4 | | | ตำนานอาถรรพ์ อาชญากรโลกไม่ลืม ฆาตกรรมบันลือโลก ประวัติศาสตร์ทั่วมุมโลก | | |

Group Blog
 
All blogs
 
ฮายริช พริทซึล แบล์ : ผู้ครอบครองทุกน่านฟ้า


ฮายริช “พริทซึล” แบล์ เกิดที่เมืองซอมเมอร์เฟลด์ ใกล้ไลป์ซิก เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1913 (พ.ศ. 2456) ชีวิตวัยเด็กของเขาไม่มีอะไรแตกต่างจากเด็กชายคนอื่น ๆ แต่เมื่อเขาเลือกที่จะเข้าเรียนในโรงเรียนการบินในปี ค.ศ. 1935 (พ.ศ. 2478) ชีวิตของแบล์ก็เปลี่ยนแปลงไป 

เมื่อจบการศึกษาจากโรงเรียนการบิน แบล์ได้เข้ารับราชการทหารในตำแหน่งนักบินสำรองของลุฟท์วาฟเฟ่และได้รับมอบหมายให้เป็นนักบินขนส่งโดยบินกับเครื่องบินยุงเคอร์ Ju 52/3m ต่อมาในปี ค.ศ. 1939 (พ.ศ. 2482) เขาเข้ารับการฝึกบินเปลี่ยนแบบเพื่อเป็นนักบินขับไล่กับสุดยอดเครื่องบินขับไล่ของเยอรมันในยุคนั้นคือแมสเซอร์ชมิด Bf 109E หลังจบการฝึก ลุฟท์วาฟเฟ่เลื่อนยศเขาเป็นสิบเอกและมีคำสั่งให้เขาย้ายไปเป็นนักบินขับไล่สำรองของฝูงบิน 1 กองบิน 51 (Jagdgeschwader 51: JG 51) [1] 

สิบเอกแบล์ได้เข้าสู่สมรภูมิตั้งแต่แรกที่สงครามโลกครั้งที่สองเกิดขึ้นในยุโรป ในการรบเหนือน่านฟ้าเมืองวีเซ่นเบอร์กในเยอรมนี แบล์เริ่มต้นสถิติของเขาด้วยการส่งเคอร์ติส ฮอว์ค 75A แห่งฝูงบิน CG I/4 ของกองทัพอากาศฝรั่งเศส (French Armee de L’Air) ตกเป็นเครื่องแรกในวันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 1939 และในระหว่างการบุกฝรั่งเศส เขายิงเครื่องบินข้าศึกตกอีก 7 เครื่อง เป็นเครื่องบินของกองทัพอากาศฝรั่งเศส 3 เครื่อง และเครื่องบินของกองบินหลวงของอังกฤษ (Royal Air force) 4 เครื่อง ต่อมา ในระหว่างการโจมตีเกาะอังกฤษตามยุทธการสิงโตทะเล เขาเป็นนักบินขับไล่สำรองที่มีสถิติยิงเครื่องบินข้าศึกตกจำนวน ๑๗ เครื่อง ซึ่งนับว่ามากที่สุดในบรรดานักบินขับไล่สำรองด้วยกัน แต่ก็มิใช่ว่าเขาจะประสบความสำเร็จทุกเที่ยวบิน ในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1940 (พ.ศ. 2483) แบล์ถูกนักบินของกองบินหลวงอังกฤษยิงร่วงลงจากท้องฟ้าเหนือช่องแคบอังกฤษ และเป็นครั้งแรกที่เขามีประสบการณ์ในการว่ายน้ำทะเลอันหนาวเหน็บของช่องแคบอังกฤษ อย่างไรก็ดี เขาสามารถกลับมาทำการรบได้อีกครั้งและด้วยความสุขุมรอบคอบมากขึ้นกว่าเดิม


ในวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 1941 (พ.ศ. 2484) เขาสามารถจัดการเครื่องบินข้าศึกได้ครบ ๒๗ เครื่อง และได้เลื่อนยศเป็นเรืออากาศตรีและได้รับเหรียญกางเขนเหล็ก (Ritterkreuz) เป็นเครื่องการันตีความสามารถ หลังจากนั้น เขาได้รับมอบหมายให้เป็นผู้บังคับฝูงบินที่ ๔ แห่งกองบิน ๕๑ นอกจากนี้ ลุฟท์วาฟเฟ่มีคำสั่งให้ฝูงบินของเขาไปประจำแนวรบด้านตะวันออกเพื่อร่วมการรุกด้านตะวันออกโดยให้ไปขึ้นตรงต่อกองบิน 53 (JG 53) “หนึ่งโพดำ” (Pik As) และเขาได้เปลี่ยนมาบินกับแมสเซอร์ชมิด Bf 109F ที่แนวรบด้านตะวันออกนี้เอง จากการประจำการที่แนวรบด้านรัสเซียนี้เองที่ทำให้แบล์สามารถเพิ่มสถิติการรบของเขาได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากคู่ต่อสู้มีฝีมือและเครื่องบินที่ด้อยกว่าแนวรบด้านตะวันตกมาก โดยในช่วงเดือนเศษระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม ค.ศ. 1941 แบล์สามารถยิงเครื่องบินรัสเซียตกมากมายถึง 33 ลำ จนทำให้สถิติของเขาเพิ่มเป็น 60 ลำ และได้รับใบโอ๊ค (Eichenlaub) มาประดับกางเขนเหล็กของเขาในวันที่ ๑๔ สิงหาคม ค.ศ. 1941 หลังจากนั้น ในวันที่ 30 สิงหาคม เขาแสดงให้พวกรัสเซียเห็นว่าเขาเป็นนักบินมีระดับอย่างแท้จริงเมื่อจัดการส่งเครื่องบินรัสเซีย 6 เครื่องลงไปกองเป็นเศษเหล็กอยู่ที่พื้นดินได้ภายในวันเดียว


ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1942 (พ.ศ. 2485) หลังจากเขาเพิ่มสถิติการยิงเครื่องบินข้าศึกตกรวมเป็น 90 เครื่อง แบล์ได้รับดาบ (Schwertern) มาประดับกางเขนเหล็กประดับใบโอ๊คของเขา พร้อมกันนั้นลุฟท์วาฟเฟ่มีคำสั่งเลื่อนยศเขาเป็นเรืออากาศเอก เมื่อสถานการณ์การสู้รบทางตอนใต้ของแนวรบรัสซีย-เยอรมัน บริเวณแหลมเคิชร์ (Kerch Peninsular) ทางตอนใต้ของยูเครนด้านฝั่งตะวันออกของแหลมไครเมียรุนแรงขึ้น ฝ่ายยุทธการเห็นว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เยอรมันต้องยึดครองน่านฟ้าแถบนั้นไว้ให้ได้เพื่อให้การปฏิบัติการภาคพื้นดินประสบความสำเร็จ ลุฟท์วาฟเฟ่จึงมีคำสั่งให้แบล์ซึ่งขณะนั้นทำสถิติยิงเครื่องบินข้าศึกตก 91 เครื่องย้ายมาทำหน้าที่ผู้บังคับฝูงบิน 1 กองบิน 77 (JG 77) “หนึ่งโพแดง” (Herz As) ในวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1942 และมีคำสั่งให้ยอดนักบินรบอีกคนหนึ่งคือเรืออากาศเอก กอร์กอน โกลลอบ (Gordon Gollob) ซึ่งขณะนั้นทำสถิติยิงเครื่องบินข้าศึกตก 86 เครื่อง มาทำหน้าที่ผู้บังคับฝูงบิน 2 ด้วย คำสั่งนี้ทำให้นักบินฝูงบิน 1 ละฝูงบิน 2 พิศวงงงงวยเป็นอย่างมากว่าปฏิบัติการยึดครองน่านฟ้าเคิชร์-ทามาน (Kerch-Taman) นี้จะประสบความสำเร็จได้อย่างไรในเมื่อผู้บังคับฝูงบินทั้งสองคนนี้มีบุคลิกที่แตกต่างกันมาก และไม่น่าจะทำงานร่วมกันได้ โดยผู้บังคับฝูงแบล์เป็นคนไม่ถือเนื้อถือตัว ไม่เคร่งครัดในระเบียบวินัยมากนัก และมีอารมณ์สุนทรีซึ่งเป็นลักษณะของคนไลป์ซิก แบล์ยอมปฏิเสธที่จะออกปฏิบัติการบินทันทีที่เขารู้สึกว่าเขาไม่อยากบิน ขณะที่ผู้บังคับฝูงโกลลอบซึ่งมีเชื้อสายปรัสเซียยึดถือในระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด แต่ถึงกระนั้นก็ตาม แบล์และโกลลอบได้ใช้ความเหมือนกันในการเป็นเพชฌฆาตเวหาบนพื้นฐานของความแตกต่างด้านบุคลิกในการยึดครองน่านฟ้าเคิชร์-ทามาน ไว้ได้สำเร็จตามแผนยุทธการ แม้ว่าทั้งสองคนจะไม่ค่อยกินเส้นกันเท่าใดนัก


ในวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 1942 แบล์ยิงเครื่องบิน Ishak ตกลงไปถึง 5 ลำ และทำให้สถิติของเขาเพิ่มเป็น 103 เครื่อง ขณะที่สถิติรวมของกองบิน 77 หนึ่งโพแดง เพิ่มเป็น 2,011 เครื่อง ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1942 ฝูงบิน 1 กองบิน 77 ได้รับคำสั่งให้มาปฏิบัติการในบริเวณเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งนับว่าเป็นน่านฟ้าที่สี่ของแบล์ (นับจากน่านฟ้ายุโรป น่านฟ้าอังกฤษ และน่านฟ้ารัสเซีย) ที่นี่แบล์ต้องกลับมาพบกับคู่รักคู่แค้นเก่าคือเฮอร์ริเคนและสปิตไฟร์และนักบินอังกฤษและอเมริกันที่เชี่ยวชาญการรบมากกว่านักบินรัสเซียอีกครั้งหนึ่ง แต่เมื่อมาถึงเขาก็แสดงตัวให้คู่ต่อสู้ได้รับรู้ถึงการมาของผู้ครองฟ้าโดยจัดการเฮอร์ริเคนและสปิตไฟร์ร่วงลงไป 15 ลำ ก่อนที่จะได้รับคำสั่งให้เข้าไปปฏิบัติการเหนือน่านฟ้าที่ห้า คือ น่านฟ้าแอฟริกาเหนือ โดยฝูงบินของแบล์ต้องเขาไปตั้งฐานปฏิบัติการในภูมิประเทศที่เป็นทะเลทรายอันแสนจะร้อนอบอ้าวของตูนิเซียซึ่งต่างจากภูมิประเทศและภูมิอากาศของรัสเซียที่เขาเพิ่งจากมาไม่นานอย่างสิ้นเชิง ที่น่านฟ้าแอฟริกาเหนือนี้ แบล์ยังคงยอดเยี่ยมเหมือนเช่นเดิม แต่เนื่องจากปฏิบัติการเหนือน่านฟ้าแอฟริกาเหนือชุกชุมมากเพราะฝ่ายสัมพันธมิตรต้องการยึดให้ได้เพื่อตัดการครอบครองแหล่งน้ำมันของเยอรมัน ประกอบกับสภาพภูมิอากาศที่ร้อนอบอ้าวมาก ทำให้แบล์มีความเครียดสูงจนไม่สามารถปฏิบัติการได้ ลุฟท์วาฟเฟ่จึงเรียกตัวเขากลับมาพักเพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจที่เยอรมนี แต่ถึงอย่างไรก็ตาม แบล์ทิ้งสถิติที่น่าจดจำไว้ที่แอฟริกาเหนือ โดยเขาสามารถจัดการเครื่องบินข้าศึกลงได้ถึง 91 เครื่องด้วยกัน (ลำดับที่ 118-179) 


ในฤดูใบไม้ผลิของปี ค.ศ. 1944 (พ.ศ. 2478) เมื่อได้พักผ่อนเต็มที่แล้ว ลุฟท์วาฟเฟ่ได้แต่งตั้งแบล์เป็นผู้บังคับฝูงบิน 2 กองบิน 1 “Oesau” ซึ่งเป็นฝูงบินป้องกันน่านฟ้าของประเทศบ้านเกิด และเลื่อนยศเขาเป็นนาวาอากาศตรี ที่นี่เขาต้องเปลี่ยนแบบเครื่องบินมาใช้เครื่องบินโฟลเก้ โวฟล์ (FW) 190A-7 ที่มีความสามารถในการสกัดกั้นสูงมาก และเขาสามารถเพิ่มสถิติยิงเครื่องบินข้าศึกตกจำนวน 200 เครื่อง ในวันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 1944 และวันในที่ 29 เมษายน แบล์เปลี่ยนมาใช้เครื่องบินโฟลเก้ โวฟล์ (FW) 190A-7 WNr 431007 ที่นักบินในกองบิน 1 รู้จักในนาม “เรด 13” (Red 13) และเขาจัดการ P-47 ทันเดอร์โบลต์ และเครื่องบินทิ้งระเบิด B-24 Liberator ได้เป็นลำดับที่ 201 และ 202 ในเช้าวันนั้นเอง ในเดือนมิถุนายน เขาได้รับการเลื่อนยศเป็นนาวาอากาศโทและลุฟท์วาฟเฟ่ย้ายเขาไปทำงานกับเครื่องบินขับไล่ที่เขาถนัดมากกว่าในกองบิน 3 “Udet” ต้นปี ค.ศ. 1945 (พ.ศ. 2488) ลุฟท์วาฟเฟ่ได้แต่งตั้งแบล์เป็นผู้บังคับการแผนก 3 กองโรงเรียนการบินขับไล่ไอพ่นที่เลชเฟลด์ เพื่อฝึกบินกับเครื่องบินขับไล่แบบแรกของโลก แมสเซอร์ชมิด Me ๒๖๒A และในเดือนมีนาคมปีเดียวกัน ลุฟท์วาฟเฟ่ได้ยกฐานะของแผนก 3 กองโรงเรียนการบินนี้เป็นฝูงบินขับไล่ไอพ่น แบล์สามารถใช้พาหนะใหม่ของเขาขิงเครื่องบินข้าศึกตกเป็นเครื่องแรกเมื่อวันที่ 19 มีนาคม ค.ศ. 1945 เหยื่อรายแรกของเขาในวันนั้นเป็นสุดยอดเครื่องบินขับไล่เครื่องยนต์ลูกสูบของอเมริกา P-51 มัสแตงค์ จากนั้นแบล์สามารถจัดการกับเครื่องบินข้าศึกได้อีก 12 เครื่อง ก่อนที่จะได้รับคำสั่งให้มาปฏิบัติหน้าที่ในฝูงบินที่ 3 กองบินขับไล่ไอพ่นที่ 44 ภายใต้บังคับบัญชาของเพื่อเก่าของเขา พลอากาศตรี อด๊อฟ กัลลานด์ ซึ่งกองบินนี้รวบรวมยอดนักบินรบของเยอรมันไว้ด้วยกัน เมื่อกัลลานด์ได้รับบาดเจ็บจากการรบ ลุฟท์วาฟเฟ่ได้เลื่อนยศเขาเป็นนาวาอากาศเอกและมีคำสั่งให้แบล์ดำรงตำแหน่งผู้บังคับฝูงบินนี้แทน ณ ฝูงบินที่ 3 กองบินขับไล่ไอพ่นที่ 44 นี้เอง แบล์จัดการ P-47 ทันเดอร์โบลต์ ได้อีก 3 เครื่อง เครื่องสุดท้ายถูกเขายิงตกในวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1945 หลังจากนั้นสงครามโลกครั้งที่สองได้ยุติลง


นาวาอากาศเอก ฮายริช พริทซึล แบล์ สร้างสถิติยิงเครื่องบินข้าศึกตก จำนวน 221 รั้งลำดับที่ 8 ของยอดนักบินแห่งลุฟท์วาฟเฟ่และของโลก และเป็นนักบินขับไล่ไอพ่นที่ยิงเครื่องบินข้าศึกตกมากที่สุดเป็นลำดับที่สองด้วยจำนวน 16 ลำ นอกจากนี้ แบล์ยังเป็นเจ้าของสถิติเข้าร่วมทำการบินในทุกสมรภูมิของเยอรมันทั้งน่านฟ้ายุโรป อังกฤษ รัสเซีย เมดิเตอร์เรเนียน แอฟริกา และแม้แต่น่านฟ้าเยอรมันเอง รวมทั้งสถิติการบินกับยอดเครื่องบินขับไล่และสกัดกั้นทุกแบบของเยอรมัน เขาถูกยิงตกรวม 18 ครั้ง แต่สามารถรอดชีวิตมาได้ทุกครั้งจนกระทั่งเลิกสงคราม แบล์เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินเล็กตกที่เมืองบราวชไวน์ เยอรมนี ในวันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 1957 (พ.ศ. 2500) รวมอายุ 44 ปี


เชิงอรรถ

[1]กองบินนี้ต่อมาในวันที่ 24 พฤศจิกายน ค.ศ. 1941 (พ.ศ. 2484) ได้รับการขนานนามว่ากองบินโมลเดอร์ (Mölders) เพื่อเป็นเกียรติแก่นายพลอากาศตรีเวอร์เนอร์ โมลเดอร์ (Werner Mölders) ยอดนักบินอีกคนหนึ่งของเยอรมันผู้ทำสถิติยิงเครื่องบินข้าศึกตก 101 เครื่อง และเสียชีวิตในการสู้รบทางอากาศ

ที่มาข้อมูล : คุณปกรณ์ นิลประพันธ์




Create Date : 20 มิถุนายน 2557
Last Update : 8 กรกฎาคม 2557 14:12:48 น. 0 comments
Counter : 1622 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

hathairat2011
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]










Google

ขอบคุณที่แวะมา
อย่าลืมคอมเม้นท์นะจ้ะ

Flag Counter

ส่งอีเมล์

Facebook ของ Hathairat



New Comments
Friends' blogs
[Add hathairat2011's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.