All Blog
“พอดี โฮมเมด”ความอร่อยลงตัว เสน่ห์ของว่างโดนใจวัยดิจิตอล


“พอดี โฮมเมด”ความอร่อยลงตัว เสน่ห์ของว่างโดนใจวัยดิจิตอล

//rcheep.blogspot.com/

การที่คุ้นเคยกับการทำงานประจำ เมื่อต้องมาอยู่บ้านเฉยๆ เพื่อเลี้ยงลูก ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายและคิดอยากหารายได้ให้กับครอบครัว ซึ่งงานเบเกอรี่ถือว่าเป็นงานที่สามารถทำที่บ้านได้ และเป็นความชอบส่วนตัวที่มุ่งมั่นไปหาความรู้เพิ่มเติมด้านนี้โดยเฉพาะ สุดท้ายจึงกลายเป็นธุรกิจเบเกอรี่ที่เน้น “พอดีคำ” ต่อยอดสู่ Snack Box จับกลุ่มลูกค้าออฟฟิศ

Snack Box กับขนม 4 ชิ้น
ขวัญ มีนะกนิษฐ เจ้าของไอเดียเบเกอรี่แบบ “พอดีคำ” ภายใต้แบรนด์ “พอดี โฮมเมด (Pordee Homemade) ตามชื่อของลูกสาว เล่าว่า ธุรกิจนี้เกิดจากความชอบส่วนตัวตั้งแต่ในสมัยเด็ก ที่มักจะใช้เวลาว่างในการทำเบเกอรี่ กับญาติพี่น้องที่มักใช้เวลาในการทำเบเกอรี่ โดยอาศัยการเปิดตำรา แล้วนำมาดัดแปลงใส่ส่วนผสมที่ชอบเพิ่มลงไป และนำไปแจกให้เพื่อนๆ ได้ลองชิม จนกระทั่งไปมีโอกาสศึกษาต่อที่สหรัฐฯ จึงได้ไปลงเรียนด้านเบเกอรี่เป็นคอร์สสั้นๆ เมื่อกลับมาก็ได้เรียนต่อที่ยูเอฟเอ็ม ซึ่งก็เป็นการเรียนเพื่อสนองความชอบส่วนตัวมากกว่าที่คิดจะยึดทำเป็น

จนกระทั่งเมื่อต้องออกจากงานเพื่อมาเลี้ยงลูก จากคนที่เคยทำงานประจำ ด้านการตลาด กลับต้องมานั่งเลี้ยงลูกอยู่บ้าน จึงคิดหารายได้ให้กับครอบครัว จึงเริ่มงัดความรู้ด้านเบเกอรี่ที่ได้ไปเรียนมาลองทำเบเกอรี่ขาย ตามคำแนะนำของสามี โดยเน้นความเป็นเบเกอรี่โฮมเมด และพอดีคำ ตามคอนเซ็ปต์ของคุณแม่ที่เน้นการทำขนมทานที่บ้านแบบพอดีคำ รับประทานได้สะดวก

“หลังจากที่เราตัดสินใจที่นำความรู้ด้านเบเกอรี่มาต่อยอดเป็นธุรกิจเพื่อทำขายอย่างจริงจังแล้ว ช่องทางแรก เพื่อทำให้ขนมให้เป็นที่รู้จัก คือ ช่องทางอินเทอร์เน็ต ที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงง่าย โดยใช้รูปภาพของขนมที่ทำออกมาน่ารับประทานเป็นจุดดึงดูดให้ลูกค้าสนใจ ซึ่งก็ได้ผล เพราะหลังจากที่ลงภาพสินค้าและรายละเอียดของธุรกิจ ก็มีผู้สนใจโทรเข้ามาสอบถาม และสั่งขนมเป็นเป็นจำนวนมาก โดยกลุ่มลูกค้าแรกคือ พนักงานออฟฟิศ ที่ต้องเสาะหาขนม เพื่อทานกับ Coffee Break ระหว่างการประชุมเป็นประจำ ทำให้ขนมของเราเป็นที่รู้มากขึ้นจากผู้ที่ได้ลองชิม และบอกต่อ”

ในช่วงแรกแม้แพคเกจจะธรรมดา ไม่ได้ทำกล่องขึ้นโดยเฉพาะ เป็นเพียงการติดสติ๊กเกอร์ที่กล่องเท่านั้น แต่ลูกค้าก็ให้การตอบรับดี จนดำเนินธุรกิจมาได้ประมาณ 7 เดือน จึงคิดออกแบบกล่องกระดาษตามแบรนด์ ต้อนรับเทศกาลปีใหม่ในช่วงต้นปี 2551 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ยอดขายดีขึ้น “เราเป็นผู้ผลิตเบเกอรี่โฮมเมด ที่ค่อยๆ โต ไปพร้อมกับสถานะการเงิน ไม่อยากลงทุนมาก ทำให้ปัญหาตอนนี้ ถ้าลูกค้าในจำนวนขนมหลักพันชิ้นก็ไม่สามารถผลิตให้ได้ เนื่องจากคนงานไม่พอ และเตาอบยังทำไม่ทัน แต่เราก็ไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องนี้ พยายามเพิ่มกำลังการผลิตให้ได้มากที่สุด เช่น การผลิตบางขั้นตอนไว้ล่วงหน้า โดยที่ผ่านมาเราจะจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านเบเกอรี่จากโรงแรม ให้นวดแป้งไว้ให้ แล้วแช่แข็งไว้ พร้อมนำออกมาผลิตเบเกอรี่ชนิดต่างๆ ได้ตามต้องการ ทำให้ประหยัดเวลาลงไปได้มาก”

ปัจจุบัน “พอดี โฮมเมด” มีขนมอยู่ประมาณ 15 รายการ เช่น แซนวิสม้วนไส้ไก่ แยมโรล บราวนี่ พัฟแฮม กระหรี่พัฟไส้กรอก วูโลวองผักโขม ครัวซองแฮม เอแคลร์ บลูเบอรี่ชีสพาย และมักกะนีอบชีส เป็นต้น โดยส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าออฟฟิศที่สั่งซื้อไปจัดเลี้ยง โดยล่าสุดได้ทำจัดทำเป็นกล่องของว่าง มีขนม 4 ชนิดอยู่ในกล่องเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการรับประทานของลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้าตามงานศพ จะชื่นชอบมาก โดยขายในราคากล่องละ 40 บาท ซึ่งราคาจะถูกกว่าการสั่งเป็นชิ้นที่ราคาเริ่มต้นที่ 12 บาท โดยทางร้านมีบริการส่งฟรีให้ด้วย เมื่อซื้อครบ 1,500 บาท เฉพาะย่านสุขุมวิท สาทร พระราม 4 และเพชรบุรีตัดใหม่ หรือรับอาหารได้ที่บ้านซอยสุขุมวิท 39

สำหรับแผนธุรกิจในอนาคต ขวัญ บอกว่า ยังไม่คิดที่จะมีหน้าร้าน เพราะไม่มีเวลาร้านได้ตลอดเวลา รวมถึงขณะนี้ทางบ้านกำลังจะเปิดโรงเรียนอนุบาลหนูน้อย ที่เน้นสอนแบบวิถีพุทธ ซึ่งตนเองจะต้องไปสอนเด็กๆ ด้วย ดังนั้นเรื่องการมีหน้าร้านจึงต้องรอดูในอนาคต ส่วนแผนในการผลิต ตั้งใจจะทำ Snack Box หรือกล่องของว่างที่มีทั้งขนม และน้ำพร้อมอยู่ในกล่อง หวังรองรับลูกค้าทัวร์ ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นเตรียมการณ์ในเรื่องของแพคเกจ และผลิตเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ

***08-1911-3253, 08-6533-7773, 02-258-8326 หรือที่ //pordeehomemade.hi5.com/***
Credit SMEs Manager



Create Date : 05 เมษายน 2552
Last Update : 5 เมษายน 2552 19:03:12 น.
Counter : 631 Pageviews.

21 comment
ชำระใจให้หายแค้น


มติชน ฉบับวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2552

การแก้แค้นเป็นพฤติกรรมที่ติดมากับมนุษย์ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ก็ว่าได้ มันเป็นยิ่งกว่าปฏิกิริยา “สู้หรือหนี” อันเป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของสัตว์ทุกชนิดเมื่อเผชิญกับภัยคุกคาม คนเราไม่ได้อยากแก้แค้นเพียงเพราะโกรธที่ถูกทำร้ายเท่านั้น หากยังเพราะมีความอาฆาตพยาบาทซึ่งหล่อเลี้ยงด้วยความทรงจำ สัตว์บางชนิดอาจมีความอาฆาตพยาบาทเช่นเดียวกับมนุษย์ แต่นั่นเพราะมันหรือลูกของมันถูกทำร้าย ส่วนมนุษย์นั้นเพียงแค่เสียหน้าหรือถูกดูหมิ่นศักดิ์ศรีก็เป็นเหตุผลมากพอแล้วที่จะลงมือล้างแค้นจนถึงตาย

อย่างไรก็ตามการแก้แค้นไม่ใช่เป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกล้วน ๆ มนุษย์ตั้งแต่ยุคบรรพกาลมีเหตุผลที่ต้องแก้แค้น ไม่ใช่เพื่อความสะใจเท่านั้น แต่เพื่อส่งสัญญาณให้คู่กรณีรวมทั้งคนอื่น ๆ ได้รู้ว่าตนจะไม่ยอมถูกกระทำฝ่ายเดียว ใครที่มาล่วงล้ำ กล้ำเกิน หรือทำร้ายตนย่อมถูกโต้ตอบกลับคืน กล่าวอีกนัยหนึ่งนี้เป็นวิธีป้องปรามหรือกลไกป้องกันตัวอีกแบบหนึ่ง ซึ่งจำเป็นในยุคที่ผู้คนอยู่กันด้วย “กฎป่า” หรือใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือ การไม่แก้แค้นหมายถึงการแสดงความอ่อนแอ ซึ่งเท่ากับเชื้อเชิญให้ใครต่อใครมาเอาเปรียบเบียดเบียนไม่หยุดหย่อน


การป้องกันตนเองด้วยวิธีการดังกล่าวมิใช่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความอยู่รอดของปัจเจกบุคคลและครอบครัวเท่านั้น แต่ยังจำเป็นสำหรับกลุ่มชนหรือเผ่าพันธุ์ด้วย เผ่าจะอยู่รอดไม่ได้หากคนอื่นนิ่งดูดายปล่อยให้เพื่อนพ้องในเผ่าถูกทำร้าย การแก้แค้นให้กับเพื่อนร่วมเผ่าเป็นทั้งการป้องปรามไม่ให้ใครมาทำเช่นนั้นอีก ขณะเดียวกันก็เป็นการส่งสัญญาณแสดงถึงความสามัคคีกลมเกลียวของเผ่าตน ด้วยวิธีนี้เผ่าจึงจะมีโอกาสอยู่รอดและปลอดพ้นจากภัยคุกคามได้

คงเพราะเหตุนี้จึงมีการส่งเสริมค่านิยมการล้างแค้นในหมู่เผ่าพันธุ์และกลุ่มชนต่าง ๆ จนกลายเป็นวัฒนธรรมไปทั่วโลก และในบางแห่งก็ถึงกับกลายเป็นข้อบัญญัติหรือเป็นที่รับรองของศาสนาด้วยซ้ำ มองในแง่นี้ก็เหมือนกับจะยืนยันว่าการล้างแค้นเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ที่ติดมาในยีนเลยก็ว่าได้ แต่มองอีกมุมหนึ่งการที่หลายชุมชนหลายเผ่าพันธุ์พยายามตอกย้ำเหตุการณ์อันน่าขมขื่นเจ็บปวดในอดีต (ผ่านบทเพลง บันทึกประวัติศาสตร์ และเรื่องเล่าปากต่อปาก ฯลฯ)เพื่อกระตุ้นให้เกิดความอาฆาตพยาบาทและอยากแก้แค้นนั้น ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า ถ้าการแก้แค้นเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์จริง ทำไมจึงต้องตอกย้ำและปลุกเร้าให้เกิดความโกรธเกลียดและอาฆาตพยาบาทไม่หยุดหย่อน ราวกับกลัวว่าผู้คนจะลืมเหตุการณ์เหล่านั้นหรือไม่อาฆาตพยาบาทมากพอ

มีผู้คนเป็นอันมากที่พยายามหล่อเลี้ยงความอาฆาตพยาบาทด้วยการเตือนตนให้ระลึกถึงความเจ็บแค้นในอดีต เช่น นึกถึงมันบ่อย ๆ หรือบันทึกเอาไว้ บ้างก็ถึงกับทำรายชื่อศัตรูเหมือนกับจดรายการจ่ายตลาด ทั้งนี้ก็เพราะเขากลัวลืม แต่ยิ่งนึกย้ำซ้ำทวนก็ยิ่งถูกไฟโทสะเผาลนจิตใจ การพยายามปกป้องตนเองด้วยการแก้แค้นกลับกลายเป็นการบั่นทอนทำร้ายตนเองตั้งแต่เริ่มคิดแก้แค้นด้วยซ้ำ

แต่การแก้แค้นก่อผลเสียยิ่งกว่านั้น มันสามารถชักนำครอบครัวและกลุ่มชนของตนให้ตกอยู่ในวังวนแห่งความรุนแรง ติดกับดักแห่งการแก้แค้นไม่รู้จบ เพราะอีกฝ่ายย่อมไม่อยู่นิ่งเฉยหากพยายามแก้แค้นเอาคืน การแก้แค้นให้กับคน ๆ หนึ่งที่ถูกฆ่าตายอาจตามมาด้วยการสังหารผู้คนอีกเกือบ ๓๐ คน (ดังที่เกิดกับ ๒ ชนเผ่าในนิวกีนีเมื่อหลายปีก่อน) หรือมีการจองล้างจองผลาญติดต่อกันนานถึง ๒๗๐ ปี (ดังกรณีที่เกิดในอัลเบเนีย) แต่นั่นก็ยังเทียบไม่ได้กับการแก้แค้นระหว่างเซิร์บกับเติร์กซึ่งยืดเยื้อมา ๖๐๐ ปี หรือระหว่างยิวกับอาหรับซึ่งสาวไปได้ถึงพันปีที่แล้ว

ทุกวัฒนธรรมที่ส่งเสริมการแก้แค้นย่อมรู้ดีว่าการแก้แค้นที่ปล่อยให้เกิดขึ้นตามอำเภอใจย่อมนำมาซึ่งความโกลาหลวุ่นวาย ทำลายความสามัคคีและบั่นทอนเสถียรภาพของสังคม จึงพยายามสร้างกติกาหรือข้อกำหนดขึ้นมาเพื่อให้การแก้แค้นอยู่ในขอบเขต (เช่น อนุญาตให้แก้แค้นได้ภายใน ๒๔ ชั่วโมง หรือกันเด็ก ผู้หญิง ชายชราจากหน้าที่แก้แค้น หรืออนุญาตให้ดวลปืนยิงกันด้วยกระสุนนัดเดียว) แต่นั่นก็ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด หลายชุมชนจึงหันมาส่งเสริมการปรับหรือเรียกค่าสินไหมแทนการแก้แค้น หรือไม่ก็มอบหมายให้รัฐหรือผู้ปกครองทำการแก้แค้นแทน โดยมีมาตรการต่าง ๆ ตั้งแต่ปรับ จำคุก ไปจนถึงประหารชีวิต (ในอดีตอนุญาตให้รัฐใช้วิธีทรมานได้ด้วย)

แต่ความรุนแรงควรยุติด้วยการแก้แค้นเท่านั้นหรือ? หากเราไม่ลงมือแก้แค้นเอง เราควรพอใจที่รัฐแก้แค้นแทนเราเท่านั้นหรือ? มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้หรือไม่ที่เราสามารถทำได้ ? คำตอบคือมี ได้แก่ “การล้างแค้นอย่างสร้างสรรค์” คือ การล้างแค้นด้วยการยกระดับตัวเองแทนที่จะไปเหยียบย่ำคนอื่นให้ตกต่ำลง เมื่อเราโกรธหรือเกลียดใครสักคน เราอยากทำกับเขาเหมือนกับที่เขาทำกับเรา หากเขาด่าว่าเรา เราก็ต้องด่าเขากลับคืน หากเขาทำร้ายเรา เราก็ต้องเล่นงานเขาให้สาสม วิธีนี้ก็คือการทำตัวเองให้ต่ำลงเหมือนเขา แต่ผู้ที่มีปัญญาย่อมรู้ดีว่าการทำให้เขาเจ็บปวดที่ดีกว่านั้นก็คือการทำตนให้ดีกว่าเขา เก่งกว่าเขา ประสบความสำเร็จมากกว่าเขา หรือเป็นสุขเบิกบานใจยิ่งกว่าเขา

อย่างไรก็ตามการล้างแค้นแบบสร้างสรรค์สามารถนำความทุกข์มาให้แก่เราได้ตราบเท่าที่เรายังไม่เก่งกว่าเขาหรือประสบความสำเร็จมากกว่าเขา เบื้องหลังการล้างแค้นดังกล่าวคือความโกรธเกลียดซึ่งสามารถเผาลนจิตใจเราได้ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้จึงมีวิธีที่ดีกว่านั้นอีก นั่นคือ การให้อภัย การให้อภัยมิได้หมายถึงยอมรับการกระทำไม่ดีของเขา แต่หมายถึงการปลดเปลื้องความโกรธเกลียดและอาฆาตพยาบาทออกไปจากจิตใจของเรา แม้เราจะยอมรับการกระทำของเขาไม่ได้ แต่เราสามารถยอมรับเขาในฐานะมนุษย์ได้ การฆ่า การหลอกลวง หรือการดูหมิ่นเหยียดยาม เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องวันยังค่ำ แต่คนเราอาจทำสิ่งนั้นเพราะความพลั้งเผลอ เพราะความไม่รู้ เพราะความเข้าใจผิด หรือเพราะอารมณ์ชั่ววูบ เขาอาจทำเพราะแรงบีบคั้นจากความเจ็บปวดในอดีต หรือเพราะเคยถูกกระทำย่ำยีมาก่อนก็ได้ ในฐานะที่เป็นเพื่อนทุกข์ เขาควรได้รับการให้อภัยจากเรา ในฐานะที่เรามีหน้าที่ทำตนให้เป็นสุข เราควรปลดเปลื้องความอาฆาตพยาบาทไปจากจิตใจ

มิใช่แต่การล้างแค้นเท่านั้นที่อยู่คู่กับมนุษย์ การให้อภัยและการสมานไมตรีก็เป็นส่วนหนึ่งของมนุษยชาติมาช้านาน อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่สัตว์ก็รู้จักคืนดี นักสัตววิทยาที่สังเกตพฤติกรรมของลิงในสวนสัตว์และป่าธรรมชาติพบว่า เมื่อลิงทะเลาะเบาะแว้งกัน จะมีความพยายามคืนดีกันเสมอ หากไม่ “วาน”ตัวกลางให้ช่วยไกล่เกลี่ย คู่กรณีตัวใดตัวหนึ่งก็จะเป็นฝ่ายริเริ่มเข้าหา งอนง้อ หรือทำดีด้วย ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเคยกราดเกรี้ยวคู่กรณีเพียงใด แต่ในที่สุดก็จะคืนดีด้วยการเกาหลังให้กันและกัน

มนุษย์ไม่ได้มีแต่ความโกรธเกลียดเท่านั้น เรายังมีเมตตา กรุณา และความเข้าใจด้วย ความสามารถในการให้อภัยจึงอยู่ในใจของเราทุกคน จะว่าไปการให้อภัยเป็นกลไกอย่างหนึ่งในการปกป้องตนเอง มิใช่ปกป้องจากศัตรูภายนอก แต่ปกป้องจากศัตรูภายใน ได้แก่ความโกรธเกลียดและอาฆาตพยาบาทนั่นเอง หากความโกรธเกลียดและอาฆาตพยาบาทคือมีดกรีดใจ การให้อภัยก็คือยาสมานใจนั่นเอง ใจที่ไร้ยาสมานย่อมมีแผลเรื้อรัง ชีวิตที่ให้อภัยไม่เป็นย่อมหาความสุขได้ยาก

เราจะสุขหรือทุกข์มิใช่เพราะมีใครมาทำให้ หากอยู่ที่ใจของเราเอง ไม่มีใครทำลายศักดิ์ศรีของเราได้นอกจากตัวเราเอง ถึงที่สุดแล้วเราต้องเลือกว่าเราจะมีชีวิตอยู่อย่างไร ระหว่างการหล่อเลี้ยงความโกรธเกลียดเอาไว้ หรือการบ่มเพาะเมตตาและกรุณา ผู้คนเป็นอันมากเลือกอย่างแรกจึงจมปลักอยู่ในความทุกข์ ส่วนผู้มีปัญญาเลือกอย่างหลังจึงเป็นสุขอยู่เสมอ

ความอาฆาตพยาบาทนั้นมีความทรงจำเป็นตัวหล่อเลี้ยง แต่ก็มิได้หมายความว่าเราต้องลืมก่อนถึงจะให้อภัยได้ การให้อภัยมิได้เกิดจากการหลงลืมแต่เกิดจากความตระหนักรู้ถึงโทษของความโกรธ ที่สำคัญก็คือเกิดจากความเข้าใจในคู่กรณี โดยเฉพาะเมื่อเห็นถึงความเป็นมนุษย์ของเขาซึ่งไม่ต่างจากเรา อีกทั้งเห็นถึงความทุกข์ของเขาด้วย เราสามารถจะให้อภัยโดยไม่ลืมได้

คิม ฟุค ถูกไฟจากระเบิดนาปาล์มของอเมริกาเผาลวกทั้งตัวจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด อีกทั้งยังสูญเสียลูกพี่ลูกน้อง ๒ คนจากเหตูการณ์ แม้แผลจะหายหลังจากผ่าตัดถึง ๑๗ ครั้ง แต่ความแค้นฝังใจเธอร่วม ๒๐ ปี แต่ในที่สุดเธอก็ให้อภัยทหารอเมริกันเมื่อเธอประจักษ์แก่ใจว่า “การบ่มเพาะความเกลียดเอาไว้สามารถฆ่าฉันได้” เธอพบว่าสิ่งที่ทำร้ายเธอจริง ๆ มิใช่ใครที่ไหน หากได้แก่ความเกลียดที่ฝังแน่นในใจเธอนั่นเอง

อาซิม กามิซา สูญเสียทาริก ลูกชายคนเดียววัย ๑๔ ปีเพราะความคิดชั่วแล่นของวัยรุ่นอีกคนหนึ่งที่ต้องการอวดความเก่งกล้าสามารถของตนให้เพื่อนร่วมแก๊งได้เห็น แม้จะเจ็บปวดแต่เขาก็ให้อภัยวัยรุ่นคนนั้น เพราะเห็นว่า “การแก้แค้นไม่อาจช่วยอะไรได้ เอาชีวิตทาริคกลับมาได้ไหม การแก้แค้นมีแต่จะทำให้ความรุนแรงที่คร่าชีวิตทาริคยืดยาวต่อไป” เขาพบว่าตัวการที่ฆ่าลูกเขาไม่ใช่ใครอื่น หากคือวัฒนธรรมแห่งความรุนแรงในหมู่วัยรุ่นต่างหาก เขาจึงต้องต่อสู้กับความรุนแรงนี้ด้วยการตั้งมูลนิธิในนามลูกของตนเพื่อส่งเสริมให้คนหนุ่มสาวเห็นโทษของความรุนแรงในการแก้ปัญหา

ในทำนองเดียวกันเมื่อแม่ของสิบเอกสามารถ กาบกลางดอน ต้องสูญเสียลูกชายในเหตุการณ์นองเลือดที่ปัตตานี (ซึ่งโยงกับกรณีกรือเซะ)เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๔๗ แทนที่จะเรียกร้องการล้างแค้น เธอกลับให้อภัยฝ่ายตรงข้าม เพราะไม่ต้องการให้คนอื่นต้องเจ็บปวดเช่นเดียวกับเธอ “ฉันไม่อยากเห็นสิ่งอย่างนี้เกิดขึ้นอีกต่อไป ไม่ว่ากับใครอีกเราควรจะหยุดฆ่ากันได้แล้ว นี่เป็นความสูญเสียของทุกฝ่าย ฉันก็เสียลูกชายเหมือนแม่คนอื่น ๆ อีกหลายคน”

“เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่ระงับด้วยการไม่จองเวร” นี้มิใช่เป็นแค่คำสอนทางพุทธศาสนา หากเป็นความจริงที่อยู่เหนือกาลเวลาและเป็นสากล การแก้แค้นไม่เคยชำระปัญหาให้จบสิ้น อีกทั้งไม่สามารถนำความสุขมาสู่ชีวิต การให้อภัยต่างหากที่ทำให้ปัญหายุติได้ ต่อเมื่อชำระใจให้ปลอดจากความแค้น เมื่อนั้นชีวิตจึงจะพบความสงบเย็นอย่างแท้จริง

โดย… พระไพศาล วิสาโล




Create Date : 31 มีนาคม 2552
Last Update : 31 มีนาคม 2552 23:06:07 น.
Counter : 495 Pageviews.

0 comment
สุขได้แม้ไม่สำเร็จ


ความสำเร็จเป็นยอดปรารถนาของทุกคน เพราะเชื่อว่าจะนำมาซึ่งความสุข แต่ความสำเร็จก็เช่นเดียวกับความมั่งมี ไม่สามารถเป็นหลักประกันแห่งความสุขได้อย่างแท้จริง ใครก็ตามที่เอาความสุขไปผูกไว้กับความสำเร็จ ย่อมยากที่จะพบกับความสุขที่ยั่งยืน ทั้งนี้ก็เพราะรสชาติของความสุขชนิดนี้หอมหวานเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ช้าไม่นานก็รู้สึกจืดชืด ไม่ต่างจากเพลงที่ไพเราะ ฟังครั้งแรกก็ให้ความซาบซึ้งตรึงใจ แต่ถ้าฟังไปนาน ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็จะเริ่มรู้สึกจำเจ และกลายเป็นเบื่อในที่สุด ต้องขวนขวายหาเพลงใหม่มาฟังแทน

ด้วยเหตุนี้จึงมีน้อยคนที่พอใจหรือพอเพียงกับความสำเร็จ ส่วนใหญ่จะรู้สึกว่าความสำเร็จที่ได้มายังไม่เพียงพอ ต้องการได้อีก และนั่นคือที่มาแห่งความทุกข์ จนกว่าจะประสบความสำเร็จครั้งใหม่


นักธุรกิจผู้หนึ่งประสบความสำเร็จทางธุรกิจอย่างรวดเร็ว เขาสามารถปลดหนี้สินของธุรกิจครอบครัวซึ่งสูงถึง ๗,๐๐๐ ล้านได้ภายในเวลา ๓ ปีเท่านั้น และใช้เวลาอีกไม่กี่ปีขยายธุรกิจดังกล่าวจนมีผลประกอบการปีละ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท เขามีความสุขอย่างไม่ต้องสงสัย แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็พบว่าตัวเองเปลี่ยนไป เบื่อหน่ายกับการทำงาน รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า “ผมจะมีความหมายอะไร ก็เป็นแค่…มหาเศรษฐีหมื่นล้านคนหนึ่ง (ในจำนวนอีกหลายร้อยคนในไทย)” ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องดิ้นรนหาความสำเร็จอย่างใหม่ นั่นคือเอาดีทางการเมือง เขายอมรับว่าวันที่เขามีความสุขที่สุดในชีวิตคือวันที่ได้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการในเวลาต่อมา แต่น่าสงสัยว่าเขาจะมีความสุขไปได้นานเท่าใดตราบใดที่ยังไม่ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการ

ความสำเร็จหากผูกติดกับตำแหน่ง ยิ่งให้ความสุขที่คลอนแคลน เพราะตำแหน่งทั้งหลายเป็นของชั่วคราว ไม่นานก็ต้องตกเป็นของคนอื่น บิล คลินตันเป็นนักการเมืองที่ประสบความสำเร็จสูงสุดคนหนึ่งของยุคนี้ เขาได้เป็นประธานาธิบดีตั้งแต่ยังหนุ่ม และเป็นถึง ๒ สมัย แต่เมื่อเขาพ้นตำแหน่ง เขากลายเป็นคนที่ไม่มีความสุข เพราะยังโหยหาอาลัยอดีตอันหอมหวาน เมื่อไม่นานมานี้เขาเผยความในใจว่า “คิดดูสิว่าตอนผมเป็นประธานาธิบดี เขาจะบรรเลงเพลงทุกครั้งที่ผมเดินเข้าห้อง (แต่ตอนนี้) ไม่มีใครบรรเลงเพลงอีกแล้ว ผมไม่รู้เลยว่าผมอยู่ที่ไหน”

ใช่หรือไม่ว่าหากสุขใจที่ได้เป็นประธานาธิบดี ก็ต้องทุกข์แน่นอนเมื่อกลายเป็นราษฎรเต็มขั้น มองในแง่นี้ความสำเร็จทำให้เกิดทุกข์ได้ เหมือนคนที่ลอยสูงมากเท่าไร เมื่อตกลงมาก็เจ็บมากเท่านั้น

ที่น่าคิดมากกว่านั้นก็คือ เราแน่ใจได้อย่างไรว่าความสำเร็จจะเป็นสิ่งน่าชื่นชมไปตลอดกาล มีหลายคนที่เมื่อมองย้อนไปถึงความสำเร็จของตนในอดีต กลับรู้สึกว่าไม่น่าชื่นชมเสียเลย เพราะเห็นข้อบกพร่องหรือข้อเสียติดตามมามากมาย ไอน์สไตน์เคยพูดว่าหากเขารู้ล่วงหน้าว่าระเบิดปรมาณูซึ่งสร้างขึ้นจากทฤษฎีสัมพัทธภาพของเขาจะสร้างความเสียหายอย่างมากมายแก่ชาวญี่ปุ่นและทำให้โลกตกอยู่ในอันตราย เขาคงตัดสินใจเป็นช่างซ่อมนาฬิกาดีกว่า ด้วยเหตุนี้จึงมีบางคนกล่าวว่า “ความสำเร็จคือความล้มเหลวที่ยังไม่ปรากฏ”

ความสำเร็จเป็นสิ่งสำคัญก็จริงอยู่ แต่มิใช่สิ่งสำคัญที่สุดของชีวิต สิ่งสำคัญกว่านั้นคือการได้ทำสิ่งดีงาม ถูกต้อง และเสียสละ หากได้ทำความดีงามอย่างเต็มที่ แม้ไม่สำเร็จหรือประสบชัยชนะ ก็ได้ชื่อว่าทำสิ่งที่ควรแก่ความภาคภูมิใจ ซึ่งให้ความสุขที่ยั่งยืนกว่าความสำเร็จทั่ว ๆ ไป

ซารา เรนเนอร์ เป็นนักกีฬาสกีวิบากชาวแคนาดาที่นำคู่แข่งมาโดยตลอด แต่แล้วจู่ ๆ ไม้ค้ำสกีของเธอหัก เธอพยายามฝืนสู้ แต่ก็ไม่ประสบผล นักสกีหลายคนแซงเธอไป ขณะที่เธอรู้สึกหมดหวังก็มีชายผู้หนึ่งยื่นไม้ข้างหนึ่งให้เธอ เธอจึงกลับเข้าสู่การแข่งขัน และสามารถนำทีมแคนดาคว้าเหรียญทองได้ในที่สุด

เธอรู้เมื่อจบการแข่งขันว่าผู้ที่ช่วยเธอคือบเยอร์นาร์ ฮาเกนสโมเอน นักกีฬาชาวนอรเวย์ ซึ่งเข้าเส้นชัยมาเป็นอันดับสี่ เขากลายเป็นวีรบุรุษของชาวแคนาดาในทันที แต่เขากลับให้สัมภาษณ์ว่าเขาไม่เข้าใจว่าทำไมต้องยกย่องกันขนาดนี้ เขาให้เหตุผลว่า “ถ้าคุณชนะแต่ไม่ได้ช่วยเหลือใครในเวลาที่คุณควรช่วย นั่นเป็นชัยชนะประเภทไหนกัน” สำหรับเขาการทำสิ่งที่ถูกต้องมีคุณค่ายิ่งกว่าชัยชนะ

ความสำเร็จนำมาซึ่งความสุขก็จริง แต่การอยู่เหนือความสำเร็จ หรือไม่หมกมุ่นติดยึดกับความสำเร็จต่างหาก คือที่มาแห่งความสุขที่แท้จริง

โดย… ภาวัน




Create Date : 31 มีนาคม 2552
Last Update : 31 มีนาคม 2552 22:58:20 น.
Counter : 606 Pageviews.

1 comment
1  2  3  4  5  

naizeezaa
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]