Group Blog
 
All blogs
 
War of the Worlds [2005]: แล้วโลกก็ร้อนอีกครั้ง จากมนุษย์ต่างดาวและกระแสวิจารณ์

ออกฉายปี คศ.2005

กำกับ
Steven Spielberg

นำแสดง
Tom Cruise
Dakota Fanning
Justin Chatwin
Tim Robbins

ว่าจะไม่เขียนเรื่องนี้แล้ว เพราะรู้สึกว่าในเวบพันทิพย์โดยเฉพาะห้องเฉลิมไทย กำลังฟาดฟันอย่างเมามัน แต่เนื่องจากเป็นไม่กี่เรื่องที่ผมได้มีโอกาสไปดูในโรงภาพยนตร์เลยอยากจะเขียนไว้จดจำซักเรื่อง

ข้างต้นจะขอถอดความจากเวบไซท์วิจารณ์หนังเวบหนึ่ง ที่ผมเห็นว่าน่าสนใจและไม่ได้วิจารณ์อย่างสุดขั้วแต่อย่างใด แต่จะกึ่งๆ ไปทางศาสนานิดๆด้วยซ้ำ ถือว่าอ่านบทวิจารณ์ของฝรั่งบ้างคละๆ กันไป


..........................................................................

ทั้งโลกมันมีอยู่แค่ 2 ประเทศตอนที่ H.G. Wells เขียนเรื่อง The War of the Worlds หรือเปล่า..... คำตอบก็คือเปล่า เพราะในยุคศตวรรษกว่าๆ ตอนนั้น ประเทศในยุโรป โดยเฉพาะมหาอำนาจอย่างสหราชอาณาจักร ได้แสดงแสนยานุภาพกำจัดชนผ่าวูดู อะบอริจิน หรือชนกลุ่มน้อยต่างๆ ขยายอำนาจยึดครองดินแดนแทบทั้งโลก .....ความรู้สึกที่ผู้เขียน เขียนนิยายเรื่องนี้ ก็คงถอดความรู้สึกของชนเผ่าเหล่านั้นออกมา โดยแทนที่จะเป็นชมกลุ่มน้อยก็เป็นประชากรโลกซะ และมหาอำนาจก็คือมนุษย์ต่างดาว

เมื่อหนังสือกลายเป็นหนัง.....ภาพยนตร์หลายๆ เรื่องมีเค้าโครงมาจากเรื่องจริง หรือไม่ก็เป็นเหมือนกระจกสะท้อนเหตุการณ์รอบๆ ตัวในขณะที่หนังถูกสร้าง หนังของ Steven Spielberg คราวนี้ก็นำเสนอมนุษย์ต่างดาวบุกโลก ซึ่งก็มองๆไปเหมือนภาพสะท้อนการที่ผู้ก่อการร้ายถล่มตึกเวิร์ลเทรด เมื่อต้นศตวรรษที่ผ่านมา

หนังทำต่างจากหนังสือนิดๆ คือมนุษย์ต่างดาว ไม่ได้มาจากดาวอังคาร แต่มาจากไหนก็ไม่รู้ และก็กลายเป็นว่ามีเครื่องจักรสังหารถูกฝังอยู่ใต้โลก รอมนุษย์ต่างดาวมาเปิดเครื่อง ก็รอมานานเป็นล้านปีได้จากที่หนังเขาบอก พอถึงเวลาที่กำหนด มนุษย์ต่างดาว็ถูกส่งมากับลำแสงที่เหมือนฟ้าผ่า และพายุสนามแม่เหล็กที่ทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าในบริเวณรอบๆ พังหมด .....หลังจากมนุษย์ต่างดาวโผล่ขึ้นสู่พื้นพร้อมกับเครื่องจักรสังหาร มันก็เริ่มยิงผู้คนรอบๆ กันให้วอดวายกันไปหมด โดยการยิงลำแสงที่ทำให้อินทรีย์วัตถุอย่างคนกลายเป็นผง .....ภาพในหนังช่วงนี้ ย้อนให้นึกถึงเหตุการณ์ตึกเวิร์ลเทรดถล่มที่ผู้คนและเมืองนิวยอร์กถูกปกคลุมด้วยฝุ่นผง

หนึ่งในผู้รอดชีวิตในช่วงแรก รวมไปถึงคนงานจากท่าเรือชื่อ Ray Ferrier (Tom Cruise) ซึ่งหลังจากหย่าร้าง ก็ต้องดูแลลูกสองคนช่วงวันหยุด ซึ่งวันหยุดคราวนี้ก็ไม่เหมือนคราวก่อนๆ เพราะต้องดูแลลูกให้รอดพ้นจากฝูงเอเลี่ยน .....บทบาทที่ Tom Cruise เล่น ก็จะเป็นคนที่ชีวิตสะเปะสะปะ ไม่มีความรับผิดชอบอะไรเลย ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะรอดจากมหาตภัยคราวนี้ไปได้

Ray รู้สึกถึงความผิดปกติ เขาขโมยรถแวนที่เขาช่วยช่างคนหนึ่งซ่อมที่อู่ข้างบ้าน และพยายามพาเด็กๆ กลับไปหาแม่ของเขา แต่ทว่าบ้านแม่ของเด็กๆ ในขณะที่พวกเขาไปถึง ได้ถูกทิ้งร้างและโดนเครื่องบินตกใส่พอดิบพอดี หนังช่วงนี้ทำให้นึกถึงเหตุการณ์เครื่องบินตกที่เมือง Queens สองเดือนหลังเวิร์ลเทรดถล่ม.....จากนั้นพระเอกของเราเลยตัดสินใจไปหาแม่เด็กที่บอสตัน (บ้านแม่ยาย), แต่ระหว่างทางก็พบอุปสรรคนานับประการจากมนุษย์ต่างดาวล้างโลก ในขณะที่เด็กๆ ที่ขาดความเชื่อมั่นในตัว Ray ก็ไม่มีทีท่าจะเชื่อฟังเขาซักเท่าไหร่

หลังจากจุดนี้ในภาพยนตร์ทำให้เรานึกถึงฉากต่างๆ มากมายในหนังที่เราเคยดู อย่าง Star Wars หรือ Saving Private Ryan..... Spielberg เองก็แสดงให้เห็นถึงความสนใจในแนวหนังสงครามออกมาพอตัว เพียงแต่มันติดที่ว่าเขาโชว์ในส่วนของการต่อสู้กับมนุษย์ต่างดาวน้อยเกินไป แต่กลับไปสนใจการต่อสู้ของคนด้วยกันเองเพื่อเอาชีวิตรอด ซึ่งดูเขาพยายามมาก .....ในขณะที่เอเลี่ยนเริ่มจับคนเพื่อที่จะเอาเลือดมารดน้ำต้นไม้ หนังช่วงนี้ทำให้ผมนึกถึงเรื่อง A.I. Artificial Intelligence และนึกถึง Schindler's List ในตอนที่ Ogilvy (Tim Robbins) หนึ่งในผู้รอดชีวิตที่ช่วยพระเอกกับลูกสาวซ่อนตัวกล่าวว่า "This is not a war, any more than there's a war between men and maggots. This is an extermination"

ลองมาดูด้านเทคนิคและเอฟเฟคบ้าง Spielberg เป็นคนที่เก่งในเรื่องการใส่ความเป็นมนุษย์ลงไปในฉากที่อาศัยเทคนิค หรือการใช้เทคนิคเพื่อดึงอารมณ์ของตัวละคร .....เก่งกว่า ผู้กำกับรุ่นๆเดียวกัน อย่าง จอร์จ ลูคัส .....มีอยู่ฉากในหนัง ที่กล้องเริ่มจากมุมนอกรถของพระเอก ในขณะที่รถเคลื่อนไปบนถนน จากนั้นกล้องก็ลอดเข้าไปในรถ ก่อนที่จะถอยออกมาข้างนอก แล้วลอยขึ้น เหนือรถเพื่อฉายเส้นทางที่รถวิ่งผ่านมา ซึ่งตรงนี้ Spielberg ทำได้ เนียนและเหนือชั้นมากๆ (ผมเองก็คิดแบบนั้นตอนนั่งดูในโรง) ที่สำคัญระหว่างที่กล้องแพนไปนั้น เราจะได้เห็นความสัมพันธ์ของเด็กๆ กับพระเอก ซึ่งเราจะได้เห็นความขัดแย้งและการโต้ตอบกันในหลายอารมณ์ ซึ่งรวมไปถึงมุขขำๆ อย่างคำถามที่ลูกชายถามพ่อว่า "if the attack came from terrorists" พระเอกก็ตอบว่า "It came from somewhere else,"จากนั้นลูกชายก็ถามกลับแบบซื่อๆว่า "You mean, like, Europe?"

Spielberg ยังคงเน้นไปที่อารมณ์ของปัจเจกบุคคล War of the Worlds ในฉากหนึ่งที่รถของพระเอกถูกรุมทึ้งที่ผู้คนที่ต้องการเอาตัวรอด Ray คิดว่าเขาต้องฆ่าคนที่บ้าคลั่งซักคนเพื่อให้มันสงบลงบ้าง ในนิยายของ Wells ตรงนี้นี้จะเหมือนการฆ่าคนโดยไม่เจตนา แต่ในภาพยนตร์ Ray ดูเหมือนจะควบคุมตัวเองได้ และพยายามทำทุกอย่างในวิสัยของคนปกติ เพียงเพื่อปกป้องครอบครัวของเขาเท่านั้น

เรื่อง War of the Worlds ทำให้คิดไปถึงหนังหลายๆ เรื่องในยุค 1990's (ซึ่งผมเองก็คิดแบบนั้น) เอเลี่ยนบุกโลกนี่ทำให้นึกถึง Independence Day เมฆสีดำๆ และลมที่พัดกรรโชกทำให้นึกถึงเรื่อง Twister เรือที่ถูกจมก็ทำให้นึกถึง Titanic.....ในฉากที่หลบอยู่ห้องใต้ดินแล้ว เครื่องตรวจหาของเอเลี่ยนลอยเข้ามาส่องไฟไปมานี่ทำให้ผมนึกถึงเรื่องที่สปีลเบิร์กและ ทอม ครูซ เจอกันมาก่อนหน้านี้อย่าง Minority Report ส่วนกรงที่ขังมนุษย์บนหุ่นยนต์ของเอเลี่ยนนั้น ก็แลดูเหมือนเครื่องขังหุ่นในเรื่อง A.I. Artificial Intelligence ยังไงพิกล

หนังสังหารหมู่ หรือมหาภัยล้างโลกมักจะมีเรื่องของศาสนามาเกี่ยวข้อง Spielberg เองก็ไม่พ้นเรื่องนี้ ......ในภาคนิยาย ศาสนาถูกสื่อเหมือนเป็นพลังขับให้ผู้คนคลุ้มคลั่ง คนที่ถูกพระเอกฆ่าในนิยายนั้น คือผู้นำของศาสนาในท้องที่ (ซึ่งไม่มีในฉากภาพยนตร์) Spielberg พยายามจะไม่สร้างความสุดขั้วให้เกิดกับตัวละคร โดยให้มีจิตสำนึกในช่วงเวลาคับขันให้มากขึ้น และที่เหลือก็ปล่อยให้อารมณ์ของหนังจัดการตัวเอง อย่างปืนที่ถูกทิ้งไว้ที่พื้นในจังหวะชุลมุนเป็นต้น

โบสถ์ คือสถานที่แรกที่ถูกทำลายในตอนต้นเรื่อง จากนั้นความโกลาหลก็เกิดขึ้น ตรงนี้สื่อให้ถึงสังคมที่วุ่นวายเพราะขาดความเชื่อและศรัทธา ในขณะเดียวกันก็สื่อให้เห็นว่า ศาสนาก็ใช้อะไรไม่ได้ในเวลาที่สังคมเกิดความวุ่นวายอย่างที่สุดๆ เหมือนมหาภัยต่างๆ ในชีวิตจริง .....War of the Worlds เริ่มต้นด้วยความหายนะ, และทิ้งคำถามที่ว่า ทั้งหมดที่ดูมานั่นมันหมายความว่าอะไร .....จึงเป็นภาพยนตร์ซัมเมอร์ที่น่าชมของปีนี้ แต่สำหรับบางคนอาจจะต้องการคำแนะนำพอสมควรในการชม

..........................................................................

ที่เขียนข้างต้นนี้แปลแบบคร่าวๆ จาก
//www.christianitytoday.com
และเพิ่มเติมจากที่ได้ดูมาด้วยตัวเองนะครับ

สำหรับภาพยนตร์เองในแง่ของความสมบูรณ์ของเนื้อเรื่องผมว่าโดยรวมสปีลเบิร์กทำได้ต่ำกว่ามาตรฐาน ซึ่งคงเพราะไม่อยากเปลี่ยนแปลงต้นฉบับ.....ผมเองคิดว่า ในเมื่อต้นฉบับมันโบราณ ทำให้เกิดความไม่สมเหตุสมผลกับเทคโนโลยีในปัจจุบันหลายต่อหลายฉาก ทำไมไม่ทำหนังออกมาให้มนเป็นหนังโบราณไปเลย ยกตัวอย่างเช่น Sky Captain and the World of Tomorrows ที่ย้อนยุคอย่างพอดีๆ คนดูจะได้บรรยากาศที่สมจริงกว่า

สำหรับข้อวิพาทย์ต่างๆ ที่คงได้เห็นในห้องเฉลิมไทยมานั้นผมคงไม่พูดถึง เพราะในห้องนั้นมีทั้งคำถามและคำตอบอยู่ในตัวอยู่แล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคุณเองจะยืนอยู่ข้างไหน

คนโบราณไม่ใช่ว่าไม่ฉลาด แต่ด้วยความจำกัดหลายอย่าง ไอเดียและจินตนาการจึงสื่อออกมาแตกต่างกัน ผู้เขียนบทประพันธ์ก็เช่นกัน การดู War of the Worlds ให้สนุกก็คงดูที่ความตั้งใจของผู้กำกับ และจินตนาการของบทประพันธ์โบราณ รวมถึงมองถึงประเด็นต่างๆ ในรายละเอียดมากกว่าความสมจริง .....แต่หากจะดูแล้วไม่ชอบนั้นก็คงเป็นเพราะยึดถือเหตุผลเป็นหลัก และคิดว่าหนังปี 2005 ถึงจะเขียนในปี 1800 กว่าๆ ก็ต้องสมจริงเหมือน 2005 ซึ่งอันนี้ผมว่ามันก็เกินไป แต่ยังไงก็ตาม การไปดูหนังก็ขอให้ดูอย่างสนุก ผมเห็นบางกระทู้เถียงกันเลือดขึ้นหน้า ก็ไม่รู้ว่าอะไรจะขนาดนั้น คือถ้ามนุษย์กันเองยังไม่สามัคคีกัน มนุษย์ต่างดาวก็คงไม่อยากจะบุกโลกแล้วเอาเราไปทำปุ๋ยหรอก เออ..ก็ดีนี่นะ 555




Rate ***

ข้อคิดจากภาพยนตร์
From the moment the invaders arrived, breathed our air, ate, and drank, they were doomed. They were undone, destroyed, after all of man's weapons and devices had failed, by the tiniest creatures that God and his wisdom put upon this earth. By the toll of a billion deaths, man had earned his immunity, his right to survive among this planet's infinite organisms. And that right is ours against all challenges. For neither do men live nor die in vain.

หลังจากที่มนุษย์ต่างดาวได้บุกมายังโลก เอาอากาศของเราหายใจ ดื่มกินทรัพยากรของโลก อาวุธยุทโธปกรณ์ และวิถีทางทำลายล้างต่างๆ ที่มนุษย์สรรหามานั้นไม่ได้ ระคายเคืองมันแม้แต่น้อย แต่เป็นเพราะพระเจ้าที่ได้ทำลายพวกมันจนหมดสิ้น พระองค์ประสงค์ให้สิ่งมีชีวิตเล็กๆ อย่างมนุษย์ดำรงอยู่บนโลกต่อไป หลังจากผู้คนล้มตายนับล้าน มนุษย์ก็ได้รับภูมิคุ้มกัน ได้รับความชอบธรรมในการดำรงเผ่าพันธ์บนดางดวงนี้ และความชอบธรรมในการต่อสู้และเผชิญสิ่งต่างๆ ซึ่งจะทำให้ไม่มีใครอยู่หรือตายอย่างไร้ประโยชน์อีกต่อไป



Create Date : 13 กรกฎาคม 2548
Last Update : 13 กรกฎาคม 2548 13:44:41 น. 8 comments
Counter : 1461 Pageviews.

 
คิดไว้ว่า จะไปดูค่ะ

คิดเหมือนพี่แนลเลย

ดูหนัง ดูเอาสนุก ดูเอาความคิด ดูเอาความเพลิดเพลิน

ไม่เห็นต้องมานั่งเถียงกัน อย่างเอาเป็นเอาตายเลย

เนอะ


โดย: พฤษภาคม 2510 วันที่: 13 กรกฎาคม 2548 เวลา:14:17:59 น.  

 
แวะมาอ่าน


โดย: Gryffin วันที่: 13 กรกฎาคม 2548 เวลา:15:25:31 น.  

 
คงรอดูแผ่นเหมือนเดิม ^^'






...


โดย: ขอบคุณที่รักกัน (blueberry_cpie ) วันที่: 13 กรกฎาคม 2548 เวลา:16:47:09 น.  

 
ส่วนตัวชอบเรื่องนี้นะค่ะ

เพราะรอดูมานานตั้งแต่ปีที่แล้วมั้ง

กระแส ส่วนใหญ่ของเรื่องนี้ พอไปดูกันมาแล้ว

ไม่ค่อยมีใครชอบเท่าไหร่ แต่หนังเรื่องนี้ก็สอนเหมือนกันนะ



โดย: baby_15 วันที่: 13 กรกฎาคม 2548 เวลา:21:51:21 น.  

 
ดูแล้วไม่ได้เก็บเอาคิดมากในเรื่องความสมจริงหรือไม่สมจริง...ดูเอาสนุก ดูเพื่อความบันเทิง ก็ดีนี่คะ...
ลป. แต่ก็เห็นด้วยกะคำวิจาร์ณด้านบนนะคะ...


โดย: นู๋อุ๋ย IP: 61.91.184.209 วันที่: 13 กรกฎาคม 2548 เวลา:21:53:18 น.  

 
อืม


บทมันเก่า

ก็ทำยากอย่างนี้แหละนะคะ


โดย: PADAPA--DOO วันที่: 13 กรกฎาคม 2548 เวลา:22:10:56 น.  

 
จริงๆ มันก็ไม่เลวนะครับ


โดย: หมื่นทิพ TRAVOLTA (เทพบุตรตบะแตก!! ) วันที่: 13 กรกฎาคม 2548 เวลา:23:26:32 น.  

 
พฤษภาคม 2510// คุณหนูนอนดึกจังเลยนะครับ

Gryffin// ขอบคุณที่แวะมาครับ

blueberry_cpie// ดูโรงแล้วคิดว่าอาจจะไม่ซื้อแผ่นล่ะครับ

baby_15// รอแล้วได้ดูนี่ก็ยังดีที่ได้ดูนะครับ ถึงจะไม่เต็มที่เท่าไหร่ก็เถอะ

นู๋อุ๋ย// ดูเอามันจริงๆ แต่พี่ว่ามันก็ไม่ค่อยมันเท่าไหร่นะ

PADAPA--DOO// ก็อย่างว่า ถ้าทำให้มันเป็นหนังเก่าไปเลยคงไม่มีปัญหา พยายามเอามาทำให้มันทันสมัยผลก็เลยออกมาเป็นแบบนี้

เทพบุตรตบะแตก!!// จริงๆ มันก็ไม่เลวครับ


โดย: nsk วันที่: 14 กรกฎาคม 2548 เวลา:14:07:57 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

nsk
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีชาวโลก...

Bangkok


Los Angeles


-/ -
id=objMediaPlayer1 width=150 viewastext>




















width="150" height="64" bgcolor="ffffff" autoplay="true" cache="true" enablejavascript="true" controller="true">


sniper/ หนึ่งในล้าน
id=objMediaPlayer1 width=150 viewastext>




















width="150" height="64" bgcolor="ffffff" autoplay="true" cache="true" enablejavascript="true" controller="true">


เจย์ โชว/ Cloudess Day
id=objMediaPlayer1 width=150 viewastext>




















width="150" height="64" bgcolor="ffffff" autoplay="true" cache="true" enablejavascript="true" controller="true">


Friends' blogs
[Add nsk's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.