a woman of strength has faith that it is in the journey...that she will become strong...
Group Blog
 
All blogs
 

รุ้งทอฝัน#5 เรื่อง โดย ฝากรักฟากฟ้า




“ว่าไงพ่อเลี้ยงปราชญ์ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ” น้ำเสียงกันเองทักทายมาทันทีที่ทั้งสามนั่งลงที่โต๊ะอาหาร
“วันนี้ออกมากินข้าวที่นี่ได้ โอ๊ะ! สาวน้อยของลุงก้อมาด้วย”
เขาหันไปทักทายเด็กน้อยพลางมองมาที่ทอรุ้งแวบหนึ่ง ก่อนจะมองไปทางอื่นอย่างมีมารยาท
“มีอะไรอร่อยๆ เอาออกมาเสิร์ฟเลย หิวว่ะ” ปราชญ์สั่งโดยไม่สนใจเมนูที่เด็กบริการในร้านส่งมาให้
“คร๊าบบบ พ่อเลี้ยง เสิร์ฟไวน์ก่อนก้อแล้วกัน” ผู้เป็นเพื่อนสรุปก่อนที่จะให้เด็กบริกรจดชื่อไวน์ลงในใบรายการ
"นึกยังไงออกสวนมากินข้าวเวียง"
" อ่อ พอดีได้ลูกหมามาตัวนึง เลยต้องมาซื้อของแล้วก้ออาหารเม็ดสำหรับเลี้ยงมันน่ะ"
ผู้เป็นเพื่อนรับแก้วไวน์จากเด็กบริกร มาวางเรียง ไม่วายเหลือบมองดูอีกคนที่กำลังง่วนอยู่กับเด็กน้อย เพิ่งเคยเห็นหน้า เขา เดาไม่ถูกว่าควรจะทักว่าอย่างไร พอดีปราชญ์เอ่ยขึ้นอย่างรู้ทัน
“ลืมแนะนำไป นี่ครูทอรุ้ง เป็นครูสอนน้องฝันโดยเฉพาะเลย”
ทอรุ้งเงยหน้าขึ้นมองพร้อมรอยยิ้มที่ปราชญ์อยากจะบอกว่าไม่ต้องยิ้มทักทายแบบนี้ก็ได้
“ครูรุ้ง นี่บดินทร์ เพื่อนผม เป็นเจ้าของร้านอาหารที่นี่”
“หวัดดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” บดินทร์เอ่ยทักทายก่อน
ทอรุ้งกระพุ่มมือไหว้
“สวัสดีค่ะ”
ด้วยกิริยานี่พลอยทำให้น้องฝันยกมือขึ้นมือไหว้ตาม
“จ้า”
หนุ่มใหญ่ทั้งสองหัวเราะอย่างเอ็นดู
“โอ้โห เก่งจังเลย ทักลุงก้อเป็นแล้ว”
“ตั้งแต่มีครูรุ้งมาดูแล น้องฝันรู้จักความขึ้นเยอะล่ะ”
“ดีใจด้วยจริงๆ พูดชัดขึ้นเยอะแล้วมั้ง เรียกลุงดินได้ยังครับ”
ประโยคหลังผู้พูดโน้มตัวลงไปพูดด้วยอย่างอ่อนโยน น้องฝันยิ้มอายๆ เบียดตัวไปแอบอยู่ข้างคุณครู
“เรียกลุงดินให้ชื่นใจหน่อยเถ๊อะ”
“ลุงลิง!” น้องฝันเอ่ยเบาๆ ผู้เป็นลุงหัวเราะชอบใจลั่นร้าน
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ ชัดมากเลยจ้าน้องฝัน”
ปราชญ์เองก็อดหัวเราะไม่ได้
“อ่ะ ตามสบายก่อนนะ เดี๋ยวจะมาคุยด้วย”
บดินทร์ ลุกจากโต๊ะไป สักพักอาหารชุดแรกก็ถูกยกมาวาง เด็กบริกรเสิร์ฟไวน์ให้เขา อย่างรู้หน้าที่ เป็นเพราะเขามาที่บ่อยๆ ทั้งบดินทร์ก็ยังเป็นเพื่อนที่ สนิทคุ้นเคยกันเป็นส่วนตัว ทอรุ้งปฎิเสธไวน์ขอเพียงน้ำเปล่า
“ท่าดื่มไวน์ด้วย เดี๋ยวน้องฝันจะต้องขอดื่มด้วยแน่ค่ะ”
เหตุผลของเธอทำให้เขานึกถึงครั้งสุดท้ายที่พาน้องฝันมานั่งที่ร้านอาหาร นี้ คราวนั้นแทบจะกลายเป็นชนวนที่ทำให้หญิงสาวอีกคนหมางใจกับเขา

“อ๊ะ! อ๊ะ!”
มือน้อยๆ ปัดป่ายมาสะกิดเมื่อเห็นแก้วไวน์ถูกเลื่อนมาวางบนโต๊ะ
“ไม่ได้ลูก ดื่มไม่ได้ครับ”
หากเด็กน้อยไม่ฟังเสียงพยายามจะลุกขึ้นยืนบนเก้าอี้ เอื้อมคว้าให้ได้ จน ปราชญ์ต้องย้ายไปวางให้ห่างมือ สายตาอีกคู่ที่มองมาบอกความรู้สึกอย่าง หนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกอึดอัด
“น้องฝันนั่งดีๆ ครับ เดี๋ยวเก้าอี้จะล้ม”
“ซน จังเลยนะคะ พี่ปราชญ์” เสียงหวานๆ เอ่ยออกมาคล้ายจะเอ็นดู หากเขาสังเกตว่าเธอไม่เคยเอื้อมมาแตะน้องฝันสักนิด แม้แต่จะให้นั่งใกล้
“น้องฝันไม่ค่อยรู้อะไร ต้องขอโทษด้วยนะ”
“แหม ไม่เป็นไรค่ะ” เธอชม้ายตาตอบเขา “เด็กเล็กๆ ก้อแบบนี้ค่ะ”
ระหว่างที่พูดไปเขาก็ต้องคอยจับวางของจากมือลูกสาว ที่จะมักคว้าสิ่งนั้นสิ่งนี้ขึ้นมาดูอย่างสนใจ
“น้องฝันขาดแม่นะ เลยไม่มีใครคอยอบรม”
“ก้อหาเสียสิคะ พี่ปราชญ์”
เธอทอดเสียงพลางมองเขาอย่างเชิญชวน จนปราชญ์แทบจะคว้าตัวมากอดเสียให้ได้
“อ๊ะ!”
เสียง เล็กแหลมดังแทรกขึ้นราวกับเรียกจะเอาสิ่งใด ปราชญ์ต้องละสายตาจากหญิง สาว ยังไม่ทันจะหันมองเต็มตา ร่างน้อยที่กำลังจะยืนบนเก้าอี้ก็เซล้มลงจาก เก้าอี้ มือน้อยน้อยๆ เอื้อมได้ผ้าปูโต๊ะที่วางอาหารเต็ม พลันทุกอย่างก็ล้มกระจายพร้อมกับเสียง โครมประสานเสียงหวีดร้องอย่างตกใจ
“ตายแล้วๆๆ อะไรยังงี้นี่!!!”
กว่าปราชญ์จะเข้าใจก็มารู้ตัวเมื่อเห็นภาพโต๊ะที่ล้มคว่ำ จานชามอาหารบางใบแตก เศษอาหารหกเลอะเทอะไปทั่ว
เขาอุ้มลูกสาวที่กำลังตกใจ ร้องไห้จ้ากอดคอเขาแน่น
“ไม่เป็นไรลูก โอ๋ๆๆๆ อย่าร้องนะ”
ปราชญ์ปลอบโยนลูกสาวเบาๆ
“พี่ปราชญ์”
เสียงเรียกนั้นทำให้เขานึกขึ้นได้จึงเหลียวไป ชุดกระโปรงสวยเก๋ไก๋สีชมพู ต้องเปรอะด้วยน้ำจิ้ม น้ำปลา เธอกัดริมฝีปากแน่น บ่งบอกถึงความพยายามที่ จะไม่โกรธ
“พี่ขอโทษแทนน้องฝันครับ คุณส้ม”
เขาขอโทษขอโพยขณะที่บดินทร์รีบบอกให้เด็กบริกรมาเก็บข้าวของและทำความสะอาด
“น้องฝันไม่ได้ตั้งใจ โทษด้วยว่ะ ดิน”
เขาหันไปพูดกับเพื่อนรัก
“เออๆ ไม่เป็นไร อุบัติเหตุ น้องฝันคงตกใจมากเลย” บดินทร์พูดอย่างไม่เอาความ
“แบบนี้ส้มจะกลับบ้านล่ะ”
“พี่จะไปส่งครับ”
“ไม่ เป็นไรค่ะ ส้มกลับเองได้” หญิงสาวพูดไม่มองหน้าเขาสักนิด “แต่คราวหลัง ท่าจะพาน้องฝันมาด้วยก้อบอกนะคะ ส้มจะได้ไม่มา!”

“ลุงลิงๆๆๆ” น้องฝันเรียก ‘ลุงลิง’ พลางปรบมืออย่างชอบใจ ปราชญ์ตื่นจากความคิดของตัวเอง
“อ้าว เพลงแรกนี้ ลุงลิงก้อขอมอบให้สาวน้อยสุดที่รักของลุงลิงนะครับ”
บดินทร์ที่นั่งอยู่หลังเปียโนขนาดเล็ก เอียงออกมาพูดกับแฟนเพลงตัวน้อยก่อนจะเล่นเพลงเปียโนของเด็กๆ มอบให้
มื้อนี้ช่างแตกต่างกับมื้อวันนั้นเหลือเกิน น้องฝันเรียนรู้จากการทำตามครู ทอรุ้ง เขาลอบสังเกตการที่เธอค่อยสอนลูกสาวไปอย่างใจเย็น เป็นธรรมชาติราว กับสอน...ลูกสาวของตนเอง... เขารู้สึกใจหายเมื่อมาคิดถึงผู้เป็นแม่ที่ไม่ มีโอกาสจะได้เลี้ยงดูสายเลือดของตน
“คุณปราชญ์คะ จะให้ตักข้าวรึยังคะ” ทอรุ้งถามขึ้นเบาๆ เมื่อเห็นว่าเขายังไม่ได้แตะต้องอาหารนอกจากจิบไวน์
“สักหน่อยก้อดีครับ” เขาเลื่อนจานข้าวตรงหน้าให้เธอ
"พอครูทัก เลยหิวแหละ”
ตั้งแต่ครูทอรุ้งมาเป็นครูพิเศษ ดูเหมือนครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาพาเธอออกมารับประทานอาหารนอกบ้าน
“ครูอิ่มรึยังล่ะครับ”
“อ่อ กินไปเรื่อยๆ กับน้องฝันค่ะ”
ตอนนี้ผู้ถูกกล่าวถึงกำลังยืนมองนักร้องด้วยความสนใจอยู่หน้าเวที
“อ้าว ไปยืนโน่นแล้ว ซนจัง”
เขาเปรยอย่างกังวลกลัวจะเกิดเหตุการณ์วุ่นวายอีก แต่คนเป็นครูกลับไม่แสดงท่าทีอะไรนอกจากหันไปมองยิ้มๆ
“น้องฝันชอบดนตรี ชอบเสียงเพลง แบบนี้ดีแล้วค่ะ” ครูทอรุ้งอธิบาย “ช่วย ให้น้องมีสมาธิ เรียนรู้ได้ง่าย เขาเรียกวิธีนี้ว่า ดนตรีบำบัดค่ะ”
ปราชญ์ทอดตามองดูผู้บรรยาย
“เหนื่อยมั๊ยครับ มาสอนน้องฝัน”
เธอยิ้ม
“ตอนแรกๆ ยอมรับค่ะว่าเหนื่อย แต่พอรู้จักน้องมากขึ้น ก้อไม่เหนื่อยค่ะ ค่อยๆ ปรับไปทีละน้อย”
“ผมว่าไม่น้อยนะ ช่วงแค่ไม่ถึงสองเดือนลูกสาวผมเปลี่ยนไปเยอะ”
“ค่ะ”
“ผมเองก้อไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ตอนนี้ต้องเข้าไปในสวนบ่อยขึ้น เราจะให้มีส้มนอกฤดูส่งเข้าตลาด”
“ค่ะ”
พอพูดถึงเรื่องงานที่เขาชอบ ทอรุ้งก็ทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี สลับกับการ แสดงความคิดเห็นเล็กๆ น้อยๆ และชวนเขารับประทานอาหารไปด้วย ซึ่งนอกจากสวนส้มแล้วเขายังเริ่ม ปลูกองุ่นอีกด้วย
“ครูเคยไปเที่ยวในสวนรึยังครับ”
“ยังค่ะ ไม่มีเวลาเลยค่ะ อยู่กับน้องฝันทั้งวัน”
“เดี๋ยววันไหนว่างๆ เราไปปิกนิกในสวนกันดีกว่า”
ปราชญ์ผนวกเธอเข้าไปในคำว่า ‘เรา’ หน้าตาเฉย
“ผมก้อไม่ได้พาน้องฝันเข้าไปเที่ยวสวนด้านในนานแหละ กลัวเรื่องสารเคมี กลิ่นมันแรง”
“ดีแล้วค่ะ น้องร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง”
“แต่ผมว่าลูก..น้องฝัน ดูดีขึ้นเยอะ เข้าใจอะไรมากขึ้นเพราะครูรุ้งเอาใจใส่แท้ๆ”
“ก้อไม่ใช่ทั้งหมดหรอกค่ะ” ทอรุ้งกล่าว “มาจากทุกคนที่ช่วยกัน แล้วก้อน้องฝัน”
หัน ไปมองทางลูกศิษย์ตัวน้อยซึ่งตอนนี้ขึ้นไปนั่งบนตัก ‘ลุงลิง’ เล่นเปียโนเสียแล้ว อาการกลัวคนแปลกหน้าลดน้อยลง หรืออาจเป็น เพราะหนูน้อยมีความสนใจด้านดนตรีก็อาจเป็นได้
“ครูคิดว่า น้องฝันจะเล่นดนตรีได้มั๊ยครับ”
“ได้สิคะ รุ้ง...เอ่อ ครู....” ทอรุ้งสะดุดคำพูดตนเอง
“เรียกว่า รุ้ง ก้อดีครับ เป็นกันเองดี”
ปราชญ์แก้เก้อให้เพราะเธอมักจะเว้นการเรียกชื่อตนเองเสมอเมื่อคุยกับเขา
“งั้นสักวันคงต้องเข็นเอาเปียโนหลังเก่าออกมาสอนลูกสาวดีกว่า”
เขาพูด ทอรุ้งมองด้วยความประหลาดใจไม่คิดว่า ผู้ชายหน้าตารุงรังแบบนี้จะเล่นเปียโนได้
“ผมเล่นเป็นครับ” เขาบอกยิ้มๆ ราวกับรู้ความหมายในสายตาคู่นั้น

ทันทีที่รถจอดนิ่งสนิท เด็กหญิงแสงจิ่งก้อวิ่งปราดออกมาจากเรือนเล็กด้าน หลังบ้านราวกับคอยฟังเสียงรถตลอดเวลาอยู่แล้ว
“เอาของ หลังรถลงให้หน่อย จิ่ง” ‘พ่อเลี้ยง’ สั่งเบาๆ ก่อนที่จะเดินอ้อมมาเปิด ประตูรถอีกด้านหนึ่ง ทอรุ้งค่อยอุ้มประคองร่างน้อยๆ แบบบางลงจากรถ น้องฝันหลับมาตลอดทางตั้งแต่ออกจากร้านอาหาร
“ส่งให้ผมอุ้มมั๊ยครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวน้องตื่น จะช่วยพาขึ้นไปที่ห้องค่ะ”
ปราชญ์จึงต้องเป็นคนหอบกระเป๋าของเธอไปแทน ป้าพรรณแม่บ้านร่างท้วมออกมาจาก เรือนพักด้วยใบหน้าที่ประแป้งลายพร้อย มาช่วยรับกระเป๋าถือของครูรุ้งจาก เขา
“เจ้าพูห์หลับไปแล้ว”
“ใครเหรอ”
“อ้าว ก้อลูกหมาที่คุณปราชญ์เอามาไง”
“เหรอ ชื่อ พู เหรอ ไม่ยักรู้”
“เจ้าตั้งหื้อล่ะ บ่ฮู้จะฮ้องมันจะใด” แสงจิ่งเป็นคนเฉลย
“อ่อ! นึกว่ามันเป็นคนบอก”
เขาพยักหน้าหงึกหงัก พลางจะขยับตามครูขึ้นไปที่ห้อง
“คุณปราชญ์ช่วยดูของให้จิ่งมันแยกก่อนดีกว่า”
ป้าพรรณบอกเรียบๆ
“เดี๋ยวป้าไปส่งครูรุ้งเอง”
ดังนั้นเมื่อทอรุ้งเดินกลับลงมาพร้อมป้าพรรณจึงเห็นผู้เป็นนายจ้างกำลังนั่ง อยู่กับตะกร้าหวายใบย่อมที่แสงจิ่งอุตส่าห์หามาสำหรับเป็นที่นอนของ ‘เจ้าพูห์’
“คงไม่เป็นภาระของครูรุ้งนะครับ”
ในเมื่อเขาตีขลุมลงมาแบบนี้ ทอรุ้งก้อไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร
“ค่ะ จะช่วยดูแลให้ได้ค่ะ”
“งั้นเอาไปที่บ้านพักของครูเลยดีกว่า”
ไม่พูดเปล่า ปราชญ์ลุกขึ้นคว้าตะกร้าหวายทันที
“จิ่ง แกช่วยหิ้วถุงของนี่ไปด้วยละกัน"
ป้าพรรณสั่งเด็กหญิงทันควัน ทอรุ้งได้แต่เดินตามเป็นขบวนไป





 

Create Date : 07 กันยายน 2551    
Last Update : 10 กันยายน 2551 21:14:11 น.
Counter : 148 Pageviews.  

รุ้งทอฝัน#4 เรื่อง โดย ฝากรักฟากฟ้า




เสียงเพลงเด็กๆ ดังเจื้อยแจ้วลอยมา ทำให้แสงจิ่งลูกสาวนางซอ ซึ่งเป็น เพื่อนเล่นและพี่เลี้ยงเด็ก ที่ปัจจุบันได้เลื่อนขึ้นเป็นผู้ช่วยครู รุ้ง ..ตำแหน่งที่เธอคิดขึ้นมาเอง... เธอรีบล้างจานกองใหญ่ให้เสร็จเรียบ ร้อย แล้วขออนุญาตนางซอขึ้นไปที่เรือนใหญ่ เธอรู้สึกรักครูรุ้งขึ้นทันที ที่ได้เห็น ตลอดเวลาสั้นๆ ครูรุ้งสามารถเข้าใจสำเนียงการพูดที่มีทั้งภาษา ไทยและไทยใหญ่ของเธอและแม่ได้พอสมควร ที่สนุกก็คือเวลาที่ครูรุ้งสอน หนังสือน้องฝัน ซึ่งแสงจิ่งมักถือโอกาสมานั่งเรียนเป็นเพื่อนน้องฝันเสมอ
ครูทอรุ้งมีอะไรสนุกๆมาให้เล่นอยู่เรื่อย น้องฝันที่แต่ก่อนดูหงอย เหงา ไม่ค่อยคุ้นเคยกับใครเริ่มที่จะสื่อสารกับคนอื่นมากขึ้น แม้จะติดขัด ในการออกเสียงพูด แต่ด้วยความพยายามของครูทอรุ้งทำให้น้องฝันพัฒนาการไปรวด เร็วจนน่าแปลกใจ
“น้องฝันฮ้องเพลงแฮ่มก่อ” แสงจิ่งถาม หนูน้อยยิ้มให้อย่างไร้เดียงสา ก่อนที่จะส่งไมโครโฟนตัวเล็กคืนให้พี่เลี้ยง
“จะอั้นต่าปี้ฮ้องน่อ”
แสงจิ่งรับไมค์ด้วยความยินดี เธอจัดการเลือกเพลงเพลงของโปรดของเธอเอง
ทอ รุ้งจัดการปรับเสียงให้พอเหมาะ นั่งดูนักร้องดาวรุ่งในป่าร้องเพลงทั้งเต้น ทั้งร้อง น้องฝันนั่งตบมือเป็นจังหวะบางไม่เป็นบ้าง ใบหน้าเกลื่อนรอยยิ้ม เธอนั่งมองอย่างเอ็นดู
ใช่ว่าน้องฝันจะมีความบกพร่องทางสติปัญญาเท่าใดนัก ที่ผ่านมาอาจเป็นเพราะ การดูแลที่ไม่เหมาะสม ด้วยคิดว่าตัวเด็กมีปัญหาจนไม่สามารถพัฒนาได้ จึง แค่ดูแลแบบกินอิ่มหลับสบาย ไม่ให้เจ็บไข้มากกว่า
อีกไม่นานจะเป็นเวลา เปิดเทอมของโรงเรียนทั่วไป เธอคิดว่าน้องฝันน่าที่จะสามารถเข้าเรียนร่วม ชั้นกับเด็กคนอื่นๆ ได้ ซึ่งทางหมอประจำตัวก็ได้แนะนำไว้แต่ทางปราชญ์ยังไม่มั่นใจ
“น้องฝันไม่เคยอยู่กับคนอื่นนะ”
“นั่นแหละค่ะ ยิ่งควรต้องพาไปค่ะ ฝึกไปทีละน้อย” เธอยืนยัน “น้องจะได้คุ้นเคยกับคนอื่นบ้าง”
วันก่อนทอรุ้งได้ไปพบพูดคุยกับคุณครูโรงเรียนประจำหมู่บ้าน แต่ยังเป็น ปัญหาอยู่ว่าทางโรงเรียนจะสามารถรับเด็กเข้าเรียนและจัดกิจกรรมให้กับเด็ก ที่มีความบกพร่องอย่างนี้ได้หรือไม่ เธอไม่ต้องการให้น้องฝันต้องกลายเป็น เด็กพิการที่หมดโอกาส กลายเป็นภาระของสังคม คงต้องกลับไปขอคำแนะนำจากคุณ หมออีกครั้ง
“แม่ครูฮ้องพ่อง” แสงจิ่งส่งไมค์มาหลังจากที่เธอร้องครบเพลงที่เธอต้องการ “เจ้าจะเซาะเพลงฮื่อ เอาม่วนๆ”
ทอ รุ้งอดขำกับท่าทางกระตือรือร้นของเด็กสาวไม่ได้ แสงจิ่งส่งแผ่นร้องเพลง คาราโอเกะมาให้ดูแผ่นหนึ่งเป็นเพลงชุดของวัยรุ่นที่เธอเคยได้ยินมาบ้างหลาย ครั้ง
“เพลงนี้ม่วน” ‘ผู้จัดการ’สรุปแล้วก็นำแผ่นเข้าใน เครื่อง ทอรุ้งนึกสนุกด้วยจึงต้องร้องตามที่’ผู้จัดการ’สั่ง ผู้ชมทั้งสองตบมือเปาะแปะชื่นชม แววตาที่น้องฝันมองมาด้วยความสนุกสนาน ทอ รุ้งก็ถือว่าคุ้มแล้ว

....ฉันอาจจะไม่น่าดู
ฉันรู้ตัว
ฉันอาจจะเผลอทำตัวเป็นอย่างนั้น ....
ปราชญ์ ยืนฟังนิ่งอยู่ข้างรถกระบะคันใหญ่ เสียงเพลงที่ดังลอยมาจากเรือนหลัง ใหญ่ น้ำเสียงที่เขาไม่คุ้นหู แต่เมื่อตั้งใจฟังแล้วเขาจึงพอเดาออกว่า เป็นใคร
เขาเอื้อมมือไปอุ้มตัวปุกปุยน้อยๆ ในกล่องกระดาษที่วางอยู่กระบะท้ายรถ ซ่อนไว้ในเสื้อแจคเก็ตสีน้ำกรมท่าที่ เขาสวมทับเสื้อยืด เขายิ้มละไมอยู่ในใจ ค่อยเดินอ้อมไปด้านหลังบ้าน เงียบๆ ตามเสียงเพลง ก็จะเป็นห้องของลูกสาวสุดที่รักนั่นเอง
...ไม่ใช่เพียงแค่ไหล่ไว้ซบอิง .....
เสียงใสๆ หวานๆ ในยามร้องเพลงที่เขาไม่เคยได้ยิน
..คงจะร้องกันอย่างนี้บ่อยล่ะสิท่า.... นึกอยากเห็นหน้าขึ้นทันที เขา รู้สึกแปลกใจตัวในบางครั้งไม่ได้ นับตั้งแต่ครูทอรุ้งมาสอนและดูแลลูกสาว ให้ เขามักจะกลับบ้านเร็วขึ้น อยู่บ้านมากขึ้นผิดกับแต่ก่อน ปราชญ์เพิ่ง คิดได้ว่าเขาเป็นเช่นนั้นจริงๆ
เมื่อเขาค่อยๆ เปิดประตูเข้าไม่ให้รบกวนกิจกรรมสนุกสนานของสมาชิกในห้อง เด็กน้อยสองวัย กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนผ้าปูนั่ง ตั้งใจฟังเพลง ร่างเล็กๆของครูนั่งกับ พื้นเช่นกัน สายตาจับจ้องที่ตัวหนังสือบนจอโทรทัศน์ ไม่มีใครสังเกตเห็น เขาที่ยืนอิงประตูเลยสักนิดจนเมื่อครูทอรุ้งร้องเพลงจบ ผู้ฟังทั้งสองตบมือ อย่างชอบใจ ส่งเสียงชื่นชมดังลั่น เธอวางไมโครโฟนลงขยับตัวจะลุกขึ้นจะ เหลือบมาเห็น ใบหน้าเนียนผ่องปราศจากเครื่องสำอางค์นั้นแดงระเรื่อขึ้นมา คล้ายสาวน้อย หากเธอยังกลบเกลื่อนกิริยานั้นด้วยการหันไปบอกกับลูกศิษย์ตัว น้อย
“น้องฝันคะ คุณพ่อมาแน่ะ”
น้องฝันหันขวับพร้อมกับลุกพรวดไปหาผู้เป็นพ่อทันที
“ป๊ะ! ป๊ะ!”
คำเรียกนั้นเปลี่ยนเมื่อไม่นานหลังจากที่ครูรุ้งพยายามฝึกให้เธอออกเรียก สร้างความพึงพอใจแก่คนเป็นพ่อยิ่งนัก
ปราชญ์ ยังซุกมือซ่อนตัวปุกปุยไว้ในเสื้อ ใช้มืออีกข้างช้อนอุ้มตัวเบาหวิวของเด็ก น้อยขึ้นพาเดินกลับไปนั่งที่เดิม ทอรุ้งกดรีโหมทเพื่อเบาเสียงเพลง ขยับ ตัวลุกออกจากผ้าปูรองนั่งผืนใหญ่ไปนั่งบนเบาะรองนั่งสี่เหลี่ยมใบหย่อมอีก ด้านหนึ่ง “
น้องฝันขา ลูกเอามือมาหน่อยสิคะ”
ทอรุ้งมักจะทึ่งเสมอยามที่เขาเรียกลูกสาวตัวน้อยอย่างอ่อนหวานแบบนี้
เด็กน้อยจับมือผู้เป็นพ่อทันที เขาค่อยๆ จับมือบางนั้นเข้าไปในตัวแจกเกต น้องฝันกระตุกมือออกอย่างรวดเร็ว ใบหน้า และแววตาตกใจ งุนงง พร้อมกับเบี่ยงตัวออกจากแขนพ่อ ลุกวิ่งไปนั่งตักครู ทอรุ้งทันที ไม่พูดอะไรนอกจากทำตาโตจ้องมองพ่อที่กำลังหัวเราะเสียงดังด้วย ความขบขัน
“อ่ะหยังก๊าเจ้า ป้อเลี้ยง” แสงจิ่งชะเง้อหน้าเข้าไปถามตามประสาซื่อ เมื่อปราชญ์เอามือออกจากตัวเสื้อ ตัวปุกปุยสีขาวก็กำลังทำหน้าตื่นตระหนก อยู่ในมือของเขา น้องฝันนั่งตัวแข็ง มือน้อยๆ ขยุ้มลงที่แขนของทอรุ้งแน่น
“หมาหน้อยๆๆ ฮะๆ น่าฮักขนาด น้องฝัน”
“อ้าว! ตายล่ะ ตัวสั่นเหมือนกันเหรอเรา” ใบหน้ารกเคราและหนวดก้มลงพูดกับตัวปุยขาวในมือ
“คุณปราชญ์น่าจะเอาออกให้น้องเห็นก่อนที่จะให้จับตัว” ทอรุ้งพูดเชิงตำหนิ กรายๆ ก่อนที่จะประคองน้องฝันลุกจากตัก เธอคุกเข่าอยู่ข้างๆ ลูกศิษย์ที่ ยืนนิ่ง ทำตาโตจ้องมองราวกับเห็นตัวประหลาดในมือพ่อ
“น้องฝันคะ มาดูกับครูค่ะ ไม่ต้องกลัวนะคะ”
สายตาที่ตวัดมองมาทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าเธอค้อนควักตำหนิเขา ปราชญ์หัวเราะในคอยิ่งทำให้สายตาคมนั้นเข้มมากขึ้น
น้องฝันเดินมาโดยมีครูเดินเข่าประคองมา เธอค่อยจับมือลูกสาวของเขาแตะขนฟูๆ อย่างเบามือพร้อมกับพูดปลอบโยนให้หายกลัว
“หมาหน้อยตั๋วสั่นเลยเจ้า แม่ครู” แสงจิ่งให้ความสำคัญกับเจ้าปุยมากกว่า
“อุ้มหน่อยมั๊ยลูก” เขาพูดพร้อมกับส่งตัวปุยนั้นมา
“อย่าเพิ่งค่ะ” ทอรุ้งเอ่ยห้ามทันควัน “ฉีดยารึยังคะ แล้วน้องฝันเคยแพ้ขนสัตว์รึป่าวคะ”
“ไม่มั้ง แต่เจ้าของบอกฉีดวัคซีนรวมมาแล้วครับ”
“คงจะยังไม่ถึงสองเดือน พันธุ์อะไรคะ”
“เอ ดูเหมือนจะผสมนะ เห็นตัวแม่เป็นชิสุห์ ส่วนตัวพ่อท่าทางจะเป็นพุด เดิ้ล” เขาชูเจ้าตัวน้อยขึ้นมอง “ครูเลี้ยงเป็นมั๊ยครับ”
ฟังจากน้ำเสียงและคำถามแบบนี้คงไม่แคล้วต้องได้เป็นคนดูแลเจ้าตัวเล็กนี่เพิ่มแน่นอน
“พอจะรู้บ้างค่ะ ไม่ทราบเขาให้เริ่มกินอาหารรึยัง”
“เห็นบอกให้เอาอาหารเม็ดผสมนมให้กินบ้างแล้ว”
“แล้วคุณปราชญ์หามาไว้รึยังคะ” ปราชญ์มองดูครูทอรุ้งยิ้มๆ “ยังครับ ไม่ รู้จะเตรียมยังไงก้อคิดว่าจะให้ครูช่วยจัดการให้หน่อย”
นั่นไง นึกแล้วเชียว.....ทอรุ้งนึกเข่นเขี้ยว
“เอางี้ เดี๋ยวเราเข้าเวียงกันหาซื้อของสำหรับตัวเล้กนี่ อือ...เย็นนี้ผม พาครูไปกินข้าวที่เวียงเลยดีกว่า” เขาสรุปอย่างรวดเร็ว
“เจ้าไปโตยก่อ ป้อเลี้ยง” แสงจิ่งถามขึ้นราวกับต้องร่วมอยู่ในกลุ่ม
ปราชญ์หันมาตอบอย่างใจดี
“ไปสิ จิ่ง เธอน่ะเป็นผู้ช่วยครูรุ้งนี่ ต้องไปช่วยครูเขาดูน้องฝัน”
แค่นั้น’ผู้ช่วยครู’ ก็ยิ้มกว้างรีบลุกปราดออกไปเพื่อแจ้งข่าวให้กับแม่และป้าพันได้ทราบ
“อ้าว!” ปราชญ์ได้แต่ร้องมองตามเด็กลูกจ้างแสนรู้ “แล้วเจ้านี่ทำไงต่อครับครู”
“คงต้องหาที่อยู่ให้เขาก่อน คืนนี้คงร้องน่าดู”
“งั้นฝากครูจัดการเลยครับ” ไม่พูดเปล่า เขาวางตัวปุยขาวลงบนมือครูทอรุ้ง เธอต้องเอื้อมมือไปรับแทบไม่ทัน
“เดี๋ยวผมขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อหน่อย”
“ค่ะ” เธอรับทราบ “งั้นจะพาน้องฝันไปเตรียมตัวก่อนนะคะ”
เขาพยักหน้าตอบก่อนจะหันไปกอดลูกสาวอย่างรักใคร่
“แต่งตัวสวยๆ นะคะ พ่อจะพาไปเที่ยวค่ะ”
เมื่อผู้เป็นพ่อออกห้องไป ทอรุ้งยังให้น้องฝันนั่งตักดูลูกสุนัขตัวน้อยที่สั่นงันงกด้วยความไม่คุ้นเคย
“ค่อยๆ ลูบเบาๆ นะคะ ไม่ต้องกลัวค่ะ” เธอพูดปลอบเมื่อเห็นกิริยาหวาดกลัวของน้อง ฝัน จนเธอกล้าที่จะเอามือลูบขนนุ่ม ปุยสีขาวนั้น
ดูเหมือนเจ้าตัวเล็กนั้นก็ยอมรับมือน้อยๆ นั้นเช่นกัน มันสงบเงียบลงและน้องฝันเริ่มคลายความกลัวลงไปได้

ความรัก
ไม่ก่อเกิดเพียงชั่ววัน
หากค่อยๆ
สะสม
ทีละเล็กทีละน้อย
ความรัก
ไม่ต้องอาศัยรูปลักษณ์
หากใช้น้ำใจประสาน
ผนึกรักนั้นให้มั่นคง
ตลอดไป
หากจะรัก
ก็จงรักเถิด
รักโดยไม่ต้องมีเงื่อนไข
ไม่ต้องเสียใจ
ที่ได้รัก




 

Create Date : 07 กันยายน 2551    
Last Update : 10 กันยายน 2551 21:01:39 น.
Counter : 105 Pageviews.  

รุ้งทอฝัน#3 เรื่องโดย ฝากรักฟากฟ้า





เรียกว่าเป็นการพูดคุยกันมากกว่าการสัมภาษณ์รับเข้าทำงาน นายจ้างรายแรกของ เธอชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้จนเธอนึกแปลกใจว่าทำไมเขาไม่ถามเรื่องงาน
“คุณครูเคยมาเที่ยวฝางรึป่าว”
“เปล่าค่ะ” ทอรุ้งตอบ “เพิ่งมาอยู่เชียงใหม่ไม่กี่ปีนี่เองค่ะ”
ลูก ชายคนโตที่เรียนและได้งานทำในเชียงใหม่ขอเธอย้ายมาอยู่เชียงใหม่ด้วย เพราะ ไม่ต้องการให้แม่ต้องอยู่คนเดียวหลังจากการเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุของผู้ เป็นพ่อ ออกมาจากสภาพแวดล้อมที่ไม่เคยมีความประทับใจใดๆ ทอรุ้งรีบปัดความ คิดเหล่านั้นออกไปจากความรู้สึก แต่เธอก็ไม่ได้พูดให้นายจ้างฟัง เพียงคิด ขึ้นมาวูบหนึ่งในใจ
“แล้วรู้จักกับหมอวินทร์ได้ไงล่ะครับ”
“อ๋อ... พี่หมอเหรอคะ”
ปราชญ์รู้สึกสะดุดใจเล็กน้อยกับการเรียกชื่อคุณหมอประจำตัวลูกสาว
“รู้จักมานานแล้วค่ะ พอดีขึ้นมาอยู่เชียงใหม่ไม่มีอะไรทำ พี่หมอชวนมาเป็นพี่เลี้ยงอาสาที่ศูนย์ฯ ค่ะ”
คำอธิบายเธอสั้นๆ น้ำเสียงมีความพึงพอใจที่ได้เอ่ยถึง
... พ่อม่ายกะแม่ม่ายล่ะว้างานนี้... เขาคิดแต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้อยู่ในความ สนใจเท่าใดนัก นอกจากการที่ผู้หญิงคนนี้จะดูแลและช่วยเหลือให้ลูกสาวมี พัฒนาการขึ้นได้อย่างที่คุณหมอแนะนำหรือไม่
“คุณครูเพิ่งมา ก้อพักผ่อนก่อนมั๊ยครับ พรุ่งนี้ค่อยเจอน้องฝัน”
“ไม่เป็นไรค่ะ อยากพบกับน้องวันนี้เลยค่ะ จะดีกว่า”
“งั้น ไปที่ห้องของน้องฝันกันเลยดีกว่า” ปราชญ์ลุกขึ้นทันที พร้อมกับเดินนำลิ่ว ไปยังอีกห้องหนึ่ง ทอรุ้งจึงได้แต่วางซองเอกสารสีน้ำตาลไว้บนโต๊ะทำ งาน ซองที่มีสำเนาหลักฐานซึ่งเขาได้ฝากบอกให้เธอเตรียมมา หากเขาไม่ได้ถาม ถึงเลย
ห้องที่เขาเดินนำมานั้นอยู่ส่วนด้านหลัง เป็นห้องที่จัดไว้สำหรับลูกสาวได้ อยู่เล่น ทำกิจกรรมต่างๆ และพักผ่อนในช่วงกลางวัน ผนังห้องทาสีชมพู อ่อนๆ ประดับด้วยกรอบรูปภาพกิจกรรมของครอบครัว 2 – 3 กรอบ ไม่วายสะดุดตากับภาพครอบครัวบานใหญ่ น่าจะเป็นโอกาสพิเศษของใครคน หนึ่งในภาพ โดยเฉพาะผู้เป็นแม่ที่แต่งตัวสวยด้วยชุดชาวเขา ใบหน้า หวาน ผิวขาวดูบอบบาง ยืนอิงไหล่ผู้สามีซึ่งข้างหนึ่งอุ้มลูกสาวตัวน้อยที่ มีหน้าตาเหมือนแม่ จากภาพเด็กน้อยน่าจะอายุประมาณ 2 ขวบ
รอบๆ ห้อง มีชั้นวางของเล่นต่างๆ อย่างเป็นระเบียบ ตุ๊กตาผ้าหนานุ่มตัวโต ตัวเล็ก ตัวน้อย ดูไปคล้ายกับเข้าไปในร้านขายของเล่นของเด็กผู้หญิง พื้นห้องปู ด้วยพรมหนาสีเหลืองนวล เจ้าของห้องตัวน้อยกำลังง่วนอยู่กับการทำงานอะไรสัก อย่างบนผ้าปูรองนั่งผืนใหญ่ โดยมีเด็กหญิงร่างผอมอีกคนอยู่เป็นพี่เลี้ยง ไม่ห่าง
“น้องฝันจ๋า” เสียงทุ้ม ห้าวนั้น เรียกลูกสาวอย่างอ่อนโยนน่าฟัง
น้องฝันเงยหน้าขึ้นทันทีพร้อมกับส่งรอยยิ้มกว้าง หากไม่เหลือบมามองดูผู้ที่เข้ามาใหม่สักนิด
“จำคุณน้าคนสวยได้ป่าวเอ่ย” ปราชญ์ถามโดยเอ่ยถึงผู้ที่ยืนด้านหลัง ทอรุ้ง ไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรกับการที่เขาเรียกเธออย่างนั้น
น้อง ฝันไม่สนใจสิ่งที่พ่อพูดเลย หนูน้อยกอดคอพ่อ เอาหน้าเกลือกไปกับหนวดเครา ของพ่อเล่นอย่างมีความสุข ทอรุ้งมองดูภาพที่แสนอบอุ่นของสองพ่อลูก เป็น ธรรมดาของเด็กที่มีอาการออทิสติกซึ่งจะไม่สนใจคนแปลกหน้า เธอคงต้องใช้เวลา อยู่พอสมควรกับการที่ต้องทำความคุ้นเคยกับเด็กน้อย


มือ เล็ก บาง น้อยๆ กำลังปั้นและนวดแป้งสีชมพูสดใสอย่างเบามือ เธอขยำแป้งไป มาตามคำพูดแนะนำของครู ริมฝีปากบางเม้มแน่นแสดงถึงความขมักเขม้น จนถึง ขนาดไม่ยอมพูดกับใคร คล้ายมุ่งมั่นทำให้สำเร็จ ขัดกับแววตาที่เลื่อนลอยใน บางครั้ง ทำเสียงอืออาในคอ ใบหน้าเรียวเล็กก้มลงจนเส้นผมที่ตัดสั้นระลงมา บังใบหน้าเกือบหมด เจ้าตัวก็ยังไม่ได้สนใจจะปัดขึ้น
ทอ รุ้งนั่งมองดูเด็กน้อยอยู่ใกล้ๆ บริเวณพื้นห้อง รอบตัวเกลื่อนไปด้วยของ เล่นชิ้นสวย สีสดใส ที่คนเป็นพ่อซื้อมาให้อย่างไม่เคยเสียดายเงินหรือ เกี่ยงราคา หลายชิ้นที่ถูกแกะรื้อจนชำรุด
ทอรุ้งหยิบก้อน แป้งโดในกล่องมาก้อนเล็กๆ ขยำ นวดแล้วปั้นเป็นรูปตุ๊กตาตัวจิ๋ว เธอส่ง ให้เด็กน้อย น้องฝันละมือจากแป้งที่ตนกำลังปั้นทั้นที พร้อมทั้งส่งสียง ชอบใจ แววตาที่เลี่อนลอยทอประกายพึงพอใจ
“หมา” ทอรุ้งพูดช้าๆ น้องฝันเอียงศีรษะจับตามองดูครู
“อ๊ะ!” เธอเปล่งเสียงออกมา
“ไม่ใช่ค่ะ น้องฝัน” ทอรุ้งยิ้มและพูดช้าๆ “หมา”
“ม่ะ! ม่ะ!” น้องฝันทำปากเลียนเสียงครู ยิ้มกว้างจนเห็นฟันซี่เล็กๆ ที่ผุจากการถูกปล่อยปละละเลย
เช้าวันแรกที่บ้านสวน เธอต้องตกใจกับเสียงกรีดร้องของเด็กน้อย ครั้นไปสอบ ถามดูก็ทราบว่าเป็นเรื่องปกติของที่นี่ น้องฝันไม่ยอมให้แปรงฟันจนต้องมีเรื่องให้วุ่นวายกันทุกเช้า และในที่สุดก็ ไม่มีใครที่จะเอาใจใส่เรื่องการแปรงฟันอีก ทำให้สุขภาพในช่องปากของน้องฝัน แย่ลง
กว่าเธอจะสามารถโน้มน้าวให้น้องฝันยินยอมได้ ใช้ เวลาหลายวันอยู่ แต่นั่นหมายถึงเธอต้องตื่นแต่เช้าทุกวันไปคอยรอรับลูกสาว นายจ้างและพาไปทำกิจกรรมเช้าล้างหน้าแปรงฟัน อาบน้ำ เดินเล่น ก่อนถึง อาหารเช้า และเกือบทุกเรื่องที่เธอไม่ได้เป็นเพียงครูสอนพิเศษในบ้าน แต่ กลายเป็นพี่เลี้ยงพิเศษไปด้วย
สิ่งที่ได้รับเป็นเรื่อง ที่น่ายินดีกับพัฒนาการ ที่เด็กน้อยเริ่มวางใจยอมให้เธออยู่ใกล้และหันมา พูดคุย ตอบสนองปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างมากขึ้น
แม่หนูน้อยมีสภาพปัญหาที่บกพร่องมาตั้งแต่กำเนิดหลายด้าน ในช่องปาก เธอมี เนื้อเยื่อที่ยึดใต้ลิ้นทำให้การเปล่งเสียงพูดเป็นไปได้ยาก หมอวินทร์ซึ่ง แนะนำไว้เกี่ยวกับการทำกายภาพบำบัดและการช่วยเหลือฝึกด้านการพูดของน้อง ฝัน ภายหลังการเข้ารับการผ่าตัดเนื้อเยื่อใต้ลิ้น
“ต้องฝึกให้น้องฝันออกเสียงพื้นฐานก่อนนะ” เขาย้ำมา
ระยะเวลาร่วมเดือนกับการที่ได้เข้ามาเป็นครูพิเศษ เธอพูดคุยกับปราชญ์ผู้ เป็นพ่อของน้องฝันเกี่ยวกับแนวทางที่จะช่วยเหลือลูกสาวสุดที่รักให้เติบโต ขึ้นอย่างเด็กปกติทั่วไปให้มากที่สุด
ทอรุ้งบอกถึงการจัดกิจกรรมต่างๆ ให้น้องอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่เร่งรีบ เกินไป ซึ่งเขาก็ยินดีให้ความ่วมมืออย่างเต็มที่ แต่ในทางปฏิบัติ ทอรุ้ง เห็นเพียงเขาอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้เธอสามารถดูแลลูกสาวคนเดียวของเขา อย่างดีที่สุดมากกว่า
“ม๊ะ!” น้องฝันส่งเสียงขึ้นมาเจื้อยแจ้ว ทอรุ้งเงยหน้าขึ้นมองด้วยความงุนงงที่น้องฝันเรียกเธอด้วยคำที่เธอสอนไปสักครู่
“ม๊ะ! ม๊ะ!” น้อง ฝันรัวเสียงก่อนจะลุกพรวดพราดขึ้น ก้อนแป้งโดหลากสีร่วงกระจาย ทอรุ้งนั่ง งงกับปฏิกิริยที่เปลี่ยนไปฉับพลันของเด็กน้อย
หนูน้อยเดินรี่ตรงไปที่ชั้นวางเครื่องเล่นดีวิดี ทอรุ้งจึงเข้าใจ เธอลุกขึ้นเดินตามไปพลางถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
“น้องฝันจะร้องเพลงเหรอคะ”
เธอไม่ตอบแต่แหงนมองหน้าคุณครู ทำปากขมุบขมิบ ทอรุ้งสบตาใสแจ๋วคู่นั้น
... เหมือนแม่จังเลย... ทอรุ้งคิดอยู่ในใจพร้อมกับเอื้อมมือข้ามศีรษะเด็ก น้อย เลือกหยิบแผ่นDVD ลงมา 2 – 3 แผ่น ก่อนที่จะคุกเข่าลงข้างตัวส่งให้หนูน้อยเลือกอีกครั้งหนึ่ง





 

Create Date : 07 กันยายน 2551    
Last Update : 10 กันยายน 2551 20:51:06 น.
Counter : 235 Pageviews.  

รุ้งทอฝัน#2 เรื่อง โดย ฝากรักฟากฟ้า



ภาพทิวทัศน์สองข้างเปลี่ยนไปเรื่อยๆตั้งแต่รถขับเคลื่อนเข้าทางแยกจากถนน ใหญ่ ด้วยเพราะเป็นเส้นทางขึ้นสู่ดอยอ่างขาง ซึ่งมักมีรถของชาวต่างถิ่นมาเที่ยวตลอดทั้งปี สภาพท้องถนนจึงดีกว่าถนนสาย เล็กๆ อื่นที่ไม่สำคัญ จากปากทางเข้าสู่สวนส้มที่อยู่เชิงดอยมีหมู่บ้านใหญ่ๆหลาย แห่ง สังเกตจากการปลูกที่อยู่อาศัย ล้วนแต่โอ่อ่าใหญ่โตแสดงถึงสภาพฐานะ ของผู้คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้าน ทอรุ้งอดรู้สึกทึ่งไม่ได้ คิดไว้ว่าตนคงจะได้ มาอยู่ในสวนที่มีสภาพเรือกสวน หมู่บ้านแบบเกษตรกรทั่วไป กลับมาเห็นบ้าน เรือนที่ทันสมัย บางหลังเป็นเรือนไทยไม้สักหลัง บางหลังทันสมัยอย่างหมู่ บ้านจัดสรรในเมืองกรุง
“เจ้า ของสวนส้มเป็นส่วนใหญ่ สวนลิ้นจี่น้อยลงแล้วค่ะ” แม่บ้านร่างท้วมหันมา เล่าให้ทอรุ้งฟังเป็นระยะ “ตั้งแต่ตรงหมู่บ้านปากทางเข้ามาก้อเป็นสวนส้ม หมดแหละ บางสวนก้อมีโรงแว๊กซ์ของตัวเองด้วยนะคะ”
ทอรุ้งได้แต่พยักหน้ารับฟัง อีกไม่นานเธอคงจะรู้จักมากขึ้นเอง
พ้นจากหมู่บ้านก็เป็นสวนส้มที่เรียงรายตามเส้นทาง แต่ละสวนดูกว้างใหญ่ไปจนสุดสายตา กินอาณาบริเวณไปจนถึงไหล่เนินเขา
“ครู มาช่วงนี้ก้อวายไปล่ะ แต่บางสวนเขาบังคับให้ออกได้ตลอดปีก้อมี” เสียง มัคคุเทศก์เฉพาะกิจอธิบายเสริมอีก “ที่สวนคุณปราชญ์มีทั้ง ส้ม ลิ้นจี่ แล้วก้อองุ่น”
“มีองุ่นด้วยเหรอคะ” ทอรุ้งเอ่ยถามด้วยความสนใจ
“ค่ะ ก้อเริ่มปลูกได้สักสองปี กำลังขยายออกไปอีก”
ระยะ ทางจากตัวอำเภอเข้ามาที่สวนนับว่าไกลพอสมควร จนกระทั่งสุดท้ายพาหนะสี น้ำตาลคันหรูเลี้ยวเข้าประตูรั้วสวน ผ่านแปลงต้มส้มไปหลายแปลงแล้วจนดูเหมือนรถกำลังวิ่งขึ้นเนิน ผู้โดยสารต่าง ถิ่นหันมองผ่านกระจก เห็นแต่ต้นส้มสูงเป็นทิวแถว มีคนงานกำลังตัดแต่งกิ่ง ส้มตามแปลง
รถแล่นผ่านไปตามถนนโรยกรวด บ้านไม้ขนาดย่อมตั้ง อยู่บนเนิน รูปทรงตามแบบบ้านทรงยุโรปที่ทอรุ้งเคยเห็นในหนังสือประเภทบ้าน ในสวน หน้าบ้านประดับด้วยซุ้มเฟื่องฟ้าอวดสีสันแข่งแสงแดดเจิดจ้าฤดู ร้อน คนขับรถขับขึ้นไปจอดพอดีหน้าบ้าน ที่มีบันไดไม้ยาวลงมา 4-5 ขั้น ไปสู่ระเบียงกว้างก่อนเข้าถึงตัวบ้าน
“ครูลงมาก่อนนะคะ เดี๋ยวให้นายหรุ่งขนกระเป๋าไปไว้ที่บ้าน”
แม่บ้านตุบตับลงรถก่อนที่จะหันมาขยับเลื่อนเบาะให้ทอรุ้งก้าวลงรถ เธอกล่าว ขอบคุณเบาๆ ขณะนายหรุ่งคนขับรถเดินอ้อมไปยกกระเป๋าลงจากกระบะท้ายรถคัน ใหญ่ เธอยังคงหิ้วเพียงกระเป๋าโน้ตบุ๊คเดินตามแม่บ้านขึ้นบันไดไป มีทาง เดินอ้อมไปด้านหลังบ้านซึ่งมีเรือนหลังเล็กแบ่งเป็นส่วนของครัวหลัง หนึ่ง และเรือนพักหลังเล็กอีก 2 หลัง เป็นสัดส่วน แวดล้อมไปด้วยต้นไม้ทำให้ดูร่มรื่น
“หลังนี้ค่ะครู” ป้าพรรณเรียกทอรุ้งพร้อมกับเปิดประตูเรือนเล็กชั้น เดียว ทอรุ้งเดินตามเข้าไปในห้อง เป็นบ้านพักที่ไม่กว้างอะไรมากมาย ห้อง นอนเป็นสัดส่วน มีห้องน้ำในตัว พื้นที่สำหรับนั่งเล่นหรือทำงานกว้างพอ สมควร
“ครูมีกระเป๋าแค่นี้เหรอคะ”
“ค่ะ ก้อไม่ได้เอาอะไรมามาก” ทอรุ้งตอบยังนึกขำในใจ กระเป๋าแค่นี้ก็คือ ใบใหญ่ยักษ์ ที่อุตส่าห์แบกลากมาอย่างทุลักทุเล แต่พอเปิดกระเป๋าออกมาก็ จะเห็นว่าเธอมีแต่เสื้อผ้ามาพอประมาณ หนังสือต่างๆ ส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือสำหรับเด็กมากกว่า
ทอ รุ้งค่อยหยิบออกมาวางเป็นสัดส่วน ตู้เสื้อใบขนาดย่อมเข้าชุดกับเครื่อง เรือนภายในห้องนอน เรียบๆ ง่ายๆ ดูสบายตา เธอจัดหนังสือวางบนบนโต๊ะใกล้หน้าต่างข้างเตียงนอน
มองออก ไปเห็นสนามหญ้าบริเวณไม่กว้างนัก ตกแต่งบริเวณด้วยพุ่มไม้ดอกหลากพันธุ์ หลายสี มีชิงช้าสำหรับเด็กใกล้ชุดโต๊ะสนาม ที่ดูเหมือนจะตัดแต่งจากราก ไม้ เธอมองดูอย่างมาดหมายว่าจะต้องหาเวลาลงไปสำรวจให้ได้ในเร็ววัน
เมื่อเดินออกจากห้องนอนก็จะเป็นส่วนอเนกประสงค์ มีชุดโต๊ะเก้าอี้จากไม้ไผ่ สีเหลืองทอง ชั้นวางโทรทัศน์และเครื่องเสียงชุดเล็ก ทำให้นึกสงสัยอยู่ คร้ามครันว่า เรือนพักหลังนี้เจ้าของบ้านคงจะจัดไว้สำหรับรับแขกเหรื่อที่ น่าจะมากันบ่อยๆ มีเคาน์เตอร์วางเครื่องดื่ม ทอรุ้งแทบไม่ต้องคิดร้องขอ อะไรเพิ่มเติม
‘พ่อเลี้ยง’ ทอรุ้งนึกถึงภาพไม่ออกว่าจะเหมือนอาเสี่ยพุงพลุ้ยหรือคนคุมงาน สวนดี แต่ดูจากการจัดบริเวณบ้าน หากไม่ใช่เป็นการว่าจ้างมัณฑนากรมาออก แบบ ก็ถือว่าเจ้าของบ้านเป็นคนที่มีรสนิยมดีคนหนึ่งทีเดียว
‘แล้วไปได้กับคำว่าพ่อเลี้ยงเหร๊อ’ เธอนึกขันในใจอยู่คนเดียว

เสียง เพลงดังขึ้นเบาๆ ทอรุ้งรีบก้าวเท้ากลับไปที่ห้องนอน มองหาโทรศัพท์มือ ถือ เมื่อหยิบออกจากกระเป๋าถือจึงรู้ว่าไม่ใช่จากเครื่องของเธอ เสียงนั้น ยังดังอยู่เรื่อยๆ เธอหมุนกลับออกมาจากห้องอีกที ยืนหันรีหันขวางหาที่มา ของเสียงก่อนจะเหลือบเห็นเครื่องโทรศัพทืสีเหลืองอ่อนแขวนติดอยู่ที่ผนัง เหนือเคาน์เตอร์
“สวัสดีค่ะ” เธอกล่าวทักทายทันทีที่หยิบออกมาจากที่แขวน
“ครูเจ้า ป้อเลี้ยงมาล่ะ เปิ้นไค่ปะครูเน้อเจ้า” เสียงป้าพรรณดังจากปลายสาย
“จะให้ไปพบตอนนี้เลยเหรอคะ” ทอรุ้งถาม
“ครูสะดวกก่อเจ้า”
....ไม่สะดวกได้เหรอ นายจ้างจะขอดูตัว.... ทอรุ้งแย้งขำๆ ในใจ หากพูดไปว่า
“ได้ค่ะ ขอเวลา 10 นาทีค่ะ”
“เจ้า กำเดียวป้าจะฮื้อนางซอไปฮับเน้อ” ป้าพรรณสั่งอย่างเป็นการเป็นงาน
ทอรุ้งจึงรีบวางโทรศัพท์ เข้าไปหยิบซองเอกสารจากกระเป๋า ก่อนที่จะหันไป สำรวจความเรียบร้อยของใบหน้าและเครื่องแต่งกาย เสื้อยืดโปโลสีฟ้าสด ใส เพ้นท์ลายกล้วยไม้สีเหลือง กับกางเกงยีนส์ลูกฟูกสีน้ำตาลเข้มที่ดู ทะมัดทะแมง เธอไม่ได้คิดว่าต้องเปลี่ยนใหม่เพราะชุดที่แต่งอยู่ก็น่าจะเรียบร้อยพอ แล้ว
นางซอที่ป้าพรรณเป็นผู้หญิงร่างท้วมอีกคนหนึ่ง ...อยู่ที่นี่คงอ้วนไปตามๆ กัน... ทอรุ้งไพล่นึกไปนึก ‘พ่อเลี้ยง’ พุงพลุ้ยอีกคนเช่นกัน หน้าตา ซื่อๆ ยิ้มง่าย คงเป็นหญิงต่างด้าว เธอสังเกตจากสำเนียงที่พูด
นาง ซอเดินนำเธอจากเรือนที่พัก เดินอ้อมเรือนหลังใหญ่ที่ด้านหน้า เมื่อผลัก บานประตูกระจกสีทึบเข้าไป สัมผัสความเย็นที่ได้จากการออกแบบบ้านให้มีการ ถ่ายเทอากาศที่ดี ไม่ต้องพึ่งเครื่องปรับอากาศแต่อย่างใด
จากเครื่องเรือนไม้เพื่อรับแขกสีน้ำตาลที่ออกแบบอย่างกลมกลืน เรียบๆ ง่ายๆ สร้างความรู้สึกอบอุ่นให้กับผู้ที่เข้ามาเยือน ห้องโถงส่วน หนึ่งถูกกันไว้สำหรับเป็นที่ทำงาน โต๊ะทำงานขนาดใหญ่ มีเพียงกล่องใส่ เอกสาร เครื่องจอคอมพิวเตอร์รุ่นล่าสุด หลังเก้าอี้ทำงาน เป็นตู้เก็บ เอกสารขนาดสามชั้น
ที่สะดุดตาคือกรอบรูปไม้สักทองสลักเสลาเป็นเครือไม้อ่อนช้อยขนาดย่อมที่ ประดับภาพถ่ายผู้หญิงคนหนึ่ง ใบหน้าหวานซึ้ง สังเกตจากรูปดวงตาที่เรียว รี ชั้นเดียว ตลอดจนลักษณะเครื่องประดับผม เดาว่าคงเป็นคนที่มีเชื้อสาย จีน ทอรุ้งรู้สึกคุ้นๆ คล้ายเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ขณะที่ทอรุ้งกำลังจะทรุดลงนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน เสียงฝีเท้าหนักๆ กับเสียงพูดเบาๆ จากข้างหลังทำให้เธอชะงักพร้อมกับหันไปมอง
ยิ่งทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจ เพราะคนที่เข้ามาใหม่นั้นคือ ชายที่เธอได้พบ แล้วเมื่อวานนี้ บนรถโดยสารที่เธอนั่งจากตัวจังหวัดมานั่นเอง
“อ้าว! เอ๊ะ...” กลับเป็นเขาที่อุทานขึ้นก่อนทันทีที่เห็นหน้าเธอ
“คุณเองเหรอ โธ่เอ๊ย!”
นางซอเหลียวมองกลับไปกลับมาด้วยความงุนงง
“เชิญนั่งเลยครับ” เขารีบเดินตรงมาและนั่งลงที่เก้าอี้โต๊ะทำงานอย่างไม่พิธีรีตอง พร้อมกับเชื้อเชิญให้เธอนั่งลงเช่นกัน








 

Create Date : 07 กันยายน 2551    
Last Update : 7 กันยายน 2551 22:53:02 น.
Counter : 206 Pageviews.  

รุ้งทอฝัน#1 เรื่อง โดย ฝากรักฟากฟ้า



ภาพทิวทัศน์สองข้างเปลี่ยนไปเรื่อยๆตั้งแต่รถขับเคลื่อนเข้าทางแยกจากถนน ใหญ่ ด้วยเพราะเป็นเส้นทางขึ้นสู่ดอยอ่างขาง ซึ่งมักมีรถของชาวต่างถิ่นมาเที่ยวตลอดทั้งปี สภาพท้องถนนจึงดีกว่าถนนสาย เล็กๆ อื่นที่ไม่สำคัญ จากปากทางเข้าสู่สวนส้มที่อยู่เชิงดอยมีหมู่บ้านใหญ่ๆหลาย แห่ง สังเกตจากการปลูกที่อยู่อาศัย ล้วนแต่โอ่อ่าใหญ่โตแสดงถึงสภาพฐานะ ของผู้คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้าน ทอรุ้งอดรู้สึกทึ่งไม่ได้ คิดไว้ว่าตนคงจะได้ มาอยู่ในสวนที่มีสภาพเรือกสวน หมู่บ้านแบบเกษตรกรทั่วไป กลับมาเห็นบ้าน เรือนที่ทันสมัย บางหลังเป็นเรือนไทยไม้สักหลัง บางหลังทันสมัยอย่างหมู่ บ้านจัดสรรในเมืองกรุง
“เจ้า ของสวนส้มเป็นส่วนใหญ่ สวนลิ้นจี่น้อยลงแล้วค่ะ” แม่บ้านร่างท้วมหันมา เล่าให้ทอรุ้งฟังเป็นระยะ “ตั้งแต่ตรงหมู่บ้านปากทางเข้ามาก้อเป็นสวนส้ม หมดแหละ บางสวนก้อมีโรงแว๊กซ์ของตัวเองด้วยนะคะ”
ทอรุ้งได้แต่พยักหน้ารับฟัง อีกไม่นานเธอคงจะรู้จักมากขึ้นเอง
พ้นจากหมู่บ้านก็เป็นสวนส้มที่เรียงรายตามเส้นทาง แต่ละสวนดูกว้างใหญ่ไปจนสุดสายตา กินอาณาบริเวณไปจนถึงไหล่เนินเขา
“ครู มาช่วงนี้ก้อวายไปล่ะ แต่บางสวนเขาบังคับให้ออกได้ตลอดปีก้อมี” เสียง มัคคุเทศก์เฉพาะกิจอธิบายเสริมอีก “ที่สวนคุณปราชญ์มีทั้ง ส้ม ลิ้นจี่ แล้วก้อองุ่น”
“มีองุ่นด้วยเหรอคะ” ทอรุ้งเอ่ยถามด้วยความสนใจ
“ค่ะ ก้อเริ่มปลูกได้สักสองปี กำลังขยายออกไปอีก”
ระยะ ทางจากตัวอำเภอเข้ามาที่สวนนับว่าไกลพอสมควร จนกระทั่งสุดท้ายพาหนะสี น้ำตาลคันหรูเลี้ยวเข้าประตูรั้วสวน ผ่านแปลงต้มส้มไปหลายแปลงแล้วจนดูเหมือนรถกำลังวิ่งขึ้นเนิน ผู้โดยสารต่าง ถิ่นหันมองผ่านกระจก เห็นแต่ต้นส้มสูงเป็นทิวแถว มีคนงานกำลังตัดแต่งกิ่ง ส้มตามแปลง
รถแล่นผ่านไปตามถนนโรยกรวด บ้านไม้ขนาดย่อมตั้ง อยู่บนเนิน รูปทรงตามแบบบ้านทรงยุโรปที่ทอรุ้งเคยเห็นในหนังสือประเภทบ้าน ในสวน หน้าบ้านประดับด้วยซุ้มเฟื่องฟ้าอวดสีสันแข่งแสงแดดเจิดจ้าฤดู ร้อน คนขับรถขับขึ้นไปจอดพอดีหน้าบ้าน ที่มีบันไดไม้ยาวลงมา 4-5 ขั้น ไปสู่ระเบียงกว้างก่อนเข้าถึงตัวบ้าน
“ครูลงมาก่อนนะคะ เดี๋ยวให้นายหรุ่งขนกระเป๋าไปไว้ที่บ้าน”
แม่บ้านตุบตับลงรถก่อนที่จะหันมาขยับเลื่อนเบาะให้ทอรุ้งก้าวลงรถ เธอกล่าว ขอบคุณเบาๆ ขณะนายหรุ่งคนขับรถเดินอ้อมไปยกกระเป๋าลงจากกระบะท้ายรถคัน ใหญ่ เธอยังคงหิ้วเพียงกระเป๋าโน้ตบุ๊คเดินตามแม่บ้านขึ้นบันไดไป มีทาง เดินอ้อมไปด้านหลังบ้านซึ่งมีเรือนหลังเล็กแบ่งเป็นส่วนของครัวหลัง หนึ่ง และเรือนพักหลังเล็กอีก 2 หลัง เป็นสัดส่วน แวดล้อมไปด้วยต้นไม้ทำให้ดูร่มรื่น
“หลังนี้ค่ะครู” ป้าพรรณเรียกทอรุ้งพร้อมกับเปิดประตูเรือนเล็กชั้น เดียว ทอรุ้งเดินตามเข้าไปในห้อง เป็นบ้านพักที่ไม่กว้างอะไรมากมาย ห้อง นอนเป็นสัดส่วน มีห้องน้ำในตัว พื้นที่สำหรับนั่งเล่นหรือทำงานกว้างพอ สมควร
“ครูมีกระเป๋าแค่นี้เหรอคะ”
“ค่ะ ก้อไม่ได้เอาอะไรมามาก” ทอรุ้งตอบยังนึกขำในใจ กระเป๋าแค่นี้ก็คือ ใบใหญ่ยักษ์ ที่อุตส่าห์แบกลากมาอย่างทุลักทุเล แต่พอเปิดกระเป๋าออกมาก็ จะเห็นว่าเธอมีแต่เสื้อผ้ามาพอประมาณ หนังสือต่างๆ ส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือสำหรับเด็กมากกว่า
ทอ รุ้งค่อยหยิบออกมาวางเป็นสัดส่วน ตู้เสื้อใบขนาดย่อมเข้าชุดกับเครื่อง เรือนภายในห้องนอน เรียบๆ ง่ายๆ ดูสบายตา เธอจัดหนังสือวางบนบนโต๊ะใกล้หน้าต่างข้างเตียงนอน
มองออก ไปเห็นสนามหญ้าบริเวณไม่กว้างนัก ตกแต่งบริเวณด้วยพุ่มไม้ดอกหลากพันธุ์ หลายสี มีชิงช้าสำหรับเด็กใกล้ชุดโต๊ะสนาม ที่ดูเหมือนจะตัดแต่งจากราก ไม้ เธอมองดูอย่างมาดหมายว่าจะต้องหาเวลาลงไปสำรวจให้ได้ในเร็ววัน
เมื่อเดินออกจากห้องนอนก็จะเป็นส่วนอเนกประสงค์ มีชุดโต๊ะเก้าอี้จากไม้ไผ่ สีเหลืองทอง ชั้นวางโทรทัศน์และเครื่องเสียงชุดเล็ก ทำให้นึกสงสัยอยู่ คร้ามครันว่า เรือนพักหลังนี้เจ้าของบ้านคงจะจัดไว้สำหรับรับแขกเหรื่อที่ น่าจะมากันบ่อยๆ มีเคาน์เตอร์วางเครื่องดื่ม ทอรุ้งแทบไม่ต้องคิดร้องขอ อะไรเพิ่มเติม
‘พ่อเลี้ยง’ ทอรุ้งนึกถึงภาพไม่ออกว่าจะเหมือนอาเสี่ยพุงพลุ้ยหรือคนคุมงาน สวนดี แต่ดูจากการจัดบริเวณบ้าน หากไม่ใช่เป็นการว่าจ้างมัณฑนากรมาออก แบบ ก็ถือว่าเจ้าของบ้านเป็นคนที่มีรสนิยมดีคนหนึ่งทีเดียว
‘แล้วไปได้กับคำว่าพ่อเลี้ยงเหร๊อ’ เธอนึกขันในใจอยู่คนเดียว

เสียง เพลงดังขึ้นเบาๆ ทอรุ้งรีบก้าวเท้ากลับไปที่ห้องนอน มองหาโทรศัพท์มือ ถือ เมื่อหยิบออกจากกระเป๋าถือจึงรู้ว่าไม่ใช่จากเครื่องของเธอ เสียงนั้น ยังดังอยู่เรื่อยๆ เธอหมุนกลับออกมาจากห้องอีกที ยืนหันรีหันขวางหาที่มา ของเสียงก่อนจะเหลือบเห็นเครื่องโทรศัพทืสีเหลืองอ่อนแขวนติดอยู่ที่ผนัง เหนือเคาน์เตอร์
“สวัสดีค่ะ” เธอกล่าวทักทายทันทีที่หยิบออกมาจากที่แขวน
“ครูเจ้า ป้อเลี้ยงมาล่ะ เปิ้นไค่ปะครูเน้อเจ้า” เสียงป้าพรรณดังจากปลายสาย
“จะให้ไปพบตอนนี้เลยเหรอคะ” ทอรุ้งถาม
“ครูสะดวกก่อเจ้า”
....ไม่สะดวกได้เหรอ นายจ้างจะขอดูตัว.... ทอรุ้งแย้งขำๆ ในใจ หากพูดไปว่า
“ได้ค่ะ ขอเวลา 10 นาทีค่ะ”
“เจ้า กำเดียวป้าจะฮื้อนางซอไปฮับเน้อ” ป้าพรรณสั่งอย่างเป็นการเป็นงาน
ทอรุ้งจึงรีบวางโทรศัพท์ เข้าไปหยิบซองเอกสารจากกระเป๋า ก่อนที่จะหันไป สำรวจความเรียบร้อยของใบหน้าและเครื่องแต่งกาย เสื้อยืดโปโลสีฟ้าสด ใส เพ้นท์ลายกล้วยไม้สีเหลือง กับกางเกงยีนส์ลูกฟูกสีน้ำตาลเข้มที่ดู ทะมัดทะแมง เธอไม่ได้คิดว่าต้องเปลี่ยนใหม่เพราะชุดที่แต่งอยู่ก็น่าจะเรียบร้อยพอ แล้ว
นางซอที่ป้าพรรณเป็นผู้หญิงร่างท้วมอีกคนหนึ่ง ...อยู่ที่นี่คงอ้วนไปตามๆ กัน... ทอรุ้งไพล่นึกไปนึก ‘พ่อเลี้ยง’ พุงพลุ้ยอีกคนเช่นกัน หน้าตา ซื่อๆ ยิ้มง่าย คงเป็นหญิงต่างด้าว เธอสังเกตจากสำเนียงที่พูด
นาง ซอเดินนำเธอจากเรือนที่พัก เดินอ้อมเรือนหลังใหญ่ที่ด้านหน้า เมื่อผลัก บานประตูกระจกสีทึบเข้าไป สัมผัสความเย็นที่ได้จากการออกแบบบ้านให้มีการ ถ่ายเทอากาศที่ดี ไม่ต้องพึ่งเครื่องปรับอากาศแต่อย่างใด
จากเครื่องเรือนไม้เพื่อรับแขกสีน้ำตาลที่ออกแบบอย่างกลมกลืน เรียบๆ ง่ายๆ สร้างความรู้สึกอบอุ่นให้กับผู้ที่เข้ามาเยือน ห้องโถงส่วน หนึ่งถูกกันไว้สำหรับเป็นที่ทำงาน โต๊ะทำงานขนาดใหญ่ มีเพียงกล่องใส่ เอกสาร เครื่องจอคอมพิวเตอร์รุ่นล่าสุด หลังเก้าอี้ทำงาน เป็นตู้เก็บ เอกสารขนาดสามชั้น
ที่สะดุดตาคือกรอบรูปไม้สักทองสลักเสลาเป็นเครือไม้อ่อนช้อยขนาดย่อมที่ ประดับภาพถ่ายผู้หญิงคนหนึ่ง ใบหน้าหวานซึ้ง สังเกตจากรูปดวงตาที่เรียว รี ชั้นเดียว ตลอดจนลักษณะเครื่องประดับผม เดาว่าคงเป็นคนที่มีเชื้อสาย จีน ทอรุ้งรู้สึกคุ้นๆ คล้ายเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ขณะที่ทอรุ้งกำลังจะทรุดลงนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน เสียงฝีเท้าหนักๆ กับเสียงพูดเบาๆ จากข้างหลังทำให้เธอชะงักพร้อมกับหันไปมอง
ยิ่งทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจ เพราะคนที่เข้ามาใหม่นั้นคือ ชายที่เธอได้พบ แล้วเมื่อวานนี้ บนรถโดยสารที่เธอนั่งจากตัวจังหวัดมานั่นเอง
“อ้าว! เอ๊ะ...” กลับเป็นเขาที่อุทานขึ้นก่อนทันทีที่เห็นหน้าเธอ
“คุณเองเหรอ โธ่เอ๊ย!”
นางซอเหลียวมองกลับไปกลับมาด้วยความงุนงง
“เชิญนั่งเลยครับ” เขารีบเดินตรงมาและนั่งลงที่เก้าอี้โต๊ะทำงานอย่างไม่พิธีรีตอง พร้อมกับเชื้อเชิญให้เธอนั่งลงเช่นกัน


ทอรุ้งรู้สึกรำคาญเล็กน้อยกับการที่ต้องมานั่งรถโดยสารในวันที่อากาศร้อนอบ อ้าวอย่างนี้ สัมภาระแค่กระเป๋าใบใหญ่ใบเดียวเท่านั้นเอง เด็กท้ายรถช่วย กันยกจนตัวเอียงเก็บไว้ใต้ท้องรถ ทอรุ้งหิ้วเพียงกระเป๋าโน้ตบุ๊คขึ้นไปบน รถรอเวลารถออก
ช่วงบ่ายอย่างนี้ผู้โดยสารไม่ค่อยแน่น นั่งสบายๆ ทอรุ้งจึงสามารถนั่งเบาะ อย่างสบายๆ คนเดียว การเตรียมตัวเดินทางวันนี้ทำเอาเธอเพลียมาก ทั้งยัง จะมาเจออากาศอบอ้าวแบบนี้ เธอคิดว่าเดี๋ยวคงจะนั่งหลับแน่เลย เมื่อคืนก็ ยังหลับดึกอีกด้วย แต่คราวนี้เธอต้องไปรับงานไกลบ้านจึงต้องจัดการสิ่ง ต่างๆทางบ้านให้เรียบร้อย
“รุ้งสนใจงานดูแลเด็กมั๊ยล่ะ” พี่หมอที่คุ้นเคยกันมานานเอ่ยถามขึ้นมาในวันหนึ่ง
“ดูแลเด็กแบบที่ศูนย์นี่เหรอคะ” เธอย้อนถาม
“ก้อคล้ายๆกัน แต่คนนี้ผู้ปกครองเขาอยากได้พี่เลี้ยงแบบอยู่ประจำเลย”
วันนั้นเธอลังเลไม่ได้ตอบรับปากไปทันที งานดูแลเด็กที่เธอไปทำเป็นงานตาม ความพึงพอใจ ที่เธอเลือกทำหลังจากการลาออกจากงานประจำ ประกอบกับรู้จักกับ คุณหมอธีรินทร์เป็นการส่วนตัวมานาน เธอจึงอาสามาช่วยงานดูแลเด็กในศูนย์ พัฒนาเด็กแห่งนี้เท่าที่เธอจะสามารถมาได้
“อย่างรุ้งไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะ พี่ว่า เพราะเจ้าลูกชายทั้งสองก้อโตๆ กันแล้ว” คุณหมอพยายามหว่านล้อม “พ่อของเด็กเขาอยากได้คนดูแลที่มีอายุแล้วก้อความรู้ในการดูแลเด็กออทิสติ กด้วย รุ้งน่ะเหมาะ”
บทสรุปง่ายๆ กับข้อเสนอค่าตอบแทนที่สูงพอสมควร ทำให้ทอรุ้งนำมาคิดและถาม ความเห็นของลูกชาย ซึ่งก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ลูกชายคนโตแม้จะเพิ่งเรียนจบ ก็มีงานทำที่พอจะสามารถดูแลน้องชายที่กำลังเรียนอยู่ในระดับอุดมศึกษา
“แม่จะไปอยู่ได้เหรอ ในสวนจะแบบไหนก้อไม่รู้”
เจ้าคนเล็กตัวสูงไม่วายกังวลเล็กๆ
“อยู่ได้สิ ไม่น่าจะมีอะไรนะ” ทอรุ้งยืนยัน
ความจริงเธอก็ตัดสินใจเองได้แต่ด้วยความคุ้นเคยที่อยู่ด้วยกันสามแม่ลูก ที่มักจะพูดคุยกันเสมอในทุกเรื่อง
ใน ที่สุดเธอก็ตอบตกลงกับหมอธีวินทร์ที่จะเดินทางไปทำงานดูแลเด็กในที่ที่เธอ ยังไม่เคยได้ไปมาก่อน ข้อมูลรายละเอียด ข้อตกลงต่างๆ ล้วนสำเร็จลงไปด้วยคุณหมอเป็นผู้จัดการให้ และวันนี้เธอกำลังเดินทางไปทำ งานกับนายจ้างที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน
มองไปไกลๆ ในทิศทางที่กำลังเดินทาง อดหวั่นวิตกไม่ได้กับเมฆฝนที่ดำทะมึน ข้างหน้า เพราะพี่หมอบอกว่าต้องใช้เวลาเดินทางมากพอสมควร แล้วยังต้องเดิน ทางเข้าไปที่สวนผลไม้อีกต่อหนึ่ง โชคดีที่ทางนายจ้างจะมารอรับที่ท่ารถ ทอ รุ้งเอาโทรศัพท์มาเช็คหมายเลขติดต่อที่พี่หมอเอื้อเฟื้อให้อีก ไม่น่าจะมี ปัญหาอะไรแล้ว
ทอรุ้งนั่งมองออกไปนอกรถพร้อมกลับคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเพลินๆ จนเคลิ้ม หลับไป สักพักเธอต้องตกใจตื่นขึ้นมาเมื่อรู้สึกมีอะไรมากระทบแขนแรงๆ จน ต้องลืมตาขึ้นมา
“อ๊ะ! อ๊า!” เสียงร้องใสๆ ที่ไม่เบานักดังขึ้น ทอรุ้งลืมตาขึ้นมาก็พบ ดวงตาดำขลับใสแจ๋วของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนถุกอุ้มมาจ่อมวางที่ เบาะนั่งเดียวกับเธอโดยไม่ทันระวัง เท้าคู่น้อยในรองเท้าผ้าใบจึงเหยียบลง บนท่อนแขนของเธอเต็มๆ
“โอ๊ะ! ขอโทษครับ นึกว่าว่าง” เสียงห้าวๆ ดังมาจากด้านหลังก่อนที่จะชะโงกหน้ามา
“ไม่ เป็นไรค่ะ นั่งได้” เธอตอบพลางขยับให้เด็กหญิงตัวน้อย ขาว บาง เหมือน ตุ๊กตาแก้ว ร่างสูงใหญ่จึงนั่งลงอีกด้านหนึ่งก่อนที่จะโอบร่างน้อยๆบางๆ นั้นไปกอดอย่างทะนุถนอม
“อ๊ะ!” เด็กน้อยส่งเสียงดังแจ้ว ทอรุ้งต้องหันกลับไปมองอีกครั้ง แก้มใส บาง ขาวซีดๆ ปากบางสีแดงสดระบายยิ้มพร้อมกับส่งเสียงที่ฟังไม่เข้าใจ ผู้ เป็นพ่อเหลือบมองดูทอรุ้งอย่างเก้อๆ
“ขอโทษนะครับ” เขาพูดเบาๆ ดึงมือลูกสาวที่กำลังเอื้อมไปแตะกำไลหยกที่ข้อ มือทอรุ้งอย่างใคร่รู้ แต่ดูเหมือนเด็กน้อยจะไม่สนใจ ยังคงส่งเสียงคล้ายพยายามพูดแต่เสียงที่เปล่งออกมาไม่มีใครเข้าใจได้เลยนอก จากผู้เป็นพ่อ
“ลูกสาวพูดไม่ได้ครับ เพิ่งไปผ่าตัดใต้ลิ้นมาเกือบสองเดือนเองครับ” เขา อธิบายท่าทีผ่อนคลายกว่าทีแรก เมื่อเห็นทอรุ้งไม่ได้แสดงท่าทางรังเกียจลูก สาว ทอรุ้งมองด้วยความทึ่ง เด็กน้อยยังสนใจกำไลหยกโดยพยายามจะเอื้อมมือ จับข้อมือของเธอ ทอรุ้งส่งข้อมือให้อย่างไม่ได้นึกรังเกียจแต่อย่างใด นอก จากความรู้สึกเอ็นดู
อดสังเกตลักษณะของเด็กน้อยไม่ได้ อายุไม่น่าเกิน 3 ขวบเพราะตัวเล็กเหลือ เกิน สายตาที่มองดูเลื่อนลอย เธอมักจะมองเลยไปไกลกว่าคนที่นั่งอยู่ตรง หน้า ชี้ดูสิ่งนั้นสิ่งนี้ ส่งเสียงอ้อแอ้วุ่นวาย ผู้โดยสารหลายคนที่ นั่งที่นั่งใกล้ๆ เริ่มหันมาด้วยสายตาที่บอกความรู้สึกที่แตกต่างกัน ตำหนิ ติเตียน รำคาญ เวทนา อยากรู้อยากเห็น ใบหน้าที่รกด้วยหนวดเคราหันมามอง ทอรุ้งด้วยความรู้สึกอึดอัด หวาดระแวง แต่เมื่อเห็นหญิงสาวมีกิริยาที่ เป็นมิตรต่อลูกสาว แววตาที่มองมาจึงคลายความอัดอึดลงไปบ้างหากยังคงหวาด ระวัง
...อืม เด็กคนที่จะต้องไปดูแลจะเป็นยังงี้รึป่าวนะ.... ทอรุ้งนึก สงสัย พี่หมอไม่ได้ให้รายละเอียดมากนักบอกแค่เพียงว่าเป็นเด็กออทิสติ ก อื่นๆ ก็คงต้องไปพูดคุยกับผู้ปกครองของเด็กเอง
“เด! เด!” เด็กน้อยส่งเสียงพร้อมกับเอามือเล็กมือนั้นตีไปที่ท่อนแขนผู้เป็นพ่ออย่างแรง “อ๊า!”
เธอ ชี้มาที่ทอรุ้ง พยามยามส่งเสียงที่เข้าใจกันเฉพาะสองพ่อลูก ผู้เป็นพ่อ ยิ้มให้อย่างเอ็นดูก่อนที่จะก้มลงพูดกับลูกเบาๆ แต่ดูท่าทางอีกฝ่ายจะไม่ รับรู้กลับส่งเสียงดังมากขึ้นและพยายามดึงมืออกจากการเกาะกุมของพ่อ มาจับ แขนของทอรุ้งและพยายามจะพูดด้วย
“อย่ายุ่งน้าลูก”
“คะ!”
“เอ่อ....น้องฝันคงสนใจที่คุนกำลังฟังอยู่มั้งครับ” เขาอธิบายเบาๆ กับทอรุ้ง ด้วยความอึดอัดอีกครั้งกับสายตาของผู้โดยสารสาวสวยเบาะหน้าที่ หันมามอง
“อ่อ....ไม่เป็นไรค่ะ” ทอรุ้งตอบ และถอสายดหูฟังข้างหนึ่งส่งให้เด็กน้อย “ฟังด้วยกันค่ะ”
เธอเหน็บหูฟังให้ เมื่อน้องฝันได้ยินเสียงเพลงจากเครื่องเล่นตัว จิ๋ว ทุกอย่างจึงดูสงบลง ผู้เป็นพ่อกล่าวขอบคุณทอรุ้งอย่างเกรงอกเกรงใจ

ทอรุ้งทิ้งตัวลงบนเตียงที่สะอาดเอี่ยม ความเย็นฉ่ำของเครื่องปรับอากาศใน ห้องพักช่วยผ่อนคลายอาการวิงเวียนและความเหนียวหนับเนื้อตัว ในที่สุดเธอก็ เดินทางมาถึงเมืองฝางหลังจากที่นั่งรถจากตัวเมืองเชียงใหม่ร่วม 3 ร่วมชั่วโมง เส้นทางที่คดเคี้ยวในขุนเขาทำให้เธอมีอาการวิเวียนเมารถพอ สมควร ทั้งยังต้องหงุดหงิดอีกกับการผิดนัดของนายจ้าง
“ป้อเลี้ยงไปเวียง ยังบ่ ปิ๊กมาเตื่อ” คำตอบจากแม่บ้านที่รับโทรศัพท์ “รถตี้สวนก่อซ้ำมาหลุ เลยบ่ มีรถไปฮับครู ครูเข้าพักตี้โรงแรมก่อนเน้อเจ้า”
คุณแม่บ้านก็ได้จัดแจงให้เธออย่างคล่องแคล่วพร้อมแนะนำที่พักให้เสร็จ สรรพ ซึ่งดูเหมือนจะคุ้นเคยกับการจัดหาที่พักพอสมควร เพราะเธอสามารถเข้า ที่พักตามคำแนะนำอย่างสะดวกสบาย และยังได้รับคำตอบว่าจะส่งรถมารับในพรุ่งนี้เช้า เธอจึงรู้สึกคลายกังวลไป พอสมควร
ทีแรกทอรุ้งคิดว่าจะออกไปเดินเที่ยวดูร้านรวง หลัง การอาบน้ำเพื่อทำความรู้จักกับถิ่นใหม่ที่เธอจะมาอยู่ร่วมปีตามสัญญาว่า จ้าง แต่ครั้นทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยจริงทอรุ้งก็เปลี่ยนสั่งอาหารขึ้นมา ที่ห้องและพักผ่อนเท่านั้น








 

Create Date : 07 กันยายน 2551    
Last Update : 7 กันยายน 2551 22:52:28 น.
Counter : 171 Pageviews.  

1  2  

ไม้ฝาง
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








เมื่อ....ความรัก....ทักทาย...จาก...ปลายฟ้า
ถึง...แก้วตา...จอมใจ...คนในฝัน
บินข้ามธาร....ผ่านขุนเขา...เงาตะวัน
ตามรอยจันทร์....นำทาง....ระหว่างเรา
อุ่นไอ....รัก....ถักทอ....ก่อ....เป็นผืน
ยามค่ำคืน....ห่มกาย....ใจ...คลายเหงา
ความคิดถึง....ขึงเปลน้อย....คอยนงเยาว์
จะไกวกล่อม...ขวัญเจ้า....เข้านิทรา
เพลงความรัก....ขับขาน......อาบลานฝัน
ท่ามกลาง...จันทร์...มองเมียง...เยี่ยงอิจฉา
จึง...ลับหาย...กรายเข้า..เงา...เมฆา
ปล่อยรักแนบ,,,แอบ...อุรา...อย่างเต็มใจ
เมื่อความรัก....ทักทาย.....จากปลายฟ้า
ขอแก้วตา....จอมขวัญ....อย่าหวั่นไหว
เพียง....มี...เรา...เท่าที่เห็น....ความเป็นไป
ความห่วงใย.....ที่เป็นเรา..เท่าที่มี





Google
Friends' blogs
[Add ไม้ฝาง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.