|
[UK6.1] ไป London ตะลอน..แบบเป็ดเป็ด
ต่อจากการเดินทาง : [UK1] E N G L A N D แมนเชสเตอร์ (Manchester), เชสเตอร์ (Chester), ยอร์ค (York) [UK2] S C O T L A N D เอดินเบอระ (Edinburgh) [UK3] E N G L A N D เลคดิสทริค (The Lake District National Park), วินเดอร์เมียร์ (Windermere) [UK4.1] E N G L A N D สแตรทเฟอร์ด-อัพพอน-เอวอน (Stratford-upon-Avon), เบอร์ตัน ออน เดอะ วอเทอร์ (Bourton-on-the-water) [UK4.2] W A L E S คาร์ดิฟฟ์ (Cardiff) [UK5] E N G L A N D บาธ (Bath), บิสเตอร์ (Bicester), สโตนเฮนจ์ (Stonehenge)

--15 เมษายน 2554--
เราปิดท้ายทริปนี้ด้วยการชม มหานครลอนดอน (London) เมืองหลวงของสหราชอาณาจักรกันแบบเป็ด ๆ
บนซ้าย - เงยหน้าดูท้องฟ้าสีหม่นก็เจอบอลลูนอวยพร "Good Year" บนขวา - Rowland Hill Statue ..เราสามารถพบเห็นอนุสาวรีย์บุคคลสำคัญได้ทั่วไปที่นี่ ล่างซ้าย - ตึกที่มีทั้งสถาปัตยกรรมควบคู่ศิลปกรรมที่สวยงามก็เป็นเอกลักษณ์ของชาวอังกฤษ ล่างขวา - อาคารไม่มีหน้าต่างสักบานแห่งนี้คือธนาคาร

มหาวิหารเซนต์ปอล (St Pauls Cathedral)
มหาวิหารเซนต์ปอลใหม่ของศาสนาคริสต์แห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นระหว่าง ค.ศ. 1675 - 1710 หลังจากวิหารหลังเก่าถูกทำลายในเหตุการณ์เพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในกรุงลอนดอนเมื่อปี ค.ศ. 1666 ผู้ออกแบบคือ เซอร์ คริสโตเฟอร์ เรน (Sir Christopher Wren) สถาปนิก+นักดาราศาสตร์+ นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ
ประตูฝั่งตะวันตก (Great West Door) - หอทั้งสองเป็นส่วนที่ถูกเพิ่มเติมจากแบบเดิม โดยด้านขวาเป็นหอนาฬิกา (Clock Tower)


มหาวิหารหลังคาทรงโดม - สถาปัตยกรรมแบบบาโรก (Baroque) ที่แห่งนี้เคยใช้ประกอบพระราชพิธีสำคัญ เช่น - พระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี (Diamond Jubilee) ของสมเด็จพระราชินีนาถ วิกตอเรีย (Queen Victoria) ในปี ค.ศ.1887 - การเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษาของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 (Queen Elizabeth II) ในปี ค.ศ.2006 - พระราชพิธีอภิเษกสมรส (Royal Wedding) ของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์ (Charles, Prince of Wales) และเลดี้ไดอานา (The Lady Diana Spencer) ในปี ค.ศ.1981

ฝั่งตะวันออก - รูปปั้นนักบุญเซนต์ปอล (Statue of Saint Paul) สีทองเหลืองอร่ามทะลุยอดไม้

พระบรมรูปทรงม้าของดยุคแห่งเวลลิงตัน (Equestrian Statue of Duke of Wellington) ตั้งอยู่บริเวณธนาคารแห่งลอนดอน (Bank of London) สร้างเป็นเกียรติแด่ อาร์เธอร์ เวลสลีย์ : Arthur Wellesley (1769 - 1852) ผู้เป็นทหารและรัฐบุรุษที่ได้รับชัยชนะเหนือนโปเลียน (Napoleon) อย่างยิ่งใหญ่ในการรบที่วอเตอร์ลู (Battle of Waterloo) ในปี ค.ศ. 1815 ต่อมาได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอังกฤษในปี ค.ศ. 1828-1830 และ ค.ศ. 1834

เสาอนุสรณ์ไฟไหม้ครั้งประวัติศาสตร์ของลอนดอน (Monument to Great Fire of London) ออกแบบโดย คริสโตเฟอร์ เรน (Christopher Wren) และ โรเบิร์ต ฮุค (Robert Hooke) โดยเหตุการณ์ไฟไหม้เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 2-5 กันยายน ค.ศ. 1666 ต้นเพลิงคือร้านขนมปังของ Thomas Farrinor (หรือ Farynor) บนถนน Pudding Lane ซึ่งเขาลืมปิดเตาอบก่อนเข้านอน ไฟได้ลุกไหม้สร้างความเสียหายแก่บ้านเรือนที่อยู่ในกำแพงเมืองซึ่งสมัยก่อนบ้านส่วนใหญ่สร้างด้วยไม้ร่วม 13,200 หลัง โบสถ์อีก 87 แห่ง รวมทั้งมหาวิหารเซนต์ปอลเก่าด้วย (Old St Paul's Cathedral)

บ้านผีสิงแห่งลอนดอน (The London Bridge Experience & The London Tombs) ได้รับการโหวตให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่ากลัวที่สุดในสหราชอาณาจักร (The UKs Best Scare Attraction : 2009-2011) ตั้งอยู่บน Tooley Street บริเวณ London Bridge

รูปปั้นหน้าตาประหลาดแห่ง Tooley Street/More London โดยเป็นรูปปั้นคู่ชายและหญิงซึ่ง ตั้งอยู่หน้าห้องน้ำสาธารณะ เจ้าของผลงานคือ Stephan Balkenhol
ภาพประกอบจาก www.flickr.com > > >
| |  |

สะพานลอนดอน (London Bridge) เป็นสะพานข้ามแม่น้ำเทมส์ (River Thames) เชื่อมระหว่างนครลอนดอน (City of London) และซัทเธิร์ค (Southwark) ซึ่งเปิดใช้ตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม ค.ศ. 1973

สะพานทาวเวอร์บริดจ์ (Tower Bridge) หนึ่งในสัญลักษณ์ของกรุงลอนดอน ลักษณะเป็นสะพานแขวน (Suspension Bridge) แบบยกเพื่อให้เรือสัญจรผ่านได้ (Bascule Bridge) ความยาวทั้งสิ้น 244 เมตร ทอดข้ามแม่น้ำเทมส์ มีหอคอยสไตล์วิกตอเรียนโกธิก (Victorian Gothic) 2 หลัง ใช้เวลาสร้าง 8 ปี ตั้งแต่ ค.ศ. 1886-1894 ชื่อของสะพานถูกตั้งตามหอคอยลอนดอน (Tower of London) ซึ่งอยู่ใกล้กัน

มองจากสะพานทาวเวอร์บริดจ์ (Tower Bridge) จะเห็น City Hall อาคารรูปทรงหัวหอม (Onion) ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ของสำนักบริหารมหานครลอนดอน (Greater London Authority: GLA) ออกแบบโดย Sir Norman Foster สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 2002

และสุดปลายสะพานทาวเวอร์บริดจ์ ด้านตรงข้ามกับ City Hall คือ หอคอยลอนดอน (Tower of London) ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของเราในช่วงเช้า

หอคอยลอนดอน (Tower of London) อดีตพระราชวัง ป้อมปราการ คุก และแดนประหาร ค้นพบตั้งแต่ปลายปี ค.ศ. 1066 และได้มีการก่อสร้างเพิ่มเติมหลายครั้งจนแล้วเสร็จราวปลายศตวรรษที่ 13 โดยหอคอยแห่งนี้ติดอันดับสถานที่แห่งตำนานอันน่าสยดสยองที่สุดในโลก ซึ่งมีคำร่ำลือถึงการพบเห็นดวงวิญญาณ รวมทั้งการได้ยินเสียงลากโซ่ตรวนและเสียงร้องขอชีวิตของนักโทษประหารและผู้ถูกคุมขังจนถึงทุกวันนี้


  | ที่โด่งดังที่สุดคือ พระนางแอนน์ โบลีน (Anne Boleyn) พระราชินีที่โดดเด่นและสำคัญที่สุดแห่งอังกฤษ พระมเหสีองค์ที่สองในพระเจ้าเฮนรีที่ 8 (Henry VIII of England) ซึ่งถูกสำเร็จโทษโดยการตัดพระเศียรจากข้อกล่าวว่าหาคบชู้และร่วมประเวณีกับน้องชายร่วมสายเลือดเดียวกัน เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 1536 การประหารเป็นไปอย่างรวดเร็วโดยเพชรฆาตมือหนึ่งและดาบที่คมที่สุดจากฝรั่งเศสตามคำขอของพระนาง ซึ่งปกติการประหารชีวิตในอังกฤษจะใช้ขวานในการตัดคอ ว่ากันว่ามีผู้พบเห็นพระนางถือศีรษะของตัวเองเดินเล่นภายในหอคอยและส่งเสียงกรีดร้องครวญคราง |
ส่วนพระนางแคทเธอรีน ฮอเวิร์ด (Catherine Howard) พระมเหสีองค์ที่ห้าในพระเจ้าเฮนรีที่ 8 ถูกสำเร็จโทษโดยการตัดพระเศียรด้วยความผิดคบชู้ เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1542 ภายหลังจากการเสกสมรสไม่ถึง 2 ปี ดำรัสสุดท้ายของพระนางคือ "เราตายอย่างราชินีองค์หนึ่ง แต่เราจะพึงใจมากกว่าหากได้ตายในฐานะภรรยาของคัลเปเปอร์" (I die a Queen, but I would rather have died the wife of Culpepper) โดยพระนางได้รับสมญา "กุหลาบที่ไร้หนาม" (Rose without a Thorn) จากการอภิเษกแบบสายฟ้าแล่บหลังจากที่พระเจ้าเฮนรีที่ 8 ทรงหย่าขาดจากพระราชินีแอนน์แห่งคลีฟส์ (Anne of Cleves) พระมเหสีองค์ก่อนเพียง 19 วัน |  |
 | เลดี้เจน เกรย์ (Lady Jane Grey) หรือ ราชินีเก้าวัน (The Nine Days' Queen) ผู้เป็นพระญาติที่มีความสนิทสนมกับพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 6 (Edward VI of England) โอรสองค์เดียวในพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 หลังจากพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดสวรรคตตั้งแต่อายุยังน้อยและได้มอบให้พระนางครองราชย์ โดยข้ามรัชทายาทอันดับหนึ่งคือ เจ้าหญิงแมรี (Mary I) และรัชทายาทอันดับสองคือ เจ้าหญิงอลิซาเบธ (Elizabeth I) ความขัดแย้งได้เกิดขึ้นและจบลงโดยเจ้าหญิงแมรีเป็นฝ่ายชนะได้ขึ้นเป็นสมเด็จพระราชินีแมรีที่ 1 แห่งอังกฤษ (Queen Mary I of England) ในเวลาเพียง 9 วัน พระนางเจนถูกสำเร็จโทษด้วยการตัดศีรษะเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1554 |
นอกจากนี้ยังมีคดีการหายสาปสูญไปอย่างลึกลับของเจ้าชายน้อยสองพระองค์ภายในหอคอยคือ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 5 (Edward V of England) วัย 12 พรรษา และ เจ้าชายริชาร์ด (Richard of Shrewsbury, 1st Duke of York) วัย 9 พรรษา พระโอรสในพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 แห่งอังกฤษ (Edward IV of England) เชื่อกันว่าทั้งสองพระองค์ถูกพระเจ้าริชาร์ดที่สาม (Richard III of England) ผู้เป็นอาและผู้สำเร็จราชการสั่งสังหารเพื่อจะได้ขึ้นครองราชย์แทน |  |
ภาพและข้อมูลจาก Wikipedia
|
หอขาว (White Tower) เป็นอาคารที่มีความแข็งแรงที่สุด สร้างด้วยหินจากเมืองก็อง (Caen) แห่งฝรั่งเศส โดยพระเจ้าวิลเลียมที่ 1 แห่งอังกฤษ (William I of England) หรือพระเจ้าวิลเลียมผู้พิชิต (William the Conqueror) ในปี ค.ศ. 1078 เพื่อป้องกันการโจมตีจากข้าศึก ภายในมีโบสถ์เซนต์จอห์น (St John's Chapel) ที่เก่าแก่ที่สุดในลอนดอน ซึ่งเริ่มสร้างในปี ค.ศ. 1080
อีกา (Ravens) 1 ใน 6 ผู้พิทักษ์หอคอยลอนลอน จากบันทึกในสมัยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 (King Charles II: 1660-1685) ระบุว่าจะต้องมีการเลี้ยงดูอีกาอยู่ ณ ที่แห่งนี้อย่างน้อย 7 ตัว (ตัวจริง 6 + สำรอง 1 ตัว) หากอีกาลดจํานวนลง หมายถึงการสิ้นสุดแห่งราชวงศ์ รวมทั้งประเทศอังกฤษ (If the Tower of London ravens are lost or fly away, the Crown will fall and Britain with it)

โชคดีได้มีโอกาสเห็นทหารยามเปลี่ยนกะพอดี...

อีกหนึ่งไฮไลท์คือ "บีฟอีทเตอร์" (Beefeater หรือ Yeoman Warder) ทหารรักษาการประจำหอคอยลอนดอน ผู้ทำหน้าที่ปกป้องรักษามงกุฎเพชรของสมเด็จพระราชินี รวมทั้งอีกาผู้พิทักษ์ และคอยดูแลความเรียบร้อยโดยจะทำการปิดล็อคหอคอยในเวลา 4 ทุ่มของทุกวัน (The Ceremony of the Keys) รวมทั้งเป็นไกด์ให้แก่นักท่องเที่ยว สันนิษฐานว่าที่มาของชื่อมาจาก beef + eater = ผู้กินเนื้อ เนื่องจากการเป็นทหารแห่งราชวงศ์ (Royal Bodyguard) จะได้รับการแบ่งปันเนื้อจากโต๊ะเสวยของกษัตริย์ บ้างก็ว่ามาจากคำว่า buffetier ในภาษาฝรั่งเศส ซึ่งใช้เรียกผู้ดูแลอาหารของกษัตริย์

เดินลัดเลาะริมฝั่งแม่น้ำเทมส์..มองเห็นสะพานทาวเวอร์บริดจ์ (Tower Bridge) ที่เรานั่งรถข้ามมา

ซ้าย - รูปปั้นสัตว์แปลก ๆ ..บอกเล่าว่าครั้งหนึ่งที่นี่เคยเป็นสวนสัตว์ด้วย ขวา - คุณไกด์ชาวอังกฤษ


 | ไฮไลท์สำคัญของที่นี่ยังมีพิพิธภัณฑ์แสดงราชสมบัติล้ำค่าแห่งราชวงศ์อังกฤษ (Jewel House) เช่น
คทาประจำราชวงศ์ (The Royal Sceptre หรือ St Edward's Sceptre) ประดับด้วยเพชรคัลลินัน 1 (Cullinan I) หรือ ดวงดาวแห่งแอฟริกา (The Star of Africa) ซึ่งเคยเป็นเพชรเม็ดที่ใหญ่ที่สุดในโลก น้ำหนัก 530.2 กะรัต โดยสามารถถอดเพชรออกมาใช้เป็นเข็มกลัดได้ (Brooch) |
ส่วนเพชรเจียระไนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้แก่ เพชรกาญจนาภิเษก (The Golden Jubilee) ใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดช ซึ่งมีน้ำหนักถึง 545.67 กะรัต และจัดเป็นเพชรที่มีเหลี่ยมเจียระไนที่สมบูรณ์ที่สุดคือมี 148 เหลี่ยม โดยเป็นเหลี่ยมบนหน้าเพชร 55 เหลี่ยม เหลี่ยมด้านล่าง 69 เหลี่ยม และเหลี่ยมที่ขอบเพชร 24 เหลี่ยม ซึ่งใช้เวลาเจียระไนนานถึง 3 ปี |  | ++++++++++++++++++++++++++++++ | มงกุฎอิมพีเรียลสเตท (Imperial State Crown) ประดับด้วยเพชรคัลลินัน 2 (Cullinan II) หรือ ดวงดาวน้อยแห่งแอฟริกา (Lesser Star of Africa) มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของโลก น้ำหนัก 317.4 กะรัต นี่คือ 1 ใน 9 ของเพชรตระกูลคัลลินัน ซึ่งถูกค้นพบที่แอฟริกาใต้ในปี ค.ศ. 1905 โดย เซอร์ โทมัส คัลลินัน (Sir Thomas Cullinan) คาดว่าก่อนเจียระไนมีน้ำหนักถึง 3,106 กะรัต สำหรับเพชรคัลลินัน 2 นี้สามารถถอดมาเป็นเข็มกลัดได้เช่นกัน | ++++++++++++++++++++++++++++++มงกุฎของพระราชินีอลิซาเบธ (Queen Elizabeth Crown) ประดับด้วยเพชร โคอินัวร์ (Koh-i-Noor) ที่แปลว่า "ภูเขาแห่งแสงสว่าง" เพชรน้ำงามที่สุดในโลก น้ำหนัก 105 กะรัต จากรัฐอานธรประเทศ (Andhra Pradesh) ของอินเดีย ซึ่งบริษัทอีสต์อินเดีย (East India Company) ได้ถวายแด่สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย (Queen Victoria) ในปี ค.ศ. 1850 เพื่อนำมาซึ่งความสงบสุข ตามความเชื่อที่ว่า นำโชคร้ายมายังชายชาตรี แต่นำโชคดีมาสู่สตรีเพศ โดยในปี ค.ศ. 2010 อังกฤษปฎิเสธคำร้องของอินเดียที่จะขอเพชรกลับคืนประเทศ |  |
ภาพและข้อมูลจาก Wikipedia, //www.naergilien.info, //skillingmagazin.net, //www.myselfanand.com |
|
เล่าไปเล่ามาบล็อกยาวเฟื้อยแล้ว..ขอต่อคราวหน้าดีกว่าค่ะ

|
Create Date : 07 มีนาคม 2555 | | |
Last Update : 12 ธันวาคม 2555 1:24:31 น. |
Counter : 4488 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
[UK4.1] ผ่านหน้าบ้านเช็คสเปียร์ (Shakespeare)
 ต่อจากการเดินทาง : [UK1] E N G L A N D แมนเชสเตอร์ (Manchester), เชสเตอร์ (Chester), ยอร์ค (York) [UK2] S C O T L A N D เอดินเบอระ (Edinburgh) [UK3] E N G L A N D เลคดิสทริค (The Lake District National Park), วินเดอร์เมียร์ (Windermere)
--13 เมษายน 2554--
แม้เมือง รันคอร์น (Runcorn) ที่เราพักค้างคืนจะเป็นเมืองอุตสาหกรรมและเมืองท่า แต่ระหว่างนั่งรถเพื่อเดินทางผ่านไปยังสแตรทเฟอร์ด* (Stratford) ก็ยังคงเห็นทุ่งหญ้าสีเขียว ๆ ตลอดทาง *น้องเช้งหัวหน้าทัวร์ ให้ออกเสียงว่า เฟอร์ด แทน ฟอร์ด..ไม่งั้นจะคุยกับชาวบริติชเขาไม่รู้เรื่อง
ล่าง - บ้านเมืองเขาเป็นระเบียบมาก ไม่เว้นน้อง ๆ ที่ทานหญ้ากันอย่างเรียบร้อยน่ารัก

สแตรทเฟอร์ด-อัพพอน-เอวอน (Stratford-upon-Avon) ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเอวอน เมืองนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ คือ บ้านเกิดของกวีและนักเขียนบทละครที่มีชื่อเสียง ที่สุดของอังกฤษ "วิลเลี่ยม เชคสเปียร์: William Shakespeare" (1564-1616)
 | ราวคริสต์ศตวรรษที่ 19 เชคสเปียร์ได้รับการยกย่อง ในฐานะอัจฉริยะ โดยได้รับการเรียกขานว่าเป็น.. "เทพแห่งกวี" (Bardolatry) แนวการประพันธ์มีทั้ง Philosophy, Tragedy, History และ Comedy ซึ่งเป็นที่นิยมจนถึงปัจจุบันในทุกประเทศทั่วโลก
ผลงานที่มีชื่อเสียง เช่น - Richard III - Hamlet - Othello - King Lear - As You Like It - Romeo and Juliet |
ภาพจาก Wikipedia |
ซ้าย - The Gower Memorial สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1888 เพื่อเป็นอนุสาวรีย์แด่วิลเลี่ยม เชคสเปียร์ ตั้งอยู่ในสวน Bancroft Gardens

โดยรอบมีรูปปั้นของ Lady Macbeth, Prince Hal, Hamlet และ Falstaff ซึ่งแสดงถึงแนวผลงานการประพันธ์ของเชคสเปียร์ ได้แก่ Philosophy, Tragedy, History และ Comedy
Lady Macbeth | Prince Hal | Hamlet | Falstaff |  |  |  |  |
ภาพและข้อมูลจาก //www.ukstudentlife.com
 | Shakespeares Birthplace บ้านของเชคสเปียร์สร้างในยุคศตวรรษที่ 16 ตั้งอยู่บนถนน Henley Street เป็นหนึ่งใน The Shakespeare Properties ซึ่งประกอบด้วยบ้าน 5 หลัง ได้แก่ 1.Shakespeare's Birthplace > บ้านเก่า (ที่นี่) 2.New Place/Nash's House > บ้านใหม่ 3.Hall's Croft > บ้านลูก 4.Anne Hathaway's Cottage > บ้านภรรยา 5.Mary Arden's House > บ้านแม่
Shakespeare's Birthplace มีค่าชม £12.50 โดยมีสิ่งที่น่าสนใจ คือ 1.พิพิธภัณฑ์แสดงประวัติและผลงาน 2.ตัวบ้าน ทั้งส่วนภายในอาคารและสวน
Online Ticket Click!
|
|
บ้านของเชคสเปียร์ - เวลามีน้อยจึงได้แค่ถ่ายรูปหน้าบ้าน

กลายเป็นคนข้างบ้านซะแล้ว

ตู้ไปรษณีย์และตู้โทรศัพท์สีแดง - สัญลักษณ์แห่งอังกฤษ

รูปปั้นตัวตลก (The Jester) สร้างโดย James Butler RA ตั้งอยู่ตรงมุมถนน Henley Street หน้าทางเข้าบ้านของเชคสเปียร์ ซึ่งตัวตลกสื่อความหมายถึงตัวละคร เพราะโลกคือละคร All the worlds a stage, And all the men and women merely players

ข้อความที่ฐานเขียนว่า..
O Noble Fool! A Worthy Fool!(As You Like It) หลังจากช้อปปิ้งของที่ระลึกแบบเร็วกระชากวิญญาณแล้วก็ได้เวลาทานกลางวันตอนบ่าย ๆ (ไม่มีรูปให้ดู เพราะไม่เคยถ่ายรูปอาหารทันเลย 55+) ..กินอิ่มก็เดินทางไปต่อ
หน้าร้านอาหาร - บ้านของชาวอังกฤษมีต้นไม้+ดอกไม้เลื้อยปกคลุม ดูคลาสสิคดีจัง ใกล้ชิดธรรมชาติมาก ๆ

บน - เรือ Canal Boat สำหรับท่องเที่ยวไปตามคลอง ซึ่งจะจอดแวะตามจุดต่าง ๆ โดยสามารถพักค้างคืนได้ ภายในมีห้องนอน ห้องน้ำ และห้องครัว ล่าง - อากาศดีอย่างนี้ พายเรือเล่นก็เป็นกิิจกรรมที่น่าสนใจ

ทิวทัศน์ระหว่างทาง

และก็มาถึงเมืองเบอร์ตัน ออน เดอะ วอเทอร์ (Bourton-on-the-water) ซึ่งอยู่ในเขตคอตสโวลด์ (Cotswold) ที่เป็นศูนย์กลางการค้าขนแกะมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 ตัวเมืองมีแม่น้ำวินด์รัช (Windrush) สายเล็ก ๆ ไหลผ่าน..บรรยากาศสงบและโรแมนติกมาก จนได้รับการโหวตให้เป็นหมู่บ้านที่มีความสวยงามมากที่สุดในอังกฤษ โดยมีฉายาว่า.. "Venice of The Cotswold"

เอกลักษณ์ของที่นี่ - ตัวอาคารบ้านเรือนทำจากหิน Cotswold Stone และมีหลังคาลาดชัน

สะพานข้ามแม่น้ำวินด์รัช (River Windrush) - เห็นอย่างนี้ ความลึกไม่ถึงเอวค่ะ

เป็ดป่าหัวเขียว (Mallard) - มาว่ายน้ำเล่นกันเถอะ

มาทางนี้แล้ว..ว

นั่งเล่นบนสนามหญ้าใต้ต้นวิลโลว์ (Willow Tree) ..เคยอ่านเจอในแฮร์รี่ พอตเตอร์ ..เพิ่งได้เห็นต้นเป็นเป็น

กำลังสบายก็ต้องไปอีกแล้ว ช่วงบ่ายแก่ ๆ ถึงเย็นเราจะข้ามแดนไปชะโงกดูประเทศเวลส์ (Wales) กันสักหน่อย

ติดตามการเดินทาง : [UK4.2] W A L E S คาร์ดิฟฟ์ (Cardiff)

|
 *Wallpaper from Original Painting : "Romeo and Juliet" Artist: Ilyas Phaizulline
Create Date : 20 สิงหาคม 2554 | | |
Last Update : 12 ธันวาคม 2555 0:34:42 น. |
Counter : 2930 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|