Project ศัลยกรรมทำหน่มน้ม 6 : หลังผ่า วันที่ 3-7วัน (Emotional Crisis)
15 เมษายน - 20 เมษายน 2552ตื่นนอนมาวันที่สาม แขนเราพอมีแรงมากขึ้นห้าวได้ถึงขั้นยกแลปทอปจากชั้นสองลงมาชั้นล่างได้โดยที่รู้สึกว่าแผลตึงๆ อกตึงๆนิดนึงแต่พอทนได้ค่ะแต่พอยกลงมาแล้วนี่ต้องนั่งพักหายใจซักพักเลยอ่ะ เพราะว่ามันเหนื่อยมากๆเรื่องหายใจเราก็ยังหายใจได้ไม่สุดนะคะ หายใจได้สั้นๆ หมดสิทธิ์ถอนหายใจไปเลยเวลาหาวก็จะมาหาวหวอดๆทีเดียวไม่ได้ด้วยนะ- -'' มันใช้กล้ามเนื้อหน้าอกมากไปต้องค่อยๆสะสมการหาวทีละนิดๆกว่าจะหาวเสร็จทีนึง ลำบากขนาดนั้นเลยส่วนเรื่องลุกนั่ง วันที่สามเราพอจะเกร็งหน้าอกได้มากขึ้นมานิดนึงก็คือถ้านั่งเอนตัวพิงหมอนอยู่บนโซฟา เราอาศัยแรงดันจากคนอื่นแค่นิดหน่อย ก็สามารถลุกขึ้นนั่งตรงๆได้แล้วนับว่าเป็นพัฒนาการเล็กๆที่เราแอบดีใจค่ะ^^'แต่เรื่องการใส่เสื้อ ยังต้องพึ่งพาแม่ตลอดค่ะเสื้อที่ใส่ได้ก็ต้องเป็นเสื้อกระดุมหน้าเท่านั้นเพราะเรายังยกแขนเหนือหัวไม่ได้ก็เลยต้องมีคนคอยใส่เสื้อให้ตลอด แล้วก็วันที่สามนี่เป็นวันที่คุณหมออนุญาตให้ใส่sport braหลวมๆแทนการพันผ้าได้แล้ว แต่คุณหมอจะย้ำมากๆว่าต้องหลวมๆเท่านั้นเพราะเราต้องการเนื้อที่ตรงฐานอกไว้สำหรับให้ซิลิโคนได้ไหลลงมาอีกเราเองนึกภาพซิลิโคนมันไหลลงมาไม่ออกเลยอ่ะค่ะเพราะตอนนี้นมแข็งโป๊กมาก จับไปก็เจ็บ เราไม่สามารถดันซิลิโคนให้ลงมาได้แน่นอนอ่ะ เลยทำได้แค่รอให้มันหายเจ็บอาการวันที่สามดูเหมือนจะดีขึ้น แล้วเราก็ไปทานยาไทยที่แก้อักเสบชะงัดนักอย่างฟ้าทลายโจรวันทีสามนี่จำได้ว่ากินเข้าไป16เม็ดแน่ะค่ะ-_-''แม่เราบอกว่าเป็นdoseปกติของฟ้าทลายโจรอยู่แล้ว มันจะทำให้อาการอักเสบใดๆก็ตามในร่างกายหายเร็วขึ้นมากเราก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่ามันได้ผลจริงป่าวแต่เช้าวันที่สี่ เราลองแปรงฟันแรงขึ้นปรากฏว่าเราต้องพบกับความเจ็บรูปแบบใหม่ที่ยังตามหลอนเราจนทุกวันนี้นั่นคือการปวดจี๊ดดดดดเป็นเส้นๆบนเต้านมด้านขวาค่ะความรู้สึกที่ปวดนี่ ยังกะมีตัวอะไรไชอยู่ในนมเลยอ่ะมันปวดจี๊ดดขึ้นมาเป็นริ้วๆที่ด้านข้างของเต้านมด้านขวาไปจนถึงใต้รักแร้ปวดซักพักเราก็ต้องขยับเนื้อตัว ขยับหลัง หรือหาที่นั่งพิงหลังทันทีบางทีมันก็จะหายไปในระยะเวลาสั้นๆแต่บางทีก็ปวดจี๊ดๆยาวนานจนเราเหงื่อซึมเลยอ่ะ ต้องนั่งเฉยๆ พูดก็พูดไม่ออกเพราะมันปวดมากจริงๆ กินยาแก้ปวดก็ไม่หายพอวันที่สี่ช่วงบ่ายๆ เราเริ่มปวดจี๊ดๆแบบนี้เยอะจนทนไม่ไหว ต้องโทรหาหมอพีว่ามันเป็นอะไรมากมั้ย (จริงๆเราไม่ค่อยชอบโทรหาหมอพีเท่าไหร่อ่ะค่ะ^^' รู้สึกว่าคุณหมอจะยุ่งๆตลอด เลยไม่ค่อยอยากโทรไปกวนท่านเท่าไหร่ แต่วันนั้นไม่ไหวแล้วจริงๆ)คุณหมอเลยอธิบายว่ามันเป็นอาการของปลายเส้นประสาทที่กำลังเชื่อมต่อกัน หลังจากที่มันถูกตัดขาดไปในการผ่าตัดค่ะ เราคิดว่าจริงๆมันเป็นสัญญาณที่ดีว่าร่างกายของเรามีการฟื้นตัวให้เห็นแต่มันช่างเป็นการฟื้นตัวที่ทรมานเหลือเกินอ่ะT_Tตั้งแต่วันที่สี่เป็นต้นมา เราต้องอดทนกับความปวดร้อนและเจ็บแปล๊บๆที่เต้านมด้านขวาตลอดเวลา เมื่อไหร่เรานั่งหลังตรงไม่พิงหมอน ไม่พิงเบาะ มันจะเริ่มปวดขึ้นมาทันที เวลาทานข้าวก็คือจะยืดแขนขวาออกไปมากไม่ได้ถ้าปวดแบบนี้ขึ้นมาเมื่อไหร่เราต้องหยุดทุกกิจกรรมทันทีอ่ะค่ะเพราะมันปวดจี๊ดๆมากเกินกว่าที่เราจะทำอะไรต่อได้ นอกจากนั่งหายใจถี่ๆ เหงื่อซึมๆอาการแบบนี้ไม่มีลดลงเลยตั้งแต่ช่วงวันที่สี่จนถึงวันตัดไหม คือวันที่เจ็ดมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อกด้านซ้ายที่เคยปกติก็เริ่มเจ็บแปล๊บๆกะเค้าด้วยยิ่งหลังๆมานี้ ไม่ต้องรอให้แขนได้ใช้งาน แค่นั่งอยู่เฉยๆเราก็เจ็บนมได้ค่ะคิดในแง่ดี เส้นประสาทของเราก็คงพยายามทำงานเต็มที่เพื่อให้ตัวเรากลับสู่สภาพปกติอ่ะเนอะ^^'แต่แม้แต่ตัวเราเองก็ไม่ได้รู้เลยว่าการที่ร่างกายต้องทนอยู่กับความเจ็บปวดติดต่อกันหลายๆวันมันมีผลกระทบกับทางจิตใจมากกว่าที่เราคิดไว้ขนาดนี้เราเคยอ่านเจอว่าผู้หญิงที่ทำศัลยกรรมหน้าอกมีแนวโน้มที่จะฆ่าตัวตายสูงทีแรกเราก็คิดว่าอาจจะเป็นเพราะความรู้สึกไม่พอใจกับผลที่ออกมาหลังการทำศัยกรรมรึเปล่า หรืออาจจะเป็นพวกเสพย์ติดศัลยกรรมก็ได้มั้งที่อาจจะรู้สึกว่าเท่าไหร่ก็ไม่พอ เลยต้องฆ่าตัวตายเอาเข้าจริงๆแล้ว มันไม่ใช่เลยค่ะเราไม่เคยกังวลว่านมใหม่ของเราจะออกมาสวยหรือไม่คุณพี่ทั่นของเราก็ไม่เคยมาพูดให้เรารู้สึกว่าหน้าอกใหม่ของเราไม่สวยเราค่อนข้างเชื่อมือคุณหมอมาก เลยไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยแต่สุดท้าย เราก็คิดว่าเราอยากตายอ่ะ ...เราใช้เวลาสิบวันที่บ้านนั่งเฉยๆหยิบจับทำอะไรได้นิดหน่อย ก็ต้องมาทนอยู่กับความเจ็บปวดสุดท้ายก็กลับมานั่งเฉยๆอีก ปกติเราเคยเป็นคนทำอะไรเร็วๆก็ต้องค่อยๆทำ ค่อยๆพูด ทำอะไรช้าๆ แล้วยังทนความปวดติดต่อกันเป็นเวลานานๆแถมยังช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยได้ self-esteemมันก็ต่ำสิคะรู้สึกเหมือนตัวเองไร้ค่า ทั้งๆที่จริงๆวันๆนึงเราไม่เคยมานั่งคิดน้อยใจอะไรแบบนี้เลยนะ แต่อยู่ๆมันก็ซึมลงไปเอง เราคิดอยากตายขึ้นมาเฉยๆ ขอบอกว่าเป็นความรู้สึกที่แย่มากเลยอ่ะในความเจ็บปวด เรารู้สึกเหมือนทุกอย่างว่างเปล่าตัวเราก็ว่างเปล่า ไม่มีอะไรที่อยากจะทำ ไม่อยากพูด ไม่อยากหัวเราะไม่อยากแม้แต่จะร้องไห้เราคิดถึงขนาดที่ว่า เราจะอยู่ไปทำไมกันนะ ไม่รู้สึกแคร์ใครทั้งสิ้นแม้แต่แม่หรือแฟนเราเองอ่ะเราจิตตกถึงขั้นแล้วจริงๆช่วงนั้นคุณพี่ทั่นของเราตกใจและสงสารเรามากที่ต้องมาเป็นแบบนี้เค้ารู้สึกผิดที่เหมือนเป็นคนบอกให้เราไปทำหน้าอกเพราะเค้าเองก็ไม่คิดว่าร่างกายเราจะอ่อนแอขนาดนี้เวลาเรานั่งไปกับพื้นแล้วแค่จะลุกขึ้นมา บางทีก็ปวดแปลบจนน้ำตาไหลเค้าก็แทบจะร้องไห้ไปกับเราด้วยอยู่แล้วอ่ะค่ะแต่เราก็ไม่เคยโทษเค้าเลยนะ เพราะส่วนนึงมันก็เป็นความต้องการของเราเองที่อยากจะมีหน้าอกสวยๆเหมือนผู้หญิงคนอื่นเค้า เราไม่โทษใครอ่ะออกจะเข้าใจด้วยซ้ำว่ามันเป็นเรื่องปกติที่ต้องเจ็บคนที่เค้าไม่เจ็บก็คือเค้าอาจจะแข็งแรงกว่าเราอีกอย่างนึงคือเนื้อหน้าอกเดิมของเรามีน้อยมากอยู่แล้วอยู่ๆผิวหนังตรงนั้นก็ถูกทำให้ตึงเป๊ะด้วยซิลิโคนขนาด300ccทำให้เรารู้สึกเหมือนคนกล้ามเนื้อจะฉีกตลอดเวลาอ่ะค่ะถ้านึกไม่ออกลองนึกถึงเวลาเราเส้นยึดๆแล้วพยายามก้มตัวแตะปลายเท้านะกล้ามเนื้อตรงหน้าแข้งมันจะเจ็บแปล๊บๆขึ้นมาเป็นริ้วๆเลยแต่ตอนนี้มันเป็นที่หน้าอก และก็เป็นตลอดเวลามันถึงได้ทรมานขนาดนั้นเลยอ่ะค่ะวันแรกที่เราไปทำงานคือวันที่ 20เรายังตึงหน้าอกอยู่มากๆ เวลาเดินนี่คือหลังค่อมไปเลย เพราะยิ่งเดินอกผายไหล่ผึ่งมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งตึงนมมากเท่านั้นในที่ทำงานเราก็ไม่เป็นอันทำอะไรเพราะยืดแขนมากไม่ได้พิมพ์อะไรก็ยังไม่ค่อยถนัด พูดมากก็ไม่ได้เพราะจะเหนื่อยเดินนานก็ไม่ไหวเพราะปวดหลัง เรียกว่ากล้ามเนื้อตั้งแต่อกถึงหลังมันโดนดึงจนตึงไปหมด ต้องนั่งพิงเก้าอี้ตลอดเราอิจฉาคนที่เค้าฟื้นตัวไวๆจริงๆนะ อยากรู้เหมือนกันว่าเราต่างกะคนที่ฟื้นตัวเร็วๆตรงไหนไม่ค่อยได้กำลังกายรึเปล่า หรือว่าเนื้อหน้าอกเราน้อยกว่าใครเค้าแต่เราก็ไม่รู้จะไปหาคำตอบที่ไหนอ่ะค่ะอาการซึมเศร้าของเราเป็นเยอะขึ้นเรื่อยๆเพราะเราไม่ค่อยได้พูดอะไรกับใคร นอกจากเหตุผลที่ว่าพูดเยอะมันเหนื่อยแล้วกับที่ทำงานเราก็ไม่อยากบ่นมากด้วยเราไม่รู้ว่าใครจะคิดยังไงที่เราเจ็บตัวเพราะทำศัลยกรรมคนที่สงสารก็มี แต่เราก็เชื่อว่าคนที่คิดว่าเราหาเรื่องใส่ตัวก็คงมีอยู่มั่งอ่ะค่ะเราเลยไม่อยากพูดอยากบ่นอะไรมากมายแต่พี่ๆเพื่อนๆในแผนกทุกคนน่ารักมากอ่ะ เค้าช่วยเราทุกอย่าง ตั้งแต่เรื่องเล็กๆน้อยๆไปจนถึงขับรถมาส่งที่บ้านด้วย-_-'' เราก็ขอบคุณจนไม่รุ้จะขอบคุณยังไงไหวแต่ก็พยายามจะทำอะไรด้วยตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้อ่ะนะคะเพราะยิ่งให้คนอื่นมาช่วยเหลือมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งรู้สึกเวทนาตัวเองมากขึ้นเท่านั้นกว่าเราจะผ่านช่วงที่รู้สึกว่าอยากจะตายมาได้ ก็เป็นช่วงหลังวันตัดไหมไปแล้วสามสี่วัน ซึ่งก็คือสองวันมานี้ที่เรามานั่งพิมพ์ทุกอย่างลงบล็อกอยู่นี่แหละค่ะพอเราเริ่มเหนื่อยน้อยลงจากการพูด เราก็ได้คุยกับคนอื่นๆมากขึ้นได้หัวเราะมากขึ้น มันก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นได้มากจริงๆที่สำคัญ คุณพี่ทั่นของเราเข้าใจเรามากๆ ที่เราหงุดหงิดใส่เค้า หรือ พูดน้อยลง ไม่ค่อยร่าเริงเหมือนเก่าหรือไม่ค่อยอยากคุยกับเค้าเค้าเข้าใจดีกว่าเป็นเพราะเราต้องทนกับความเจ็บปวดมาตลอด ก็เลยไม่เคยว่าหรือโกรธเราเลย ทำให้เราผ่านความรู้สึกที่อยากจะตายมาได้ขอบคุณจริงๆค่ะ^_^การได้เขียนความรู้สึกที่เราเป็นลงบล็อก ก็ช่วยเราได้มากเหมือนกันยิ่งได้เห็นกำลังใจ เห็นว่ามีคนอ่านบล็อกเราแล้วรู้สึกว่ามันเป็นประโยชน์ เรายิ่งรู้สึกดีขึ้นจริงๆนะเด๋วบ่ายๆหรือเย็นๆ เราจะมาเล่าเรื่องวันที่ไปตัดไหมที่นนทเวชให้ฟังแล้วกันนะคะ^^ ไม่ค่อยมีอะไรมากหรอก แต่อยากแชร์ อิอิ
Project ศัลยกรรมทำหน่มน้ม 5 : หลังผ่า วันที่ 2
14 เมษายน 2552วันแรกของการตื่นนอนตอนเช้าที่บ้านและเป็นวันที่สองหลังการผ่าตัดเป็นการตื่นนอนที่ลำบากที่สุดในโลกและในชีวิตเราเพราะกล้ามเนื้อทั้งแขนทั้งหน้าอกบอบช้ำมากมายจากการผ่าตัดมนุษย์ทำหน้าอกทุกคนจะไม่สามารถลุกขึ้นนั่งเองได้จากท่านอนราบ^^'เราแอบอนาถตัวเองนิดๆอ่ะนะคะแม่กับน้าต้องมาคอยช่วยเอามือรองหลังเราแล้วดันให้เรานั่งได้เวลาจะนอนก็ลำบากพอกันเพราะเราล้มตัวลงนอนเองก็ไม่ได้ต้องใช้วิธีเดียวกับตอนนั่งเลย เรียกว่ากิจกรรมใดๆที่ต้องเกร็งช่วงอกนี่ ลืมไปได้เลย^^'ซึ่งนั่นรวมไปถึงการไอ จามและหัวเราะด้วยค่ะ-_-''ขอบอกว่าตอนกลางคืนเป็นอะไรที่ทรมานมากๆ เพราะเราเองบางทีนอนกรน แล้วมันจะตื่นขึ้นมาไอเวลาเราไอ ช่วงหน้าอกมันจะเกร็งขึ้นมาเองทันทีซึ่งเราหายใจไม่ออกอ่ะ ปวดและแน่นไปหมด เราไม่กล้าไอเพราะรู้สึกได้ว่าอกมันต้องสะเทือนแน่ๆเราต้องค่อยๆไอ เสียงแอะๆอยู่คนเดียวตอนกลางคืน จนกว่าจะหายคันคอ(น่าเวทนาตัวเองจริงๆT_T) บางทีแม่ก็ตื่นมาถามว่าเป็นอะไรรึเปล่าเราก็ตอบเสียงเหมือนคนใกล้ตายว่าจะไอ แล้วก็ทำอะไรไม่ได้ละจะลุกมากินน้ำก็ไม่อยากให้คนทั้งบ้านมาลำบากช่วยกันงัดเราขึ้นมาตอนตื่นนอน รู้สึกว่าเราพอจะแปรงฟันได้แบบง่อยๆหน่อยแต่ยังยื่นมือออกไปรองน้ำเอามาล้างหน้าเองไม่ได้ค่ะ เพราะจะตึงแผลแล้วจะรู้สึกว่าเหมือนมีอะไรรั้งๆเวลาอาบน้ำก็คือต้องให้แม่มาเช็ดตัวให้ แล้วก็เป็นวันแรกที่เราได้เห็นหน้าอกตัวเองที่อยู่ใต้ผ้ายืดที่คุณหมอพันไว้ให้ด้วยอกดูบวมๆอ่ะค่ะ แล้วก็เห็นรอยช้ำที่อกด้านซ้ายชัดเจนมากรอบๆขอบซิลิโคนเป็นรอยเข็มจิ้มไว้เป็นจุดๆๆ สงสัยคุณหมอจะจิ้มเอาไว้เป็นมาร์คว่าขอบซิลิโคนควรจะอยู่ตรงไหนมั้งแม่เราแอบกลุ้มใจว่าทำไมอกมันดูบ๊วมบวมเราเลยโทรไปถามหมอพีว่าเราจะประคบได้บ้างมั้ย เผื่อมันจะยุบลงบ้างหมอพีเค้าว่าให้ประคบเย็นไปก่อนก็พอได้อ่ะค่ะช่วงนี้ เพราะกล้ามเนื้อมันกำลังช้ำดีว่าคุณพี่ทั่นของเราไปซื้อcool-hot gel padมาเตรียมไว้ให้ก่อนแล้ว เราก็เอาไปแช่ตู้เย็นเอาออกมาวางโปะไว้บนหน่มน้มนอกจากจะช่วยให้อาการบวมลดลงแล้วยังช่วยให้หายร้อนด้วยค่ะเพราะจำได้ว่าช่วงหยุดกลับมาบ้านตอนนั้นร้อนมากกกกกกกกกอาการนอกเหนือจากความแน่นหน้าอกกับเจ็บๆเวลามีการสะเทือน ในวันที่สองจะยังไม่มีอะไรมากค่ะ เป็นอาการขยับแขนไม่ได้ดั่งใจแค่นั้นเพราะอกจะตึงๆ แล้วสก๊อตเทปที่รักแร้ก็ทำให้เราไม่แน่ใจด้วยว่าเราขยับแขนได้แค่ไหนวันๆคนป่วยหน่มน้มยักษ์อย่างเราก็ไม่เป็นอันทำอะไรนอกจากพยายามค่อยๆลุกเดินไปหยิบคูลเจลมาโปะแล้วก็เดินเอากลับไปแช่ตู้เย็นใหม่ งานบ้านทำไม่ได้ นั่งๆไปก็หลับซะส่วนใหญ่ กินก็ไม่ค่อยได้มาก น่าแปลกที่มันไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ค่ะ ที่สำคัญเราไม่ค่อยถ่ายด้วยค่ะไม่ว่าจะถ่ายหนักหรือเบาก็แปลกดี เพราะจริงๆเรากินน้ำเยอะมากอยู่นะ เพราะต้องกินยาแต่กลับไม่มีความรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำเท่าไหร่ช่วงนั้นพุงโตเชียวค่ะ เพราะกินอะไรเข้าไปมันก็ไม่ออกมาเลย-_-''นึกกลุ้มใจอยู่เหมือนกัน แต่ก็คิดว่ามันไม่ไหวมันก็มาเองนั่นแหละ หน่มน้มก็เจ็บๆปวดๆ ไม่ค่อยอยากจะนึกอะไรให้มันวุ่นวาย^^'วันที่สองของเราเลยไม่ค่อยมีอะไรมาก เพราะหมดไปกับการนอนซะเยอะหลังผ่าตัดร่างกายต้องการการพักผ่อนเยอะจริงๆนะ เราก็เพิ่งรู้เพราะนอนได้นอนดี นั่งผึ่งลมแป๊บๆก็หลับอีกแล้วปกติเราเป็นคนนอนดึกพอสมควร แต่ช่วงนี้สามทุ่มนิดๆก็สลบแล้ว^^'ก่อนนอนก็ต้องมานั่งตั้งอยู่บนเตียงยังงั้นอ่ะค่ะรู้สึกว่ามีคืนนึงแม่จะลืมเอาเราเข้านอนด้วยเราก็ตั้งอยู่ยังงั้นแหละ ส่วนแม่ก็ล้มตัวนอนเฉย-_-''สุดท้ายเราเลยต้องบอกแม่ว่าแม่ลืมหนูแล้วอ่ะ นอนเฉยเลย- -''แม่ก็ขำซะ แต่เราอ่ะเวทนาตัวเองลึกๆเลยแหละคนเคยทำอะไรได้ปุ๊บปั๊บๆ อยู่ๆก็ต้องมาค่อยๆเดิน ค่อยๆพูด (ลืมบอกไปว่า อาการแน่นหน้าอกจะทำให้เราหายใจไม่ทันเวลาพูดค่ะ เลยกลายเป็นว่าจากคนพูดมาก ต้องมานั่งสงบปากสงบคำซะงั้น ไม่งั้นจะเหนื่อย) หยิบจับอะไรก็ไม่ถนัด ยกแขนมากก็ไม่ได้ เราหงุดหงิดอยู่ลึกๆนะแต่อาการทางจิตยังไม่ออกมาเยอะค่ะ เพราะหลับเยอะกว่า^^'เด๋วจะมาเล่าอาการของวันถัดมาพรุ่งนี้นะคะ วันนี้ง่วงแล้วววววขอบคุณทุกๆคนที่ติดตามนะคะ ถ้าอยากรู้อะไรก็ทิ้งคำถามไว้ได้นะคะ เรามาอ่านทุกวันค่ะ^^
Project ศัลยกรรมทำหน่มน้ม 4 : หลังผ่า วันที่ 1
13 เมษายน 2552เวลาประมาณตีสอง เราตื่นจากการผ่าตัดในห้องของตัวเองหลังจากที่สลึมสลือตื่นขึ้นมานิดนึงตอนที่เค้าย้ายตัวเราจากเตียงรถเข็นมาเตียงพักฟื้นโชคดีที่ตัวเบา ตอนย้ายเลยไม่ยาก ทำให้เราไม่ได้เจ็บไปกว่าเดิมมากซึ่งขอบอกว่าจริงๆแล้ว ตอนที่รู้สึกตัวตื่นเราเจ็บมากกกกกกกกกกกกอ่ะค่ะหน้าอกมันแน่นมากกกกกกกกเราหายใจไม่ออก แถมยังรู้สึกหนักบนอกเหมือนมีรถมาทับจริงๆด้วยอ่ะT_Tที่มันแน่นอแบบนั้นเป็นเพราะคุณหมอพันผ้ายืดไว้แน่นมากเพื่อป้องกันซิลิโคนเคลื่อน และที่มันหนัก็เพราะมันหนักนั่นแหละค่ะร่างกายของเราไม่คุ้นเคยกับน้ำหนักของหน้าอกมากขนาดนี้มาก่อนเราถึงรู้สึกว่ามันหนักมาก หายใจไม่ได้ พอตื่นขึ้นมาแล้วเราเลยรู้สึกว่าไม่อยากตื่นอ่ะขอนอนต่อเถอะ ขยับตัวก็ไม่ได้เลยแถมที่ใต้รักแร้ทั้งสองข้างคุณหมอสอดท่อเดรนค้างไว้เพื่อระบายเลือด(ที่ปลายท่อเดรนจะเป็นแกลลอนพลาสติกอันเล็กๆ มีระดับปริมาณไว้บอกว่าเลือดเราออกเยอะน้อยแค่ไหน เวลาลุกเดินก็ต้องเดินถือไอ้แกลลอนจิ๋วนี่ตามไปด้วย)มันยิ่งทำให้เราขยับแขนไม่สะดวก เรียกว่าทั้งเจ็บทั้งแน่นทั้งปวดทั้งอึดอัดไปหมดสำหรับเรา บอกได้แค่ว่ามันทรมานมากค่ะ-_-''นางพยาบาลจะมาปลุกให้เรากินยาแก้ปวดกับยาแก้อักเสบเป็นพักๆซึ่งเรารู้สึกว่ามันไม่เห็นจะช่วยอะไรเลยอ่ะความทรมานมีอยู่ตลอดทุกครั้งที่รู้สึกตัวตื่นและที่แย่ที่สุดก็คือ เราแพ้ยาสลบค่ะเราตื่นมาอาเจียนเกือบจะทุกๆสองสามชั่วโมงแย่กว่านั้นคือ เราไม่สารถลุกขึ้นมาอ้วกได้ แล้วเราเรียกแม่ไม่ทันเพราะหายใจไม่สะดวก เราเลยทำได้แค่หันหน้าไปข้างๆแล้วอาเจียนออกมาเลอะผมเลอะหมอนแล้วก็เตียงหมดเลยอ่ะT_Tหลังๆเค้าเลยเอาที่รองอาเจียนมาไว้ในมือเราเลยเรียกว่าถาจะอาเจียนก็หันหน้าไปอาเจียนใส่ที่รองได้ทันทีเราแปลกใจว่าตกลงเค้าไม่ได้ฉีดยากันอาเจียนให้เราหรือไงนะแต่อารมณ์นั้น คือ ช่างแม่ง อ่ะค่ะ-_-''เราไม่มีแรงไปถามอะไรใครเลย ยอมรับสภาพอย่างเดียวรู้สึกว่าตั้งแต่คืนวันผ่าตัดจนถึงวันที่13 เมษา เราอาเจียนไปเกือบ7รอบได้โดยที่ไม่ได้กินอะไรเลย ตอนเช้าวันรุ่งขึ้นมีอาหารมาให้ แม่ก็บอกว่าอร่อยดีด้วยนะแต่แค่ได้กลิ่นเราก็จะอ้วกแล้วอ่ะแล้วก็จะมีนางพยาบาลมาช่วยกันเปลี่ยนเสื้อผ้า เช็ดตัวให้2-3หนเค้าก็ต้องเช็ดอาเจียนที่เลอะที่ผมเราออกให้ด้วยเหอๆ ก็ไม่ยอมฉีดยากันคลื่นไส้ให้เองนี่นา ช่วยไม่ได้-_-''เวลาลุกนั่งก็ต้องใช้วิธีปรับเตียงให้ตั้งขึ้นแต่ก็นั่งได้แป๊บเดียวเพราะเวียนหัวนางพยาบาลกะเช้าบอกห้ามไม่ให้เราลุกเดิน เพราะจะเวียนหัวแต่ใจเรอายากลุกแล้วมากๆ เพราะนอนนานติดต่อกันเป็นสิบๆชั่วโมง เจ็บก้นไปหมดแล้วอ่ะค่ะ-_-''กว่าเราจะได้ลุกออกจากเตียงก็คือเป็นตอนสี่โมงเย็นของวันที่13หลังจากลองลุกมานั่งแล้วอาเจียนไปอีกหน แต่ก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นมากพี่พยาบาลคนที่น่ารักที่โกนขนรักแร้ให้เราตอนเปลี่ยนชุดนั่นล่ะค่ะเป็นคนพาเราลุกเดิน แถมยังใจดีพาไปเข้าห้องน้ำ ทำความสะอาดให้ด้วยต้องขอบคุณมากๆจริงๆความรู้สึกตอนนั้นกับหน้าอกอันใหม่ของเราคือ หนักอ่ะถ่วงซะจนแน่นไปหมด แล้วยังรู้สึกว่าช่วงอกตึงแข็งมากๆลองมองดูในกระจก เห็นหน้าอกดันขึ้นมาเกือบถึงไหปลาร้าแน่ะ^^'ยังกะนมน้องเป้ยเวลาดันกันสุดๆอะไรแบบนั้นเลยวันนั้นเราได้เจอคุณหมอตอน5โมงกว่าๆค่ะคุณหมอมาแป๊บเดียวเพื่อดูอาการทั่วไปกับดูแผลแล้วก็เอาเดรนออกตอนเอาเดรนออกก็ไม่เจ็บมาก แค่แสบๆนิดเดียวคุณหมอมือเบาจริงๆแหละค่ะ แล้วก็บอกว่ายิ้มแย้มแจ่มใสดีแบบนี้ก็กลับบ้านได้แผลก็ไม่มีอะไรน่าห่วงก่อนจะเอาพลาสเตอร์แบบกันน้ำมาแปะตรงรักแร้เอาไว้ไม่ให้น้ำเข้าพร้อมกับกำชับว่าอย่าให้โดนน้ำนะ เช็ดตัวอย่างเดียวเลย จนกว่าจะถึงวันตัดไหมซึ่งคุณหมอนัดวันอังคารที่ 21 หรือ1อาทิตย์หลังจากนั้นวันนั้นเราก็กลับบ้านไปแบบอึนๆอ่ะ เพราะยังมึนๆกับยาสลบอยู่เลยวิบากกรรมของคุณแม่เราก็เริ่มตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเดี๋ยวจะแวะมาอัพเดทต่อของอาการวันถัดๆมาค่ะ^^
Project ศัลยกรรมทำหน่มน้ม 3 : วันผ่าจริง
12 เมษายน 2552วันนี้ตื่นแต่เช้าค่ะพาแม่ไปตลาด และจริงๆตั้งใจว่าจะตื่นมากินให้หนำก่อนที่จะอดอยากตอนบ่ายสอง แต่เอาเข้าจริงๆเรากินข้าวเช้าไปได้จานเดียวก็รู้สึกเหมือนกินอะไรไม่ลงแล้วอ่ะ-_-''หและสุดท้ายก็หยุดกินทุกอย่างรวมทั้งน้ำด้วย ไปตั้งแต่บ่ายโมงครึ่งหลังจากนั้นเราก็เป็นบ้าบอ ลุกขึ้นมาเก็บกวาดห้อง ขัดห้องน้ำ เปลี่ยนผ้าปูที่นอนถูพื้น เก็บตู้เสื้อผ้าสารพัดตอนนั้นรู้สึกว่าต้องรีบทำซะ ก่อนที่จะไม่ได้ทำไปอีกนาน เผื่อว่าสลบแล้วไม่ตื่นด้วย 5555พอสี่โมงกว่าก็ออกจากบ้านค่ะไปไหว้ศาลหลักเมืองขอพรเล็กน้อย่ก่อนจะขับรถไปหลงไป-_-''กว่าจะถึงที่โรงพยาบาลก็หกโมงสิบนาที ทั้งๆที่ถ้าไม่ได้หลงคงถึงตั้งแต่5โมงนิดๆแล้วอ่ะนี่แหละเราล่ะ ขับรถไปไหนต้องหลงซักนิดพอเป็นพิธี-_-''พอไปถึง พี่พยาบาลด้านล่างก็รออยู่แล้วเอาเราไปชั่งน้ำหนัก วันนั้นชั่งได้ 39.5กิโลค่ะเพราะก่อนผ่าตัดเรากลัวว่าจะบวมน้ำเกลือ กลัวว่าซิลิโคนจะทำให้น้ำหนักเราขึ้นเราเลยลดๆๆๆๆๆ ยิ่งวันนี้ไม่ได้กินอะไรเข้าไปเท่าไหร่น้ำหนักเลยลงจนเกือบเท่าตอนม.ปลายแน่ะ 5555(เราสูง150นิดๆเท่านั้นเองค่ะ แต่หนัก39นี่ก็เกือบแห้งแล้วแหละ แขนขาเป็นเส้นๆเชียว-_-'')แล้วก็มีบุรุษพยาบาลเอารถเข็นมาให้เรานั่งขึ้นไปที่ชั้นสี่เราอยู่ห้อง411^^ ห้องที่โรงพยาบาลได้เป็นห้องเดี่ยว Super Deluxeหรือไงนี่อ่ะค่ะห้องค่อนข้างกว้างขวาง วิ่งเล่นสะดวกเชียว-_-''วันนั้นเราขอให้น้ามาอยู่เป็นเพื่อนแม่ เพราะเราจะหายไปจากห้องนานพอสมควรช่วงผ่าตัด กลัวแม่จะเหงาค่ะ เราสามารถขอเตียงเสริมได้ คืนละ 150บาทต่อ1เตียงห้องนั้นน่าจะวางเตียงเสริมได้อีกซัก3-4อันเลยแหละเราว่านะ- -''หลังจากเข้าห้องมาแล้ว เราก็ต้องถอดให้หมด แหวน นาฬิกา สร้อย เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเตรียมเข้าผ่าตัด จะมีพี่พยาบาลคนนึงน่ารักมากๆ จะมีอายุนิดนึงนะคะเค้ามาช่วยเราเปลี่ยนเสื้อ แล้วช่วยโกนขนรักแร้ออกจนเกลี้ยงเลยทั้งๆที่จริงๆเราก็โกนมาบ้างแล้วนะ พี่เค้าบอกว่าเวลามีแผลจะได้ทำความสะอาดง่ายๆแล้วซักพักก็มีพยาบาลเข้ามาเจาะเลือดกับให้น้ำเกลือค่ะ ฮือๆT_Tเรากลัวเจ็บมากเลยแหละ เพราะเข็มยาวมากๆ แถมดูอ้วนๆด้วยT_Tแต่เราก็นึกถึงแมวที่บ้าน เพราะเมื่ออาทิตย์ก่อนมันไม่สบายมันก็โดนเจาะให้น้ำเกลือเหมือนกัน มันยังไม่ร้องซักแอะเราจะร้องได้ไง ใช่มะ-_-''แต่จริงๆตอนที่เค้าเจาะเข็มลงไปในเส้นเลือดหลังมือ มันปวดๆค่ะปวดหนึบๆ เราก็หันมาดูพี่พยาบาลเค้ากำลังดึงๆsyringeเพื่อสูบเลือดออกแต่รู้สึกว่าเลือดมันจะไม่ออกมาอ่ะยังไงไม่รู้ เค้าต้องเอาเข็มออกเพื่อไปหาเส้นเลือดเส้นอื่น เจาะใหม่กรี๊ดดดดดดดดT___Tเราก็ต้องทนปวดแปล๊บบบอีกรอบที่เส้นเลือดข้างๆกันและพี่เค้าเปลี่ยนเข็มให้เล็กลงเพราะเราบอกว่ามันปวดก็ยังปวดอยู่แม้จะไม่มากเท่าเดิมแต่เส้นเลือดเจ้ากรรมก็ไม่รู้อะไรนักหนาเค้าบอกว่าเจอเส้นล้วนะ แต่เลือดมันไม่ออกมา ไม่รู้ทำไมก่อนจะตีมือเราเพียะๆๆ เพื่อให้เส้นเลือดมันขึ้นแต่ก็ยังไม่สำเร็จอีก (ส่วนอิชั้นหน้าซีดแล้วค่ะ จะเป็นลม-_-'')พี่พยาบาลเค้าว่า เดี๋ยวต้องให้พี่อีกคนมาทำแล้วล่ะ เค้าก็ขอโทษเราใหญ่เลยนะ ที่ทำให้เจ็บแล้วยังสอดเข็มเข้าไปไม่ได้อีกว่าแล้วก็ดึงเข็มออก เลือดมันก็ไหลปุดๆออกมาหยดลงเตียงไปเลย กรี๊ด โหดมากT_T กลายเป็นว่าเราโดนเข็มเจาะสามหนหนที่สามที่สำเร็จ มีพี่พยาบาลที่ดูก็รู้ว่าเป็นseniorเค้ามาเลือกเส้นเลือดตรงใกล้ๆนิ้วโป้งซ้ายของเรา คนนี้เจาะเร็วมากค่ะ ยังไม่ทันได้ปวดเลยเข็มก็เข้าไปแล้วแต่ที่โหดคือ เค้าพยายามเอาsyringeมาดูดเืลือดเราไปตรวจแต่มันดูดไม่ค่อยออกเค้าเลยบิดเข็มให้กรวยเล็กๆที่ครอบเข็มอยู่เทลงด้านล่าง แล้วบอกให้เรากำมือเลือดมันก็เลยหยด แหมะๆๆๆ ไหลลงหลอดที่เค้าเอามารองเตรียมไว้ตอนนั้นบอกอาการไม่ถูกเลยอ่ะ-_-''มันดูโหดมาก เพราะเข็มเส้นยาว เราเห็นมันเป็นเส้นๆอยู่ตรงข้อมือเรานี่เองอ่ะเหมือนถ้าขยับแรงๆมันคงทะลุเนื้อออกมาได้ยังงั้นเลย-_-''แต่ปกติแล้ว คนทั่วไปเคาคงไม่โดนอะไรโหดงี้หรอกมั้งคะเราซวยเองที่เลือดมันไม่ค่อยจะอยากจะออกจากตัวพอเสร็จสิ้นขั้นตอนการเอาเลือดไป เค้าก็มาแปะผ้าแปะสก็อตเทปที่เข็มก่อนจะเอาสายน้ำเกลือมาต่อให้ ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นพอสมควรเพราะไม่รู้สึกหิวเหมือนจะเป็นลมแล้วที่เหลือก็คือนั่งรอเวลาค่ะ ประมาณทุ่มครึ่งจะมีเตียงมารับเราไปORซึ่งก็ค่อนข้างตรงเวลาเลยล่ะค่ะ แม่กะน้าเราก็บอกขอให้โชคดีเจ็บน้อยๆ สวยๆสมใจนะเราก็บ๊ายบายขึ้นเตียงไปล่ะ อิอิไปถึงที่หน้าห้องผ่าตัด เราต้องไปนอนเฉยๆ แว่นก็ไม่ได้ใส่ นอนตาบอดตาใสรอหมอพีซึ่งยังเดินทางมาไม่ถึง จำไม่ได้ว่ารอนานเท่าไหร่เพราะตาก็มองไม่เห็นนาฬิกาอีก (สายตาเราสั้นเยอะค่ะ-_-'') คิดว่าน่าจะใกล้ๆสองทุ่มมั้ง คุณหมอพีสุดหล่อก็มาถึงเพื่อมาวาดแบบเค้าก็จะเอาปากกาpermanentมาวาดเป็นรูปนมบนหน้าอกเราแล้วคุณหมอก็ได้กลุ้มใจอีกรอบเพราะเค้าไม่มั่นใจว่าฐานหน้าอกเรานี่มันยังไงกันแน่นะ-*-คุณหมออกอาการลังเลเลยแหละ ว่าจะเอายังไงดีนะเราก็บอกคุณหมอว่า หนูไม่มีไซส์ที่อยากได้อ่ะค่ะเอาเป็นว่าให้คุณหมอเลือกให้ก็แล้วกัน ให้มันพอดีตัวก็โอเคแล้วคุณหมอเลยบอกว่างั้น เด๋วขอหมอผ่าดูก่อนนะ แล้วจะได้รู้ว่าต้องใส่สองข้างไม่เท่ากันมั้ยถ้าไม่เท่า ข้างนึงจะเป็น275cc อีกข้างก็300-325cc แต่ถ้าเท่ากัน หมอใส่300ccทั้งคู่เลยนะ เอาให้เต็มคัพซีก็แล้วกัน จะได้สวยๆ^^เราก็ว่าไงว่าตามกันค่ะ จากเอไม่เต็มคัพมาเป็นคัพซีแค่นั้นก็หรูแล้วสำหรับคนตัวเท่าหอยเม่นอย่างเรา-_-''และแล้วเราก็ถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัด แต่ด้วยความที่สายตาสั้นเลยมองไม่เห็นเยอะว่าในห้องเป็นยังไงบ้างรู้ต่ว่ามีดวงไฟอันโตๆอยู่บนหัว ผนังห้องขาวๆแล้วก็มีคนมายกตัวเราย้ายลงเตียงผ่าตัด(เค้าแซวกันว่าตัวเบามาก จนพี่ผู้ช่วยหมอต้องถามว่านี่หนักเท่าไหร่เนี่ยด้วย-_-'')ติดที่วัดชีพจรที่นิ้วชี้ด้ายซ้ายเอาอะไรไม่รู้หนักๆมาวางไว้บนหน้าแข้งด้านซ้ายมีนางพยาบาลมาถอดเสื้อออกให้ (โป๊แล้ว><) เอาผ้ามาคลุมให้ แล้วก็เอาแขนเราไปล็อคไว้กับที่วางแขน แต่ล็อคไม่แน่นอะไรอ่ะค่ะ ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไรทั้งสิ้นหลังจากนั้นคุณหมอวิสัญญีก็มาเอาขวดน้ำเกลือออก(ปบ้วน่าจะเอายานอนหลับใส่เข้าไปทางเข็มที่เจาะน้ำเกลือแทนอ่ะค่ะ)แล้วก็เอาฝาครอบมาให้ครอบหน้าเราเค้าบอกว่านี่คืออ๊อกซิเจนนะ หายใจเข้าไปลึกๆเยอะๆเลยนี่อ๊อกซิเจนจากถังนะ ไม่ใช่อ๊อกซิเจนกระป๋องแล้วก็หัวเราะ สิ่งสุดท้ายที่เราได้ยินคือ เค้าคุยเล่นกันว่าที่ญี่ปุ่นมีอ๊อกซิเจนกระป๋องขายด้วยนะ แล้วหลังจากนั้นโลกก็มืดไปเลยค่ะ-_-''เราไม่รู้สึกไม่รู้เรื่องอะไรละแต่เหมือนเราไม่รู้ตัวว่าหลับไปแล้วอ่ัะเหมือนเรายังมีสติ ในความมืดเห็นอะไรวูบวาบๆไปหมด(ก่อนเข้าห้องผ่าตัดเราดันนั่งดูทีวีตอนที่ม๊อบเสื้อแดงทุบรถนายกพอดีอีกตอนสลบไปเราเลยเหมือนฝันร้ายว่ามีพวกเสื้อแดงมารุมๆเลยอ่ะ บ้าที่สุด-*-)แล้วในความรู้สึกที่เหมือนมันเพิ่งผ่านไปแป๊บเดียวเองอ่ะค่ะเราได้ยินเสียงนางพยาบาลบอกกับเราว่า คุณคะ การผ่าตัดเสร็จเรียบร้อยแล้วนะคะ พยักหน้าได้มั้ย ได้ยินรึเปล่าเราก็สลึมสลือ หัวหมุนไปหมด พยักหน้าตอบเค้าว่า ค่ะ ดีจัง-_-''ก่อนจะหลับไปอีกรอบ..โดยที่ไม่รู้หรอกว่านรกรออยู่ข้างหน้าในอีกไม่กี่ชั่วโมงนี้แล้ว กรี๊ดดด-_-''
Project ศัลยกรรมทำหน่มน้ม 2 : 2 วันก่อนผ่า
10 เมษายน 2552สองวันก่อนถึงวันผ่าตัดมีพี่พยาบาลโทรมาจากโรงพยาบาลกรุงสยามเซนต์คาลอสเพื่อสอบถามประวัติเรา แล้วก็อธิบายขั้นตอนต่างๆให้เรารู้ล่วงหน้าว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้างตอนนั้นตื่นเต้นแล้วล่ะค่ะเราไม่ค่อยห่วงเรื่องนมจะสวยหรือไม่สวยเพราะค่อนข้างมั่นใจในรสนิยมและฝีมือคุณหมอชนิดที่ไม่เคยรีเควสต์อะไรเลย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณหมอเลือกให้หมดที่ตื่นเต้น เป็นเพราะเรากลัวเจ็บอ่ะ-_-''เท่าที่ลองหาอ่านดู คนที่ทำก็จะมีทั้งแบบที่บอกว่าทำแล้วเฉยๆอ่ะ10วันไปเต้นแอโรบิคได้แล้ว กับอีกแบบก็เจ็บเหมือนอย่างที่เค้าว่ากัน คือเหมือนโดนรถบรรทุกทับแล้วเราจะเป็นแบบไหนก็ไม่รู้ ก็เลยกลัวเรื่องนี้มากหน่อย-_-''พี่พยาบาลที่โทรมาน่ารักดีค่ะ พูดจาดี ตอบข้อสงสัยแบบไม่มีน้ำเสียงหงุดหงิดรำคาญ ละด้วยความที่ตอนเราไปเจอหมอพี เราไม่ค่อยได้ถามอะไรมาก เพราะดูเหมือนคุณหมอจะรีบๆตลอด เลยไปถามกับพี่พยาบาลคนที่โทรมาแทนเค้าก็ถามประวัติชื่อจริงชื่อเล่น ประวัติการผ่าตัดและแพ้ยาเราก็บอกว่าเราเคยโดนฉีดยานอนหลับตอนผ่าตัดครั้งนึงแล้วตื่นมาแล้วอาเจียน2ครั้งนะ ไม่รู้เรียกว่าแพ้รึเปล่าพี่พยาบาลเลยบอกว่าจะเน้นเรื่องนี้กับหมอวิสัญญีให้ว่าคนไข้มีอาการแพ้ยาสลบอาจจะให้ฉีดยากันคลื่นไส้อาเจียนตามไปด้วยส่วนขั้นตอนการผ่าตัด พี่เค้าบอกว่าเริ่มแรกก็ต้องงดอาหาร6ชั่วโมงก่อนผ่าตัดเรานัดผ่าตอน2ทุ่ม ก็เรียกว่าตั้งแต่บ่าย2เป็นต้นไปห้ามเอาอะไรเข้าปากเด็ดขาด เพราะจะทำให้สำลักได้ตอนที่สลบไปแล้วถามด้วยว่าใส่คอนแทคเลนส์มั้ย มีแว่นรึเปล่า สายตาสั้นเท่าไหร่ให้เราเอาแว่นเตรียมไปด้วย เพราะขณะวางยาสลบตาเราจะแห้งคอนแทคจะบาดกระจกตาได้ เพราะงั้นให้ใส่แว่นไปจะดีกว่าแล้วให้ไปถึงที่โรงพยาบาลตอน6โมงเย็นเพื่อเตรียมให้น้ำเกลือและเจาะเลือดไปตรวจความเข้มข้นของเลือด (ถึงตอนนี้เราเริ่มซีด เพราะเกิดมายังไม่เคยโดนให้น้ำเกลือและเจาะเลือดเลย มันจะเจ็บมั้ยนั่น-_-'')และประมาณทุ่มครึ่งก็จะให้ไปที่ห้องORหรือก็คือห้องผ่าตัดเพื่อให้คุณหมอวาดแบบที่หน้าอกจากนั้นเค้าจะติดเครื่องมือตรวจวัดโน่นนี่ๆตามตัวเราเยอะแยะเลยแล้วคุณหมอวิสัญญีจะให้ยานอนหลับทางสายน้ำเกลือก่อนจะให้ดมยาสลบ(อันนี้ผิดจากที่เราเข้าใจเอาเองมาตลอดเลยเพราะเรานึกว่าเค้าจะเอาหน้ากากมาครอบเราให้เราสลบแต่กลายเป็นว่าจริงๆสลบไปก่อนเพราะยานอนหลับแล้วค่อยให้ดม)การผ่าตัดจะใช้เวลาประมาณ1ชั่วโมงโดยที่คุณหมอจะกรีดแผลเล็กๆที่ใต้รักแร้แผลยาวประมาณหนึ่งนิ้วแล้วก็จะใส่ซิลิโคนเข้าไปทางนั้นหลังผ่าตัดเสร็จเค้าจะย้ายเราไปที่ห้องไอซียูเพื่อดูอาการว่าไม่มีอะไรแทรกซ้อน พี่พยาบาลบอกด้วยว่าหลังผ่าตัดเสร็จเราจะฟื้นแล้วคุณหมอบอกให้ทำอะไรก็ทำนะคะ อย่างเช่นให้หายใจลึกๆ อะไรแบบนี้เพื่อจะได้รู้ว่าเราฟื้นแล้วตามกำหนดจริงๆเราก็อืมๆๆๆ หลังจากอยู่ในไอซียูประมาณ2ชั่วโมงเค้าถึงจะให้เราย้ายไปในห้องพักฟื้นได้เราก็นั่งฟังแบบหน้าเซียวๆหน่อย-_-''เพราะกลัวเหลือเกินว่ามันจะเจ็บอ่ะ แผลแค่นิ้วเดียว แต่ยัดซิลิโคน300CCเข้าไปเนี่ยนะแต่ถึงตอนนั้นก็พยายามไม่คิดอะไรมากแล้วอ่ะค่ะ ทำไรไม่ได้แล้วนอกจากทำใจ 5555ช่วงอาทิตย์-2อาทิตย์ก่อนผ่าเราก็ไปเอาดัมเบลอันเล็กๆมายกๆขึ้นลงๆเผื่อว่ากล้ามเนื้อที่อกและแขนจะแข็งแรงขึ้นมั่งเพราะปกติเราเป็นคนไม่ค่อยออกกำลังกาย-_-''และเป็นคนเส้นแข็งด้วย แบบว่าก้มตัวเอามือแตะปลายเท้าไม่ถึงอ่ะค่ะป้าเส้นแข็งทั้งตัว-_-''ก็เลยทำเท่าที่จะทำได้แค่นั้นก่อนวางสายเราก็ถามพี่พยาบาลว่า เราจะทำทรงไหนถึงจะดีก็ไม่รู้เพราะซิลิโคนมีหลายทรงแถมมี2ยี่ห้อคุยกันไปมา พี่เค้าก็ตอบเหมือนที่ใจเราคิด ว่าปล่อยให้เป็นหน้าที่หมอพีเลือกก็ได้นะคะเพราะคุณหมอจะรู้ว่ารูปร่างแบบไหน ฐานหน้าอกแบบไหน ควรจะใช้ซิลิโคนขนาดเท่าใดและทรงใด แล้วคนไข้ของหมอพีที่ผ่านๆมาก็พอใจกับผลงานคุณหมอทั้งนั้นเราเลยยิ่งไม่ห่วงเรื่องนี้เข้าไปใหญ่^^ตอนนี้ห่วงอย่างเดียวคือ กลัวเจ็บค่ะ-_-''เด๋วมาต่อของวันผ่าตอนต่อไปค่ะ...