คุยไปเรื่อยๆตามประสาเด็กหัวตลาด

จดหมายเหตุพระบาทสมเด็จฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสแหลมมลายู คราว ร.ศ.๑๐๗ (ตอนที่ ๒)

@ วันศุกร์ เดือน ๑๐ ขึ้น ๒ ค่ำ ถึงเมืองตรังกานู ๓ โมงเช้า ๔๐ นาฑี
ครั้นเวลาบ่าย ๒ โมง พระยาตรังกานูลงมาในเรือลำหนึ่ง รายามุดาลงมาลำหนึ่ง มีกรมการผู้ใหญ่ลงมาด้วยหลายคน บรรดาพวกที่ลงมานั้นปลดกฤชเสียมิได้เหน็บ เพราะเกรงจะผิดธรรมเนียมไทย มีเรือตามมาด้วย ๓ ลำ คนประมาณ ๑๐๐ เศษ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้าที่เรือพระที่นั่งเวสาตรี พระราชทานตราเครื่องราชอิศริยาภรณ์ มหาสุราภรณ์แก่พระยาตรังกานู แลพระราชทานสัญญาบัตรกับตรามัณฑนาภรณ์แก่รายามุดา แล้วกลับขึ้นไป เวลาบ่าย ๔ โมงมีเรือแห่ลงมา ๑๕ ลำ ๑๖ ลำ คนประมาณ ๕๐๐ คน ๖๐๐ คน เสด็จพระราชดำเนิร ทรงเรือพระที่นั่ง ๑๒ กรรเชียงไปเข้าปากน้ำ เมืองตรังกานูตั้งอยู่ใกล้ทเล เรือตีกรรเชียงขึ้นไปสัก ๓๐ นาฑี ก็ถึงสพานหน้าพลับพลา ซึ่งปลูกไว้ถัดแหลมทรายปากอ่าวเข้าไปหน่อยหนึ่ง พระยาตรังกานู รายามุดา ศรีตวันกรมการลงมาคอยรับอยู่ที่สพานน้ำขึ้นไปประทับบนพลับพลา พลับพลานั้นทำเปน ๕ ห้องเฉลียงรอบใหญ่กว้างกว่าที่เมืองกลันตัน มีปรำแลกั้นฝารอบล้วนแล้วด้วยกระแชงเตยทั้งสิ้น ประทับอยู่ที่พลับพลาครู่หนึ่งแล้วก็เสด็จพระราชดำเนิรทรงเรือพระที่นั่งไปขึ้นหน้าบ้านพระยาตรังกานู ตัวพระยาตรังกานูศรีตวันกรมการไปคอยรับอยู่ที่ท่า แต่ท่านั้นประมาณ ๔ เส้น ๕ เส้นถึงกำแพงบ้านเจ้าเมือง ที่เมืองตรังกานูนี้ก็ได้จัดแขกถือหอกซัดแห่เปนกระบวรหน้าด้วยเหมือนกัน เสด็จพระราชดำเนิรถึงหอนั่งแล้ว พระยาตรังกานูก็กราบบังคมทูลพระกรุณา อัญเชิญเสด็จเข้าไปข้างในมีพวกผู้หญิงนั่งประชุมอยู่ในเรือนหลังกลาง แลหลังข้างตวันออกซึ่งจัดไว้เปนที่รับนั้นประมาณสัก ๒๐๐ คน สวมเสื้อแลคลุมศีร์ษะทั้งสิ้น ตนกูสเปียน้องสาวสุลต่านมหมุด ซึ่งเคยเข้าไปถวายตัวทำราชการอยู่ที่กรุงเทพฯเมื่อในรัชกาลที่ ๔ เปนล่าม การเลี้ยงนั้นตั้งโต๊ะฝรั่ง ใช้โต๊ะกลมแล้วตั้งกับเข้าซ้อนๆขึ้นไปอย่างแขก กับเข้าใช้จานฝรั่งโตๆ
ครั้นเสวยแล้วรับสั่งข้อราชการต่างๆ กับพระยาตรังกานูอยู่จนเวลาจวนค่ำ จึงได้เสด็จกลับเรือพระที่นั่ง ฯ
@ วันเสาร์ เดือน ๑๐ ขึ้น ๓ ค่ำ เวลาบ่ายโมง ๑ เสด็จทรงเรือพระที่นั่งเล็ก มีเรือแห่ ๑๖ ลำ พระยาตรังกานูลงเรือไป ตีกรรเชียงขึ้นไปตามลำน้ำจนสุดบ้านเรือนที่เปนหมู่ใหญ่ กลับลงมาประทับท่าเสด็จขึ้นสพานที่ริมบ้านกัปตันจีน ทรงพระราชดำเนิรไปตามตลาดจีนมีตึกกับเรือนจากปะปนกัน แล้วเลี้ยวไปข้ามอ่าวแต่น้ำแห้งในระหว่างบ้านเรือนอีกหน่อยหนึ่ง จึงถึงตลาดแขกขายของสดคาวผลไม้แลผ้าปนกันไป ถนนที่ในเมืองตรังกานูนี้เปนถนนตัดใหม่ เมื่อเวลาไฟไหม้แล้วกว้างถึง ๔ วา ๕ วา บ้านเรือนก็ดูแน่นหนา ของขายในตลาดมีผลไม้มากกว่าทุกเมือง ลูกลางสาดเหรียญหนึ่งกองโตเกือบจะถึงพันลูก มีมังคุด แลลูกดุกู เหมือนลางสาดแต่เปลือกหนาปอกล่อนแลรสหวานกว่าลางสาด แลมะไฟอย่างใหญ่ชาวนครเรียกว่าลูกรำมะแข ทั้งมะไฟอย่างเล็ก เงาะส้มตรังกานูเต็มไปทั้งตลาด เดิรไปจนสุดถนนถึงดุโมมรฮุม ซึ่งเปนที่ฝังศพเจ้าเมืองแต่ก่อนกับพวกญาติวงศ์เลี้ยวลงทางถนนมาเข้าประตูกำแพงข้างบ้านพระยาตรังกานู ประทับที่หอนั่งอีก พระยาตรังกานูกับพวกผู้หญิงกรมการ ตั้งแต่ผู้ใหญ่ตลอดถึงผู้น้อย มีกิริยาสวามิภักดิ์ในพระเจ้าอยู่หัวสนิทสนมแขงแรงทุกคน พาพวกญาติพี่น้องมาเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาททีละคน ประทับอยู่ในที่นั้นจนเวลาบ่ายเกือบ ๔ โมง จึงได้เสด็จกลับมาเรือพระที่นั่ง พระยาตรังกานูแลรายามุดาตามเสด็จพระราชดำเนิรลงมาส่งเสด็จแลขึ้นเฝ้าบนเรือพระที่นั่งแต่ผู้เดียว แลได้กราบบังคมทูลพระกรุณาเปนการแสดงความซื่อสัตย์สุจริตโดยสนิทสนมมาก ครั้นเสด็จพระราชดำเนิรมาเรืออุบลบุรพทิศ ก็พายเรือตามเข้ามาส่งของถวาย เวลาจะถอยเรือออกไปห่างสะพาน ก็ถวายบังคมอย่างธรรมเนียมไทยโบราณแล้วลอยเรือคอยส่งอยู่จนออกเรือพระที่นั่งไป ได้ออกจากเมืองตรังกานูเวลาบ่าย ๕ โมง แล่นเรือกลับขึ้นทางเหนือ เวลา ๕ ทุ่มทอดสมอที่อ่าวเกาะริดังแขวงเมืองตรังกานูหน้าตวันตก ฯ
@ วันอาทิตย์ เดือน ๑๐ ขึ้น ๔ ค่ำ เวลาย่ำรุ่ง เลื่อนเรือเข้าไปในอ่าวเกาะริดังข้างใต้ ท่วงทีประเทศพื้นที่คล้ายสลักเพ็ชรที่เกาะช้างแขวงเมืองตราดทางตวันออก แต่มีเขามอเล็กๆน้อยๆ แลเกาะเล็กน้อยมาก น้ำในทเลใสสนิทพื้นเปนทรายขาวชักให้เปนสีน้ำงามอย่างยิ่ง แลเห็นปะกะรังและปลาใหญ่ซึ่งว่ายอยู่ใต้น้ำลึกถึง ๕ วา ๖ วา เสด็จลงทรงเรือเล็ก ไปเข้าคลองคล้ายกับคลองที่จะไปบ้านหลวงสลักเพ็ชร ไปติดต้นไม้ล้มทับคลองเสียต้องกลับออกมาขึ้นที่หาดใต้ คลองนั้นมีบ้านคนทำปลา มีต้นมะพร้าวมาก ต้นมะพร้าวนั้นเที่ยวหยอดไปตามซอกเขาเล็กๆที่มีศิลา ๒ ก้อน ๓ ก้อนก็มีต้นมะพร้าว แล้วเสด็จลงจากที่หาดนั้นไปทอดพระเนตรที่ธารน้ำ แต่เปนธารเล็กๆ แล้วเสด็จกลับมาทรงเรือ ออกอ่าวใหญ่ไปประทับอีกอ่าวหนึ่งข้างทิศตวันออกฉียงเหนือ เดสด็จขึ้นบกทรงพระราชดำเนิรเข้าไปตามรอยทางคนถึงที่บ้านคนทำนาเข้าไร่ นายอำเภอแขกรับเสด็จแขงแรง แล้วเสด็จกลับลงเรือพระที่นั่ง ได้ออกจากเกาะริดังในเวลาเที่ยง ฯ
@ วันจันทร์ เดือน ๑๐ ขึ้น ๕ ค่ำ เวลาเช้า ๔ โมง ทอดสมอหน้าเมืองตานี พอเรือพระที่นั่งถึงที่เรือพวกแขกทั้งปวงก็ลงมาถึงที่เรือเวสาตรี ผู้ที่มานั้นเมืองตานี ตัวพระยาตานีถึงแก่อนิจกรรมเสียแล้วยังไม่มีเจ้าเมือง พระศรีบุรีรัฐพินิจว่าราชการแทน ๑ พระพิพิธภักดี ๑ เมืองยิริง พระยายิริง ๑ พระโยธานุประดิษฐ ๑ เมืองสาย พระยาสาย ๑ พระวิเศษวังศา ๑ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานตราภัทราภรณ์ผู้ช่วยทั้ง ๔ คน
ในวันนี้ตรงกับวันประสูติสมเด็จพระนางเจ้าฯ เวลาเที่ยงพอพวกหัวเมืองแขกกลับจากที่เฝ้าทูลลอองธุลีพระบาทแล้ว เรือเวสาตรีสลุต ๒๑ นัด เวลาบ่ายโมง ๑ เสด็จพระราชดำเนิรขึ้นเมืองตานี บ่าย ๒ โมงเลี้ยวถึงท่า ศรีตวันกรมการลงมาคอยรับอยู่ที่ท่าข้างหนึ่งๆมีโรงยาวตั้งโต๊ะเครื่องบูชา พวกบุตรภรรยาญาติพี่น้องเจ้าเมืองตานีเมืองสายลงมารับอยู่ที่ท่าพร้อมกันเปนผู้หญิงทั้งหมดกว่า ๒๐๐ คน ทรงพระราชดำเนิรขึ้นไปตามถนนตลาดแขกขายของสองข้าง จนถึงพลับพลาหน้าบ้านพระยาตานี ระยะทางสัก ๗ เส้น ๘ เส้น พลับพลาทำมุขลดมีเฉลียงหลัง ๑ ข้างในเปนหลังยาวหลัง ๑ ฝีมือทำอย่างเรียบร้อยมาก คนในเมืองตานีนั้นเปนไทยเช่นเมืองสงขลามีมาก การเลี้ยงดูที่นี้ก็ทำท่าทางเหมือนกับเมืองกลันตันเปนแบบเดียวกัน แต่มีเลี้ยงเปนของหวานน้ำร้อนน้ำชา แล้วเสด็จพระราชดำเนิรไปที่หอนั่งพระยาตานี แลเสด็จกลับทางเดิม ทรงเรือพระที่นั่งล่องมาประทับขึ้นที่วัดตานี เสด็จทอดพระเนตรในโบสถ์ ซึ่งพึ่งทำแล้วใหม่เปนอย่างจีนมาก พระพุทธรูปก็ทำใหม่พึ่งจะแล้ว มีพระอยู่ ๑๔ รูป ทรงทราบฯ ว่าการถือน้ำประจำปี เจ้าเมืองกรมการประชุมถือน้ำที่วัดนี้ทุกคราว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินให้ทำศาลาเปนการเปรียญ เปนที่สำหรับเด็กเรียนหนังสือด้วย แลให้เปนที่สำหรับเจ้าเมืองกรมการมาประชุมถือน้ำ แทนศาลาหลังคาจากของเก่า เสด็จกลับจากวัดล่องลงไป ประทับขึ้นที่แพพลับพลาหน้าตลาดจีนซึ่งเขาช่วยกันทำ คือแพเปนของพระศรีบุรีรัฐ ตัวเรือนบนแพเปนของพระพิพิธภักดี ผ้าที่หุ้มดาดเปนของกัปตัน เสด็จทรงพระราชดำเนิรขึ้นจากแพ เสด็จเข้าประตูบ้านจีนตรงไปจนถึงศาลาเจ้าซูก๋ง แลเปนประตูข้างตวันตก เพราะจีนที่นี่ต้องอยู่ในเขตแดนต่างหาก หาไม่พวกแขกข่มเหง แต่เดี๋ยวนี้ค่อยยังชั่วขึ้น จึงได้ตั้งตลาดติดไปตามริมน้ำอีกแถวหนึ่ง มีตึกใหม่ๆสร้างขึ้นอีกบ้าง เสด็จกลับมาจากหมู่บ้านจีนเลี้ยวไปตามตลาดริมคลองพอตลอดแล้ว เสด็จมาทรงเรือพระที่นั่งแพล่องออกมา เปนเวลาน้ำลง เรือติดที่เลนตามร่องต้องเข็น แต่การที่รับเสด็จนั้นเขาก็จัดเต็มมือ จนถึงต้องขุดเลนให้เปนร่องออกมาปักกรุย ๒ ข้าง ต้องเข็นอยู่หน่อยเดียว เสด็จถึงเรือพระที่นั่งเวลาทุ่ม ๑ พวกแขกที่ตามลงมาส่งเสด็จนั้น คือพระศรีบุรีรัฐพินิจ พระพิพิธภักดี พระยาสาย พระยายิริง ผู้ช่วยเมืองยิริง ๒ คน บุตรพระยายิริง ๒ คน พระยาพิทักษ์ธานี ผู้ช่วยเมืองสายอีกคนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้ลงมาแต่แรกนั้น ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานตราภัทราภรณ์ กับทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนตราเครื่องราชอิศริยาภรณ์ซึ่งพระยาสายบุรี พระยายิริงได้รับพระราชทานตรามัณฑนาภรณ์มาแต่ก่อนนั้นเป็นจุลสุราภรณ์ ยามหนึ่งได้ใช้จักรเรือกระบวรออกจากเมืองตานีตรงมาเมืองนครศรีธรรมราช ฯ
-------------------------------------------------------------------------------------------------
๑ สมเด็จพระมาตุฉาเจ้าฯ ในรัชกาลปัจจุบันนี้
๒ ชื่อจูเหลา ต่อมาได้พระราชทานสัญญาบัตร เปนหลวงจีนคณานุรักษ

หมายเหตุของ CVTบ้านโป่ง ที่ถูกต้องชื่อ จูล้าย แซ่ตัน


@ วันอังคาร เดือน ๑๐ ขึ้น ๖ ค่ำ เวลาบ่าย ๓ โมงถึงที่จอดเรือเมืองนครศรีธรรมราช พระยานครศรีธรรมราช ลงมารับเสด็จ ฯ

-------------------------------------------------------------------------------------------------
๑ พระยานคร หนูพร้อม ณนคร ภายหลังเปนเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี



@ วันพุธ เดือน ๑๐ ขึ้น ๗ ค่ำ เสด็จทรงเรือเก๋งพั้งพระยานครจัดลงมารับเสด็จ เจ้านายแลข้าราชการที่ตามเสด็จก็ไปด้วยเรือเมืองนครทั้งนั้น ด้วยปากอ่าวแลน้ำปากพญาทางขึ้นไปเมืองนครน้ำตื้นด้วยทางก็ไกลด้วย เสด็จไปแต่เรือพระที่นั่งเกือบ ๕ ชั่วโมงจึงได้ถึงท่าโพธิ์ซึ่งเปนท่าเสด็จขึ้นบก พระยานครจัดกระบวรรถรับเสด็จไปทางถนนท่าแพ ทางประมาณ ๒๐ เส้นถึงพลับพลาประทับแรมที่หน้าเมือง เมืองนครฯ ตั้งบนที่ดอนเปนคันยาวแต่เหนือลงไปใต้ เรียกว่า “หาดทรายแก้ว” เปนท้องนาที่ลุ่มทั้งสองข้าง เมืองมีป้อมกำแพงสร้างไว้แต่ครั้งกรุงเก่า มีของโบราณอยู่ในเมืองหลายอย่าง ฯ
@ วันพฤหัสบดี เดือน ๑๐ ขึ้น ๘ ค่ำ เสด็จประพาสในเมืองนครศรีธรรมราช คือเทวสถาน อยู่ ๒ ข้างทางที่เข้าไป เปนสถานพระอิศวรสถาน ๑ สถานพระนารายณ์สถาน ๑ มีพราหมณ์ซึ่งสืบสกุลมาแต่โบราณอยู่ประจำ แลมาคอยรับเสด็จถวายน้ำสังข์ณที่นั้น ต่อเทวสถานไปถึงจวนผู้สำเร็จราชการเมือง มีหอพระสิหิงค์อยู่ในจวน เสด็จบูชาพระสิหิงค์แลทอดพระเนตรจวน เจ้าจอมมารดาน้อยใหญ่ในรัชกาลที่ ๓ ธิดาของเจ้าพระยานครน้อย ซึ่งกราบถวายบังคมลาออกมาอยู่บ้านเดิมณเมืองนครมารับเสด็จ แล้วเสด็จไปยังวัดมหาธาตุ ซึ่งอยู่เกือบสุดเมืองข้างด้านใต้ เปนวัดโบราณใหญ่โต องค์พระมหาธาตุเปนรูปพระเจดีย์ลังกาหุ้มทองคำแต่ปลีขึ้นไปจนถึงยอด นับถือกันว่าศักดิ์สิทธินัก เสด็จไปนมัสการแลเวียนเทียนพระมหาธาตุ แล้วโปรดให้มีมหรศพสมโภชวัน ๑ ฯ
@ วันศุกร์ เดือน ๑ แรม ๙ ค่ำ เสด็จจากเมืองนครศรีธรรมราชกลับมาลงเรือพระที่นั่งอุบลบุรพทิศ เวลาบ่ายออกเรือ
ระยะทางเสด็จประพาสต่อไปนี้อีก ๒ วัน ที่ปรากฏในหนังสือราชกิจจานุเบกษาย่นย่อนัก บอกแต่ว่าวันเสาร์ เดือน ๑๐ ขึ้น ๑๐ ค่ำ กำหนดจะถึงเมืองหลังสวน วันอาทิตย์ เดือน ๑๐ ขึ้น ๑๑ ค่ำ ประพาสเขาสามร้อยยอด แล้วกลับมาเข้าปากน้ำเจ้าพระยา มีความพิสดารต่อเมื่อเสด็จกลับถึงกรุงเทพฯ ว่า
วันจันทร์ เดือน ๑๐ ขึ้น ๑๒ ค่ำ ปีชวดสัมฤทธิศก เวลาบ่ายโมง ๑ เรือพระที่นั่งข้ามสันดอนเข้ามาเวลาบ่าย ๒ โมง ถึงพระสมุทเจดีย์ทอดเรือพระที่นั่ง แล้วเสด็จขึ้นบนเกาะพระสมุทเจดีย์ ทรงปิดทองพระพุทธรูปในวิหาร ๓ องค์ มีพิณพาทย์ประโคม แล้วเสด็จกลับลงเรือพระที่นั่ง เวลาบ่าย ๔ โมง ๑๕ นาที เดิรเรือพระที่นั่งออกจากเมืองสมุทรปราการ เวลาทุ่ม ๑ ถึงหน้าท่าราชวรดิษฐ เรือพระที่นั่งเข้าเทียบท่าไม่ได้ด้วยน้ำขึ้นแรง ต้องทอดเรือพระที่นั่งกลางน้ำหน้าท่าราชวรดิษฐ เสด็จลงเรือพระที่นั่งเก๋งมาขึ้นท่าราชวรดิษฐ ประทับพระที่นั่งราชกิจวินิจฉัย ดำรัสกับสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังสีสว่างวงศ์ กรมพระภาณุพันธุวงศ์วรเดช แลพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงศ์วโรประการ แลโปรดเกล้าฯ พระราชทานกฤชซึ่งทรงได้มาแต่แขกเมืององค์ละเล่ม แล้วเสด็จไปประทับตรัสกับเจ้าพระยาพลเทพที่ข้าราชการเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาทครู่หนึ่ง แล้วเสด็จขึ้นพระราชยาน เสด็จพระราชดำเนิรมาประทับพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ทรงจุดเทียนนมัสการในการสวดมนต์ที่จะยกพระมหาเศวตรฉัตร สมเด็จพระพุฒาจารย์ถวายศีล แล้วสมเด็จพระพุฒาจารย์ พระราชาคณะผู้ใหญ่รวม ๑๐ รูป สวดพระพุทธมนต์ เสด็จมาประทับตรัสกับพระบรมวงศานุวงศ์อีกครู่หนึ่งเสด็จขึ้น ฯ



Create Date : 14 ตุลาคม 2550
Last Update : 14 ตุลาคม 2550 19:16:14 น. 2 comments
Counter : 440 Pageviews.  

 
เข้ามาอ่านค่ะ



โดย: รักดี วันที่: 14 ตุลาคม 2550 เวลา:19:06:27 น.  

 
ขอบคุณครับ


โดย: Darksingha วันที่: 20 ตุลาคม 2550 เวลา:13:35:29 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

เด็กหัวตลาด
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เรียนจบหมอ เคยผ่านการเป็นอาจารย์ แล้วลาออกไปเป็นหมอจนๆ เพราะไม่ชอบใช้วิชาชีพหากิน
ปัจจุบันเลิกรักษาคน หันไปบริหารเงิน คอยดูคนอื่นรักษาคนไข้แทน
รับผิดชอบการจัดชุดสิทธิประโยชน์สำหรับโรคเรื้อรัง
และโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงของผู้ป่วยสิทธิหลักประกันสุขภาพ (บัตรทอง ๓๐ บาท)
สนใจเรื่องราวประวัติตระกูล และประวัติศาสตร์บ้านเกิด ณ หัวตลาด หรือตลาดจีนเมืองตานี เป็นพิเศษ
[Add เด็กหัวตลาด's blog to your web]