Group Blog
 
All Blogs
 

สิริ เป็นทรัพย์



"สิริ เป็น ทรัพย์"
พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า "สิริ โภคาน มาสโย" แปลว่า "สิริเป็นที่มานอนแห่งโภคะทั้งหลาย" หมายความว่า ใครมีสิริอยู่ในตัวโภคสมบัติทั้งหลายจะไหลมาหาผู้นั้น เพราะสมบัติทั้งหลายนี้เป็นของแปลกอยู่ คือชอบแต่คนมีสิริหรือมีมิ่งขวัญเท่านั้น ใครไม่มีสิริหรือหมดสิริก็ไม่อยากจะอยู่ด้วย คนเราแม้จะได้โภคสมบัติมาจากกองมรดกก็ดี จากความรู้ความสามารถก็ดี แต่ถ้าขาดสิริเสียแล้ว โภคสมบัติเหล่านั้นก็จะค่อยๆ หมดสิ้นไป บางคราวสมบัติใหม่ที่ได้มานั้นกลับมาเป็นตัวการพาสมบัติเก่าให้พลอยวิบัติไปด้วยเสียอีก

สิริ ในที่นี้คือความดีหรือบุญกุศลที่บุคคลเราได้ทำไว้ตามลำดับมาจนเป็นบุญนิธิ เป็นกองบุญหรือเป็นบุญบารมีติดตามผู้ทำอยู่ตลอดมา ซึ่งสิริเช่นนี้ใครจะลักหรือจะขโมยหรือยื้อแย่งไปไม่ได้ ใครทำก็เป็นสมบัติส่วนตัวของผู้นั้นของใครก็ของมัน ไม่สาธารณะทั่วไปแก่บุคคลอื่นๆ

บุญที่จัดว่าเป็นสิรินั้นได้แก่บุญเป็นต้นว่า การประพฤติธรรมที่เป็นความดีต่างๆ เช่น ความมีเมตตากรุณา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อาชีพสุจริต การพูดจาไพเราะ ความอ่อนน้อมถ่อมตน อันเป็นที่ประทับใจของผู้อื่นและเป็นเครื่องวนับสนุนให้ตัวเองเจริญก้าวหน้าขึ้นโดยลำดับ รวมทั้งการงดเว้นจากความชั่วทุจริตทุกชนิด งดเว้นจากอบายมุขทุกประการ และมีความขยันไม่เกียจคร้านในการงานต่างๆ ด้วย เหล่านี้เป็นเรื่องของคำว่า "สิริ" ในที่นี้ทั้งนั้น

คนที่ประพฤติธรรมดังกล่าวมานี้จัดว่าเป็นคนมีสิริ และสมควรเป็นคนประเภท "เป็นที่มานอน แห่งโภคะทั้งหลาย" ส่วนผู้ไม่ประพฤติธรรม งดทุจริตไม่ได้ ติดอบายมุขแม้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง เหล้าก็ดื่ม การพนันก็เล่น เที่ยวเตร่ไม่เว้น เช่นนี้ แม้จะหาโภคสมบัติได้ก็อยู่ได้ไม่นาน เพียงวันสองวันก็จะมีเหตุให้ต้องจากมือไปอยู่กับคนที่มีสิริต่อไป

แขกผู้มีเกียรติหรือมีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ หากจำเป็นจะต้องมาเยือนคนที่ไร้ความดีหรือไร้ทรัพย์หรือไร้ทั้งสองอย่าง ก็มาเพียงให้เห็นหน้ายืนคุยพอรู้เรื่อง หมดธุระแล้วก็รีบลาไป แขกประเภทนี้จัดเข้าในแขกประเภท "มายืน" หากเจ้าของบ้านมีอัธยาศัยดีงามพอสมควร แม้จะจนทรัพย์ แขกผู้นั้นก็อาจจะยอมนั่งคุยด้วยบนบ้านเป็นชั่วโมงสองชั่วโมงแล้วก็จากไป อย่างนี้จัดเป็นประเภท "มานั่ง" แต่ถ้าเจ้าของบ้านเป็นคนบุญหนักศักดิ์ใหญ่เป็นคนมีเกียรติเช่นเดียวกับตน หรือเป็นคนรวยความดีมากทั้งมีอัธยาศัยคล้ายคลึงกัน แขกนั้นก็อาจมานอนค้างอ้างแรมด้วย อยู่ช่วยทำงานทำของด้วยกันพูดคุยกันนาน แขกอย่างนี้จัดเข้าในประเภท "มานอน"

โภคสมบัติทั้งหลายก็เช่นเดียวกันกับแขกผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่นั่นแหละ คนไม่มีสิริหรือมีสิริน้อย สมบัติเงินทองก็เพียงมายืนหรือเพียงผ่านมือให้สัมผัสแตะต้องนิดหน่อยเท่านั้น แล้วก็จากไป ให้เห็นชื่นใจนิดหน่อยพอให้รู้ว่าเป็นสมบัติของเราเท่านั้นเอง คนมีสิริมากหน่อยสมบัติก็อาจมานั่งคือมาอยู่ในกระเป๋าเพียงวันสองวันแล้วก็จากไปเช่นเดียวกัน ส่วนคนมีสิริบริบูรณ์ สมบัติทั้งหลายจะมาเยือนชนิด "มานอน" นิ่งอยู่ในบ้าน ในเซฟ ในบัญชีตลอดและมิใช่จะมาด้วยตนเองเท่านั้น ยังจะชักชวนบริวารเพื่อนฝูงน้อยใหญ่ให้มาอยู่กับเจ้าของคนนั้นด้วย

เรื่องนี้ขอให้สังเกตดูเถิด คนที่ยากจนอยู่แล้ว แม้จะขยันทำมาหากินได้เงินทองมาเท่าไหร่ๆ ก็ได้เพียงพอใช้จ่ายไปวันๆ เท่านั้น ไม่อาจเหลือเก็บได้ บางครั้งอาจได้มาก แต่ก็ต้องมีเหตุให้ต้องจ่ายหมดทุกคราวไป ส่วนบางคนนั้นสามารถเก็บได้เป็นกอบเป็นกำและตั้งตัวได้ในที่สุด ทั้งนี้เพราะสิรินี่เองเป็นต้นเหตุ

หรืออย่างบางคนที่เขาร่ำรวยสุขสมบูรณ์เหลือเฟืออยู่แล้ว แต่ทรัพย์สมบัติก็ยังไหลเข้ามาหาทุกวัน กินใช้ไปชั่วลูกชั่วหลานก็ไม่หมดยิ่งทำยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมี ก็เพราะเป็นคนมีสิริดีอีกนั่นแหละ

สิรินี้เป็นของใครของมัน ลักขโมยหรือขอกันไม่ได้ ไม่เหมือนทรัพย์ภายนอกซึ่งสามารถจะหยิบยื่นให้กันและกันได้ ดังมีเรื่องเล่ากันมาว่า ..... มีพราหมณ์คนหนึ่งเป็นคนฉลาดในการดูสิริคน เห็นท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นคนร่ำรวยมาก ก็คิดว่า เศรษฐีคนนี้เดิมทีก็เป็นคนยากจน เดี๋ยวนี้กลับร่ำรวยขึ้น เพราะอะไรหนอ คิดแล้วจึงไปบ้านเศรษฐีทำทีขอเข้าเยี่ยมจึงได้ทราบว่า เศรษฐีมีไก่เผือกอยู่ตัวหนึ่งและไก่ตัวนี้เองที่เป็นสิริทำให้เศรษฐีร่ำรวย จึงออกปากขอไก่กับเศรษฐี ซึ่งท่านก็ให้ด้วยความเต็มใจ เพราะเป็นคนเอเฟื้อต่อผู้อื่นอยู่แล้ว พราหมณ์ดีใจมากรีบอุ้มไก่ไปบ้าน เฝ้าเลี้ยงอย่างดี แต่เลี้ยงเท่าไหร่ตัวเองก็ไม่รวยสักที เสียทั้งค่าเลี้ยงไก่ เสียทั้งเวลา เลยตรวจดู ก็ได้พบว่าสิรินั้นได้ออกจากไก่ไปเสียแล้ว ไปบ้านเศรษฐีใหม่ ตรวจดูได้ทราบว่าสิริมาอยู่ที่แก้วมณีของเศรษฐี จึงออกปากขออีก ซึ่งเศรษฐีก็ให้ สิริก็ไม่ไปกับแก้วมณีอีก พราหมณ์หมดท่าจึงเอาไก่กับแก้วมณีมาคืนเศรษฐี พร้อมทั้งเล่าความจริงให้ฟังทุกประการ .....

เรื่องนี้เท่ากับยืนยันว่า ขึ้นชื่อว่าความดีอันเป็นสิรินั้นเป็นของใครของมัน ใครทำใครได้แน่นอน และยืนยันว่า คนมีบุญเท่านั้นจึงจะรักษาสิรินั้นไว้ได้ตลอดไป

อนึ่ง สิรินี้ยังหมายถึงความเป็นใหญ่ ความเป็นผู้มีอิสระด้วย ใครได้เป็นใหญ่ใครได้เป็นโตจะด้วยบารมีเก่าหรือบารมีใหม่ก็ตาม จะด้วยความรู้หรือความสามารถเฉพาะตัวก็ตาม ผู้นั้นจะได้รับโภคะทั้งหลายจากสี่ทิศเพราะอำนาจความเป็นใหญ่เป็นโตนั้นแน่นอน

เพราะฉะนั้น หากต้องการให้มีสิริมารับใช้บริการตัวเอง ก็ต้องสร้างสิริให้เกิดมีในตัวด้วยการประพฤติตนให้เป็นคนดีมีเหตุผลและมีคุณธรรม มีน้ำใจ ไม่เห็นแก่ตัว มีความขยันหมั่นเพียร รู้จักประหยัด มีความกตัญญูกตเวทีและงดเว้นอบายมุขให้ได้ ทั้งรู้จักจัดระเบียบการครองชีพให้พอเหมาะพอควร ไม่ให้อัตคัดนัก ไม่ให้ฝืดเคืองนัก เท่านี้สิริก็เต็มตัวแล้ว

คนมีสิริอยู่ที่ไหนก็ทำให้ที่นั้นเจริญ อยู่ในครอบครัวใดก็ทำให้ครอบครัวนั้นอยู่เย็นเป็นสุข เกิดความมั่งคั่งมั่นคง เงินทองไม่ขาดมือ คนขาดสิริอยู่ในครอบครัวใด นอกจากจะพาให้ครอบครัวนั้นเดือดร้อนแล้ว ยังจะพาให้ครอบครัวนั้นยากจนลงทุกวัน และยังจะพาโภคะทั้งหลายที่มีอยู่แล้ว วิบัติย่อยยับลงไปทุกวันด้วย

สิริจึงเป็นทรัพย์อันประเสริฐ และเป็นที่มานอนแห่งโภคะทั้งหลายอย่างแท้จริงแล ...

ที่มา : หนังสือพุทธธรรม ๕ นาที โดยพระธรรมกิตติวงศ์




 

Create Date : 17 ตุลาคม 2549    
Last Update : 16 พฤศจิกายน 2549 12:12:10 น.
Counter : 2854 Pageviews.  

E.Q. Smile

อีคิวหรือ E.Q มาจากคำว่า Emotional Quotient หมายถึง ความฉลาดทางอารมณ์ คือ ความสามารถทางอารมณ์ ที่จะช่วยให้การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างสร้างสรรค์และมีความสุข
ในปี ค.ศ. 1990 ซาโลเวย์และเมเยอร์ สองนักจิตวิทยาได้นำความคิดนี้มาพูดถึงอีกครั้ง โดยเอ่ยถึงความฉลาดทางอารมณ์เป็นครั้งแรกว่า "เป็นรูปแบบหนึ่งของความฉลาดทางสังคมที่ประกอบด้วยความสามารถในการรู้อารมณ์และความรู้สึกของตนเองและผู้อื่น สามารถแยกความแตกต่างของอารมณ์ที่เกิดขึ้นและใช้ข้อมูลนี้เป็นเครื่องชี้นำในการคิดและการกระทำสิ่งต่างๆ"
พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) อธิบายถึง ความฉลาดทางอารมณ์ว่า อารมณ์ก็คือ สภาพจิตที่โยงไปถึงพฤติกรรมในความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมเพราะอารมณ์หรือสภาพจิตนั้นอาศัยพฤติกรรมเป็นช่องทางสื่อสารแสดงออก เมื่ออารมณ์หรือสภาพจิตได้รับการดูแลพัฒนา ชี้ช่อง นำทาง ขยายขอบเขตและปลดปล่อยด้วยปัญญา ให้สื่อสารแสดงออกอย่างได้ผลดี ด้วยพฤติกรรมทางกาย วาจา ก็นับได้ว่าระบบความสัมพันธ์แห่งพฤติกรรม จิตใจและปัญญา เข้ามาประสานกัน บรรจบเป็นองค์รวมซึ่งเมื่อดำเนินไปอย่างถูกต้องก็จะอยู่ในภาวะสมดุล ก่อให้เกิดผลดีทั้งแก่ตนและคนอื่น ตลอดถึงสังคมและสิ่งแวดล้อมทั้งหมด









 

Create Date : 16 ตุลาคม 2549    
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2549 12:23:13 น.
Counter : 384 Pageviews.  


nichija
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ความสุขที่แท้จริง คือการเดินทางของชีวิต ที่ไร้จุดหมาย
Friends' blogs
[Add nichija's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.