คุยไปเรื่อยๆตามประสาเด็กหัวตลาด

ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๓ : พงศาวดารเมืองสงขลา ตอนที่ ๑

พงษาวดารเมืองสงขลา
พระยาวิเชียรคิรี (ชม) เมื่อยังเปนพระยาสุนทรานุรักษ์ เรียบเรียง


ข้าพเจ้า พระยาสุนทรานุรักษ์ (ชม) ผู้ว่าราชการเมืองสงขลา ได้คิดเรียบเรียงเรื่องราวตระกูลเมืองสงขลาขึ้นไว้ เพื่อจะได้ทราบทั่วกัน เดิมครั้ง ๑ เมืองสงขลาเปนเมืองแขก ตั้งอยู่ริมเขาแดง เจ้าเมืองชื่อสุลต่านสุเลมัน ๆ ได้สร้างป้อมขุดคูเมืองแลจัดแจงสร้างบ้านเมืองเสร็จแล้ว ยอมขึ้นกับกรุงศรีอยุธยาโบราณ ครั้นสุลต่านสุเลมันถึงแก่อนิจกรรมแล้ว บุตรแลหลานคนหนึ่งคนใดก็ไม่ได้เปนผู้ครองเมืองสืบตระกูลต่อไป เมื่อสุลต่านสุเลมันสร้างบ้านเมืองขึ้นนั้นไม่ปรากฏว่าศักราชเท่าใด ตั้งแต่สุลต่านสุเลมันถึงอนิจกรรมแล้ว เมืองก็รกร้างว่างเปล่าอยู่ช้านาน แต่ป้อมที่ฝังศพสุลต่านนั้นราษฎรเรียกกันว่ามรหุมต่อมาจนทุกวันนี้ เมื่อปีมเมีย โทศก ศักราช ๑๑๑๒ จีนคนหนึ่งแซ่เฮ่า ชื่อเหยี่ยง ชาวเมืองเจี่ยงจิ้วหู ตำบลบ้านเส้หิ้นเหนือเมืองแอมุ่ย มาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองเก่าของสุลต่านริมเขาแดง ราษฎรชาวบ้านชวนกันเรียกจีนเหยี่ยงว่าตั้วแปะ ๆ ทำสวนปลูกผักกาดขายอยู่ปีหนึ่ง ครั้นณ ปีมแม ตรีศก ตั้วแปะรื้อเรือนขึ้นไปอยู่ตำบลบ้านทุ่งอาหวังแขวงเมืองจะนะ สร้างสวนปลูกพลูขายอยู่ ๓ ปี
ครั้น ณ ปีรกา เบญจศก ตั้วแปะกลับลงมาตั้งเรือนอยู่ตำบลบ้านบ่อยางที่บ้านหลวงบริรักษ์ภูเบนทร์ในเมืองสงขลา ช่วยทาษ ๔ ครัวให้ดักโพงพาง ครั้น ณ ปีขาล สัมฤทธิศก ตั้วแปะรื้อเรือนไปตั้งค้าขายอยู่ฟากแหลมสน ตั้วแปะมีภรรยากับชาวเมืองพัทลุงมีบุตร ๕ คน บุตรที่ ๑ ชื่อบุญหุ้ย บุตรที่ ๒ ชื่อบุญเฮี้ยว บุตรที่ ๓ ชื่อบุญซิ้น บุตรที่ ๔ ชื่อเถี้ยนเส้ง บุตรที่ ๕ ชื่อยกเส้ง เมื่อ ณ ปีชวด สัมฤทธิศก ศักราช ๑๑๓๐ หลวงนายสิทธิ์เปนที่พระปลัดเมืองนครศรีธรรมราช เจ้าพระยานครถึงแก่อสัญญกรรมพระปลัดตั้งตัวขึ้นเปนเจ้า ให้นายวิเถียนกรมการชาวเมืองนครศรีธรรมราชมาเปนผู้ว่าราชการเมืองสงขลา ตั้งบ้านเรือนอยู่ฟากแหลมสน ราษฎรเรียกกันว่าหลวงสงขลาวิเถียน
เมื่อศักราช ๑๑๓๑ ปีฉลู เอกศก เจ้าตากยกกองทัพหลวงมาตีเมืองนครศรีธรรมราชแตกแล้ว ยกกองทัพเลยมาตั้งอยู่ณเมืองสงขลา หลวงสงขลาวิเถียนหนีเจ้าตากไปกับเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช เจ้าตากตั้งให้นายโยมคนชาวเมืองสงขลาเปนพระสงขลา ให้ขึ้นอยู่กับเมืองนครศรีธรรมราชตามเดิม ครั้งนั้นตั้วแปะทำบาญชีทรัพย์สิ่งของบุตรภรรยาข้าทาษกับยาแดง ๕๐ หีบของตั้วแปะ ถวายกับเจ้าตากทั้งสิ้น ตั้วแปะขอรับทำอากรรังนกเกาะสี่เกาะห้า ถวายเงินปีละ ๕๐ ชั่ง เจ้าตากก็คืนทรัพย์สิ่งของทั้งนั้นให้แก่ตั้วแปะ ทรงรับไว้แต่ยาแดง ๕๐ หีบ แล้วตั้งตั้วแปะเปนที่หลวงอินทคิรีสมบัติ นายอากรทำอากรรังนกเกาะสี่เกาะห้า แล้วเจ้าตากขอเอาบุตรที่สามของหลวงอินทคิรีสมบัติ ชื่อบุญซิ้น พาไปเปนมหาดเล็กคนหนึ่งอยู่ณกรุงเทพ ฯ ตั้งแต่นั้นมาราษฎรจึ่งเรียกตั้วแปะซึ่งเปนที่หลวงอินทคิรีสมบัติว่า จอมแหลมสนบ้าง ขรัวแปะบ้าง หลวงอินทคิรีก็ได้ทำอากรรังนกส่งเข้าไปกรุงเทพ ฯ ทุกปีต่อมามิได้ขาด
ครั้นปีมเสง เบญจศก ศักราช ๑๑๓๕ เจ้าตากรับสั่งให้ข้าหลวงเปนแม่กองออกมาสักเลขเมืองสงขลา ข้าหลวงแม่กองสักเลขออกมาอยู่สองปี ครั้นเสร็จราชการแล้วกลับเข้าไปกรุงเทพ ฯ
ครั้นปีมแม สัปตศก ศักราช ๑๑๓๗ หลวงอินทคิรีสมบัติ (เหยี่ยง) คุมเงินอากรรังนกกับสิ่งของต่าง ๆ เข้าไปถวายเจ้าตาก ณ กรุงเทพ ฯ เจ้าตากรับสั่งกับข้าราชการว่า หลวงอินทคิรีสมบัติ (เหยี่ยง) คนนี้ เปนข้าหลวงเดิมสามิภักดิ์มาช้านาน ควรที่จะชุบเลี้ยงให้เปนเจ้าบ้านเจ้าเมืองผู้ใหญ่ได้ มีรับสั่งว่าพระสงขลาโยมเปนคนไม่ได้ราชการ ไม่ควรจะให้เปนผู้ว่าราชการเมืองสืบต่อไป จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้หลวงอินทคิรีสมบัติ (เหยี่ยง) เปนหลวงสุวรรณคิรีสมบัติ ผู้ว่าราชการเมืองสงขลา ให้ขึ้นอยู่กับเมืองนครศรีธรรมราช แล้วมีตราโปรดเกล้าฯ หาตัวพระสงขลาโยมเข้าไป ณ กรุงเทพฯ ถอดออกเสียจากราชการ หลวงสุวรรณคิรีสมบัติ (เหยี่ยง) กลับออกมาถึงเมืองสงขลา ตั้งให้นายฉิมบุตรพระสงขลาโยมเปนขุนรองราชมนตรี คุมไพร่ส่วยดีบุกจะนะเก้าหมวดทำราชการอยู่ในหลวงสุวรรณคิรีสมบัติ (เหยี่ยง)
เมื่อศักราช ๑๑๓๙ ปีรกา นพศก เจ้าพระยานครศรีธรรมราช มีหนังสือให้กรมการออกมาเก็บเอาผู้หญิงช่างทอหูก แลบุตรสาวกรมการบุตรสาวราษฎรชาวเมืองสงขลา พาไปเมืองนครศรีธรรมราชหลายสิบคน ครั้งนั้นหลวงสุวรรณคิรีสมบัติ (เหยี่ยง) ผู้ว่าราชการเมืองสงขลา เข้าไปเฝ้ากราบบังคมทูลพระกรุณาว่า เจ้าพระยานครศรีธรรมราชแต่งกรมการให้ไปเก็บเอาผู้หญิงช่างทอหูก แลบุตรสาวกรมการ บุตรสาวราษฎร ชาวเมืองสงขลาพาไปเมืองนครศรีธรรมราชเสียหลายสิบคน ราษฎรได้ความเดือดร้อนยิ่งนัก ขอพระบารมีปกเกล้า ฯ เปนที่พึ่ง รับสั่งว่าเมืองนครศรีธรรมราชกับเมืองสงขลาวิวาทกันไม่รู้แล้ว โปรดเกล้า ฯ ให้มีตราออกมาถึงเมืองนครศรีธรรมราช ให้ยกเมืองสงขลาขึ้นกับกรุงเทพ ฯ หลวงสุวรรณคิรีสมบัติ (เหยี่ยง) กราบถวายบังคมลาออกมาเมืองสงขลา
ครั้น ณ ปีขาล จัตวาศก ศักราช ๑๑๔๔ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ปราบดาภิเศกเถลิงถวัลยราชสมบัติ ในปีนั้นเจ้าพระยานครศรีธรรมราชถึงแก่อสัญญกรรม ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ตั้งให้บุตรเขยเจ้าพระยานคร เปนเจ้าพระยานครศรีธรรมราช ครั้งนั้นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรมพระราชวังบวรสถานมงคล กราบบังคมทูลพระกรุณาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า เจ้าพระยานครศรีธรรมราชคนนี้กับหลวงสุวรรณคิรีสมบัติผู้ว่าราชการเมืองสงขลา เปนคนรักใคร่สนิทกัน ขอรับพระราชทานให้เมืองสงขลาขึ้นกับเมืองนครศรีธรรมราชตามเดิม ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีตราออกมาถึงหลวงสุวรรณคิรีสมบัติ (เหยี่ยง) ให้ยกเมืองสงขลาขึ้นกับเมืองนครศรีธรรมราชเหมือนอย่างแต่ก่อนสืบต่อไป เมืองสงขลาจึ่งได้กลับไปขึ้นอยู่กับเมืองนครศรีธรรมราชอิก
ครั้น ณ ปีมโรง ฉศก ศักราช ๑๑๔๖ หลวงสุวรรณคิรีสมบัติ (เหยี่ยง) ป่วยเปนไข้หมอพยาบาลอาการหาคลายไม่ ครั้น ณ วัน ๕ ๑๑ ค่ำ หลวงสุวรรณคิรีสมบัติ (เหยี่ยง) ถึงแก่กรรม เปนหลวงอินทคิรีสมบัติคุมเลขทำอากรรังนกอยู่ ๖ ปี เลื่อนเปนหลวงสุวรรณคิรีสมบัติ ผู้ว่าราชการเมืองสงขลา ๙ ปี เมื่อถึงแก่กรรมอายุได้ ๖๘ ปี บุตรแลหลานได้ฝังศพไว้ริมเขาแหลมสน จาฤกอักษรจีนไว้ในป้ายศิลาตามอย่างธรรมเนียมจีนแล้ว
ในปีมโรง ฉศกนั้น นายบุญหุ้ยบุตรที่หนึ่งหลวงสุวรรณคิรีสมบัติ เข้าไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ณกรุงเทพ ฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้นายบุญหุ้ยเปนที่หลวงสุวรรณคิรีสมบัติ ผู้ว่าราชการเมืองสงขลา หลวงสุวรรณคิรีสมบัติ (บุญหุ้ย) กราบถวายบังคมลาออกมาเมืองสงขลา
เมื่อปีมเสง สัปตศก ศักราช ๑๑๔๗ โปรดเกล้า ฯ ให้ข้าหลวงเปนแม่กองออกไปสักเลขเมืองสงขลา สักแขนขวาได้เลข ๗๖๗๒ คน เมื่อปีมเสง สัปตศก มีตราโปรดเกล้า ฯ ออกมาเมืองสงขลา ให้ต่อเรือหูช้าง ๓๐ ลำ ปากกว้างแปดศอกยาวเก้าวาสำหรับรักษาพระนครหลวงสุวรรณคิรีสมบัติ (บุญหุ้ย) เกณฑ์ไพร่ตัดไม้ต่อเรือยังไม่เสร็จ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงจักรเจษฎาเสด็จออกมาเร่งให้ต่อเรือ ตั้งพลับพลาประทับอยู่ณบ้านบ่อเตยประทับแรมอยู่เดือนหนึ่ง เรือที่ต่อยังไม่สำเร็จ เสด็จกลับเข้าไปกรุงเทพฯ
ครั้น ณ ปีมเมีย อัฐศก ศักราช ๑๑๔๘ พม่าข้าศึกยกกองทัพมาตีเมืองนครศรีธรรมราชแตก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ยกกองทัพหลวงเสด็จออกมาตีเอาเมืองนครคืนได้ ยังประทับอยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราช ครั้งนั้นขุนรองราชมนตรีเปนบุตรพระสงขลาโยมนอกราชการ ขัดเคืองกับหลวงสุวรรณคิรีสมบัติ (บุญหุ้ย) ผู้ว่าราชการเมืองสงขลา ขุนรองราชมนตรีทราบว่าเมืองนครศรีธรรมราชเสียแก่พม่าข้าศึกแล้ว ขุนรองราชมนตรีมีใจกำเริบ ซ่องสุมผู้คนบ่าวไพร่ในกองขุนรองราชมนตรีตำดินดำที่บ้านศีศะเขา จะเข้าตีเอาค่ายตำบลบ้านบ่อยางฟากน้ำตวันออก หลวงสุวรรณคิรีสมบัติ (บุญหุ้ย) ทราบว่าขุนรองราชมนตรีคิดขบถ จึ่งแต่งให้กรมการขึ้นไปกวาดต้อนคนในแขวงเมืองสงขลามาทางบกทางเรือ ขุนรองราชมนตรีให้คนไปสกัดทางชิงเอาคนทางบกทางเรือเสียทั้งสิ้น ได้คนแลเรือมากแล้วตั้งรวมกันอยู่ที่บ้านศีศะเขา หลวงสุวรรณคิรีสมบัติ (บุญหุ้ย) เห็นว่าคนในค่ายน้อยตัว จึ่งจัดแจงผ่อนบุตรภรรยาขนเข้าของลงเรือใหญ่ถอยไปทอดอยู่ที่เกาะหนูสองลำ แต่ตัวหลวงสุวรรณคิรีสมบัติ (บุญหุ้ย) อยู่ในค่ายตำบลบ้านบ่อยาง ขุนรองราชมนตรีให้นายทิดเพ็ชรคุมไพร่พันเศษ ขุนรองราชมนตรีคุมไพร่พันเศษ เวลาเช้าเข้าตีค่ายตำบลบ้านบ่อยาง นายทิดเพ็ชรเข้าตีด้านทักษิณ ขุนรองราชมนตรีเข้าตีค่ายด้านตวันตกริมน้ำ หลวงสุวรรณคิรีสมบัติ (บุญหุ้ย) อยู่ในค่ายให้ยิงปืนคาบศิลาถูกขุนรองราชมนตรีแต่ไม่บาดเจ็บ ถูกไพร่ในลำเรือของขุนรองราชมนตรีบาดเจ็บตกน้ำตายเปนอันมาก ขุนรองราชมนตรีล่าทัพไปอยู่แหลมฝาด คนรักษาค่ายด้านทักษิณเปนใจเข้าด้วยขุนรองราชมนตรี เปิดประตูให้นายทิดเพ็ชรเข้าในค่ายได้ หลวงสุวรรณคิรีสมบัติ (บุญหุ้ย) เห็นการจะต่อสู้ขุนรองราชมนตรีนายทิดเพ็ชรไม่ได้ จึ่งลงเรือเล็กหนีไปขึ้นเรือใหญ่ที่เกาะหนูใช้ใบเข้าไปกรุงเทพฯ ขณะนั้นขุนรองราชมนตรีรั้งเมืองสงขลาอยู่ ๔ เดือน หลวงสุวรรณคิรีสมบัติ (บุยหุ้ย) เข้าไปถึงกรุงเทพ ฯ เข้าเฝ้ากราบบังคมทูลพระกรุณาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า ขุนรองราชมนตรีบุตรพระสงขลาโยมนอกราชการ กับนายทิดเพ็ชรเปนขบถตีเอาเมืองสงขลาได้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ รับสั่งว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ยกกองทัพหลวงไปประทับอยู่ที่เมืองนครแล้ว ให้หลวงสุวรรณคิรีสมบัติ (บุญหุ้ย) ตามไปกราบบังคมทูลที่เมืองนครศรีธรรมราชเถิด ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้พระสงขลาโยมนอกราชบิดาขุนรองราชมนตรีออกมาด้วยหลวงสุวรรณคิรีสมบัติ (บุญหุ้ย) ๆ ให้บุตรภรรยาอยู่ที่กรุงเทพฯ พระสงขลาโยมนอกราชการกับหลวงสุวรรณคิรีสมบัติ (บุญหุ้ย) ออกมาเรือลำเดียวกัน มาถึงเมืองนครศรีธรรมราช พระสงขลาโยมนอกราชการ กับหลวงสุวรรณคิรีสมบัติ (บุญหุ้ย) ขึ้นเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรมพระราชวังบวรสถานมงคล กราบบังคมทูลว่าขุนรองราชมนตรีกับนายทิดเพ็ชรเปนขบถตีเอาเมืองสงขลาได้ รับสั่งว่าให้พระสงขลาโยมนอกราชการ กับหลวงสุวรรณคิรีสมบัติ (บุญหุ้ย) ออกมาทำพลับพลาไว้ที่เมืองสงขลาก่อน เสร็จราชการเมืองนคร ฯ แล้วจะเสด็จมาเมืองสงขลา พระสงขลาโยมนอกราชการ กับหลวงสุวรรณคิรีสมบัติ (บุญหุ้ย) กราบถวายบังคมลามาเมืองสงขลาให้นายหมวดนายกองเกณฑ์ไพร่ทำพลับพลาที่ตำบลบ้านบ่อพลับ ขุนรองราชมนตรีก็มาทำพลับพลาอยู่ด้วย ทำพลับพลาอยู่ ๑๘ วัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ยกกองทัพหลวงเสด็จมาถึงเมืองสงขลา ขึ้นประทับพลับพลาตำบลบ้านบ่อพลับ หลวงสุวรรณคิรีสมบัติ (บุญหุ้ย) พระสงขลา (โยม)นอกราชการ ขุนรองราชมนตรีกับนายทิดเพ็ชรเข้าเฝ้าพร้อมกัน ทรงพระกรุณารับสั่งถามตามธรรมเนียมแล้ว ทรงพระกรุณาให้มีตราไปหาตัวพระยาไทร พระยาตรังกานู พระยากลันตัน พระยาปัตตานี เข้ามาเฝ้าให้พร้อมกันที่เมืองสงขลา จะได้ทรงจัดแจงบ้านเมืองให้เรียบร้อย พระยาไทร พระยาตรังกานู พระยากลันตัน แต่งให้บุตรหลานศรีตวันกรมการ นำพาสิ่งของเข้ามาทูลเกล้า ฯ ถวาย แต่พระยาตานีแขงตัวอยู่ ทรงขัดเคืองพระยาตานี ทรงพระกรุณารับสั่งว่า ให้กองทัพหลวงออกไปเหยียบเมืองตานีเสียให้ยับเยิน ขณะนั้นแขกเมืองตานีพาเรือมาค้าขายอยู่ที่เมืองสงขลาลำหนึ่ง รับสั่งให้ยุดเอาคนแลเรือไว้ มอบให้ขุนรองราชมนตรีเปนผู้คุม ครั้งนั้นนายจันทองเพื่อน ๑๐ ครัว เปนไทยเดิมเมืองนครศรีธรรมราช ตกไปอยู่เมืองตานีเสียช้านาน พาบุตรภรรยาหนีเข้ามาเมืองสงขลา นายจันทองแจ้งความกับหลวงสุวรรณคิรีสมบัติ (บุญหุ้ย) ผู้ว่าราชการเมืองสงขลาว่า พระยาตานีทราบความว่ากองทัพหลวงจะยกไปตีเมืองตานี พระยาตานีให้เกณฑ์ไพร่ทำค่ายที่ปากน้ำเมืองตานีค่ายหนึ่ง ที่บ้านพระยาตานีค่ายหนึ่ง กวาดเอาผู้คนเข้าไว้ในค่ายเปนอันมาก นายจันทองเห็นเรือกองทัพใหญ่ทอดอยู่ปากน้ำเมืองตานี ๗ ลำ แขกเมืองตานีเห็นเรือกองทัพไทยน่าเมืองตกใจกลัว ประชุมพูดกันว่า ตายายแขกสั่งไว้ว่าศึกมาแต่ทักษิณให้สู้ ศึกมาแต่อุดรอย่าให้สู้เลย บัดนี้กองทัพหลวงมาทอดอยู่น่าเมืองตานีแล้ว ให้คิดอ่านพาอพยพหนีแต่ยาว พวกแขกเมืองตานีพูดกันดังนี้ นายจันทองกลัวว่าพระยาตานีจะฆ่าบุตรภรรยาของนายจันทองเสีย นายจันทองคิดอ่านสอดแนมเข้าไปฟังการในบ้านพระยาตานี ได้ยินพระยาตานีปฤกษากับศรีตวันกรมการผู้ใหญ่ผู้น้อยว่า กองทัพไทยยกมาทอดอยู่ที่ปากน้ำเมืองตานีแล้วจะคิดอย่างไร นายจันทองรับอาสากับพระยาตานีว่า นายจันทองจะขอเปนแม่กองคุมพวกนายจันทองแลพวกแขกลงไปรักษาค่ายปากน้ำเมืองตานีไว้ ไม่ให้กองทัพไทยเข้ามาในเมืองตานีได้ จะขอปืนใหญ่ปืนน้อยกระสุนดินดำเสบียงอาหารกับเรือปากกว้าง ๕ ศอกสักลำ ถ้านายจันทองยิงเรือกองทัพไทยจมลง นายจันทองจะได้ลงเรือไปจับเอาพวกกองทัพไทยโดยง่าย พระยาตานีก็เห็นด้วย จึ่งจัดเสบียงอาหารกระสุนดินดำกับเรือลำหนึ่ง ให้นายจันทองไปรักษาค่ายปากน้ำ นายจันทองกับเพื่อนนายจันทองจัดแจงเรือพร้อมแล้ว เวลากลางคืนนายจันทองกับพวกเพื่อนพาเรือเล็ดลอดเข้าไปในเมืองตานี ขึ้นไปเรือนขนข้าวของแลบุตรภรรยาลงเรือ มาทอดอยู่ที่ค่ายปากน้ำ เวลาเข้านายจันทองเพื่อนนายจันทองแต่งตัวเปนภาษาไทยออกเรือยกธงขาวมาใกล้เรือกองทัพไทย นายจันทองร้องบอกพวกเรือกองทัพไทยว่าให้ยิงปืนเถิด พวกแขกในเมืองตานีจัดแจงจะพาบุตรภรรยาหนีอยู่แล้ว พวกญวนกองทัพไทยเรียกให้นายจันทองแอบเรือเข้าไปใกล้จะได้สืบข่าวราชการ นายจันทองบอกความว่า หลวงสุวรรณคิรีสมบัติ (บุญหุ้ย) แต่งให้มาสืบราชการเมืองตานีได้ความแล้วช้าอยู่ไม่ได้จะเร่งรีบกลับไป นายจันทองก็แจวเรือมาเมืองสงขลา มาสักครู่หนึ่งพวกเรือกองทัพไทยยิงปืนใหญ่ พวกแขกในค่ายปากน้ำยิงปืนใหญ่รับนัดหนึ่ง แล้วพวกแขกออกจากค่ายปากน้ำเข้าในเมืองตานี แขกในเมืองตานีแตกตื่นพาอพยพออกจากเมืองไปเปนอันมาก พวกญวนกองทัพไทยเห็นแขกทิ้งค่ายปากน้ำเสีย กองทัพไทยลงเรือสำปั้นขึ้นบนตลิ่งเข้าอยู่ในค่ายปากน้ำ นายจันทองมาพบเรือกองทัพไทยที่น่าเมืองเทพา ๓ ลำ นายจันทองบอกว่ากองทัพไทยตีค่ายปากน้ำเมืองตานีได้แล้ว ให้เร่งรีบไปเถิด นายจันทองก็เลยมาถึงบ้านแหลมทรายปากน้ำเมืองสงขลา พวกข้าหลวงกองตระเวนซึ่งรักษาปากน้ำเมืองสงขลา เรียกให้นายจันทองหยุดเรือ นายจันทองบอกว่าเรือสืบราชการร้อนเร็วจะหยุดช้าอยู่ไม่ได้ นายจันทองแจวเรือเลยเข้ามาในเมืองสงขลา หลวงสุวรรณคิรีสมบัติ (บุญหุ้ย) ได้ทราบความดังนั้นแล้ว พาตัวนายจันทองเข้าเฝ้ากราบบังคมทูลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรมพระราชวังบวรสถานม฀งคลว่า หลวงสุวรรณคิรีสมบัติ (บุญหุ้ย) แต่งเรือเล็กให้นายจันทองเพื่อน ๔ คนเล็ดลอดเข้าไปสืบราชการเมืองตานี ทราบความว่าแขกเมืองตานีไม่คิดจะสู้ คิดจะหนีทั้งสิ้น นายจันทองได้บอกเรือกองทัพน่าซึ่งไปทอดอยู่ปากน้ำ เมืองตานีให้ยิงปืนใหญ่ พวกแขกได้ยินเสียงปืนหนีออกจากคายปากน้ำเข้าในเมือง กองทัพน่าขึ้นชิงเอาค่ายปากน้ำเมืองตานีได้แล้ว แขกในเมืองตานีพาอพยพหนีไปเปนอันมาก รับสั่งว่าหลวงสุวรรณคิรี (บุญหุ้ย) อุส่าห์แต่งให้คนไปสืบราชการเมืองตานีได้ความชัดแจ้งดังนี้สิ้นวิตก รับสั่งให้เร่งจัดแจงกองทัพลงไประดมตีเมืองตานี จับเอาตัวพระยาตานีให้จงได้ หลวงสุวรรณคิรีสมบัติ (บุญหุ้ย) กราบบังคมทูลว่า แขกเรือเมืองตานีซึ่งให้ขุนรองราชมนตรีคุมไว้นั้นพาเรือหนีไปได้ กับพระยาจะนะน้องพระยาพัทลุงคิดขบถมีหนังสือลับไปถึงพม่าข้าศึกให้ยกมาตีเมืองสงขลา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาพัทลุงพี่ชายพระยาจะนะเปนตระลาการชำระ พระยาจะนะรับเปนสัตย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับสั่งให้ประหารชีวิตรเสียพร้อมด้วยขุนรองราชมนตรี แต่นายทิดเพ็ชรนั้นเข้าหาพระยากลาโหมราชเสนา ๆ กราบบังคมทูลขอรับพระราชทานโทษนายทิดเพ็ชรไว้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรมพระราชวังบวรสถานมงคล เสด็จยกทัพหลวงลงไปประทับอยู่เมืองตานี พวกกองทัพจับตัวพระยาตานีได้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จำตัวพระยาตานีไว้ แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้พวกกองทัพเข็นปืนทองเหลืองใหญ่ในเมืองตานี ๒ บอกลงเรือรบ แต่ปืนกระบอกหนึ่งตกน้ำเสียที่ท่าน่าเมืองตานี ได้ไปแต่กระบอกเดียว คือปืนนางพระยาตานีเดี๋ยวนี้ ประทับอยู่เมืองตานีเดือนเศษเสร็จ
ราชการแล้วยกทัพหลวงเสด็จกลับเข้าไปกรุงเทพ ฯ ครั้งนั้นหลวงสุวรรณคิรีสมบัติ (บุญหุ้ย) กับนายบุญเฮี้ยว นายบุญซิ้น ผู้น้องตามเสด็จเข้าไปณกรุงเทพฯ นายทิดเพ็ชรก็เข้าไปกับพระยากลาโหมราชเสนา ครั้นถึงกรุงเทพ ฯ หลวงสุวรรณคิรีสมบัติ (บุญหุ้ย) กับนายบุญเฮี้ยว นายบุญซิ้นผู้น้อง ขึ้นเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๆ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ เลื่อนให้หลวงสุวรรณคิรีสมบัติ (บุญหุ้ย) เปนพระยาสุวรรณคิรีสมบัติ ผู้ว่าราชการเมืองสงขลาให้นายบุญเฮี้ยวเปน พระอนันตสมบัติ ให้นายบุญซิ้นเปนพระพิเรนทรภักดี ให้นายเถี้ยนเส้งเปนพระสุนทรนุรักษ์ เปนผู้ช่วยราชการทั้ง ๓ คน แต่พระอนันตสมบัติ (บุญเฮี้ยว ) นั้นโปรดเกล้าฯ ให้เปนผู้ว่าราชการเมืองจะนะด้วย แต่เมืองสงขลาให้ขึ้นกับเมืองนครศรีธรรมราชตามเดิม พระยาสุวรรณคิรีสมบัติ (บุญหุ้ย) กับพระอนันตสมบัติ พระพิเรนทร์ พระสุนทรนุรักษ์ กราบถวายบังคมลาพาบุตรภรรยากลับออกมาเมืองสงขลา ในปีวอก สัมฤทธิศก ศักราช ๑๑๕๐
ครั้น ณ ปีจอโทศก พระอนันตสมบัติ (บุญเฮี้ยว) ถึงแก่กรรมที่เมืองจะนะ ได้ทำการเผาศพแลเชิญอัฐิมาฝังไว้ที่ริมเขาแหลมสน ทำเปนฮ่องสุยตามธรรมเนียมเสร็จแล้ว พระยาสงขลา (บุญหุ้ย) มีใบบอกให้นายเถี้ยนจ๋งบุตรพระอนันตสมบัติ ถือเข้าไปกราบบังคมทูลพระกรุณาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า พระอนันตสมบัติ (บุญเฮี้ยว) ถึงแก่กรรม พระ อนันตสมบัติมีบุตรชาย ๓ คน บุตรที่ ๑ ชื่อเถี้ยนเจ๋ง บุตรที่ ๒ ชื่อเถี้ยนเส้ง บุตรที่ ๓ ชื่อเถี้ยนไล่ต่างมารดา พระยาสงขลา (บุญหุ้ย) ขอพระราชทานถวายนายเถี้ยนจ๋งเปนมหาดเล็กทำราชการฉลองพระเดชพระคุณอยู่ในกรุงเทพฯ นายเถี้ยนจ๋งบุตรพระอนันต์ (บุญเฮี้ยว) ก็ทำราชการเปนมหาดเล็กอยู่ณกรุงเทพฯ สืบต่อมา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ปฤกษากับข้าราชการว่า จะได้ผู้ใดเปนผู้ว่าราชการเมืองจะนะ พระยากลาโหมราชเสนากราบบังคมทูลพระกรุณาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอรับพระราชทานให้นายทิดเพ็ชรเปนผู้ว่าราชการเมืองจะนะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้นายทิดเพ็ชรเปนพระมหานุภาพปราบสงคราม ผู้ว่าราชการเมืองจะนะคุมเลขส่วยดีบุกเก้าหมวดขึ้นกับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรมพระราชวังบวรสถานมงคล แต่เมืองจะนะให้อยู่ในบังคับเมืองสงขลาตามเดิม พระมหานุภาพปราบสงครามทิดเพ็ชร กราบถวายบังคมลาออกมาทำราชการฉลองพระเดชพระคุณอยู่ณเมืองจะนะ
ครั้น ณ ปีกุญตรีศก ศักราช ๑๑๕๓ โต๊ะสาเหยดมาแต่ประเทศอินเดียเปนคนรู้เวทมนต์วิชาการต่าง ๆ ไปคบคิดกับพระยาตานีให้ยกทัพมาตีเมืองสงขลา ทัพพระยาตานียกมาตั้งอยู่ที่ริมเขาสะโมรง หลังเขาลูกช้าง พระยาสงขลา (บุญหุ้ย) เกณฑ์ไพร่ไปตั้งค่ายรับอยู่ริมคลองสะโมรง แล้วมีใบบอกเข้าไปกราบบังคมทูลพระกรุณาขอกองทัพหลวงมาช่วยฉบับหนึ่ง มีหนังสือไปขอกองทัพเมืองนครศรีธรรมราชมาช่วยฉบับหนึ่ง เจ้าพระยานครศรีธรรมราชยกกองทัพมาตั้งค่ายอยู่ ณ บ้านบ่อเตยค่ายหนึ่ง ให้มาตั้งอยู่ตำบลบ้านบ่อยางค่ายหนึ่ง เจ้า พระยานครศรีธรรมราช กับพระยาสงขลา (บุญหุ้ย) ปฤกษากำหนดวันจะเข้าตีค่ายโต๊ะสาเหยดให้พร้อมกันในวันนั้น พวกอ้ายโต๊ะสาเหยดยกอ้อมมาทางบางกะดาน ถึงน่าค่ายตำบลบ้านบ่อยาง พวกทัพเมืองนครศรีธรรมราชยิงปืนถูกพวก อ้ายโต๊ะสาเหยดตายประมาณสามร้อยคน พวกอ้ายโต๊ะสาเหยดก็ล่าทัพกลับไป กองทัพเมืองนครศรีธรรมราชเมืองสงขลา ไล่ตามไปทันได้รบกับพวกแขกถึงตลุมบอน พวกแขกแตกเข้าค่ายหลังเขาลูกช้าง อ้ายโต๊ะสาเหยดเศกน้ำมนต์โปรยอยู่ประตูค่ายกองทัพเมืองนครศรีธรรมราช เมืองสงขลา หักเข้าค่ายได้ ยิงอ้ายโต๊ะสาเหยดตายอยู่กับที่ พวกแขกก็ตายเปนอันมาก ที่เหลือตายก็แตกหนีไปสิ้น เจ้าพระยานครศรีธรรมราช พระยาสงขลา (บุญหุ้ย) ให้กองทัพยกตามไปตีเอาเมืองตานีกลับคืนได้ กองทัพเมืองนครศรีธรรมราช เมืองสงขลา ยกกลับมาถึงเมืองสงขลา ๔ วัน ๕ วัน กองทัพหลวงจึ่งยกออกมาถึง หาทันได้สู้รบกับแขกเมืองตานีไม่ พักกองทัพอยู่ในเรือน่าค่ายตำบลบ้านบ่อยางอยู่หลายเวลา พวกญวนในกองทัพวิวาททุบตีกันกับพวกกองทัพเมืองนครศรีธรรมราช พระสุนทรนุรักษ์ผู้ช่วยราชการเมืองสงขลาไปห้ามปรามก็ไม่ทัน พวกกองทัพเมืองนครศรีธรรมราช ไปกราบเรียนเจ้าพระยานครว่า พวกญวนกองทัพเรือกระทำข่มเหงทุบตีพวกกองทัพเมืองนครเจ็บป่วยเปนหลายคน พระสุนทรนุรักษ์ผู้ช่วยราชการเมืองสงขลาดูอยู่ด้วยก็ไม่ห้ามปราม เจ้า พระยานครขัดเคืองกับพระยาสงขลาแลพระสุนทรนุรักษ์แต่นั้นมา กองทัพกรุงเทพ ฯ แลกองทัพเมืองนคร พักอยู่เมืองสงขลา ๗ เดือน จึ่งยกกองทัพกลับไป หลวงปลัด (อ้าย) เมืองสงขลาก็ตามเจ้าพระยานครไปเสียด้วย ในปีนั้นพระยาสงขลา (บุญหุ้ย) กับเจ้าพระยานครเข้าไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวณกรุงเทพ ฯ เจ้าพระยานครกราบบังคมทูลกล่าวโทษพระยาสงขลา (บุญหุ้ย) ว่าทำข่มเหงกับเมืองไทรบุรี ยกเอาตำบลบ้านพะตงกับตำบลบ้านการำแขวงเมืองไทรบุรีเสีย แลยุให้พวกญวนกองทัพวิวาททุบตีพวกกองทัพเมืองนครศรีธรรมราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ รับสั่งถามพระยาสงขลา (บุญหุ้ย) ตามคำเจ้าพระยานครศรีธรรมราชกราบทูลกล่าวโทษพระยาสงขลา (บุญหุ้ย) กราบบังคมทูลว่า ที่ตำบลบ้านพะตงการำเปนที่เขตรแดนเมืองสงขลามาแต่เดิม พระยาสงขลา (บุญหุ้ย) หาได้ทำข่มเหงกับเมืองไทรบุรีไม่ แลพวกญวนกองทัพหลวงทุบตีกับพวกเมืองนครศรีธรรมราชนั้นวิวาทกันขึ้นเอง พระยาสงขลาแลพระสุนทรนุรักษ์ผู้ช่วยราชการ เหลือสติกำลังที่จะห้ามปรามพวกกองทัพหลวง แลพวกกองทัพเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งพระยาสงขลา (บุญหุ้ย) แลพระสุนทรนุรักษ์จะได้ยุให้พวกกองทัพวิวาทกันนั้นหามิได้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ รับสั่งว่า พวกกองทัพทั้งสองทัพไม่อยู่ใต้บังคับพระยาสงขลา (บุญหุ้ย) วิวาทกันขึ้นเอง จะปรับโทษพระยาสงขลา (บุญหุ้ย) พระสุนทรนุรักษ์ผู้ช่วยราชการนั้นไม่ชอบ ที่ตำบลบ้านพะตงการำนั้นถึงจะเปนเขตรเมืองไทรบุรีก็จริง แต่เมืองสงขลาตีเมืองไทรบุรีแลเมืองตานีได้ เมืองสงขลามีความชอบมาก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานยกที่ตำบลบ้านพะตง ตำบลบ้านการำให้เปนเขตรแดนเมืองสงขลา ที่ตำบลบ้านพะตงการำจึ่งได้เปนแขวง
เมืองสงขลาแต่ครั้งนั้นสืบต่อมา แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้พระยาสงขลา (บุญหุ้ย) เปนเจ้าพระยาอินทคิรี ศรีสมุทรสงครามรามภักดี อภัยพิริยบรากรมพาหุ ผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลายกเมืองสงขลาเปนเมืองเอกให้ขึ้นกับกรุงเทพ ฯ โปรดเกล้า ฯ พระราชทานยกเมืองไทรบุรี เมืองตานี เมืองตรังกานู ให้ขึ้นกับเมืองสงขลา เจ้าพระยาสงขลาอยู่ในกรุงเทพ ฯ ได้เก้าเดือน กราบถวายบังคมลากลับออกมาเมืองสงขลา



Create Date : 14 พฤษภาคม 2551
Last Update : 14 พฤษภาคม 2551 11:12:48 น. 0 comments
Counter : 565 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

เด็กหัวตลาด
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เรียนจบหมอ เคยผ่านการเป็นอาจารย์ แล้วลาออกไปเป็นหมอจนๆ เพราะไม่ชอบใช้วิชาชีพหากิน
ปัจจุบันเลิกรักษาคน หันไปบริหารเงิน คอยดูคนอื่นรักษาคนไข้แทน
รับผิดชอบการจัดชุดสิทธิประโยชน์สำหรับโรคเรื้อรัง
และโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงของผู้ป่วยสิทธิหลักประกันสุขภาพ (บัตรทอง ๓๐ บาท)
สนใจเรื่องราวประวัติตระกูล และประวัติศาสตร์บ้านเกิด ณ หัวตลาด หรือตลาดจีนเมืองตานี เป็นพิเศษ
[Add เด็กหัวตลาด's blog to your web]