singapore 2009

หลังจากไม่ได้เขียน blog มานาน (หลังจากล่าสุดไปเคาท์ดาวน์ที่นิวยอร์คคนเดียว เมื่อ ต้นปี 2008 ผมก็กลับมาเมืองไทย ใช้ชีวิตที่บางกอก ตามเดิม แต่ การเดินทางของผมไม่สิ้นสุดครับ เพราะทำงานต้องเดินทางบ่อยมาก)

หลังจากกลับมาผมไป เที่ยวปักกิ่ง ตอนก่อนโอลิมปิคไม่กี่เดือน (ซึ่งจะไม่ขอเล่ารายละเอียดเพราะไม่ได้เป็นคนนำทริปเลยมีข้อมูลไม่มากพอที่จะเอามาเขียนครับ ได้แต่มึนๆถ่ายรูป เดินตามๆเค้าไป อิอิ)

มาเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2009 วันที่ 11-13 ผมจัดทริปขึ้นอีกครั้งคราวนี้ไปใกล้บ้านครับ สิงคโปร์ การไปครั้งนี้ไปครั้งที่สาม แต่ความรู้สึกหลายๆอย่างเปลี่ยนไปมากทีเดียว รู้สึกว่า สถานที่บางที่ก็เปลี่ยนไปด้วย มีสิ่งก่อสร้างมากมาย รถไฟหลายสายขึ้น อะไรที่เคยเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ก็รู้สึกจะลดความสำคัญลงไปด้วย มีที่ใหม่เข้ามา ทำให้ไม่เบื่อและคิดว่าคงไปอีกหลายครั้งแน่ ประเทศนี้เพราะผมชอบในความมี ระเบียบ ความสะอาด และทรัพยากร สำคัญที่สุดในประเทศนี้ "ทรัพยากรมนุษย์"

เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ ใครจะไปสิงคโปร์ถึงแม้จะไม่ต้องขอวีซ่า แต่ก็เช็คพาสปอร์ต ตัวเองหน่อยละกันครับ ว่ายังเหลือวันก่อนหมดอายุ 6 เดือน อย่าทำเปิ่นเหมือนผม จองเครื่องบินไว้แล้วมาฉุดคิดทีหลังแล้วตกใจว่า เฮ้ย มันจะหมดอายุอีกสี่เดือนนี่หว่า สรุป ทำพาสปอร์ตใหม่ต้องใช้เวลา สามวัน(ปกติสองทำการ แต่ โดนวันหยุดอีกหนึ่งวัน) ทำให้ต้องเลื่อนไฟล์ท เสียตังค์อีก การเดินทางครั้งนี้ผมไป air asia ครับ คิดว่าถูกดี (สรุปโดนค่าธรรมเนียม จิปาถะแล้ว พอกับนั่งการบินไทย) สายการบินโลว์คอร์สนี้ มีโปรอยู่เรื่อยครับ ถ้าไม่รีบแล้ว รอโปร ศูนย์บาท หนึ่งบาท หรือไร เถอะ ถูกกว่าเยอะ ไปกลับเนทแล้วอาจจะไม่ถึงพัน หรือพันนิดๆ (พอกับนั่งรถทัวร์ไปเชียงใหม่เลยนี่หว่า) เอาละ เช้าไปเอาพาสปอร์ต ใหม่ ที่เซ็นทรัลบางนา แล้วก็รีบแจ้น ไป สนามบินให้ทัน สิบเอ็ดโมง วันที่ สิบเอ็ด กพ ถึงสนามบินชางฮี ผ่านโน่นผ่านนี่ บวกเวลาไปชั่วโมงนึง ถึงโน่นก็ประมาณบ่ายสาม



ผ่านการตรวจคนเข้าเมือง (มีลูกอมให้หยิบตอนเค้าตรวจพาสปอร์ต อร่อยดี)
จะเห็น tourist information อยู่ ไปหาข้อมูลหยิบแผนที่ หรือถามรายละเอียดก็มีเจ้าหน้าที่ให้การช่วยเหลือดี จากนั้นก็ไปที่สถานีรถไฟซื่งอยู่ในสนามบินนี่แหละ เดินไปหน่อย เรื่องตั๋วรถไฟ MRT ก็จะคล้ายๆกับบ้านเรา แต่เครื่องขายอัตโนมัติ ของเค้าไม่ต้องแลกเหรียญ ใส่แบงค์ได้ ทอนได้ แต่อย่าใส่แบงค์ใหญ่ เดี๋ยวจะหน้าแตกเหมือนผม (ยืนงงตั้งนานทำไมไม่ได้ จนคนข้างหลังต่อคิวทนไม่ไหวต้องมาสอน) หรือง่ายๆ จะซื้อบัตร EZY Link ก็ง่ายดี ถ้าจะต้องเดินทางเยอะ เพราะมันมีส่วนลดด้วย ขึ้นรถเมลล์ก็ได้ สะดวกกว่า เพราะรถเมลล์ต้องเตรียมตังค์ให้พอดี ไม่มีทอน แต่บัตรนี้มันมีข้อเสียก็คือ มันมีมัดจำ จ่ายแล้วจ่ายเลย คืนไม่ได้ ซื้อแล้วต้องใช้ให้หมด หรือ เกือบจะหมด ไม่งั้นไม่คุ้ม เอาหละขึ้นรถไฟ ถ้าจะเข้าเมืองจาก changi airport ต้องไปเปลี่ยนรถที่ สถานี Tenah Merah สายเขียวดูแผนที่ประกอบ //www.sbstransit.com.sg/nel/systemmap.asp
ที่พักผมอยู่ใกล้ๆสถานี Dhoby Ghaut (โดบี้ โกท์) ก็หลายต่ออยู่จากสายเขียว ก็ต้องไป สายแดง (เปลี่ยนเป็นสายแดงที่ City hall) โรงแรมของผม Hotel 51 Bencoolen st ออกจากสถานี เดินตาม ออร์ชาด (เดินตามทิศทางของรถ เพราะมัน one way) เรื่อยๆ ซักสิบนาทีก็ถึง แถวนั้นมีโรงแรมหลายที่ มี พวก ที่พักยุวชน ด้วย ก็สะดวกพอใช้ได้ใกล้ศูนย์อาหาร kopitiem เห็นเขียนแบบนี้ ตอนแรกนึกว่า ร้านกาแฟ เหมือนคูปองตามห้าง ใช้เงินสด ถ้าคิดอะไรไม่ออก ก็กินแบบนี้ก็ประหยัดดี ติดแอร์ด้วย หรือเจอ ฮอคเกอร์ (ศูนย์อาหาร แบบไม่มีแอร์) ก็มีหลายที่ ราคาย่อมเยาว์ ใครจองโรงแรมก็ดูทำเลดีๆละกัน ถ้าอยู่ใกล้สถานีจะดีมาก โรงแรมนี้ก็ใช้ได้ ห้องเล็ก แต่ก็ถูกกว่าชาวบ้านเค้าเหมาะกับคนกระเป๋าไม่หนัก (ถ้าเทียบเมืองไทยก็โครตแพง คืนนึง ร้อยกว่าเหรียญ อเมริกายังถูกกว่านี้เลย) ต้องเข้าใจ ประเทศเค้าเล็ก ที่เค้าน้อย ค่า รร จึงค่อนข้างสูงกว่ามาตรฐานตามค่าครองชีพ เช็คอินเรียบร้อย ตกเย็นๆค่ำ ไปแหล่งท่องเที่ยวสุดฮิต night safari วิธีไปก็ไม่ยาก นั่งรถสายแดงไปลง Ang Mo Kio ออกจากสถานีจะเจอรถตู้บริการ หรือจะนั่งรถบัส ไปก็ได้ (แนะนำให้นั่งรถบัส ตามแผนที่ดีกว่า ถ้ามีเวลารอได้)




พอซื้อบัตรเข้า ซาฟารี เห็นร้าน ไอติม สุดโปรด Ben&Jerry ก็กระโดดเข้าใส่ก่อนครับ จากนั้นก็ไป นั่ง รถ Tram นำเข้าสู่ ไนท์ซาฟารี มันก็มืดๆ ถ่ายรูปสัตว์ไม่ได้ เสียดาย ผมไม่เคยไปดูที่เชียงใหม่ครับแต่คนที่ไปด้วยเขาว่า เชียงใหม่สัตว์แปลกๆเยอะกว่า แต่ที่นี่ ต้นไม้ใหญ่ดูร่มรื่นกว่า ระหว่างนั่งรถ ก็จะมีผู้บรรยาย พร้อมกับมีจุดจอด ให้บางคนลงเพื่อ เดินเล่นตามทางที่เค้ากำหนดไว้ ส่วนพวกเรา ขี้เกียจอ่ะครับ เลยไม่ลง นั่งไป ก็วนมาลงที่เดิม ออกมาก็แวะ ดูของที่ระลึก (อึ้งมากเพราะไปเจอมือตบ พันธมิตรแบบเรืองแสงที่นี่) ความจริงคนมาที่นี่ก็อาจจะไม่มาดูสัตว์ก็ได้ เค้ามีร้านอาหาร มีโชว์คนรำกระบองไฟ บรรยากาศป่าๆ ไว้คอยบริการ จากนั้น ก็เข้าที่พัก เก็บแรงลุยต่อในวันถัดไป



วันที่สองของการเดินทาง เราตื่นเช้า เดินตามถนน มุ่งหน้าไปสถานีรถไฟ city hall ระหว่างทาง ผ่าน SAM เป็น museum แต่เช้าเกินเค้ายังไม่เปิด ไปเล็ง ร้าน Dome ร้านกาแฟที่หนังสือบอกว่าน่านั่งที่สุดในเกาะ เดินผ่าน โรงแรมเก่าแก่ที่ดังที่สุดของสิงคโปร์ ประมาณ โอเรียนเต็ลบ้านเรา ชื่อ The raffles hotel = raffles นี่เป็นชื่อทหารอังกฤษที่มาบุกเบิกอ่ะครับ (จะเห็นชื่อนี้เต็มไปหมด และ รูปปั้น ก็มี สองที่ ใกล้ๆ แถว raffles place) คนที่ไปโรงแรมนี้นอกจากจะไปพักแล้ว ก็ นิยมไปทานอาหาร มีบาร์แห่งนึง ว่ากันว่าเป็นต้นตำรับ ค๊อกเทล singapore sling ชื่อ long bar ว่าวันหลังจะไปลองซักหน่อย ....







เดินตามถนนสิงคโปร์ตอนเช้าๆก็เพลินดีครับ รถไม่ถือว่าติดเท่าไหร่ รถที่วิ่งก็รถหรูๆก็เยอะ เรามาทานข้าวเช้ากันที่ใต้ตึกออฟฟิศ ตรงสถานีรถไฟ city hall จากนั้น นั่งสายเขียว ไปลงสุดทาง สถานี Boon Lay แล้วไปต่อรถบัส ไปยัง ที่เที่ยวสำคัญอีกแห่ง สวนนก จูล่ง ซึ่งมีนกหลายชนิดให้ดู ทั้งแพนกวิน มาคอร์ ฟลามิงโก และยัง มีการแสดงนกแสนรู้ ถือว่าประทับใจครับ แม้เคยมาแล้ว แต่ก็รู้สึกดี ไปวันธรรมดาคนน้อยดีครับ แต่ โชว์ก็มีน้อยลงตาม เราใช้เวลาน้อยกว่าที่คิด ประมาณ สองชั่วโมงเสร็จ ก็นั่งรถบัส กลับมายังสถานีรถไฟ Boon Lay แวะกินข้าวมันไก่ (เค้าว่ากันว่า มาสิงคโปร์ต้องกินข้าวมันไก่ ไหหลำ ขึ้นชื่อ แต่ผมว่า มันสู้บ้านเราไม่ได้อ่ะ เค้าไม่มีน้ำจิ้มรสเด็ดเหมือนบ้านเราอ่ะ) ที่สถานีถูกดี คนก็เยอะ รีบนั่งรีบกิน เรานั่งรถไฟมาลง city hall อีกครั้งแล้ว เดินเล่น มอลล์ใต้ดิน ซึ่งชิวมากๆ มันเป็นทางเชื่อมเหมือน metro mall รถไฟฟ้าใต้ดินของเรานี่แหละ แต่ยาวกว่ามาก เดินจนเมื่อยไปโผล่ Suntec city ที่สร้างตามหลักฮวงจุ้ย สร้างตึกเปรียบเสมือนนิ้วมือที่กุม น้ำพุ (ความมั่งคั่ง) อยู่ตรงกลาง










ที่นี่ ไปดู น้ำพุแห่งความมั่งคั่งกัน มีชั้นนอกกับชั้นใน ชั้นนอกมีเวลาเปิดปิดให้เข้าไปข้างใน ไปเดินวนรอบน้ำ เอามือไปแตะเพื่อความเป็นศิริมงคลจากนั้นก็เดินขาลากกันต่อมุดดินไปยัง โซน marina Bay โดยไปโผล่ตึกทุเรียน หรือที่เรียกว่า the esplanade ทำหน้าที่เป็นสถานที่แสดงดนตรีคอนเสริต เหมือน opera house ซิดนีย์ เดินข้ามสะพาน ไปดู สัญลักษณ์ของ สิงคโปร์ merlion พ่นน้ำ ที่นี่เจอคณะคนไทยเพียบ








เดินผ่านศาล จะเจอ รูปปันช้าง ที่ ร5 เคยพระราชทาน เป็นตึกรัฐสภาเก่า ด้านล่างเป็นร้านอาหาร เดินวนผ่านสถานที่ราชการ มายังสถานี city hall อีกครั้ง เพื่อไปยังสถานี harbourfront สีม่วง เพื่อขึ้นกระเช้าไปเกาะ sentosa








จากสถานีรถไฟ ไปเกาะ จะมีหลายทางให้เลือกด้วยกัน มี กระเช้า cable car (ซึ่งแต่ก่อนฮิตสุด) หรือพวก monorail ที่สร้างใหม่ หรือจะไปบัส ก็ได้ ผมเลือก กระเช้า จะได้ดูวิว แต่ ไปรถไฟข้ามไปเกาะจะสะดวกกว่า เพราะเดินใกล้กว่า และ ถูกกว่า ไม่น่าเชื่อว่า กระเช้าสมัยนี้แทบจะไม่มีคนขึ้นเลยผิดกับสมัยก่อนที่ต้องรอคิวกันนาน แถมแต่ก่อนเกาะนี่จะมีเครื่องเล่น หรือ กิจกรรม เยอะแยะ แต่ตอนนี้รู้สึกจะเหมือนมีการแสดง song of the sea เท่านั้นมั้งที่คนนิยมไปกัน แต่ก่อน มี underwater world แต่ก็นะ มันเก่าแล้ว เทียบกับ พารากอน ที่นี่ก็คงชิดซ้ายไปเลย แล้วก็มีทาวเวอร์สร้างเพิ่มขึ้นมาให้ดูวิว มีพิพิธภัณท์ประวัติศาสตร์ สิงคโปร์ยังอยุ่ มีmerlion อีกตัวให้ขึ้นไปดูวิว แต่หลายๆอย่างลดน้อยลงไปรวมทั้งจำนวนนักท่องเที่ยว แต่การแสดง song of the sea ก็ยังเป็นจุดขายสำคัญ การแสดง มีแสงสีเสียง เลเซอร์ ระบบน้ำ อลังการทีเดียว








หลังการแสดงจบ (วันนึงมีสองรอบ ผมดูรอบแรกประมาณทุ่มนึง) ออกเดินย้อนกลับไปขึ้นกระเช้า (ดันซื้อแบบ roundtrip) ถ้าขึ้นรถไฟ ก็ขึ้นใกล้ๆได้เลย แต่กระเช้านี่เดินอีกไกลโข แต่ก็ถือว่าเดินเล่น (วันนี้ก็เดินมาราธอนกันอยู่) กลับมาที่พัก ด้วยความเหนื่อย โปรแกรมที่จะไปแหล่งบันเทิง แสงสี ที่ Clarke Quey (อ่านว่า คล๊าก คีย์ นะ) ก็ต้องยกเลิกไป ไว้คราวหน้า กลับมากิน kopitiem แถวๆที่พัก ก่อนหมดแรง สลบไป







เช้าวันสุดท้ายตื่นมา รู้สึกปวดขานิดๆ แต่ก็ต้องสู้ ขึ้นรถไฟมุ่งหน้าไปยัง Chinatown แหล่งรวมของกิน ตอนเช้าๆ คนไม่คึกคักร้านค้ายังไม่ค่อยจะเปิดกันเท่าไหร่ (ซักแปดเก้าโมง) ออกจากสถานีรถ สู่ถนน pagoda st ใจกลาง chinatown เงียบแฮะ เดินเล่นซักพัก ไปดูวัดแขก วัดจีนแถวนั้น แล้วไปกินข้าวที่ แม็กเวลล์ ฟู๊ดคอร์ท เค้าว่าเป็น ฮอร์กเกอร์ที่ดังที่นึง มีข้าวมันไก่อร่อย แต่ร้านมันยังไม่เปิดขาย เลยไปกิน มะตะบะ ใกล้ๆกัน โอ้วโห อร่อยแฮะ อร่อยกว่ากินร้านประจำแถว ท่าพระจันทร์ ท่าพระอาทิตย์ แถมเยอะถูก อีกต่างหาก ถ้าไม่แคร์ว่าแขกมันใช้มือบี้ๆ เวลาทำอ่ะนะ ต่อมาก็เดินเล่นตามถนนแถวๆ แล้วกิน บะกุ๊ดเต๋ ต่อแถวๆ สถานี outtram park ตึกใต้ทางด่วน ร้านสีเหลืองๆใหญ่ ผมจำชื่อไม่ได้อ่านจีนไม่ออก แต่ ก็อร่อยดี มีซี่โครง หรือ เครื่องใน ก็แล้วแน่ น้ำซุปเค้าเข้มข้นดี มีปาท่องโก๋ ไว้ จิ้มซุปกินอีก ก็อร่อยอีกแบบ อิ่มแล้วก็ไปช้อปปิ้งกันต่อ วันนี้สบายๆ เรานั่งรถต่อไปสถานี bugis เพื่อนไป SimLim มาบุญครองสิงคโปร์เค้าว่าตาดีได้ตาร้ายเสีย ที่นี่เน้นอุปกรณ์ไอที และ พวกกล้อง ไปคราวนี้เลยได้เลนส์ Canon 50mm f.1.8 มาอันนึง สามารถทำ tax refund ได้ที่สนามบิน ถูกกว่าเมืองไทยพอสมควร จากนั้นเราก็มาเดินล่นต่อที่ถนนออร์ชาร์ด ก็เจอสารพัดห้างทั้งหรู ทั้งติดดิน สาวๆมาที่นี่ต้องกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่แน่ สวรรค์ของนักชอป ถ้าเป็นฮ่องกงก็ถนน นาธาน ถ้า นิวยอร์คก็ประมาณ fifth avenue มั้ง (แต่ผมว่าที่นี่น่าจะหนาแน่นกว่า) เดินจนถึงที่พัก ระหว่างทางผ่าน emeral hill ก็แวะๆไปดูซะหน่อย บ้านเรือนเก่าๆทาสีสัน ก็สวยดีในแบบของเค้าหละ









เราเดินมาเอาของทีฝากไว้ตอนเช็คเอาท์ตอนเช้า จากนั้นก็ขึ้นรถไฟย้อนกลับทางเดิม ไป สนามบินชางฮี (ต้องเปลี่ยนรถไฟเหมือนเดิม) เป็นว่าการเดินทางไปสิงคโปร์คราวนี้ก็จบลง เกาะเล็กๆแห่งนี้ ก็เหมาะที่จะเดินทางไปสั้นๆ เปลี่ยนบรรยากาศ ถึงแม้จะเป็นประเทศเล็กๆ แต่ ก็มีหลายสิ่งหลายอย่างเหลือเกินให้เราได้ศึกษา อะไรเป็นข้อดีของบ้านเมืองเค้าก็น่าจะเป็นตัวอย่างให้เราได้ปรับปรุงพัฒนาขึ้นต่อไป ครั้งต่อไปที่มาสิงคโปร์ ผมก็คงจะมีเรื่องราว อื่นๆ ที่อื่นๆ นอกเหนือจากนี้มาคอยอัฟเดทให้อ่านครับ

ส่วนทริปต่อไป ผมไปสวิสเซอร์แลนด์ แบกเป้ขึ้นรถไฟ เที่ยว แปดวัน กำลังจะเขียนเร็วๆนี้ครับ ฝากประชาสัมพันธ์ ซะเลย




 

Create Date : 22 พฤษภาคม 2552   
Last Update : 23 พฤษภาคม 2552 2:09:57 น.   
Counter : 523 Pageviews.  


มาเลเซีย ที่นี่ เอเซีย

เออ วันหยุดอาสาฬหบูชาทั้งที หยุด3วันนี้ไปไหนดีน้า ด้วยความที่ชอบเที่ยวเป็นนิจ เลยหาเรื่อง go inter ไปมาเลเซียดีกว่า เคยไปแล้ว 3 ครั้ง แต่ไม่ได้เก็บรูปมา คราวนี้ไม่พลาดเลยเก็บ view สวยๆ มาฝากกันครับ

มาเลเซียจะเดินทางโดยรถโค๊ชก็ได้ที่หาดใหญ่ หรือมาทางเครื่องบินก็ได้ 2 ช.ม.จากดอนเมืองสู่ KLIA เป็นสนามบินใหม่ที่นี่สวยพอสมควร พอเครื่องลงต้องนั่งรถไฟไปเอากระเป๋า สนามบินนี้อยู่ห่างจากเมืองหลวง กัวลาลัมเปอร์ ( KL) มาพอสมควรเลยมีทางเข้าเมือง 3 ทาง 1.รถไฟ express น่าจะสะดวกดี 30 นาทีถึง 2.รถโค๊ชไปถูกหน่อยแต่ต้องรอเป็นรอบๆ 3. Taxi แพงหน่อย คนขับจะมาหาลูกค้าถึงในสนามบินเลย ระหว่างทางผ่าน ปุตราจายา ที่ทำงานของรัฐบาล - กระทรวงต่างๆ และ มัสยิดสีชมพู (pink mosque)











จุดหมายต่อไป นั่งรถไปอีกราวๆ 1 ช.ม. ผ่านKL ไป ขึ้นเขาสักพักก็ถึง cable car station เราสามารถฝากของและนั่งกระเช้าสู่ยอดเขา Genting highland




ที่นั่นมีหลายโรงแรม สวนสนุก และบ่อนการพนัน ผมไปพักที่ First World hotel อากาศที่นั่นเย็นและลมแรงและหมอกลงจัดทีเดียว สิ่งที่น่าเสียดายที่สุดในการเดินทางครั้งนี้คือผมไม่ได้เล่นอะไรเลยซักอย่าง เดินเที่ยวอย่างเดียวครับ






ได้นอนค้างแค่ 1 คืน แล้วเดินทางขึ้นเหนือไปแหล่งเกษตรกรรมของมาเลเซียที่นี่มีชื่อในเรื่องใบชา และ สตอเบอรี่ก็กำลังเป็นที่นิยมเช่นกัน นี่คือที่ๆเขาปลูกชา view นี้สวยสุดใน คาเมรอน แล้ว




นอนอีก1 คืนที่คาเมรอน วันต่อมาเที่ยวเมืองหลวง KL เมืองนี้เล็กกว่ากทม. ถนนก็แคบๆกว่า มีรถไฟฟ้า โมโนเรล
การเดินทางค่อนข้างสะดวก สัญลักษณ์ที่สำคัญคือตึกแฝดเปโตรนาส K.L.Tower โดยเฉพาะตอนกลางคืนเปิดไฟสวยมาก



วัดจีนใน KL








Rating สถานที่ 7/10
ความสะดวก 8/10
ความคุ้มค่ากับราคา 8/10
overall 8/10


หมายเหตุ : ให้ rating ตามประสบการณ์และความพอใจ




 

Create Date : 25 สิงหาคม 2548   
Last Update : 26 สิงหาคม 2548 14:23:31 น.   
Counter : 994 Pageviews.  



guntv
 
Location :
Canyon,Texas Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add guntv's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com