|
|
|
|
|
|
ฝึกลูกน้อยให้มีระเบียบวินัย
ลูกน้อยให้มีระเบียบวินัย หน่วยจิตเวชเด็ก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ ระเบียบวินัย คืออะไร ระเบียบวินัย เป็นโครงสร้างที่ผู้ใหญ่กำหนดขึ้นเพื่อให้เด็กได้เรียนรู้ว่าสิ่งใดที่เขาสามารถทำได้ อีกทั้งยังเป็นพื้นฐานในการพัฒนาการควบคุมตนเองภายใต้เงื่อนไขที่จะเลือกแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสม และเป็นที่ยอมรับของผู้อื่นในสังคม ซึ่งจะส่งผลให้เด็กสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
ระเบียบวินัยสำคัญจริงหรือ การที่เราจะอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ต้องประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่าง และระเบียบวินัยก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญ เพราะถ้าหากเราปลูกฝังให้เด็กมีระเบียบวินัยแล้ว เด็กย่อมเรียนรู้ที่จะเคารพในสิทธิของผู้อื่น ในโลกของความเป็นจริงมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่จำเป็นต้องอธิบาย แต่เด็กก็สามารถเรียนรู้ได้จากการกระทำของผู้ใหญ่และสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองว่าสิ่งใดที่ทำลงไปแล้วผู้อื่นจะให้การยอมรับ และเข้าใจได้ในทันทีว่าควรจะปฏิบัติตามหรือไม่ เช่นคำว่า "อย่า" ทำสิ่งนี้ไม่ดี เราะเคยได้รับคำห้ามจากผู้ใหญ่เกี่ยวกับอันตรายนั้น ๆ มาก่อน นอกจากนี้ยังเรียนรู้ว่าหากดื้อที่จะทำสิ่งนั้น ๆ ต่อไปก็อาจถูกลงโทษ เด็กส่วนใหญ่ต้องการให้ผู้ใหญ่ควบคุมเขา แต่ไม่ใช่ด้วยการข่มขู่ หรือใช้ความรุนแรง เพราะเด็กอาจจะไม่ให้ความร่วมมือ และเสียสัมพันธภาพที่ดีต่อกันอีกด้วย
ประโยชน์จากการฝึกวินัย 1. เด็กสามารถแสดงออกภายในขอบเขตที่เหมาะสม 2. เป็นการเรียนรู้สิทธิ และความเป็นส่วนตัวทั้งของตนเองและผู้อื่น 3. เรียนรู้ที่จะรับผิดชอบหน้าที่ที่ตนได้รับ 4. สามารถควบคุมตนเองได้ดี
ทำอย่างไรเจ้าตัวน้อยจึงจะให้ความร่วมมือในการฝึก 1. ควรมีการสื่อสารกับลูกให้ชัดเจน โดยใช้คำพูดที่ตรงไปตรงมาเกี่ยวกับกฎระเบียบของบ้าน ซึ่งสมาชิกในบ้านจะต้องร่วมกันปฏิบัติโดยปราศจากข้อโต้แย้ง เช่น "ลูกทุกคนจะต้องมาพร้อมกันที่โต๊ะกินข้าวตอน 6 โมงเย็น" "เด็ก ๆ ไม่ควรเข้านอนเกิน 3 ทุ่ม" เป็นต้น 2. เรียนรู้ถึงขอบเขตของตนเอง เพื่อให้เรียนรู้ว่าสิ่งใดสามารถทำได้และทำไม่ได้ เช่น ลูกโกรธได้ แต่จะตีน้องไม่ได้ อาจตีหมอนหรืตุ๊กตาแทน" เป็นต้น 3. รู้จักผ่อนคลายความเครียด มีประโยชน์ในการคิดหาทางออกที่เหมาะสม เช่น เมื่อโกรธ ก็ควรแยกให้อยู่คนเดียวเงียบ ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ 4. ฝึกให้ทบทวนการกระทำของตนเอง โดยเขียนบันทึกลงสมุดว่าในแต่ละวันทำอะไรบ้างเพื่อให้ติดเป็นนิสัยจนเกิดเป็นทักษะ 5. ฝึกให้ใช้การกระทำแทนคำพูดอย่างเดียว ด้วยการสัมผัสเพื่อกำหนดพฤติกรรม เช่น "ลูกไม่มีสิทธิไปหยิบอาหารจากจานของผู้อื่น แต่ลูกสามารถหยิบจากจานลูกได้เท่านั้น" พร้อมทั้งดึงมือเด็กกลับมายังจานของตนเอง 6. ฝึกให้รู้จักการการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง โดยผู้ปกครองอาจเป็นผู้สมมติสถานการณ์ต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่อให้เด็กรู้จักวิธีคิดหาหนทางแก้ไขปัญหาได้ทันทีเมื่อเกิดปัญหาขึ้นจริง 7. ฝึกให้รู้จักทำความดี โดยการให้รางวัลเมื่อเด็กทำสิ่งที่ดี แสดงความชื่นชมทั้งด้วยวาจา และภาษากาย เช่น กอด หอมแก้ม พูดชมเชย เป็นต้น 8. ฝึกให้มีการตกลงร่วมกันเป็นลายลักษณ์อักษร
เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในกรณีที่เด็กสามารถทำได้ตามข้อตกลงเด็กมีสิทธิได้เลือกทำในสิ่งที่ชอบ การฝึกระเบียบวินัยจะได้ผลดีต้องได้รับการฝึกอย่างสม่ำเสมอ ผู้ปกครองต้องมีความเด็ดขาดในการปฏิบัติตนเพื่อรักษากฎระเบียบ ทั้งน้ำเสียง ท่าทาง และสีหน้าจะต้องสื่อได้อย่างชัดเจนว่าการกระทำนั้นไม่เป็นที่ยอมรับของผู้ใหญ่ นอกจากนี้ควรปฏิบัติต่อเด็กด้วยการกระทำมากกว่าที่จะใช้คำพูดเพียงอย่างเดียว และต้องไม่ลืมว่าเด็กแต่ละวัยมีความสามารถในการรับคำสั่งหรือข้อปฏิบัติแตกต่างกันออกไป ดังนั้นผู้ปกครองควรคำนึงถึงความสามารถในการรับรู้ประกอบการออกกฎเกณฑ์ด้วย
เด็กทุกคนต้องการการฝึกพัฒนาทักษะและวุฒิภาวะด้านอารมณ์ เพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง สามารถควบคุมอารมณ์ตามสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม รู้ว่าสิ่งใดควรทำไม่ควรทำ สามารถยอมรับข้อผิดพลาดได้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ พ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องวางขอบเขตด้วยความมั่นคง สม่ำเสมอ และเป็นแบบอย่างที่ดี เพราะเด็กสามารถซึมซับพฤติกรรม และเลียนแบบบุคลิกของพ่อแม่มาเป็นของตนเองได้ในเวลาต่อมา ฉะนั้น บทบาทของพ่อแม่จึงมีอิทธิพลอย่างสูงต่อการพัฒนาการของลูก ในการก้าวไปสู่การเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์ทั้งกายและใจ
ขอบคุณข้อมูลจาก //www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=61
Create Date : 20 มกราคม 2552 | | |
Last Update : 20 มกราคม 2552 12:40:47 น. |
Counter : 682 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ฝึกสมองไบรท์ด้วย 9 เทคนิค
ฝึกสมองไบรท์ด้วย 9 เทคนิค
ฝึกสมองไบรท์ด้วย 9 เทคนิค โดย วนิษา เรซ ผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
"ผู้หญิงสมัยนี้อยากสวย ฉลาด และสุขภาพดี ทุกคนจึงพากันดูแลรูปร่างด้วยการออกกำลังกาย เคร่งครัดเรื่องอาหารการกิน แต่ไม่เคยมีใครสนใจว่าจะดูแลสมองอย่างไรให้มีสุขภาพดี ทั้งที่สมองเป็นอวัยวะที่ตัดสินใจทุกเรื่องของชีวิต
เราจึงควรเอกเซอร์ไซส์สมองให้ไบรท์ด้วยเทคนิคง่ายๆ ดังต่อไปนี้
1. จิบน้ำบ่อย ๆ สมองประกอบด้วยน้ำ 85 เปอร์เซ็นต์ เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มี น้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เซลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ
2. กินไขมันดี คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้ กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่างปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดีที่ทำให้เซลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น
3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถ จินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าไม่ได้ทำตอนเช้าให้หัดทำตอนก่อนนอนทุกวัน)
4. ใส่ความตั้งใจ การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะ ปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน
5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอนเดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมา เท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ
6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา ฯลฯ เพราะการ เรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอนเดอร์ฟินและโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเองเป็นการลดภาระของสมอง
8. เขียนบันทึก Graceful Journal ทุกวัน เขียนขอบคุณสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข ฯลฯ เพราะการเขียนเรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มี ความคิดสร้างสรรค์
9. ฝึกหายใจลึก ๆ สมองใช้ออกซิเจน 20-25 เปอร์เซ็นต์ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์
การมีสมองที่ดีก็เหมือนกับทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแล และฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม"
ลองมาฝึกเป็นคนสมองไบรท์กันนะคะ
Create Date : 29 มีนาคม 2551 | | |
Last Update : 29 มีนาคม 2551 1:08:20 น. |
Counter : 509 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|