” เขากล่าว “ข้าส่งกองทัพแอสการ์ดของข้ามาที่นี่ก็เพื่อมาสั่งสอนให้พวกเจ้ารู้จักกับความสูญเสีย เพื่อเป็นการลงโทษที่ในความอวดดีของพวกเจ้า แต่พวกเจ้าก็ยังไม่เข็ดหลาบ ยังบังอาจยกทัพเข้ามาโรมรันกับกองทัพแอสการ์ดของข้า ข้าจึงต้องมาที่นี่เพื่อปราบปรามพวกเจ้าด้วยตัวเอง!”
“ในฐานะของเทพบิดาผู้ปกครองอาณาจักรทั้งเก้า ข้าขอสั่งให้พวกเจ้ายอมจำนนเสีย ก่อนที่กองทัพของข้าจะทำลายนอร์นไฮม์จนราบเป็นหน้ากอง!” เขาประกาศ สิ้นเสียงของโลกิก็มีเสียงดังขึ้นว่า
“เราไม่ยอมรับการปกครองของเจ้า!” ดวงตาสีฟ้าอมเขียวของกษัตริย์ของแอสการ์ดตวัดไปมองทางต้นเสียงซึ่งเขาพบทีหลังว่าเป็นเพียงทหารคนหนึ่งในกองทัพของนอร์นไฮม์เท่านั้น และเมื่อเป็นเช่นนั้นโลกิจึงยกคฑาของเขาขึ้นพร้อมกับพูดว่า
“ข้าเป็นผู้ปกครองอาณาจักรทั้งเก้า หากเจ้าไม่ยอมรับการปกครองของข้า เจ้าก็ไม่ควรจะยืนอยู่ตรงนี้” เขาแสยะยิ้มพร้อมกับชี้ไม้คฑาไปที่ทหารคนดังกล่าว แต่ก่อนที่เขาจะได้จัดการส่งทหารสามหาวคนนั้นไปลงนรก เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“ช้าก่อน” น้ำเสียงห้าวหาญของชายคนหนึ่งดังมาจากหมู่ทหาร และในไม่ช้าเหล่าทหารนอร์นไฮม์ก็พากันหลีกทางให้กับร่างนั้นที่กำลังเดินมาหาเขาซึ่งต่อมาโลกิพบว่ามันเป็นร่างของชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่สวมชุดนักรบแบบเต็มยศ อีกทั้งชุดเกราะและเครื่องประดับของเขายังคงบ่งบอกถึงฐานะอันสูงส่งของเขาอีกด้วย
“ไม่มีประโยชน์อะไรที่เจ้าจะฆ่าเขา ในเมื่อผู้ก่อศึกครั้งนี้คือข้า” ชายคนนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบห้าว เขามีผมสีน้ำตาลเข้มและมีดวงตาสีฟ้าสดใส แม้ว่าอายุของเขาจะล่วงเข้าวัยกลางคนไปแล้วก็ตาม แต่ท่าทางและน้ำเสียงที่ห้าวหาญของเขานั้นบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งในวัยหนุ่มที่ยังหลงเหลืออยู่ในตัวเขา โลกิจ้องมองชายตรงหน้าอย่างพิจารณาก่อนจะพูดขึ้น
“เจ้าพูดว่าศึกครานี้เป็นของเจ้า ถ้าข้าเดาไม่ผิด เจ้าคงเป็น…….” โลกิเอ่ยปากถาม
“ข้าคือธีอาซี ราชาแห่งนอร์นไฮม์” ร่างนั้นตอบด้วยน้ำเสียงเข้มแข็ง ขณะที่อีกฝ่ายนั้นยิ้มมุมปากพลางมองร่างตรงหน้าด้วยแววตาเป็นประกายอีกรอบ
“งั้นก็เป็นเจ้านี่เองที่ไม่ยอมรับการปกครองของข้าจนทำให้ต้องเกิดศึกสงครามแบบนี้” โลกิกล่าว
“ข้าไม่อาจยอมรับสิทธิในการปกครองของเจ้าได้ เพราะเจ้าไม่ได้เป็นผู้ที่มีสิทธิในการครองบัลลังค์แอสการ์ดอย่างแท้จริง และเมื่อเป็นเช่นนั้น นอร์นไฮม์จึงจะแยกตัวจากการอยู่ใต้อำนาจของแอสการ์ด” ธีอาซีเอ่ย ดวงตาสีฟ้าที่แลดูแข็งแกร่งจ้องมองโลกิไม่ละสายตา ขณะที่อีกฝ่ายนั้นเดินวนไปมาช้า ๆ เบื้องหน้าเขาด้วยอากัปกิริยาราวกับทั้งสองไม่ได้อยู่ในสนามรบ
“แล้วเจ้าไม่คิดหรือว่าการไม่ยอมรับในสิทธิการปกครองบัลลังค์ของข้าทำให้ทหารของเจ้าต้องล้มตายมากมายขนาดนี้น่ะ” โลกิกล่าวพลางปรายตาไปยังสมรภูมิเบื้องล่าง ถึงแม้ว่าเบื้องหน้าของเขาจะหยุดการสู้รบเพราะการปรากฏตัวของผู้ปกครองของทั้งสองอาณาจักรแล้วก็ตาม แต่ในบริเวณห่างออกไปนั้นทหารทั้งสองฝ่ายก็ยังพุ่งรบกันอยู่อย่างต่อเนื่อง
และอาจจะเป็นเพราะคำพูดของโลกิหรือไม่ก็อาจเป็นเพราะการได้เห็นภาพสมรภูมิที่เต็มไปด้วยซากศพของนักรบนอร์นไฮม์ซึ่งไม่อาจบ่งบอกจำนวนได้ ทำให้สีหน้าของธีอาซีหมองเศร้าลง ดวงตาสีฟ้าของราชาแห่งนอร์นไฮม์ฉายแววสะท้อนใจออกมาชั่วครู่ก่อนที่มันจะเปลี่ยนมาจับจ้องอยู่ที่ราชาแห่งแอสการ์ดผู้เป็นศัตรูคนสำคัญของเขาในตอนนี้
“ก็เป็นเพราะสาเหตุที่เจ้าพูดนี่แหละ ข้าถึงต้องการจะเจรจากับเจ้า” ธีอาซีเอ่ย ขณะที่โลกิกระหยิ่มยิ้ม
“อย่าบอกข้านะว่าเจ้าจะเปลี่ยนใจยอมแพ้ง่าย ๆ น่ะ” เขาพูดพลางมองอีกฝ่ายด้วยแววตาพึงพอใจ
“แน่นอนว่าไม่” ราชาแห่งนอร์นไฮม์ตอบออกมาอย่างเข้มแข็ง “แต่ข้ามีวิธีที่จะไม่ต้องเสียเลือดเนื้อทั้งสองฝ่ายไปมากกว่านี้ คือข้ากับเจ้ามาสู้กับตัวต่อตัว หากฝ่ายใดแพ้ก็จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้สงครามในครั้งนี้” เขากล่าวอย่างชาญฉลาด ขณะที่โลกิมองฝ่ายตรงข้ามด้วยท่าทีสนใจ
“แล้วถ้าหากเจ้าแพ้ล่ะ เจ้าจะว่ายังไง” ราชาแห่งแอสการ์ดถาม
“ข้าก็จะยอมจำนนกับเจ้า สุดแล้วแต่เจ้าจะจัดการ เพียงแต่ให้เจ้าไว้ชีวิตคนของข้าเพียงเท่านั้น” ธีอาซีกล่าว “แต่ถ้าหากเจ้าแพ้ เจ้าก็ต้องยอมรับการแยกตัวของนอร์นไฮม์ที่จะไม่ขึ้นกับการปกครองของแอสการ์ดอีกต่อไป” โลกิยิ้มกับคำพูดของฝ่ายตรงข้าม
“ข้อเสนอของเจ้าน่าสนใจ เอาเป็นว่าข้ารับปากเจ้าแล้วกัน เราจะเริ่มกันเลยดีไหม” เขาพูดพร้อมกับกระชับมือที่ถือคฑา หากแต่ก่อนที่โลกิจะยกมันขึ้นเพื่อใช้โจมตีธีอาซี ราชาแห่งนอร์นไฮม์ก็ยกมือขึ้นก่อน
“เดี๋ยว ที่ข้าพูดนี้หมายถึงการสู้กันตัวต่อตัว ไม่ใช่ด้วยคฑาของเทพบิดาที่เจ้ากำลังถืออยู่” เขาเสนอ
“ข้อเสนอของเจ้ามันออกจะเอาเปรียบข้าเกินไปหน่อยนะ ราชาแห่งนอร์นไฮม์ ที่จะให้ข้าสู้กับเจ้าโดยไม่มีอาวุธน่ะ” โลกิกล่าว เขายังคงไม่ยอมวางคฑาในมือลงแต่อย่างใด
“ถ้าเช่นนั้นเจ้ากับข้าก็เลือกอาวุธมาคนละอย่าง แต่ต้องไม่ใช่คฑาของเจ้า” ธีอาซีเสนอ และหลังจากใช้เวลาคิดอยู่เพียงชั่วครู่เท่านั้นโลกิก็รับคำอย่างง่ายดาย
“ข้าตกลงตามนั้น” เขาพูด แต่ก่อนที่โลกิจะลดไม้คฑาของเขาลง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นท่ามกลางการเหล่าทหารที่มามุงดูเหตุการณ์นั้น
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท!” สิ้นเสียงดังกล่าว เลดี้ซิฟก็พาร่างเพรียวบางหากแต่แข็งแกร่งของนางแหวกเหล่าทหารนอร์นไฮม์เข้ามาถึงตัวโลกิ
“ข้าไม่เห็นด้วยที่ท่านจะไปประลองกับอสูรต่ำต้อยตนนี้ ถ้าอย่างไรให้ข้าประลองเองเถอะ” เลดี้ซิฟกล่าวด้วยความเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้าเหนือหัวของตนซึ่งมันคงไม่มีทางปรากฏให้เห็นเป็นแน่หากนางไม่ต้องมนต์สะกดอยู่เช่นนี้
และท่ามกลางสีหน้าร้อนรนของซิฟ และสถานการณ์ที่ตึงเครียดของเหล่าทหารที่รายรอบอยู่นั้นโลกิกับยิ้มด้วยท่าทีสบาย ๆ ก่อนจะส่งคฑาในมือให้ซิฟถือ
“เฉยไว้น่าซิฟ แค่นี้ข้าจัดการได้” โลกิกล่าว หลังจากที่ส่งคฑาไปให้ซิฟแล้วเขาก็หยิบมีดสั้นที่มักพกติดตัวขึ้นมา เขาตวัดมันให้ธีอาซีเห็นก่อนจะกล่าวขึ้น
“ข้าเลือกมีดสั้นเป็นอาวุธสู้กับเจ้า เจ้าจะได้ไม่หาว่าข้าใช้อำนาจของเทพบิดามารังแกชาวนอร์นไฮม์อย่างเจ้า แค่นี้เจ้าพอใจไหม” เขากล่าว ขณะที่ธีอาซีมีสีหน้าพอใจ
“ราชาแอสการ์ดอุตส่าห์ลดตัวลงมาสู้ตัวต่อตัวกับข้า นับว่าเป็นเกียรติของข้าอย่างยิ่ง” ธีอาซีกล่าวก่อนจะกระชับดาบในมือแล้วจึงพุ่งมันเข้าใส่โลกิ!

…………………………………………………………………..

ทันทีที่คมดาบของราชาแห่งนอร์นไฮม์พุ่งเข้ามาใส่เขา โลกิก็เบี่ยงตัวหลบอย่างทันท่วงที ราชาแห่งแอสการ์ดตอบโต้อีกฝ่ายด้วยการตวัดมีดสั้นเข้าใส่ แต่ธีอาซีก็สามารถหลบได้ แม้ว่าจะเฉียวฉิวมากก็ตาม กษัตริย์ทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือดท่ามกลางสายตาของทหารทั้งสองฝ่ายที่เฝ้ามองอย่างลุ้นระทึก และถึงแม้ว่าธีอาซีนั้นจะมีพละกำลังมากกว่ารวมทั้งอาวุธที่เขาใช้นั้นจะดูแข็งแกร่งและทรงพลังมากกว่ามีดสั้นเล่มเล็ก ๆ ที่โลกิเลือกเป็นอาวุธในการต่อสู้ก็ตาม แต่ด้วยความชาญฉลาดและเล่ห์เหลี่ยมไหวพริบที่มีอยู่เต็มเปี่ยมนั้นก็ทำให้โลกิรอดพ้นจากการโจมตีของธีอาซีได้ทุกครั้งไป หนำซ้ำเขายังมีโอกาสเอาคืนราชาแห่งนอร์นไฮม์ผู้บังอาจเหิมเกริมคิดก่อการกบฎต่อเขาด้วย หลังจากที่เขาหลบคมดาบของธีอาซีได้ครั้งแล้วครั้งเล่าโลกิก็ใช้มีดสั้นของเขาตวัดทำร้ายชายผู้มีทั้งอายุและพละกำลังที่มากกว่าจนเกิดบาดแผลขึ้นหลายแผล แต่ถึงกระนั้นบาดแผลเหล่านั้นก็ไม่หนักหนาพอที่จะทำให้ราชแห่งนอร์นไฮม์ยอมแพ้หรือตัดพละกำลังของเขาลงได้
และเมื่อโลกิตัดสินใจตวัดมีดสั้นในมือของเขาเพื่อจ้วงแทงธีอาซีอีกหน คราวนี้ราชาแห่งนอร์นไฮม์ก็ตวัดดาบขึ้นเพื่อรับมันไว้ทัน หลังจากออกแรงงัดข้อกันอยู่ไม่นานนัก ธีอาซีซึ่งมีกำลังมากกว่าก็สามารถตวัดมีดของโลกิให้หลุดออกจากมือได้
ทันทีที่มีดของโลกิกระเด็นไปกระทบพื้นหินในระยะที่ไกลเกินกว่าที่เขาจะเอื้อมถึงได้นั้น ราชาแห่งแอสการ์ดก็ไร้อาวุธป้องกันตัวเสียแล้ว และเมื่อเป็นเช่นนั้นธีอาซีผู้คิดก่อกบฎต่อการปกครองของแอสการ์ดก็ย่างสามขุมเข้ามาหาโลกิเพื่อเผด็จศึกเขา ในขณะเดียวกับที่ฝ่ายตรงข้ามนั้นหันไปมองรอบกายและก็พบว่าบัดนี้เขาได้มายืนอยู่ใกล้ปากเหวซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะซึ่งเบื้องล่วงเป็นแม่น้ำสายหนึ่งที่ไหลเชี่ยวกราก
“เจ้าแพ้เสียแล้ว ราชาแห่งแอสการ์ด” ธีอาซีพูดกับโลกิที่ปราศจากอาวุธขณะที่เขาย่างสามขุมเข้ามาหาชายที่ไร้ทางสู้
“ถ้าเช่นนั้นก็ฆ่าข้าเสียสิ ราชาแห่งนอร์นไฮม์ ข้าจะไม่ปริปากร้องขอความเมตตาจากเจ้าซักคำ” โลกิกล่าวพร้อมกับเชิดหน้ามองฝ่ายตรงข้ามด้วยสีหน้าเรียบเฉย ราวกับว่าเขาไม่ได้ตกอยู่ในเงื้อมมือของศัตรูที่อาจจะสังหารเขาในพริบตาแต่อย่างใด
“ถ้าเจ้าพูดเช่นนี้ ข้าก็จะถือว่าเจ้าได้ตายอย่างนักรบที่หาญกล้าก็แล้วกัน!” ธีอาซีพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะเงื้อดาบและพุ่งเข้าสู่โลกิ หากแต่ดาบของราชาแห่งนอร์นไฮม์ไม่อาจสัมผัสร่างกายของราชาแห่งแอสการ์ดได้เพราะร่างของโลกิเลือนหายไปเมื่อมันต้องคมดาบของคู่ต่อสู้ ทำให้ธีอาซีผู้ถูกล่อลวงให้พุ่งสังหารศัตรูของตนเองนั้นเสียหลักตกจากหน้าผาซึ่งอยู่ถัดจากบริเวณที่ร่างแปลงของโลกิยืนอยู่เมื่อครู่ไปในทันที
สิ่งที่เหล่าทหารของทั้งสองฝ่ายรับรู้ก็คือเสียงร้องด้วยความโกรธระคนตกใจของธีอาซีที่บัดนี้ร่างของเขากำลังดิ่งลงหุบเหวเบื้องล่างพร้อม ๆ กับการปรากฏตัวของราชาแห่งแอสการ์ดห่างไปจากจุดที่เขาลวงให้ศัตรูของตนต้องพบจุดจบไปไม่ไกลนัก
หลังจากมองภาพริมหน้าผาที่ราชาแห่งนอร์นไฮม์เพิ่งร่วงหล่นลงไปด้วยสายตาพอใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วนั้น โลกิก็หันหลับมายังด้านหลังที่คลาคล่ำไปด้วยนักรบของทั้งสองฝ่ายซึ่งมาล้อมวงดูการต่อสู้อยู่ เขาก้าวออกไปข้างหน้าช้า ๆ มือหนึ่งของเขาเอื้อมไปรับคฑาเทพบิดาจากซิฟมาถือไว้ก่อนจะพูดขึ้น
“กษัตริย์ของเจ้าพ่ายแพ้ให้แก่ข้าแล้ว ก็ถือว่าศึกครั้งนี้จบลงด้วยชัยชนะของข้า จากนี้ไปพวกเจ้ามีหน้าที่ที่จะจงรักภักดีต่อราชาแห่งแอสการ์ด เฉกเช่นที่พวกเจ้าเคยจงรักภักดีต่อบิดาของข้า” เขากล่าวขณะที่วาดมือมาที่อกของตัวเองพลางมองเหล่าทหารนอร์นไฮม์ที่ยืนปะปนกับทหารแอสการ์ดด้วยท่าทีประเมิน หากแต่ดวงตาสีฟ้าอมเขียวของเขาก็ส่อแววสนุกสนานและพอใจไม่น้อยเมื่อเขาเห็นสีหน้ายอมจำนนของคนเหล่านั้น
“แต่ท่านขี้โกง! ท่านใช้เล่ห์กลสกปรกา ท่านใช้เวทย์มนต์ล่อลวงกษัตริย์ของเราในการต่อสู้!” เสียงหนึ่งดังมาจากกลุ่มทหาร ดวงตาสีฟ้าอมเขียวของโลกิตวัดไปมองที่มาของมันทันทีและเขาก็พบว่ามันดังมาจากทหารปากดีคนหนึ่งในเหล่าทหารนอร์นไฮม์ที่บัดนี้ใบหน้าของเขาซีดเผือดเมื่อถูกราชาแห่งแอสการ์ดจ้องมอง
“ถ้าเจ้าหาว่าข้าใช้เล่ห์สกปรกเมื่อครู่ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะใช้เวทย์มนต์กับเจ้าบ้าง” โลกิกล่าวก่อนจะพลิกฝ่ามือเพื่อร่ายเวทย์มนต์เบา ๆ และในไม่ช้าหมวกของทหารคนนั้นก็เปลี่ยนเป็นงูตัวขนาดเท่าท่อนแขนของผู้หญิงที่บัดนี้ได้เลื้อยรัดรอบคอของนายทหารผู้เคราะห์ร้ายคนนั้น
เหล่าทหารนอร์นไฮม์แตกฮือแทบจะในทันทีที่ได้เห็นภาพนั้น ซึ่งก็คือภาพทหารผู้เคราะห์ร้ายคนดังกล่าวร้องอย่างโหยหวนเมื่อเขาถูกงูพิษรัดคอขณะที่ผู้เสกงูตัวนั้นขึ้นกลับมองภาพเบื้องหน้าด้วยสีหน้าพออกพอใจราวกับมันเป็นโชว์สุดพิเศษสำหรับเขา ทหารเคราะห์ร้ายคนนั้นดิ้นรนอยู่ได้ไม่นานร่างของเขาก็กระตุกก่อนจะล้มลงสิ้นใจแทบเท้าเพื่อนทหารอีกหลายคนที่บัดนี้พยายามหนีห่างเหตุการณ์สยดสยองที่เกิดขึ้น
และเพราะเหตุการณ์ดังกล่าวนี้เองที่ทำให้แววตาของทหารนอร์นไฮม์ทุกคนที่มองมาทางราชาแห่งแอสการ์ดนั้นแปรเปลี่ยนไป เพราะในตอนนี้มันเปลี่ยนจากแววตาที่แสดงออกถึงความเจ็บแค้นเป็นแววตาที่บ่งบอกถึงความหวาดกลัว ขณะที่ผู้ที่กำลังถูกทหารเหล่านั้นจ้องมองก็กระหยิ่มยิ้มย่องด้วยความพอใจยิ่ง
“มีใครสงสัยในชัยชนะของข้าอีกหรือไม่” โลกิถามพลางก้าวเข้าไปใกล้หมู่ทหารอีกสองก้าว และเมื่อสิ่งที่เขาได้รับกลายเป็นเสียงเงียบกริบอย่างไม่มีการโต้แย้งของเชลยศึกเหล่านั้น ราชาแห่งแอสการ์ดก็พูดขึ้นอีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าก็จงแสดงความจงรักภักดีต่อข้า คุกเข่าเสีย!” เขาประกาศก้อง และแม้ว่าจะมีท่าทีลังเลบ้างก็ตาม แต่ในไม่ช้าทหารนอร์นไฮม์ก็ต่างก้มลงคุกเข่าให้เขาจนหมด แม้กระทั่งทหารที่อยู่ในสมรภูมิที่ไกลออกไป เมื่อพวกเขาได้ทราบเรื่องที่เกิดขึ้น รวมทั้งสิ่งที่เพื่อนทหารร่วมชาติของเขากำลังทำอยู่ในขณะนี้ พวกเขาก็จำต้องคุกเข่าตามอย่างเสียไม่ได้ ราวกับว่าการคุกเข่าให้ราชาแห่งแอสการ์ดนั้นเป็นโรคระบาดไปเสียแล้ว ส่วนทางด้านโลกินั้นก็ชื่นชมภาพเบื้องหน้าของเขาด้วยท่าทีพอใจยิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะหันไปสั่งการกับซิฟ
“จัดการคุมตัวพวกเชลยเหล่านี้เสีย ใครที่ขัดขืนให้ฆ่าทิ้งได้ทันที ข้าฝากที่เหลือด้วย ให้ประกาศออกไปให้ทั่วว่าธีอาซี ราชาแห่งนอร์นไฮม์สิ้นแล้ว ให้พวกมันจงรักภักดีต่อข้าเท่านั้น” โลกิสั่ง และเมื่อเห็นว่าซิฟรับคำเป็นอย่างดีแล้ว และเขาเองก็ได้ดื่มด่ำกับภาพทหารชาวนอร์นไฮม์จำนวนนับร้อยนับพันคุกเข่าให้เขาซึ่งเป็นการแสดงถึงการยอมจำนนของพวกมันต่อเขาแล้วชายร่างสูงก็เดินกลับไปจุดไบฟรอสท์ เขาพึมพำเพื่อออกคำสั่งกับไฮม์ดัลเบา ๆ ดวงตาสีฟ้าอมเขียวของเขามองภาพชาวนอร์นไฮม์ที่กำลังถวายความจงรักภักดีต่อเขาอยู่ด้วยท่าทีที่พอใจ ก่อนที่แสงเจิดจ้าจากสะพานไบฟรอสท์จะปรากฎขึ้นครอบคลุมตัวเขา และเมื่อรู้ตัวอีกทีโลกิก็พบว่าตนเองได้กลับมาอยู่ที่แอสการ์ด และกำลังยืนอยู่หน้าไฮม์ดัลเทพผู้มีหน้าที่เป็นนายทวารเสียแล้ว
“ข้าขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาทในการชนะศึกครั้งนี้ด้วย” ไฮม์ดัลที่ต้องมนต์สะกดกล่าวสั้น ๆ ส่วนทางด้านโลกินั้นได้แต่ยิ้มมุมปากด้วยท่าทีเจ้าเล่ห์
“ก็แค่เรื่องให้ข้าทำแก้เบื่อเท่านั้น ไฮม์ดัล” เขากล่าวก่อนจะเดินจากไปด้วยรอยยิ้ม




************************************************************





 

Create Date : 09 เมษายน 2557    
Last Update : 9 เมษายน 2557 21:25:42 น.
Counter : 358 Pageviews.  

Fire and Ice: Chapter 1 The New King of Asgard

สวัสดีค่ะ อ่านตรงนี้ก่อนนะคะ

ฟิคนี้เป็นฟิคที่เราเขียนขึ้นเล่น ๆ หลังจากที่ไปดู Thor: The Dark World มาค่ะ

แล้วก็ปลื้มปริ่มกับความน่ารักแบบร้ายๆ ของโลกิเบา ๆ น่ะค่ะ

(จริงๆ ปลื้มมาตั้งแต่ภาคแรกแล้วแหละค่ะ >///<)

เนื้อหาของฟิคเรื่องนี้จะต่อจาก Thor 2 นะคะ เพราะฉะนั้นมันจะสปอยหนังภาค 2 ค่ะ

อันที่จริงแล้วมันสปอย Thor, Avengers และ Thor 2 ค่ะ เรียกได้ว่าสปอยหมดเลย

เพราะฉะนั้นใครที่ไม่เคยดูหนังแล้วไม่อยากเจอสปอยก็ไปดูหนังมาก่อนแล้วค่อยมาอ่านนะคะ ^^

สำหรับเนื้อเรื่องในฟิคนี้ที่ต่อจากภาค 2 นั้นมาจากจินตนาการของเราล้วน ๆ ค่ะ

ไม่เกี่ยวข้องกับการ์ตูนแต่อย่างใดนะคะ
(เพราะคนเขียนไม่เคยอ่านหรือดูการ์ตูนของมาร์เวลค่ะ เสพแต่หนังอย่างเดียว)

แต่อ้างอิงหนัง้เป็นหลักและอิงตำนานเทพนอร์สบางส่วนค่ะ ส่วนนางเอกในเรื่องนี้

เราอ้างอิงมาจากตัวละครหนึ่งในตำนวนนอร์สนะคะ

แต่ก็ไม่ใช่คนรักของโลกิในเทพนอร์สนะคะ เผื่อใครที่อ่านตำนานนอร์สมาอาจสงสัยว่าทำไมนางเอกเป็นคนนี้

สรุปก็คือฟิคเรื่องนี้พื้นฐานมาจากหนังบวกตำนานบ้างเล็กน้อยและเอามาแต่งแต้มด้วยจินตนาการของเราค่ะ

สำหรับใครที่คิดว่าน่าสนใจ ชักน่าอ่านขึ้นมาแล้วก็ตามไปอ่านกันได้เลยค่ะ

อ้อ ฟิคเรื่องนี้เราเขียนไปได้หลายตอนแล้วแต่ยังไม่ได้ตรวจ จะค่อย ๆ ทยอยลงให้นะคะ

สำหรับแฟนฟิคเรื่องอื่นที่เราดองไว้สัญญาว่าจะเขียนให้จบค่ะ

แต่ที่ผ่านมาเรายุ่งมากเลย เลยเอาฟิคเรื่องนี้มาลงให้อ่านแก้ขัดกันไปก่อนนะคะ

แต่รับรองมาจะพยายามมาอัพให้ครบทุกเรื่องเลยค่ะ

สุดท้ายแล้วก็ไม่รู้จะบอกอะไรนอกจากขอให้อ่านให้สนุกนะคะ

คิดเห็นอย่างไร อยากติชมอะไรเม้นไว้ได้เลยนะคะ

ส่วน fanart อันนี้เราไม่ได้ทำเองนะคะ แต่เซฟมาจากอินเตอร์เน็ตค่ะ

แบบว่าแอบขอยืมตัวละครจาก Game of Thrones มาเป็นรูปนางเอกฟิคนี้หน่อยน่ะค่ะ

สุดท้าย ถ้าพร้อมแล้วไปอ่านกันเลยค่ะ ^^



Titles: Fire and Ice

Main Characters: Loki/OC
Minor Characters: Thor, Odin, Heimdell, Sif, Fandral, Hogun, Volstagg
Genres: Alternate Universe, Angst, Drama, Romance
Spoilers: Thor (2011), The Avengers (2012), Thor: the Dark World (2013)
Warnings: Alternate Universe, Lime [Mind Smut], Dark.
Rated: PG
Series: None
Summary: After Loki had taken Asgard, he punished Nornheim for treason against his right to rule. He killed King of Nornheim at the battlefield and conquered his Kingdom. After the death of the King, his daughter, Princess of Nornheim came to him, seeking avenge for her father.







***Chapter 1 The New King of Asgard: ราชาคนใหม่แห่งแอสการ์ด***



โลกิไม่เคยคิดว่ามันจะง่ายดายขนาดนี้มาก่อน แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะผ่านเรื่องราวอันตรายรวมทั้งผ่านเหตุการณ์เฉียดตายมาหลายต่อหลายครั้งจนกว่าเขาจะมาถึงจุดที่อยู่เขากำลังยืนอยู่ในตอนนี้ก็ตาม แต่ในขณะที่มือของเขาสัมผัสบัลลังค์สีทองแอสการ์ดซึ่งมันเคยเป็นของโอดิน บิดาบุญธรรมของเขามาก่อน แถมยังเป็นบังลังค์ที่โลกิเคยนั่งเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ระหว่างที่โอดินเข้าสู่ภาวะหลับใหลซึ่งเป็นขณะเดียวกันกับที่ธอร์ถูกเนรเทศไปยังโลกมนุษย์ด้วยนั้น

เขาก็นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดหลังจากที่เขาได้ขึ้นมาครองบัลลังค์ของแอสการ์ดเป็นครั้งแรก เรื่องราวที่เขาส่งหุ่นดิสตรอยเยอร์ลงไปจัดการธอร์ พี่ชายที่ถูกเนรเทศไปยังโลกมนุษย์ของเขา เรื่องราวที่เขาวางแผนทำลายโยธันไฮม์โดยสะพานไบฟรอสต์ เรื่องที่ธอร์กลับมาขัดขวางแผนการของเขาได้ทันท่วงที รวมทั้งเรื่องที่เขาพ่ายแพ้แก่ธอร์จนต้องจมดิ่งลงสู่ห้วงเหวลึก ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นส่งผลให้เขาต้องร่อนเร่พนเจรไปยังพิภพต่าง ๆ จนกระทั่งเขาตัดสินใจเปิดศึกกับโลกมนุษย์เพื่อเป็นการแก้แค้นธอร์ในทุกสิ่งที่ธอร์ช่วงชิงไปจากเขา

แม้ว่าจะผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ มามากมายนับตั้งแต่จุดเปลี่ยนในชีวิตเขาเมื่อครานั้น นับตั้งแต่วันแรกที่เขาค้นพบว่าเขาไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของโอดินและฟริกก้า เขาไม่ใช่เจ้าชายแห่งแอสการ์ดผู้มีสิทธิในราชบัลลังค์โดยกำเนิดอย่างที่โอดินเคยพร่ำบอกเขามาตั้งแต่เด็ก หนำซ้ำเขายังเป็นยักษ์น้ำแข็งซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นศัตรูกับแอสการ์ดมาช้านานอีกด้วย และเพราะการได้ทราบความจริงที่ถูกปิดบังมาตลอดนั้นเองทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และมันยังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ไม่อาจจะหวนกลับมาเป็นอย่างเดิมได้อีกด้วย

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ถึงแผนการในการยึดครองโลกมนุษย์ของเขาจะล้มเหลวเพราะฝีมือของทีมอเวนเจอร์ ซึ่งมีธอร์ พี่ชายคู่ปรับของเขารวมอยู่ด้วย จนเขาต้องเสียท่าพ่ายแพ้และถูกจับตัวกลับมากักขังที่แอสการ์ดในฐานะนักโทษก็ตาม แต่ไม่นานนักการปรากฏตัวของพวกดาร์กเอลฟ์ นำโดยมาลาคิธที่หวังจะเปลี่ยนจักรวาลให้กลับไปสู่ความมืดอีกครั้งก็ทำให้เขาได้มีโอกาสออกจากคุกใต้ดินที่เดิมเขาจำเป็นจะต้องถูกจองจำอยู่ที่นั่นชั่วนิรันดร์ตามคำสั่งของโอดิน ด้วยข้อเสนอของธอร์ในการช่วยเขาออกจากคุกแลกกับที่การเขาจะช่วยพาตัวธอร์และหญิงสาวคนรักออกจากแอสการ์ดไปยังดาร์กเวิล์ดเพื่อตามหามาลาคิธ

และเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็ส่งผลให้เขามีโอกาสมานั่งอยู่บนบัลลังค์แอสการ์ดในตอนนี้ ถึงแม้ว่าธอร์จะระมัดระวังตัวต่อการทรยศหักหลังของโลกิเป็นอย่างดี รวมทั้งพี่ชายที่มีกำลังกายมากกว่ามันสมองของเขาจะได้รับความร่วมมือจากเขาในการต่อสู้กับมาลาคิธครั้งนี้ก็ตาม เมื่อเขาตัดสินใจยอมช่วยธอร์หลอกล่อมาลาคิธให้ดึงอีเธอร์ออกมาจากร่างของเจน ฟอสเตอร์ หญิงสาวมนุษย์ผู้เป็นคนรักของธอร์ แล้วธอร์ก็จะอาศัยจังหวะนี้ทำลายอีเธอร์เสีย แต่แผนการณ์กลับไม่เป็นไปตามที่ธอร์คาด เพราะนอกจากธอร์จะไม่สามารถทำลายอีเธอร์ซึ่งเป็นสสารที่ทรงพลังอำนาจมากที่สุดได้แถมยังต้องเสียมันไปให้กับศัตรูอย่างมาลาคิธไปนั้น ธอร์ยังหลงกลโลกิที่แกล้งทำเป็นตายจากการสู้รบ จากเหตุการณ์ครั้งนั้นธอร์เชื่ออย่างสนิทใจว่าโลกิเสี่ยงชีวิตช่วยตนจนต้องตาย โลกิได้ตายอย่างสมเกียรติ สมศักดิ์ศรี โดยที่รัชทายาทผู้สืบทอดบัลลังค์แห่งแอสการ์ดไม่รู้เลยว่าแท้ที่จริงแล้วนี่เป็นอีกครั้งที่โลกิซึ่งเพียงแค่บาดเจ็บจากการต่อสู้เท่านั้นแต่เขาใช้เวทย์มนตร์ตบตาธอร์ให้เข้าใจว่าเขากำลังจะตาย และธอร์เองก็ไม่ฉลาดพอที่จะรู้ทันโลกิดังที่เขาเคยตกหลุมพรางที่โลกิวางไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า

แต่ในคราวนี้โลกิไม่เพียงแต่วางแผนหลอกลวงธอร์ว่าเขาตายไปแล้วเท่านั้น โลกิยังหลอกโอดินด้วยคำลวงอย่างเดียวกัน โดยโลกิได้แปลงร่างเป็นนายทหารแอสการ์ดที่ถูกส่งมายังที่เกิดเหตุ แล้วกลับไปรายงานโอดินเรื่องการตายของบุตรบุญธรรมที่โอดินเก็บมาจากโยธันไฮม์ แม้ว่าโอดินจะโกรธเคืองโลกิกับความผิดร้ายแรงที่เขาทำไว้บนโลกมนุษย์มากเพียงใดก็ตาม แต่การรับรู้ถึงการจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับของโลกิผนวกกับการสูญหายของธอร์และการได้รู้ว่าบัดนี้อีเธอร์ได้ตกไปอยู่ในมือของมาลาคิธผู้ที่กำลังจะใช้มันเปลี่ยนจักรวาลนี้ให้กลับไปสู่ความมืดมิดเสียอีกครั้ง บวกกับความโศกเศร้าเสียใจจากการเสียชีวิตของฟริกก้าผู้เป็นราชินีของเขาก่อนหน้านั้น ทำให้โอดินผู้ไม่สามารถทนรับกับเหตุการณ์ทั้งหมดได้จึงเข้าสู่ภาวะหลับใหลอีกครั้ง ซึ่งก็เป็นไปตามที่โลกิต้องการ เพราะเมื่อโอดินเข้าสู่ภาวะหลับใหล และธอร์ก็กำลังเข้าไปโรมรันในศึกของพวกดาร์กเอลฟ์ที่โลกมนุษย์อยู่นั้นบัลลังค์แอสการ์ดจึงย่อมว่างลง และที่สำคัญก็คือโลกิมีวิธีที่จะทำให้บัลลังค์ตกอยู่ในมือเขาอีกครั้งได้ไม่ยาก

เริ่มจากการที่เขาเคลื่อนย้ายร่างของโอดินไปยังแท่นบรรทมโดยปราศจากคนรู้เห็น โลกิได้ร่ายคาถาเพื่อป้องกันการตื่นและปิดบังการรับรู้ของโอดินไว้เพื่อให้โอดินหลับอย่างสงบไปในขณะที่เขาวางแผนครอบครองแอสการ์ด ในขณะเดียวกันนั้นเขาก็สามารถแปลงร่างเป็นโอดินโดยที่ไม่มีใครสังเกตหรือรู้เห็นได้แม้กระทั่งไฮม์ดัลก็ตาม และเมื่อธอร์ชนะศึกกับมาลาคิธและกลับมาจากโลกมนุษย์เยี่ยงวีรบุรุษได้แล้ว ธอร์ก็มาเข้าเฝ้าเขาในร่างโอดินเพื่อออกปากปฏิเสธบัลลังค์แอสการ์ดตามที่โลกิคาดเดาไว้ โลกิในร่างโอดินแสร้งทำเป็นยินยอมอย่างเสียไม่ได้ รวมทั้งยังไม่ยอมรับโยลเนียร์ ค้อนคู่ชีพที่ธอร์ตั้งใจจะคืนให้และปล่อยให้ธอร์กลับไปทำหน้าที่ปกป้องอาณาจักรทั้งเก้าตามเดิม ธอร์เองก็เดินทางออกไปจากท้องพระโรงโดยไม่ล่วงรู้มาก่อนเลยว่าผู้ที่ตนเองสนทนาด้วยในร่างพระบิดานั้นคือโลกิ น้องชายจอมเจ้าเล่ห์ของเขาเอง อีกทั้งธอร์ยังเดินทางกลับไปยังโลกมนุษย์เพื่อไปพบหญิงสาวที่เขารัก โดยเขาไม่รู้เลยว่าเขาอาจจะไม่มีโอกาสหวนกลับมาที่แอสการ์ดอีกต่อไปแล้วก็เป็นได้!

หลังจากที่ธอร์เดินทางออกจากแอสการ์ด โลกิก็เริ่มแผนการครอบครองแอสการ์ดของเขาในทันที เขาลงไปยังห้องลับสำหรับเก็บสมบัติของโอดิน ซึ่งมีอาวุธที่มีค่าและมีพลานุภาพร้ายแรงสองอย่างถูกเก็บรักษาไว้ หนึ่งในนั้นก็คือเทสเซอร์แรคซึ่งเป็นขุมพลังมหาศาล เป็นอัญมณีอันล้ำค่าที่มีพลังอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรทั้งเก้า โลกิถ่ายพลังจากเทสเซอร์แรคไปยังไม้คทาของเขา ซึ่งมันทำให้เขามีพลังอำนาจในการควบคุมจิตใจคนเช่นเดียวกับที่เขาเคยได้มี แถมในคราวนี้พลังอำนาจที่เขามีอาจจะแข็งแกร่งกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการยึดครองแอสการ์ดของเขา เมื่อโลกิทำให้ไฮม์ดัลตกอยู่ในอำนาจของเขาได้แล้ว โลกิก็สั่งให้ไฮม์ดัลปิดสะพานไบฟรอสท์ไม่ให้ใครผ่านเข้าออกนอกจากตน รวมทั้งยังสั่งห้ามไม่ให้เปิดสะพานให้ธอร์ผ่านจากโลกมนุษย์กลับมายังแอสการ์ดอีกด้วย เพราะโลกิรู้ดีว่าบัลลังค์ไม่มีทางเป็นของเขาได้นานถ้าหากเขาไม่หาทางกำจัดธอร์ไปเสีย แต่ในตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสังหารธอร์ ดังนั้นการปล่อยธอร์ที่ยังไม่รู้เรื่องราวไว้ที่โลกมนุษย์จึงเป็นการจำกัดเสี้ยนหนามที่ดีที่สุด

นอกจากใช้อำนาจสะกดไฮม์ดัลแล้ว โลกิยังจำเป็นต้องใช้อำนาจสะกดคนอื่น ๆ ให้ตกอยู่ใต้อาณัติของเขาด้วย บุคคลเหล่านั้นก็คือซิฟและสามสหายผู้เป็นเพื่อนรักของธอร์ซึ่งเคยทำแผนการของเขาพังมาแล้วในคราก่อน โดยการช่วยนำตัวพี่ชายแสนรักของเขากลับมายังแอสการ์ดได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้เขาก็ยังจำเป็นต้องใช้มนต์สะกดชาวแอสการ์ดอีกหลายคนที่จงรักภักดีต่อโอดินและธอร์ เช่น นายพลอาร์นเฮอยาผู้คุมกองทัพของแอสการ์ด แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่เหนือบ่ากว่าแรงของเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะเมื่อเขาสามารถทำให้ นายพล นักรบ และบุคคลสำคัญ ๆ ของแอสการ์ดตกอยู่ใต้มนต์สะกดของเขาได้แล้วนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่เขาจะทำให้คนอื่น ๆ ยอมจำนนต่อเขาแต่โดยดี

อีกทั้งเป็นเพราะเรื่องราวที่โลกิลงไปก่อความวุ่นวายในโลกมนุษย์จนเขาถูกจับกลับมากักขังไว้ที่แอสการ์ดเยี่ยงนักโทษนั้นไม่ได้เปิดเผยให้ประชาชนชาวแอสการ์ดรู้แต่อย่างใด เนื่องจากโอดินรู้สึกอับอายเกินกว่าที่จะป่าวประกาศออกไปว่าหนึ่งในเจ้าชายผู้สืบทอดบัลลังค์แอสการ์ดได้กระทำการเยี่ยงอาชญากรรมสงครามลงไปในโลกมนุษย์ซึ่งบิดาของเขามีหน้าที่ปกป้องคุ้มครอง มีเพียงแค่สมาชิกของราชสำนักไม่กี่คนเท่านั้นที่ล่วงรู้ความจริงทั้งหมดในสิ่งที่โลกิได้ทำลงไปจนเขาได้รับโทษจองจำชั่วชีวิต และเป็นเพราะเหตุนี้จึงทำให้เป็นการง่ายยิ่งขึ้นไปอีกในการที่โลกิจะยึดครองบัลลังค์แอสการ์ด หลังจากที่เขาจัดการควบคุมจิตใจผู้ที่เขาคิดว่าจะต้องต่อต้านเขาได้เรียบร้อยแล้ว โลกิก็ป่าวประกาศออกไปถึงการเข้าสู่ภาวะหลับใหลของโอดิน การสละสิทธิในบัลลังค์ของธอร์ รวมถึงการกลับมาของเขาซึ่งเป็นผู้ที่มีสิทธิในราชบัลลังค์เช่นเดียวกับธอร์ ทำให้ในตอนนี้สิทธิในการครองบัลลังค์จึงตกมาเป็นของโลกิซึ่งเป็นทายาทอันดับสองของโอดินแทน

หลังจากผ่านการดำเนินแผนการที่แทบจะเรียกได้ว่าราบรื่นอย่างไม่มีที่ติไปแล้วนั้น บัลลังค์ของแอสการ์ดก็ตกเป็นของโลกิอย่างที่เขาตั้งใจไว้ และถึงแม้ว่าการครองบัลลังค์ครั้งนี้ของเขาจะไม่มีพิธีเฉลิมฉลองอย่างเอิกเกริกเช่นเดียวที่ธอร์เคยมีในครั้งที่เขาเกือบจะได้เป็นกษัตริย์แห่งแอสการ์ดก็ตาม แต่ประชาชนชาวแอสการ์ดก็ไม่ได้ต่อต้านการขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์องค์ใหม่แต่อย่างใด แถมยังไม่มีวี่แววว่าธอร์ พี่ชายผู้สละสิทธิในบัลลังค์ไปให้เขาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวจะกลับมาทวงบัลลังค์ของตนคืนแต่อย่างใด โลกิจึงสามารถครอบครองแอสการ์ดได้อย่างราบรื่น หากแต่เมื่อมาถึงตอนนี้ เมื่อเขาได้กลับมานั่งบนบัลลังค์แอสการ์ดในฐานะผู้ปกครองแอสการ์ดและคุ้มครองอาณาจักรทั้งเก้าอย่างที่เขาเคยต้องการมาตลอดแล้ว โลกิกลับรู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างขาดหายไป

แต่สิ่งนั้นคืออะไรกันเล่า ทำไมเขาถึงรู้สึกว่ายังมีอะไรขาดหายไปในเมื่อเขาได้ทุกสิ่งที่เขาต้องการมาครอบครองแล้วในตอนนี้ โลกิขมวดคิ้วและมีสีหน้าครุ่นคิด นิ้วมือข้างหนึ่งยกขึ้นแตะริมฝีปาก ขณะที่มืออีกข้างของเขาลูบพนักวางแขนของบัลลังค์ที่ตนกำลังนั่งอยู่อย่างใจลอย ในตอนนี้เขาได้ทุกสิ่งที่เขาต้องการมาครอบครองแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบัลลังค์แอสการ์ด หรือการได้เป็นกษัตริย์ปกครองอาณาจักรทั้งเก้า เขาเป็นคนวางอุบายล่อลวงให้ธอร์ยอมสละบัลลังค์ให้เขาและบัดนี้พี่ชายตัวดีของเขาก็คงติดแหงกอยู่ที่โลกมนุษย์กับหญิงสาวมนุษย์ที่ธอร์รักนักรักหนาจนธอร์เองอาจจะยังไม่ล่วงรู้เลยด้วยซ้ำว่าในตอนนี้แอสการ์ดตกอยู่ภายใต้การปกครองของโลกิเสียแล้ว เขาสามารถใช้เวทย์มนต์คาถาทำให้โอดินคงอยู่ในภาวะหลับใหลและใช้อำนาจของเทสเซอร์แรกทำให้แอสการ์ดตกอยู่ในกำมือของเขาได้แล้ว แล้วทำไมเขาถึงรู้สึกว่างเปล่ายิ่งกว่าตอนที่เขาถูกคุมขังอยู่ในคุกใต้ดินนั่นอีกล่ะ เป็นเพราะอะไรกัน

เป็นเพราะนางหรือ เสียงนั้นดังขึ้นในหัวเมื่อกระแสความคิดของโลกิหวนนึกไปถึงมารดาผู้ล่วงลับของเขา โลกิยังจำได้ดีถึงความเจ็บปวดทรมาน ความเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างยามเมื่อเขาได้รับรู้ถึงการจากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันหวนกลับมาของฟริกก้า การได้ล่วงรู้ว่าเขาต้องสูญเสียมารดาไปอย่างไม่มีทางหวนกลับนั้นช่างเจ็บปวดทรมานมากกว่าการตกลงไปในหุบเหวดำมืดที่เขาเคยได้เผชิญก่อนหน้านี้เสียอีก และในตอนนี้โลกิก็ไม่อาจปฏิเสธตนเองได้ว่า เขาแคร์ฟริกก้าเพียงใด และถึงนางจะไม่ใช่แม่แท้ ๆ ผู้ให้กำเนิดเขาก็ตาม แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกแค้นเคืองนางเช่นเดียวกับที่เขารู้สึกกับโอดินหรือธอร์ อาจจะเป็นเพราะว่าฟริกก้าไม่เคยทำผิดอะไรต่อเขา อาจจะเป็นเพราะว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานี้โลกิรู้ดีว่านางเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ห่วงใยเขาอย่างแท้จริง และมีเพียงนางคนเดียวเท่านั้นที่แสดงความรักต่อเขาและธอร์ออกมาอย่างเท่าเทียม มีนางเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รักเขาไม่หยิ่งหย่อนไปกว่าธอร์ พี่ชายผู้สมบูรณ์แบบของเขาเลย แม้ว่านางจะรู้มาตลอดว่าเขาไม่ได้ลูกแท้ ๆ ของนาง อีกทั้งกำเนิดของเขายังเป็นยักษ์น้ำแข็ง เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจที่นางสมควรจะรังเกียจ แต่นางก็สามารถเรียนรู้ที่จะรักเขาได้อย่างเท่าเทียมกับลูกชายแท้ ๆ ของนาง ทั้ง ๆ เขาเป็นเพียงลูกของยักษ์น้ำแข็งที่โอดินเอามายัดเยียดให้เป็นลูกของนางเท่านั้น และอาจจะเป็นเพราะการจากไปของนางหรือเปล่านะที่ทำให้เขารู้สึกว่างเปล่าแม้ในยามที่เขาได้ทุกอย่างที่ต้องการมาครอบครองแล้วแบบนี้

ถึงแม้ว่าจะเขาจะได้พบสิ่งที่อาจจะเป็นคำตอบที่เขากำลังตามหาอยู่แล้วก็ตาม แต่โลกิก็ต้องสะบัดศีรษะเพื่อไล่ความคิดนั้นออกไปอย่างรวดเร็วพอ ๆ กับที่มันผุดขึ้นมา ด้วยเหตุผลที่ว่าการยอมรับว่าความรู้สึกอ้างว้างเปลี่ยวที่เขากำลังเผชิญอยู่นี้มาจากการที่เขาไม่มีมารดาอยู่เคียงข้างเขาอีกต่อไป เป็นการย้ำเตือนว่าเขาให้ความสำคัญกับฟริกก้ามากเกินไปจนการจากไปของนางทิ้งรอยแผลเอาไว้ในจิตใจของเขา จนมันไปทำลายความพึงพอใจในชัยชนะที่เขาเพิ่งได้ครอบครองไปจนหมดสิ้น ยิ่งไปกว่านั้นการโหยหามารดาของตนเองนั้นยังเป็นการเน้นย้ำข้อเท็จจริงที่โลกิไม่ต้องการยอมรับมากที่สุดกับตัวของเขาเองว่า แท้ที่จริงแล้วเขายังาต้องการความรักจากผู้อื่นอยู่ เขาต้องการความรักจากคนในครอบครัวอย่างฟริกก้า หรือบางทีเขาอาจจะต้องการความรักจากโอดิน หรือแม้กระทั่งจากธอร์อีกด้วยก็เป็นได้ และความจริงในข้อนี้เป็นสิ่งที่โลกิคิดว่ามันอันตรายเสียยิ่งกว่าโทษทัณฑ์จากพวกชิทอรี่เสียอีก เพราะเมื่อคิดได้เช่นนั้นกษัตริย์แห่งแอสการ์ดคนใหม่ก็ได้แต่สะบัดศรีษะแรง ๆ เพื่อไล่ความคิดไม่เข้าท่านั้นออกไปเสีย ในไม่ช้าดวงตาสีอ่อนที่เคยส่อแววหมองเศร้าของโลกิก็เปลี่ยนมามีแววมุ่งมั่นตามเดิมเมื่อเขาพูดย้ำกับตัวเองขึ้นมาดัง ๆ ว่า

“ข้าไม่ต้องการความรักจากใคร สิ่งที่ข้าต้องการมีเพียงอำนาจเท่านั้น”



…………………………………………………………………..



หลังจากปกครองบัลลังค์แอสการ์ดไปได้ระยะหนึ่ง โลกิก็เริ่มรู้สึกคุ้นเคยกับการเป็นกษัติรย์พอ ๆ กับที่เขากลับพบว่าการเป็นผู้คุ้มครองอาณาจักรทั้งเก้านั้นเป็นหน้าที่ที่ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นและออกจะน่าเบื่อเสียด้วยซ้ำ เพราะหลังจากการรุกรานของมาลาคิธซึ่งได้สิ้นชีวิตลงด้วยน้ำมือของพี่ชายของเขาที่ตอนนี้น่าจะยังคงถูกปล่อยทิ้งอยู่ในโลกมนุษย์อยู่นั้น อาณาจักรทั้งเก้าก็กลับสู่ภาวะปกติสุข ไม่มีสงครามใด ๆ มาพ้องพานความสงบสุขของดินแดนที่เขาปกครอง และถึงแม้ว่าโลกิจะรู้ดีว่าแท้ที่จริงแล้วตัวเขาเองนั้นไม่ใช่ผู้กระหายสงครามที่ต้องการจะเปิดศึกเหนือใต้อย่างเช่นธอร์เคยทำเมื่อครั้งยังเยาว์ แต่หลังจากปกครองแอสการ์ดมาได้เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้นเขาก็รู้สึกเบื่อหน่ายกับการนั่งบัลลังค์กษัตริย์และเฝ้ามองความเป็นไปภายในอาณาจักรเสียเหลือเกิน

การเป็นกษัติรย์นั้นแม้ว่าจะดูยิ่งใหญ่ แต่ก็กลับไม่มีพื้นที่ให้สนุกสนานเหมือนเมื่อก่อน อีกทั้งยังไม่มีคู่ต่อสู้คนไหนมาให้เขาปรับมือด้วยอย่างทัดเทียมอีกต่อไปแล้ว แม้ว่าในอดีตที่ผ่านมาธอร์จะเปรียบเสมือนหนามยอกอกชิ้นใหญ่ซึ่งขวางกั้นหนทางไปสู่อำนาจของเขาก็ตาม แต่ในวันที่เขาได้ทุกสิ่งทุกอย่างมาครอบครองอย่างในวันนี้แล้ว โลกิกลับค้นพบว่าเขาคิดถึงการต่อสู้ระหว่างเขากับธอร์ เขาคิดถึงการที่ธอร์พลาดท่าหลงกลเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วธอร์จะกลับมาเอาคืนเขาจนได้ก็ตาม แต่ในตอนนี้ธอร์ถูกทอดทิ้งให้อยู่บนโลกมนุษย์แล้ว และเมื่อลองคิดดูอีกครั้ง ถึงแม้ว่าโลกิจะคิดถึงการลับเหลี่ยมลับคมระหว่างเขากับพี่ชายแสนรักแสนเกลียดของเขามากเพียงใดก็ตาม แต่เขาก็คงไม่ลงทุนพาตัวธอร์กลับมาที่นี่เพื่อทวงบัลลังค์แอสการ์ดคืนจากเขาเป็นแน่

ท่ามกลางการค้นหาวิธีทางเพื่อกำจัดความสงบสุขที่แสนจะน่าเบื่อหน่ายนี้ออกไปเสีย แวบหนึ่งโลกิคิดจะเปิดสงครามกับอาณาจักรอื่น แวบหนึ่งเขาคิดว่าจะกลับไปทำตามแผนการในการทำลายโยธันไฮม์อีกครั้งหลังจากความพยายามครั้งแรกของเขาถูกทำลายอย่างย่อยยับด้วยน้ำมือของธอร์ แต่เมื่อลองมาคิดดูอีกทีว่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยักษ์น้ำแข็งนั้นคงช่วยให้เขาหายเบื่อได้เพียงช่วงเดียวเท่านั้น อีกทั้งมันยังเป็นการทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจและความภักดีของอาณาจักรอื่น ๆ อีกหากข่าวแพร่งพรายออกไปว่าราชาคนใหม่แห่งแอสการ์ดฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พวกโยธันโดยไม่มีสาเหตุ โลกิก็จำเป็นต้องละทิ้งความคิดนี้เสียแล้วกลับมาหาหนทางวิธีอื่นเพื่อดึงความสนใจของเขาออกจากการคิดถึงฟริกก้าแทน

แต่หลังจากใช้ความคิดอยู่ได้ไม่นานเท่าไหร่นัก ขณะที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังค์ของแอสการ์ดซึ่งเดิมเคยเป็นของโอดินนั้น ทหารนายหนึ่งก็รุดหน้าเข้ามาหาเขาด้วยท่าทีเร่งรีบเพื่อแจ้งข่าวกับเจ้าเหนือหัวของเขา และมันคงเป็นข่าวที่ทำให้โลกิรู้สึกพออกพอใจไม่น้อยหลังจากได้รับฟังเมื่อนายทหารคนดังกล่าวคุกเข่าลงตรงหน้าโลกิพร้อมกับรายงานออกมาด้วยน้ำเสียงละล่ำละลักว่า

“ฝ่าบาทเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว!”

“เรื่องใหญ่ที่เจ้าว่านั่นคือเรื่องอะไรกัน” โลกิถามด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย เขายังคงไม่ยอมลุกจากบัลลังค์หากแต่ดวงตาสีฟ้าอมเขียวของเขาจับจ้องนายทหารคนนั้นอย่างสนใจเมื่อทหารคนดังกล่าวเงยหน้าขึ้นก่อนจะรายงานให้เจ้าเหนือหัวของเขาฟังว่า

“นอร์นไฮม์ก่อกบฎพะย่ะค่ะ” สิ้นเสียงนายทหารคนดังกล่าว รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ผุดขึ้นบนใบหน้าของซีดเซียวของโลกิหลังจากที่เขามีท่าทีตกใจอยู่เพียงครู่เดียวเท่านั้น ราชาแห่งแอสการ์ดลุกขึ้นจากบัลลังค์ขณะที่สายตากำลังจับจ้องนายทหารคนนั้นอย่างพอใจ มือข้างหนึ่งกำคฑาไว้ก่อนที่เขาจะสั่งออกไป

“ถ้าเช่นนั้นนอร์นไฮม์ก็จะต้องชดใช้ในการกระทำของพวกมัน เจ้าไปตามเลดี้ซิฟกับนักรบทั้งสามมา” เขาสั่งอย่างไม่ลังเล สิ้นเสียงเจ้าเหนือหัว นายทหารคนดังกล่าวก็รุดไปหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาอย่างรวดเร็ว ทางด้านโลกินั้นได้แต่มองตามแผ่นหลังที่หายลับไปของนายทหารคนดังกล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์และสายตาที่บ่งบอกถึงความพึงพอใจไม่แพ้ในครั้งที่เขาจ้องมองธอร์เดินจากเขาไปโดยทิ้งบัลลังค์แอสการ์ดให้เป็นของขวัญเขาเลยแม้แต่น้อย

ในที่สุดก็มีเรื่องมาให้เขาทำแก้เบื่อเสียที!





************************************************************






 

Create Date : 09 เมษายน 2557    
Last Update : 9 เมษายน 2557 21:24:28 น.
Counter : 1101 Pageviews.  


piksi
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 95 คน [?]




สวัสดีค่ะ เรา piksi นะคะ เรียกสั้น ๆ ว่าพิกก็ได้ค่ะ เราเป็นแฟนแฮร์รี่ พอตเตอร์คนหนึ่งที่ชื่นชอบคู่ D/Hr มากเลยค่ะ รวมทั้งรัก Tom Felton สุดหัวใจ >-< ใครที่ชอบคู่นี้และชื่นชอบทอมเหมือนกัน เค้ามาคุยกันนะคะ
Friends' blogs
[Add piksi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.