All Blog
หาที่ตัดผ้ายืด/เสื้อกล้ามครับ แถวลาดพร้าว
วันนี้หาจนเหนื่อยแล้ว อยากตัดเสื้อกล้ามแบรนด์ตัวเองครับ
พร้อมปัก สกรีน ทำป้ายยี่ห้อด้วยเลยอ่ะครับ

แนะนำหน่อยนะคร้าบ



Create Date : 31 กรกฎาคม 2553
Last Update : 31 กรกฎาคม 2553 18:55:56 น.
Counter : 337 Pageviews.

0 comment
ทุกข์ถึงที่สุด จะหลุดได้อย่างไร?...
อย่า กลัวว่าความทุกข์นั้น จะมีตลอดไป... อย่าคิดว่าไม่มีทางแก้ไข... หนทางที่เร็วที่สุดคือ เปลี่ยนอารมณ์... ท่านใดมีทุกข์ ขอให้มันผ่านไปโดยไวครับ.....

เมื่อเราเกิดมาย่อมได้รับ ทั้งสุขและทุกข์ ปะปนกันไปอยู่แล้ว แต่เมื่อทุกข์ที่สุดเราควรจะทำอย่างไร ปัจจุบันเราได้ยินข่าวเรื่อง การฆ่าตัวตายบ่อยมาก ในชีวิตของความเป็นหมอ ก็เจอคนที่ฆ่าตัวตายบ่อยมาก ทั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จ หมอได้พูดได้คุยกับคนเหล่านี้มากมาย คำถามที่น่ารู้ก็คือ...

การฆ่าตัวตายเป็นสิ่งที่ถูกต้อง? ควรกระทำหรือไม่? และเราควรจะทำอย่างไรดี?

บทความนี้จะไม่สนใจว่าการกระทำอย่าง นั้นจะมีผลในอนาคตอย่างไร? ทำลายตนเองจะบาปมากแค่ไหน? ต้องเกิดมาฆ่าตัวตายใช้กรรมอีก 500 ชาติจริงหรือ? เพราะถ้าบอกไป ต้องใช้ความเชื่อและศรัทธาในตัวศาสนามาพูดคุยกัน แต่ต้องการจะบอกว่า การทำลายตนเอง เป็นสิ่งที่น่าเสียดายนัก เสียดายโอกาสที่จะได้รับสิ่งที่ดีอีกมากที่จะตามมา และเสียดายแทนญาติมิตรที่เกี่ยวข้องที่จะต้องได้รับผลกระทบกายและใจตลอดไป

ในเรื่องความทุกข์ที่สุดนี้ ธรรมะในพระพุทธศาสนาสอนให้เราแก้เรื่องนี้ได้ทันที ด้วยความเข้าใจ ด้วยความรู้ที่เราไตร่ตรองเองได้ และด้วยประสบการณ์ในอดีตของเราทุกคน ในกาลามสูตรพระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ให้เชื่อด้วยเหตุ 10 อย่าง เช่นด้วยเหตุผลว่าผู้สอนเป็นครูของเรา และอื่นๆ รวมสิบประการ แต่จะให้เชื่อก็ต่อเมื่อไตร่ตรองรู้ได้ด้วยตนเองจึงเชื่อ การจะไตร่ตรองให้รู้ได้ด้วยตนเอง จะมีได้ก็ต่อเมื่อเรามีประสบการณ์ในเรื่องนั้นมาแล้ว ดังนั้นประสบการณ์ในอดีตจึงเป็นธรรมะที่เราตรึกตรองได้เช่นกัน

เมื่อความทุกข์ที่สุดมาถึง สิ่งที่ควรระลึกถึงมีสองสามอย่างคือ...
หนึ่ง อย่ากลัวว่าความทุกข์นั้นจะมีตลอดไปเพราะมันจะไม่คงอยู่ตลอดไป เดี๋ยวมันก็จางไป สอง อย่าคิดว่าไม่มีทางแก้ไขให้ดีขึ้นได้ เพราะจะมีทางแก้ไขเสมอ เพียงแต่ตอนนี้ยังนึกไม่ออกเท่านั้น
สาม อย่านึกว่าต่อไปนี้เราจะไม่ได้รับสิ่งดีๆ อีก เพราะเมื่อทุกข์ผ่านไป เราจะยังมีความสุข สนุกสนาน ได้อย่างเดิมแน่นอน และ
สุดท้ายคือ ให้นึกถึงคนข้างหลัง ที่เขาจะต้องเศร้า ได้รับการกระทบกระเทือน จากการกระทำด้วยอารมณ์ของเรา

เมื่อทุกข์ที่สุดมาถึงสิ่งที่เราต้องทำทันที ในขณะที่ยังตั้งตัวปรับใจไม่ทันก็คือ รีบหาทางเปลี่ยนอารมณ์ เมื่อเราไปเจอคนอื่นทุกข์สิ่งที่ต้องทำอันดับแรกคือช่วยเปลี่ยนอารมณ์เขาก่อน จากนั้นสติจึงจะตามมา

ความทุกข์ที่มากสุดจะแก้ได้เร็วและ ง่ายที่สุด ด้วยการเปลี่ยนอารมณ์ ดึงอารมณ์ออกจากสถานการณ์นั้นก่อน อาจง่ายๆ เพียงแค่ทำอะไรที่ชอบ ฟังเพลง ดูหนัง หาของอร่อยกิน ชวนเพื่อนไปเที่ยว ชวนคุยเรื่องอื่น ลืมเรื่องทุกข์ไปชั่วคราวก่อน บางทีก็เบาบางได้เอง ที่สำคัญถ้ามีเพื่อนดี จะเบาบางไปได้มากที่สุด ที่ไม่ควรทำคือดื่มสุรา หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ไม่ควรหันไปดื่มเหล้าเบียร์ เพราะการกินเหล้าก็ดับทุกข์ได้ระดับหนึ่งเท่านั้น แต่จะมีข้อเสียกว่าคือ จะยิ่งโกรธง่าย น้อยใจง่ายและโมโหง่ายกว่าเดิม และไม่มีสติยับยั้งความโกรธ หรืออารมณ์ที่รุนแรงเหล่านั้น เมื่อเปลี่ยนอารมณ์ได้ ใจจะเข็มแข็งมากพอที่จะแก้ในขั้นต่อไป

ขั้นต่อไปคือพยายามตั้งใจใช้สติคิดว่า จะแก้ได้อย่างไร อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล สายไปแค่ไหนแล้วและแก้ได้หรือไม่ ทำให้ดีขึ้นได้หรือไม่ ถ้าแก้ไม่ได้ ขั้นสุดท้ายคือ ทำให้ใจของเรายอมรับสิ่งนั้นให้ ได้ ใจของเราจะยอมรับได้ คิดได้ ปลงตกได้ต้องมีสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ

ท่านพุทธทาสภิกขุ สอนว่า โดยสรุปรวมในธรรมะของพระพุทธเจ้า อาจสรุปเป็นแบบหนึ่งได้ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น นั่นเป็นเพราะในความเป็นจริง สิ่งทั้งหลายย่อมไม่ได้ดั่งใจเรา มีความไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนไปได้ตลอดเวลาด้วยเหตุและปัจจัย จึงไม่สมควรที่จะไปหลงยึดมั่นหมายว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา หรือเป็นของของเรา สิ่งทั้งหลายไม่ได้ดั่งใจทั้งนั้น ไม่ว่าเราจะเป็นใคร รวยเพียงใด อำนาจล้นฟ้าขนาดไหน ต่างก็มีความทุกข์ประจำตัวประจำอยู่ทุกคนทั้งสิ้น

เมื่อคนคนหนึ่งประสพอุบัติเหตุขาขาด สองข้าง เขาจะรู้สึกอยากตายไม่อยากอยู่ จะรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว แต่ผ่านไปสักสองปี ไปดูอีกทีกำลังหัวเราะอยู่เพราะดูละคร ส่วนเรื่องขาขาดก็นั่งรถเข็นเอา และก็ชินเสียแล้ว ไม่เสียใจมากเหมือนตอนขาขาดใหม่ๆ บางคนแฟนตายไปเสียใจแทบตายตาม ผ่านไป 3 ปี มีแฟนใหม่แล้ว มีความสุขดีมากเลย ความทุกข์จึงเป็นของไม่เที่ยงเสมอ เช่นเดียวกับความสุข เพียงแต่ว่าตอนทุกข์ ให้ผ่านวันเวลาไปได้ ไม่ด่วนตายไปเสียก่อน เมื่อทุกข์ผ่านไป จะมีสิ่งดีๆ ตามมาได้แน่นอน

และเมื่อมองย้อนไป ความทุกข์เหล่านั้นมันก็เท่านั้นเอง เมื่อเราอ่านมาถึงตอนนี้ ก็ขอให้ลองใช้เวลานี้ นึกถึงอดีตที่มีทั้งทุกข์และสุขของเราดู อดีตนั่นแหละที่จะสอนตัวเราในความจริงแห่งธรรมะ ในกาลามสูตรพระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ให้เชื่ออะไรง่ายๆ แต่สอนว่าเมื่อเราพิจารณาได้เอง ว่านี้เป็นสิ่งดีหรือไม่ดีแก่จิตใจจึงค่อยเชื่อ การจะพิจารณาได้อย่างนั้น จะต้องมีประสบการณ์ในความรู้สึก แบบนั้นในอดีตมาก่อน อดีตจึงเป็นธรรมะที่สอนใจได้เป็นอย่างดี

ทุกข์ที่สุดจะเกิดจาก ความยึดมั่นถือมั่นที่สุด สิ่งใดที่เรารักมากยึดมากว่าเป็นตัวเราหรือของเรา สิ่งนั้นถ้าขาดหายไปจะทำให้ทุกข์ถึงที่สุด ถ้าเรารักความสวยงาม เมื่อเสียโฉมจะทุกข์ที่สุด ถ้าเรารักสามีหรือภรรยา เมื่อเขานอกใจ หรือเสียเขาไปจะทุกข์ที่สุด ถ้ารักลูก ลูกหายหรือพิการหรือตายจะทุกข์ที่สุด ถ้ารักยศถาบรรดาศักดิ์เมื่อสูญเสียจะทุกข์ที่สุด ถ้ารักตนเอง เมื่อทราบว่าตนป่วยเป็นมะเร็ง เป็นเอดส์ หรือโรคที่รักษาไม่หายก็จะทุกข์ที่สุด

แต่ถ้าเราไม่มีสิ่งนั้นเลย ก็ไม่มีอะไรจะทุกข์กับสิ่งนั้น ไม่มีลูกก็ไม่ทุกข์กับลูก ไม่มีแฟนก็ไม่มีทุกข์จากแฟน ไม่มีทรัพย์สิน ก็ไม่ทุกข์กับทรัพย์สิน หรือถ้าเรามีแต่ทำใจไว้เสมือนไม่มี หรือทำใจไว้ว่าของที่มีมันไม่เที่ยงย่อมแปรปรวนไป ก็จะทุกข์น้อยลง ยิ่งยึดมั่นได้น้อยลงเท่าไรก็ทุกข์น้อยลงเท่านั้นเป็นสัดส่วนไป เมื่อไม่ยึดมั่นก็ไม่ทุกข์เลย หมายความว่าไม่มีอะไรทำให้ทุกข์ใจได้อีกเลย แต่ความเจ็บปวดยังมีตราบเท่าที่มีสังขารร่างกายอยู่ เพียงแต่ความทุกข์กายอันนั้น จะไม่สามารถมากินใจให้ทุกข์ใจได้เลย

ความทุกข์ที่เกิดขึ้น มักเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คนคิดจะทำความดี เพราะธรรมชาติของเราจะหลงลืมและเพลินในสุข ซึ่งความสุขส่วนมากที่เราชอบ มักจะตั้งอยู่บนความไม่เที่ยงทั้งสิ้น พระพุทธองค์เห็นข้อนี้จึงสละทุกสิ่งออกบวชแสวงหาธรรมะ แต่อย่างเราๆ มักจะไม่คิดเรื่องนี้จนกว่าจะทุกข์ เสียก่อน เราจึงพบว่าคนจำนวนมาก ได้ประพฤติธรรมะ ได้ทำสิ่งดีๆ แก่ตนและผู้อื่นเพราะประสพกับความทุกข์มาแล้ว ดังนั้นเมื่อมีทุกข์นั่นคือเราได้อยู่ใกล้ธรรมะแล้ว ถ้าผ่านช่วงนี้ไปได้ก็มักจะมีสิ่งดีโอกาสดี และเราเองก็จะดำรงอยู่ในความดีมากขึ้น ความทุกข์และความสุขเป็นของคู่โลกเช่นนี้มาตลอด

เมื่อ เราทุกข์หรือพบคนที่ทุกข์ อย่าลืมเปลี่ยนอารมณ์ ตั้งสติหาทางแก้ไข ใช้ความดีเอาชนะสิ่งไม่ดี ทุกข์ย่อมไม่เที่ยง ย่อมผ่านไป เป็นธรรมดา และเราก็มีโอกาสที่จะได้รับสิ่งที่ดี ได้ปรับปรุงตนเป็นคนดีเสมอ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกท่าน

ขอขอบคุณเจ้าของบทความจาก //www.rimnam.com

ที่มา : //www.dhammajak.net/dhamma/1.html



Create Date : 06 กรกฎาคม 2553
Last Update : 6 กรกฎาคม 2553 21:36:28 น.
Counter : 321 Pageviews.

2 comment
ทำอย่างไร พ่อแม่ไม่กำพร้าลูกหลาน
คนไทยท่าน หนึ่ง(ขอเปลี่ยนชื่อเป็น "คุณจูน")ไปแต่งงานกับชาวสวิส ชวนสามีมาซื้อที่ดินที่เชียงใหม่ ท่านเล่าให้ฟังว่า ลูกอายุมากถึง 12 ปีแล้ว อีกไม่นานก็จะ "ไม่มีลูก" แล้ว

ผู้เขียนเรียนถามท่านว่า ทำไมอยู่ๆ มีลูกแล้วกลายเป็น "ไม่มีลูก" หรือกำพร้าลูกขึ้นมาได้ ท่านบอกว่า สังคมฝรั่งนี่... พออายุ 17 ปีทุกคนก็จะเป็นผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่เริ่มแยกบ้านออกไป และส่วนหนึ่งเริ่มหางานทำไปด้วยเรียนไปด้วย

...

คนพม่าท่าน หนึ่งเล่าให้พระฟังว่า สามีท่านเข้ามาทำงานในไทย กฎหมายไทยยอมให้ท่านมาอยู่ด้วยได้ แต่รุ่นลูกมาอยู่ด้วยไม่ได้ เลยส่งลูกไปเรียนที่อเมริกา พอลูกเริ่มโตขึ้นมาก็ไม่ยอมกลับพม่า เลยกลายเป็นคุณแม่กำพร้าลูก

ท่านอาจารย์วรากรณ์ สามโกเศศแนะนำวิธีป้องกันโรค "กำพร้าลูก" ไว้ในหนังสือ 'Niche 04' ผู้เขียนขอนำมาเล่าสู่กันฟัง

...

อาจารย์จอห์น เออร์มิสช์ แห่งมหาวิทยาลัยเอสเซก สหราชอาณาจักร(หมู่เกาะอังกฤษ) ทำการศึกษาวิจัยพบว่า พ่อแม่ที่มีฐานะดีมีแนวโน้มจะส่งลูกเรียนจบปริญญา และให้เงินทองไปทำงานตั้งเนื้อตั้งตัว

ส่วนคุณลูกเมื่อมีงานทำ และพึ่งตัวเองได้กลับโทรศัพท์ถึงพ่อแม่น้อยกว่าคนที่ไม่มีปริญญา 20% แถมยังไปเยี่ยมพ่อแม่อย่างสม่ำเสมอน้อยลง 50%

...

เหตุผลง่ายๆ คือ คนที่ทำงานเลี้ยงตัวได้มีแนวโน้มจะต้องพึ่งพิงมรดกจากคุณแม่คุณพ่อน้อยลง มีทฤษฎีที่รับรองแนวคิดนี้คือ 'strategic bequest theory (ทฤษฎีการได้มรดก)

ทฤษฎีนี้บอกว่า คุณลูกจะดูแล เอาใจใส่คุณแม่คุณพ่อเพียงเพื่อให้แน่ใจว่า จะได้รับมรดก เพราะฉะนั้นคนที่มีลูกหลายคนจึงมักจะได้รับการเอาใจใส่จากลูกมากกว่า เพราะถ้ามีลูกหลายคน... ลูกๆ จะต้องแย่งกันเอาอกเอาใจ

...

ข่าวร้ายคือ ครอบครัวรวยๆ มักจะมีลูกหลานน้อย หรือดีไม่ดีไม่มีลูกเลยก็มี ทีนี้วิกฤตย่อมมากับโอกาส... ท่านอาจารย์เออร์มิสค์จึงแนะนำยุทธศาสตร์ป้องกันการ "กำพร้าลูก" ดังต่อไปนี้

1. สะสมออมทรัพย์ไว้ อย่าให้ยากจน > คนที่ยากจนมีความเสี่ยงที่จะถูกทอดทิ้งสูงกว่าคนที่มีสตางค์
2. เก็บเงินไว้กับตัว > อย่าให้เงินลูกหลานหมด จะได้มีอำนาจต่อรอง
3. มีลูกหลานหลายคนหน่อย > ลูกหลานจะได้แย่งกันเอาอกเอาใจ
4. แสดงให้ลูกหลานรู้ว่า ถ้าไม่สนใจดูแล เอาใจใส่ อาจพิจารณามอบมรดกให้องค์กรการกุศล สัตว์เลี้ยง(ฝรั่งบางท่านทำ) > เพื่อให้ลูกหลานเกิดความรู้สึกไม่มั่นคงว่าจะได้มรดกแน่ และหันมาเอาอกเอาใจ
5. อย่าให้เงินสดลูกหลานตั้งแต่แรก > ให้มันรอกันบ้างจนใกล้ตาย

...

ผู้เขียนขอเรียนเสนอวิธีเพิ่มเติมอีก 2 ข้อ

(1). อย่าขี้บ่น...

* คนสูงอายุที่บ่นมาก ถึงมีอะไรดีก็อาจถูกทอดทิ้งได้ จึงควรหัดเอาอกเอาใจลูกหลานบ้าง อย่างน้อยก็ต้องหัดแสดงความชื่นชม (appreciate) หรือชมการกระทำดีของคนรอบข้าง โดยเฉพาะคนใกล้ตัวให้ได้อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง และเพิ่มเป็นอย่างน้อยวันละ 3 ครั้งหลังอาหาร

(2). อย่าทำตัวให้หมดสภาพ

* หมั่นใส่ใจสุขภาพ ออกแรง ออกกำลัง และสนใจศึกษาเล่าเรียนเรื่องต่างๆ อยู่เสมอตลอดชีวิต เพราะคนที่ทันสมัยมีโอกาสถูกทอดทิ้งมากกว่าคนเชยๆ และคนที่สุขภาพดีมีโอกาสถูกทอดทิ้งน้อยกว่าคนยอบๆ แยบๆ หรือคนป่วยเรื้อรัง

...

ถึงตรงนี้... ขอให้พวกเรามีสุขภาพดี และมีความสุขในการใส่ใจสุขภาพไปนานๆ ครับ

...

นพ. วัลลภ พรเรืองวงศ์



Create Date : 06 กรกฎาคม 2553
Last Update : 6 กรกฎาคม 2553 21:25:29 น.
Counter : 257 Pageviews.

0 comment
พลิกชีวิต มืดสู่สว่าง -
จากคุณฟ้าหลังฝนครับ
และคุณladyEdnaMode ผู้โพสต์ใน Youtube อนุโมทนาครับ

ตามลิ้งค์นี้ไปได้เลยนะครับ

//larndham.org/index.php?/topic/39725-%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95-%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87-%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80/page__pid__721623__st__0&#entry721623






Free TextEditor



Create Date : 06 กรกฎาคม 2553
Last Update : 6 กรกฎาคม 2553 21:16:28 น.
Counter : 316 Pageviews.

0 comment
วิธีคิดเพื่อชีวิตเป็นบวก
เคยไหมเครียดกับปัญหา จนรู้สึกบั่นทอนกำลังใจที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ? แต่!! รู้หรือไม่ การนำหลัก Positive Thinking มาใช้ ช่วยให้เราผ่านพ้นสถานการณ์ที่คิดว่าย่ำแย่ไปได้ เพราะความมหัศจรรย์ของการคิดบวก นอกจากจะช่วยให้ไม่กดดันตัวเองแล้ว ยังเป็นการสร้างกำลังใจให้พร้อมลุยกับปัญหาได้อย่างมั่นใจ ‘เกร็ดน่ารู้’ สัปดาห์นี้ มีวิธีคิดบวก เพื่อชีวิตที่เป็นบวกมาฝากกัน

1.สร้างความ เชื่อมั่น ว่า ‘เราต้องทำได้’ ไม่ว่าจะเจอปัญหาใด ๆ ให้มองด้านบวกไว้ แม้จะคิดว่าจัดการไม่ได้ทั้งหมด แต่เชื่อเถอะว่าคุณสามารถทำให้สถานการณ์ดีขึ้นได้ หลักสำคัญคือการตั้งสติศึกษาปัญหา แล้วค่อย ๆ แก้ไข ขอเพียงหลีกเลี่ยงความคิดที่ว่า ‘ฉันทำไม่ได้แน่ ๆ’

2.สร้าง จินตนาการ ช่วยให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะต่อสู้กับอุปสรรค และอยากทำกิจกรรมอื่น ๆ ต่อไป รวมไปถึงการมีทัศนคติที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น มองทุกอย่างด้วยความเป็นกลาง เพื่อชีวิตที่สมดุล

3.คิดถึงความสำเร็จ แม้ทางไปสู่จุดหมายจะพบอุปสรรคบ้างก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา ที่สำคัญไม่ควรมองตัวเองว่าไม่มีความสามารถ และ ‘อย่านำตัวเองไปเปรียบกับใคร’ เพราะเราไม่ใช่ใคร และใครก็ไม่ใช่เรา แต่ละคนมีทักษะต่างกัน แค่ตั้งใจทำให้ดีที่สุดก็พอแล้ว

4.คิดมี เหตุผล เมื่อเกิดข้อผิดพลาดในเรื่องต่าง ๆ อย่าโทษตัวเองทุกเรื่อง และอย่าคิดว่าครั้งต่อ ๆ ไปก็จะผิดพลาดตลอด ควรใช้หลักการคิดอย่างมีเหตุผล เพราะหลายคนมักประเมินมาตรฐานตนเองต่ำเกินไป จึงยิ่งบั่นทอนความมั่นใจให้ลดน้อยลง

แนวทาง ‘คิดบวก’ เพียงเท่านี้ นอกจากจะช่วยโบกมือบ๊าย บาย อุปสรรคทางความคิด ‘กลัว’ แล้ว ยังเป็นการเพิ่มคุณค่าให้ชีวิตเป็นบวกได้ง่าย ๆ ด้วย.

ที่มา //variety.teenee.com/foodforbrain/13279.html



Create Date : 05 กรกฎาคม 2553
Last Update : 5 กรกฎาคม 2553 13:46:02 น.
Counter : 416 Pageviews.

4 comment
1  2  3  4  5  

naizeezaa
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]