a woman of strength has faith that it is in the journey...that she will become strong...
Group Blog
 
All blogs
 
รุ้งทอฝัน # 6 เรื่อง โดย ฝากรักฟากฟ้า








ทิวต้นส้มที่เรียงรายสูงๆ ต่ำๆ ไล่ไปตามเนินเขา ดูกว้างใหญ่ไพศาลเรื่อยขึ้นไปตามความสูงชันของไหล่เขา ทำ ให้ทอรุ้งเกิดความสงสัยเสมอว่า เวลาเก็บส้มคนงานจะทำอย่างไร ตอนนี้ส้มยัง ไม่สุกเต็มที่ ยังเป็นสีเขียวเข้ม คนงานสวนแบ่งกลุ่มกันไล่ตัดผลส้มทิ้ง บางส่วนเพื่อช่วยลดปริมาณผลส้มในพวงและรักษาคุณภาพของรสชาด ป้าพรรณมักจะ เอาส้มนอกฤดูวางไว้ในตะกร้าผลไม้บนโต๊ะอาหารทุกมื้อ
แต่ละต้น มีไม้ไผ่ที่ผ่าซีกค้ำยันประคองกิ่ง ที่หนักไม่ให้หักลง ส่วนหนึ่งของสวน เป็นเนื้อที่ของสวนลิ้นจี่ที่เพิ่งถูกเก็บผลผลิตหมดไปไม่นาน ต้นลิ้นจี่สูง ใหญ่ เป็นพุ่มหนา จนทำให้บริเวณส่วนนั้นเป็นป่ากลายๆ ร่มรื่น โชคดีที่ ในสวนมีลำธารเล็กๆ ไหลผ่านจึงในทำให้มีน้ำใช้ แต่ปราชญ์เคยพูดให้เธอฟัง อยู่ว่า ต้องระวังไม่ให้เกิดปัญหาการใช้น้ำสำหรับสวนที่อยู่ถัดไป เพราะ เขาเองก้อไม่ใช่คนในพื้นที่โดยกำเนิด ไม่อยากให้ถูกมองว่าเป็นนายทุน
ทอรุ้งกดชัตเตอร์กล้องถ่ายรูปตัวเล็กเก็บภาพสวนส้มและสวนลิ้นจี่อย่างเพลิด เพลิน เธอไม่ได้เดินเข้าไปในส่วนของสวน เพียงแต่เดินไปตามทางขึ้นเนินเขา จากด้านสนามหลังบ้าน จุดที่เธอกำลังยืนอยู่เป็นจุดที่อยู่สูงสามารถมองลง เห็นบริเวณอาณาเขตสวนตลอดไปจนถึงทั่วหมู่บ้านสุดลูกหูลูกตา เบื้องหลังเป็น เขาสูงสลับซับซ้อนกั้นพรมแดนระหว่างไทยกับพม่าด้านตะวันตกเฉียง เหนือ บริเวณบ้านจะแยกอยู่คนละส่วนของสวนโดยมีลำธารเล็กๆ กั้นส่วนไว้ บ้านถูกบดบังด้วยต้นไม้หลากหลายที่นำมาปลูกประดับได้อย่างลง ตัว
“ที่ตรงนี้คุณปราชญ์มาซื้อไว้ก่อน แล้วค่อยๆ ขยายไปซื้อที่สวนมาทำ”
ป้าพรรณเคยเล่าให้ฟังเป็นความรู้พร้อมกับชี้มือกวาดไปให้ดูความกว้างใหญ่ของสวน
“ช่วงที่เขาพ่นยาส้ม ครูรุ้งก้ออย่าเพิ่งเข้าไปนะคะ กลิ่นยามันเหม็น เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”
กลิ่นสารเคมีที่ฉีดพ่นกลิ่นฉุน รุนแรงจริงๆ เมื่อครั้งแรกที่ได้กลิ่นเธอ ถึงกับรื้อค้นทุกซอกในเรือนพัก ด้วยเข้าใจว่ามีอะไรมาเน่าเหม็นจนเด็กแสง จิ่งมาเฉลยนั่นแหละ
ทางเดินขึ้นเล็กๆ ที่ไล่สูงขึ้นไปคล้าย ไม่ค่อยมีใครเดินผ่านไป แต่กลับชวนให้อยากเดินต่อ บ่ายวันนี้เป็นวันว่าง เพราะน้องฝันนอนหลับหลังมื้ออาหารกลางวัน
ในตอนแรกๆ ปราชญ์ไม่เห็นด้วยเท่าไหร่นักแต่เธอยืนยันที่จะให้เด็กน้อยได้พักผ่อน
“วัยนี้ต้องได้หลับกลางวัน จะดีต่อสุขภาพค่ะ ร่างกายแล้วก้อสมองเจริญเติบโตเต็มที่”
แต่ กว่าจะให้น้องฝันคุ้นเคยกับการหลับกลางวันก็ยากเอาการ เธอต้องเปิดเพลงและเล่านิทานให้ฟังเสมอ พัฒนาการของน้องฝันเป็นไปช้าๆ หากเปรียบเทียบกับเมื่อเธอมาดูแลครั้งแรก น้องฝันนับว่าดีขึ้นเป็นลำดับ
พรุ่งนี้ปราชญ์ต้องพาน้องฝันไปพบหมอที่ศูนย์ฯ อีก เธอได้จัดเตรียมรายงานพัฒนาการไว้เพื่อให้หมอประจำตัวของน้องฝันได้ อ่าน
“พรุ่งนี้ครูรุ้งคงต้องไปด้วยนะครับ เพื่อหมออยากจะได้คุยกับครูด้วย”
เขาสั่งไว้ เธอเองก็คิดอยู่ว่าจะขอตามไปในตัวเมืองเชียงใหม่ด้วยเช่นกัน

ทอรุ้งคิดเพลินขณะที่เดินขึ้นไปตามทางเล็กๆ นั้น จนสุดทางเดินเป็นลานดินแคบๆ รกเรื้อด้วยต้นไม้ คงจะสูงพอประมาณเมื่อมองลงไปจะเห็นหมู่บ้านไกลๆ ได้ยิน เสียงน้ำในลำธารไม่ดังนัก เงียบสงบ
เธอยกกล้องคู่มือขึ้นเก็บภาพทิวทัศน์เบื้องล่างและต้นไม้ บริเวณนั้นจนลืม สังเกตกลุ่มเมฆสีเทาเข้มจากบนยอดดอย จู่ๆ เม็ดฝนก็โปรยปรายลงมาและมีท่าทีจะตกหนักขึ้น ทอรุ้งรู้สึกละล้าละลังด้วย ไม่รู้จะทำอย่างไร เธอหันไปมองหาที่ที่พอจะหลบฝน
พลันเหลือบไปเห็นโพรงที่ถูกคลุมด้วยเถาวัลย์ที่ไม่ได้สังเกตแต่แรก เธอจึงรีบแทรกตัวไป...คงพอหลบฝนได้บ้าง..
“เดินเข้ามาอีกหน่อยก้อได้ครับ ครู”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากส่วนที่ลึกเข้าไป ทอรุ้งสะดุ้งเฮือก มือไม้เย็น เฉียบ เธอหันขวับไปจ้องมองฝ่าความมืดภายใน สักครู่เธอจึงค่อยๆ เห็นแสง สว่างที่เรื่อเรืองจากดวงไฟดวงเล็กๆ ร่างหนึ่งลุกขึ้นยืนทะมึน ทอรุ้งเซ ผงะถอยหลังออกไป
“ผมเองครับครู”
ร่างนั้นเคลื่อนตัวเข้าอย่างรวดเร็ว สายตาที่ชินต่อความมืดจึงรู้ว่าเป็นเงาร่างที่คุ้นตา
“ตกใจเหรอครับ”
“ อ่ะ เอ่อ ...ค่ะ ม่ะ..ไม่คิดว่าเป็นคุณปราชญ์” เธอพูดตะกุกตะกัก ก้าวถอยหลังออกไป อีกอย่างไม่รู้ตัว ปราชญ์เอื้อมมือมาคว้าแขนเธอดึงกลับเข้ามา
“ระวังครับ ฝนตก ถนนลื่น” เขาไม่วายพูดหยอก
เธอรู้สึกถึงลมหายใจที่รดบนเรือนผมจนต้องเบี่ยงตัวออกจากการจับกุมของ เขา หากเขาไม่ยอมปล่อยกลับเปลี่ยนเป็นจูงมือเธอเข้าไปด้านใน
แท้จริงโพรงนี้อยู่ในชะง่อนผาที่ยากจะสังเกตจากภายนอก ภายในไม่กว้าง มาก แค่พออยู่ได้สองคนสบายๆ ด้านในสุดลึกพอจะหลบฝนได้ แสงสว่างที่เรื่อ เรืองนั้นมาจากตะเกียงน้ำมันดวงเล็ก พอให้เห็นภายใน
ปราชญ์พาเธอมานั่งลงที่เก้าอี้สนามตัวเล็ก ข้างเก้าอี้เป็นหีบใบเขื่องซึ่ง น่าจะเป็นลังไม้ เขายกฝาขึ้นค้นหาอะไรกุกกักอยู่ ก่อนจะยกเก้าอี้สนามแบบ พับอีกตัวนหนึ่งออกมากางนั่งอีกด้านหนึ่งของลังไม้
“ที่ปลีกวิเวกของผมครับ” เขาพูดแบบชวนคุย “ไม่ค่อยมีใครรู้ นอกจากผมกับป้าพรรณ”
เขาเปิดลังไม้อีก คราวนี้ส่งผ้าผืนใหญ่ นุ่มให้เธอ
“เอาคลุมตัวหน่อยครับ ตัวเปียก เดี๋ยวไม่สบาย”
น้ำเสียงเชิงสั่งกลายๆ ทอรุ้งกล่าวขอบคุณก่อนเอื้อมมือไปรับมาทำตามที่ เขา ‘สั่ง’ พลางเหลือบไปมองลังไม้ให้นึกสงสัยว่าจะมีอะไรอีก ...รถยนต์ มั้ง.... ดูเหมือนเขาจะมองเห็นความสงสัยของเธอในแววตา
“ผมเอาสัมภาระแบบเดินป่ามาเก็บในลัง บางทีผมอยากจะตัดความวุ่นวายบ้าง ผมก้อแอบมาที่นี่”
“ค่ะ”
“ป้าพรรณจะไม่ให้ใครมายุ่งแถวนี้”
“ดิฉันเดินมาเที่ยวด้านหลัง ไม่ได้ตั้งใจค่ะ” ทอรุ้งทำเสียงขุ่น
“ครับ ผมรู้”
...รู้ได้ไง....
ดูเหมือนปราชญ์จะชอบตอบคำถามในแววตาคู่นั้นเสมอ
“ผมเห็นคุณเดินขึ้นมาแล้ว ไม่คิดว่าจะขึ้นมาจนถึงข้างบน”
“ค่ะ” ทอรุ้งตอบเบาๆ ก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่น ปกติแล้วเธอกับนายจ้าง หนุ่มใหญ่วัยไล่เลี่ยกันนี้ ยังไม่เคยอยู่ตามลำพังในที่คับแคบแบบ นี้ เสียงฝนที่ตกข้างนอกยังคงกึก้องให้รู้ว่าตกหนักเพียงใด โชคดีที่โพรง นี้ลึกพอไม่ให้ละอองฝนกระเซ็นเข้ามาได้
“มาอยู่เกือบสองเดือน เริ่มคุ้นกับชีวิตในสวนรึยังครับ ครู” เขายังคงชวนคุยไปเรื่อยๆ
“ก้ออยู่ได้ค่ะ ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ” ทอรุ้งยิ้มขณะที่ตอบ ปราชญ์รู้สึกชอบมองกิริยานี้ของเธอเสมอ
“ทุกคนใจดีกับดิฉันมาก”
“ผม ด้วย” เขาโมเมตามหน้าตาเฉย ทอรุ้งเหลือบมองอย่างนึกฉงน “ความจริงครูน่า จะเรียกชื่อตัวเองมากกว่านะครับ อย่างเวลาคุยกับป้าพรรณ”
แต่เธอไม่ตอบด้วยไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร
“บางคืนผมเห็นครูรุ้งทำงานดึกจัง ไม่เหนื่อยเหรอครับ”
“ไม่หรอกค่ะ ชินค่ะ คือ..เขียนบทความส่งให้เพื่อนค่ะ”
“เป็นนักเขียนเหรอ”
“เปล่าค่ะ แค่บทความเล็กๆ เท่านั้นเองค่ะ”
“แล้วส่งยังไงครับ ไม่เห็นครูเข้าไปเวียง”
“อ๋อ! ส่งทางเมล์ค่ะ”
...ทันสมัยไม่เบาเลย ครูคนนี้...
“พรุ่งนี้เข้าเชียงใหม่ ครูจะไปธุระที่ไหนบ้างรึป่าวครับ”
“มีค่ะ ดิ..เอ่อ พอดีมีนัดค่ะ” ทอรุ้งบอกสั้นๆ ละคำเรียกชื่อตัวเองไปเฉยๆ
....สงสัยนัดเจ้าหมอแหง ยังงี้ต้องให้น้องฝันประกบไว้ก่อนดี กว่า.... ปราชญ์รู้สึกไม่เข้าใจตนเองที่ทำไมจู่ๆ จึงคิดไปอย่างนั้น
“เตรียมอะไรไปฝากคนเชียงใหม่รึป่าวล่ะครับ”
เมื่อใจเกิดเกเร น้ำเสียงของเขาจึงปิดไม่ค่อยมิด แต่อีกฝ่ายยังมีท่าทีไม่รู้สึกรู้สมอย่างใด
“ไม่หรอกค่ะ แค่ไปเจอเท่านั้นก้อพอค่ะ”
คนตอบตอบไปอย่างปกติ แต่คนฟังกลับทำหน้าบึ้งอยู่ใต้หนวดเครานั้น
“เขาคงดีใจนะครับ”
“ค่ะ ไม่ได้เจอกันนาน”
...แม่คู้ณ ดูจะดีใจจนปิดไม่ได้เชียวนะ....
ปราชญ์ นั่งจ้องดูครูของลูกสาว ผมที่เปียกฝนลุ่ยกรอบหน้าแฉล้ม เจ้าตัวไม่ได้สนใจ จะปัดหรือจะทำให้เรียบร้อยกว่านี้ ใบหน้าไร้เครื่องสำอางค์แต่ยังชวนให้มอง ไม่เบื่อตา ต่างกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง คนนั้นแทบไม่มีครั้งใดที่ปราศจาก เครื่องสำอางค์
“ดูเหมือนฝนจะหยุดแล้วค่ะ” เธอพูดอย่างกระตือรือร้นพร้อมกับลุกขึ้นพับเก็บ ผ้าผืนนุ่มนั้น ปราชญ์กลับลุกขึ้นเก็บของอย่างอ้อยอิ่ง
“ป่านนี้น้องฝันคงตื่นแหละ”
“ครับ”
เขาเก็บของลงไว้ในลังไม้เหมือนเดิม ก่อนจะดับตะเกียงน้ำมัน เขาบอกให้เธอออกไปรออยู่ที่ปากโพรง สักครู่เขาจึงเดินตามออกมา
ทอ รุ้งค่อยๆ เดินลงทางเดินป่าแคบๆ ซึ่งหลังจากฝนเพิ่งหยุดทางเดินที่เปียกชื้นยิ่งเพิ่มความเฉอะแฉะทำให้เดิน ลำบากยิ่งขึ้น เธอคอยเหนี่ยวกิ่งไม้ข้างทางขณะลงทางลาดชัน บางแห่งยังมี น้ำไหลลงมาเป็นทางเล็กๆ ดินร่วนร่วงพรูตามเท้าที่ย่ำลงไป
“ค่อยเดินลงนะครับ ทางลื่น”
ปราชญ์คอยบอกเตือนเป็นระยะ บางครั้งเขาพยายามส่งมือไปให้จับแต่ครูทอรุ้งกลับคว้าเพียงกิ่งไม้ตามทาง
...ท่าทางดื้อเอาการอยู่แฮะ....
เขามองดูทอรุ้งที่กำลังค่อยๆ ย่ำลงไปก้อนหินที่ดินรอบๆ ถูกน้ำฝนชะร่วงไปไป ตะไคร่น้ำที่คลุมเป็นเมือก ลื่น เธอขยับเท้าไปมาเพื่อหยั่งดูว่าดินรองรับนั้นจะอ่อนยุบตัวไปหรือ ไม่ ปราชญ์จึงส่งมือให้อีกครั้งเมื่อเธอเงยหน้าเหลียวมองหากิ่งไม้ที่จะ เหนี่ยวพยุงตัว
“จับมือผม เดี๋ยวลื่น”
ทอรุ้งเพียงหันมายิ้มบางๆ แต่ยังคงไม่ส่งมือให้เหมือนเดิม
“ขอบคุณค่ะ ไม่เป็นไร พอด่ะ......!!!!”
“อ๊ะ! ทอรุ้ง ระวัง!”
ปลายมือเอื้อมไปคว้าไม่ทัน ร่างอ้อนแอ้นนั้นลื่นไถลลงไปจนได้ เขากระโจน ตามโดยไม่คิดแต่ความที่คล่องตัวในการเดินป่ากว่า ทำให้เขายังทรงตัวยืนอยู่ ได้ แต่คุณครูของลูกสาวกลับล้มนั่งกับโคลนเปียกๆ ขาข้างหนึ่งเหยียดไปข้าง หน้า อีกข้างหนึ่งงอพับ รองเท้าผ้าใบเลอะโคลนสีดำไปเต็มๆ เช่นกับกางเกง ลูกฟูกสีดำและเสื้อยืดคอกลมสีน้ำตาล ตัวเอียงโดยมีศอกข้างซ้ายยันตัว ไว้ มืออีกข้างชูกล้องถ่ายรูปไว้
“เป็นไงมั่งครับ เจ็บตรงไหน”
เขาถามอย่างเป็นห่วง แต่เจ้าตัวกลับเงยหน้าขึ้นมองยิ้มฝืนๆ
“กล้องยังอยู่ค่ะ”
“ผมไม่ได้ถามเรื่องกล้อง”
เขาทำเสียงฮึ่มฮั่มในคอทั้งฉุนทั้งขำคนรั้นที่อยู่ตรงหน้า ทอรุ้งยิ้มจืดๆ หลบตาเข้มคู่นั้น
....หนวดกระดิกเลย หว่า....
เขาคุกเข่าลงข้างตัวพร้อมกับค่อยๆ ขยับขาที่พับอยู่
“เจ็บมั๊ยครับ”
ทอรุ้งพยายามเบี่ยงตัวหลบแต่เขาไม่ได้สนใจ เธอทำได้เพียงกัดฟันไม่ส่งเสียงครางเมื่อรู้สึกแปลบที่ข้อเท้า
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เจ็บ ล้มนิดเดียว”
“นิดเดียวอะไร ยังกะช้างตกดอยแน่ะ”
เขาตอบอย่างนึกหมั่นไส้คนปากแข็ง ผลก็คือตาคมคู่นั้นยิ่งเข้มขึ้น ริมฝีปากแดง เต็มอิ่มเม้มแน่น
“ช้างตัวเล็กๆ ครับ”
ไม่เคยคิดว่าเขาจะชอบยั่วโมโหคนได้เหมือนกันแม้ในยามนี้ ทอรุ้งใช้มือซ้าย ยันตัวขึ้น มือขวายังไม่ยอมปล่อยกล้องถ่ายรูป ทั้งยังเบี่ยงตัวออกจากการ พยุงของนายจ้างหนุ่มใหญ่
“ขอบคุณค่ะ ไม่เจ็บอะ...โอ๊ย!”
ทอรุ้งเซเกือบถลาล้มอีกแต่คราวนี้เขาคว้าตัวได้ทัน แขนที่แข็งแรงรวบร่างนั้นไว้
“อย่ารั้นนักเลย ครู”
เมื่อปราชญ์ทำเสียงเข้ม ทอรุ้งจึงได้แต่นิ่งเงียบ





Create Date : 10 กันยายน 2551
Last Update : 10 กันยายน 2551 22:38:34 น. 0 comments
Counter : 143 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ไม้ฝาง
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








เมื่อ....ความรัก....ทักทาย...จาก...ปลายฟ้า
ถึง...แก้วตา...จอมใจ...คนในฝัน
บินข้ามธาร....ผ่านขุนเขา...เงาตะวัน
ตามรอยจันทร์....นำทาง....ระหว่างเรา
อุ่นไอ....รัก....ถักทอ....ก่อ....เป็นผืน
ยามค่ำคืน....ห่มกาย....ใจ...คลายเหงา
ความคิดถึง....ขึงเปลน้อย....คอยนงเยาว์
จะไกวกล่อม...ขวัญเจ้า....เข้านิทรา
เพลงความรัก....ขับขาน......อาบลานฝัน
ท่ามกลาง...จันทร์...มองเมียง...เยี่ยงอิจฉา
จึง...ลับหาย...กรายเข้า..เงา...เมฆา
ปล่อยรักแนบ,,,แอบ...อุรา...อย่างเต็มใจ
เมื่อความรัก....ทักทาย.....จากปลายฟ้า
ขอแก้วตา....จอมขวัญ....อย่าหวั่นไหว
เพียง....มี...เรา...เท่าที่เห็น....ความเป็นไป
ความห่วงใย.....ที่เป็นเรา..เท่าที่มี





Google
Friends' blogs
[Add ไม้ฝาง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.