Meooowww =^w^=
|
||||
Inception - จิตเป็นใหญ่
คำเตือน สปอยล์ - บทความนี้เฉลยตอนจบของภาพยนตร์... ย้ำ... เฉลยตอนจบนะคร้าบบบบ เราเตือนคุณแล้ว ฮ่าๆๆ ผมเขียนบล็อกนี้ที่ความสูง 38500 ฟุต ตามประกาศของกัปตันของเที่ยวบิน UA882 ที่กำลังมุ่งหน้าสู่สนามบินนาริตะประเทศญี่ปุ่น ... ที่เขียนข้างบนนั่นไม่ใช่จะอวดอะไรหรอกนะครับ เพียงแค่เห็นคอลัมน์นิสต์ชื่อดังบางท่านชอบเกริ่นนำแบบนี้ เลยอยากลองเลียนแบบดูบ้าง ลองดูแล้ว ผมว่ามันก็เข้าท่าดีเหมือนกันแฮะ ^^" เข้าเรื่องเลยดีกว่า... คุณเคยตื่นขึ้นมาแล้วจำไม่ได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน หรือมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงบ้างไหม คุณเคยไหมที่ตื่นขึ้นมา เพื่อจะพบว่าตัวเองยังหลับ และกำลังฝันอยู่ในความฝันของตัวเองอีกที ผมเคยครับ ... และเป็นแบบนี้อยู่บ่อยๆ ซะด้วย ดังนั้น ตอนแรกที่หนังเข้าโรง ผมจึงไม่ได้สนใจสักเท่าไร ด้วยว่าตัวผมเองเคยชินกับการฝันซ้อนฝันซะแล้ว และหนังประเภทที่เกี่ยวกับโลกซ้อนโลก ใครสักคน แอบเข้าไปดูความฝันของคนอื่น ก็มีให้เห็นมาหลายเรื่องแล้ว พอหนังออกแผ่นถึงได้ไปหามาดู ... บอกตามตรงว่าเสียดาย เสียดายที่ไม่ได้ไปดูในโรง ได้ดูหนังของคริสโตเฟอร์ โนแลนมาตั้งแต่ Memento เห็นได้ชัดเลยว่าโนแลน มักจะสร้างตัวละครที่มีปมในใจ ซึ่งผู้ชมบางคนก็อาจจะมีปมคล้ายๆ กันกับตัวละครนี้ การได้ดูหนังของโนแลนจึงเหมือนได้ทำให้เราได้สำรวจจิตใจของตัวเองไปด้วย ซึ่งใน Inception นี้ โนแลนได้ใช้ชั้นเชิงในการเล่าเรื่องได้ดีมีทั้งการเล่าเรื่องย้อนหลัง ทั้งเล่าแบบคู่ขนาน ซึ่งพอดูๆ ไปก็จะเริ่มเกิดคำถามในใจผู้ชม อย่างเช่น เรื่องตรรกะ และกฎของการแชร์ฝัน การปลุกให้ตื่นจากฝัน แต่หนังก็ไม่ได้ปล่อยให้คนดูงงไปตลอด เพราะระหว่างที่ตัวละครทุกตัวกำลังพยายามทำภาระกิจให้ลุล่วง ก็จะมีบทสนทนา หรือมีเหตุการณ์บางอย่างที่มาเฉลยปมออกไปทีละปมจนหมด ... แล้วก็มาทิ้งปมใหญ่เอาไว้ตอนจบเรื่อง ว่าตกลงแล้ว ลูกข่างมันจะหยุดหมุนหรือเปล่าหว่า??? ถึงผมจะเขียนไว้ว่าหนังได้เฉลยปมคำถามออกมาหมดอยู่ในตัวเองแล้ว แต่เท่าที่ได้คุย และอ่านจากบล็อกของท่านอื่นๆ ก็พบว่าไม่มีใครเลยที่ดูหนังเรื่องนี้รอบเดียว แล้วเข้าใจทุกอย่าง (ยกเว้นพวกที่อ่านรีวิวแล้วก่อนจะไปดูหนัง) ส่วนตัวผมเอง กว่าจะเขียน entry นี้จบก็ดูไปแล้ว 4 รอบ เรียกว่าใช้แผ่น DVD ได้คุ้มค่าจริงๆ หลักสำคัญที่หนังนำมาใช้นั้นตรงกับคำสอนของพระพุทธองค์ ว่า "จิตเป็นใหญ่ กายเป็นรอง" เพราะว่าเรารับรู้การดำรงอยู่ของทุกสรรพสิ่งในจักรวาลเราผ่านทางประสาทสัมผัสทั้ง 5 และแต่จิตเป็นผู้ปรุงแต่งออกมาเป็นการรับรู้ทั้งมวล จึงมีตัวอย่างให้เห็นได้บ่อยๆ ว่าเหตุการณ์อย่างเดียวกัน แต่คนสองคนอาจจะรับรู้ไม่เหมือนกัน จิตสามารถสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ให้เป็นจริงขึ้นมาได้ ซึ่งถ้าจิตมีความหลงเชื่อที่ผิดแล้ว ย่อมจะเกิดความวิบัติต่อร่างกายผู้เป็นเจ้าของจิตนั้นอย่างแน่นอน อย่างเช่นค็อบบ์ พระเอกของเรื่องนี้ ต้องติดอยู่ในความฝันชั้นลิมโบร่วมกับมอลผู้เป็นภรรยา เวลายิ่งผ่านไปมอลก็ยิ่งคิดว่าฝันชั้นลิมโบนี้แหละคือความเป็นจริง และไม่มีทางที่ค็อบบ์จะเกลี้ยกล่อมได้ สุดท้ายค็อบบ์จึงเลือกที่จะทำ Inception ปลูกฝังความคิดเล็กๆ ลงไป แล้วปล่อยมอลเป็นผู้ขยายความคิดนั้น เสมือนว่าเป็นเรื่องที่มอลคิดขึ้นมาเองโดยที่ค็อบบ์ไม่ได้ไปบังคับอะไร และสุดท้ายทั้งคู่จึงได้กลับสู่โลกความเป็นจริง แต่ค็อบบ์คาดไม่ถึงว่า การปลูกฝังความคิดครั้งนั้นจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่ความสูญเสียครั้งใหญ่ ซึ่งจุดนี้ก็เป็นปมสำคัญที่อยู่ยาวตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องจนกระทั่งตอนจบ แนวคิดของหนังเรื่องนี้จึงตอกย้ำว่า ไม่ว่าเหตการณ์ภายนอกจะหมุนเวียนเปลี่ยนผันสักเท่าไร แต่ความสุขและความทุกข์ของคนนั้นขึ้นอยู่กับภายในจิตใจของเรานี่เอง และเมื่อจิตเป็นสิ่งสำคัญที่สุดแล้ว เราจึงควรดูแลสุขภาพจิตของตัวเอง และให้ความใส่ใจกับความรู้สึกของคนใกล้ตัว ก่อนที่ปมในใจจะใหญ่มากขึ้นจนไม่สามารถแก้ไขได้ ป.ล. 1 entry นี้ ผมเขียนแล้วก็ลบ แล้วเขียนใหม่หลายรอบมากๆ ไม่รู้เป็นไงพอพูดเรื่องการปลูกฝังความคิด แล้วมันคอยจะเขียนพาดพิงเรื่องการเมืองอยู่เรื่อย ป.ล. 2 กว่าจะเขียน entry นี้จบ ผมต้องเอาหนังมานั่งดูใหม่ถึง 4 รอบ ซึ่งทำให้คิดได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็ย่อมมีข้อเสียและข้อดี อย่างเช่นการดูหนังจาก DVD ถึงแม้มันจะสนุกสู้ดูให้โรงไม่ได้ แต่ก็มีข้อดีคือเราดูซ้ำได้เรื่อยๆ นี่เอง Milk - ผู้ชายฉาว ที่ไม่ฉาว
ผมเชื่อว่ามีหลายๆ คนไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ เพราะคิดว่าเป็นหนังเกย์ ยิ่งถ้าดูจากชื่อไทยที่ตั้งมาว่า "ผู้ชายฉาวโลก" ยิ่งทำให้คิดว่าหนังเรื่องนี้ต้องมีแต่ฉากฉาวๆ แบบ ชายๆ ทั้งเรื่องแน่ๆ เลย ใครหนอ... ช่างบรรจงสร้างสรรค์ตั้งชื่อมาได้ ที่จริงแล้วเรื่องนี้เป็นหนังที่เล่าชีวิตของนักต่อสู้ เพื่อสิทธิ์มนุษยชนของชาวรักร่วมเพศ "ฮาร์วีย์ มิลค์" ซึ่งได้ประกาศตัวว่าเป็นชายรักร่วมเพศคนแรกที่ได้รับเลือกให้ เป็นเทศมนตรี ของซานฟรานซิสโก หากมองให้กว้างๆ แล้ว การต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิของตัวเองเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วไป ในสังคมที่มีการเหยียดชนชั้น ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นกรรมกร คนผิวสี คนต่างด้าว หรือกระทั่ง จะว่าไป ผมก็คุ้นๆ ว่าในประเทศไทย ก็มีการแบ่งแยกชนชั้นอะไรเหลืองๆ แดงๆ กันอยู่เหมือนกัน ... แต่ไม่ขอเอ่ยถึง เพราะว่าบล็อกนี้ไม่
มิลค์ก็เป็นเพียงฮิปปี้ชาวเกย์ธรรมดาคนนึงเท่านั้น ที่ต้องมีชีวิตรักหลบๆ ซ่อนๆ ต้องโดนปฏิเสธจากสังคม และการถูกทำร้ายร่างกาย โดยฝีมือของคนที่เรียกตัวเองว่า "ลูก ฉากเล็กๆ ตอนหนึ่งในหนังคือตอนที่มิลค์แพ้การเลือกตั้ง และเขาไม่อยากจะสู้ต่อไป แต่ลูกน้องของเขาก็ยังนำแผนงานสำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไปมาให้ดู ผมประทับใจกับการแสดงที่ยอดเยี่ยมของฌอน เพนน์ ซึ่งดูเป็นธรรมชาติไม่มีท่าทางโอเวอร์เหมือนที่นักแสดงบางคนชอบทำเวลาเล่นบทเกย์ ตัวหนังยังได้วิพากษ์สังคมในหลายๆ เรื่อง เช่นเรื่องความจริงใจในระบบธุรกิจ ในตอนที่มิลค์ขอให้หนังสือเล่มหนึ่งสนับสนุนแต่ไม่ได้รับการเหลียวแล แต่พอตอนที่เขาชนะการ เพื่อเป็นการรำลึกถึงมิลค์ ในปี 2010 รัฐแคลิฟอร์เนียได้มีการตั้งวันที่ 22 พฤษภาคมของทุกปี ให้เป็นวัน Harvey Milk Day Up In The Air - เหงาแต่อบอุ่น รันทดแต่มีความหวัง
ไรอัน บิงแฮม เรียกอาชีพของตัวเขาเองว่า "เจ้าหน้าที่ปรับโครงสร้างองค์กร" ซึ่งหน้าที่หลักก็คือการไปไล่พนักงานออกแทนบรรดาหัวหน้า ที่ไม่กล้าเอ่ยปากไล่ลูกน้องของตัวเองออกนั่นเอง ในช่วงวิกฤติ เศรษฐกิจ บริษัทต่างๆ จำเป็นต้องลดจำนวนพนักงานเป็นจำนวนมาก ช่วงนี้เองที่เป็นขาขึ้นในอาชีพของบิงแฮม นาตาลี พนักงานสาวหน้าใหม่ไฟแรง ได้พยายามใช้เทคโนโลยี video call เข้ามาใช้ในธุรกิจ ซึ่งขัด กับวิธีการทำงานของบิงแฮมที่เชื่อในการคุยกับพนักงานแบบตัวต่อตัวมากกว่า เพื่อเป็นการหารูปแบบที่เหมาะสมให้กับระบบ ทั้งคู่จึงต้องเดินทางไปทำงานร่วมกัน และในการเดินทางนี่เอง ที่ทำให้บิงแฮมได้ พบกับอเล็ก สาวแกร่งผู้ซึ่งใช้ชีวิตอยู่กับการเดินทางเหมือนกัน ไม่รู้เป็นตัวหนังหรือเพราะอารมณ์ส่วนตัวกันแน่ หลังจากดูหนังเรื่องนี้จบแล้ว ผมรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ช่างเหงาเสียจริงๆ ทั้งฉากเปิดตัวหนัง ที่มีหมู่เมฆล่องลอยดูสดใส แต่ก็แฝงความว่างเปล่าอย่างประหลาด ชีวิตของบิงแฮมเป็นสิ่งที่แสดงถึงความเหงาของคนในยุคไซเบอร์ได้เป็นอย่างดี (แต่ในเรื่องนี้บิงแฮม ไม่ใช่คอมพิวเตอร์?) ที่ใช้ชีวิตแบบต่างคนต่างอยู่ ไม่คิดจะมีความพันธะกับใคร เพราะกลัวจะเสียความเป็นอิสระ แต่หนังก็ไม่ได้ปล่อยให้คนดูต้องเหงา หดหู่กันทั้งเรื่อง ด้วยการมีมุขแทรกมาเป็นระยะ เรียกร้อยยิ้มได้เป็นอย่างดี สิ่งที่เรียกรอยยิ้มได้ดีคือจูลี่ น้องสาวของบิงแฮมที่กำลังจะแต่งงาน ช่วงใกล้จบเรื่องที่บิงแฮมต้องอยู่เพียงลำพัง เขาก็โทรไปสายการบิน เพื่อโอนไมล์ทั้งหมดที่มีให้น้องสาวได้ใช้ไปฮันนีมูน และยังเขียนจดหมายรับรองเพื่อช่วยให้นาตาลีได้งานใหม่ตามที่หวัง รถเมล์ สาวสวย และลุงหนวด
ซารุโบโบะ
ที่รักกลับจากญี่ปุ่น มีของฝากชิ้นนึง เป็นตุ๊กตารูปคน ไม่มีหน้า ทำจากผ้าสีแดง บอกว่าชื่อ ซารุโบโบะ เป็นเครื่องลางนำโชค "เห็นแกเป็นตัวโชคร้าย ก็เลยซื้อมาให้แขวนไว้ จะได้โชคดีขึ้นมั่ง" หลังจากแขวนไว้แล้ว ก็เหมือนจะโชคดีขึ้นบ้าง เมื่อก่อนซื้อหวยไม่เคยใกล้เคียงเลย เดี๋ยวนี้ เกือบถูกทุกงวด ผิดไปตัวนึงมั่ง สลับตำแหน่งมั่ง (แต่ก็ยังไม่ถูกอยู่ดี) งวดวันที่ 1 สิงหานี้ ตั้งใจจะซื้อ 92 แต่หาซื้อไม่ได้ รางวัลก็ดันออก 92 จริงๆ (เจ็บใจโพด)
|
ลัคกี้เหมียว
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] Group Blog All Blog Link |
|||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |