... Travel with Lizard ... Explore the world with me * highlight Taiwan!

เบื้องลึกเบื้องหลังที่นั่งชั้นธุรกิจของการบินไทย !

เมื่อตอนต้นเดือนที่ผ่านมา จขบ.หนีไปดำน้ำที่เมืองไทยมา 2 อาทิตย์ค่ะ
ทริปนี้เป็นทริปที่ตัดสินใจกันแบบด่วนมากๆ สืบเนื่องมาจากไม่นานมานี้เพื่อนที่เคยดำน้ำด้วยเหมาเรือจัดทริปไปดำน้ำที่เกาะสิมิลัน จังหวัดภูเก็ต เขาส่งข้อความมาชวน ดูตารางตัวเองแล้วก็ลงตัวไม่ติดอะไร เลยตบปากรับคำเชิญไปกับเขา (*ใจง่ายเนอะ) 
ตอนแรกนึกว่าจะชิลๆสบายๆ เพราะเห็นว่าเป็นช่วงต้นเดือนกุมภา ไม่น่าจะมีอะไรวุ่นวายเพราะไม่ได้ตรงกับวันหยุดยาว ที่ไหนได้ ผิดมหันต์เลยค่ะ!
เมื่อจองเรือ จ่ายเงินค่าทริปไปเรียบร้อยแล้ว ถึงได้มารู้ว่าตั๋วเครื่องบินจากไต้หวันไปภูเก็ตเต็ม !!! 
เต็มแบบชนิดที่รอ waiting-list เกือบอาทิตย์ครึ่งก็ไม่มีวี่แววว่าจะได้
ต้องลองหาแผนสอง ตอนแรกว่าจะบินไปที่อื่นก่อนแล้วค่อยต่อเครื่องไปภูเก็ต อูย--แค่เห็นตารางเวลาแล้วถอดใจค่ะ อารมณ์แบบอีกนิดเดียวก็ไปยุโรปได้แล้ว แถมราคาก็หนักหน่วงไม่แพ้กัน 
ท้ายสุดตกมาถึงทางเลือกที่สาม ต้องตัดใจยอมจองตัวชั้น business-class 
(*กรีดร้อง) 
ปกติแล้วเรื่องโรงแรมกับที่พัก เป็นสิ่งที่จขบ.ไม่ค่อยยอมเสียตังค์มากๆ 
เอางบตรงนี้ไปทำกิจกรรมอื่นๆ หาของกินอร่อยๆ หรือซื้อประสบการณ์เจ๋งๆดีกว่า เรื่องสายการบินไม่ค่อยคิดมาก อะไรก็ได้ ส่วนโรงแรมขอแค่สะอาด ปลอดภัย เดินทางสะดวกก็โอเคแล้ว 
ดังนั้นพอต้องมาเสียตังค์กว่า 2 เท่ากับเรื่องตั๋วเครื่องบิน ทำใจลำบากค่ะ แต่ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น ก็ต้องปลง (ใช่ไหม ???)
ไหนๆก็จ่างตังค์แพงแล้ว วันเดินทางเลยรีบออกจากบ้านให้เร็วกว่าปกติ
จะได้ไปใช้บริการ Business Lounge (ห้องรับรองผู้โดยสารชั้รธุรกิจ) สักหน่อย   กะว่าจะกินให้คุ้ม 555
ปรากฎไปถึงเคาท์เตอร์ยังไม่เปิดเลยค่ะ ปกติควรจะเปิดแล้วเพราะไปก่อนแค่ 2 ชั่วโมง แต่ไม่รู้ว่าวันนั้นทำไมเคาท์เตอร์การบินไทยที่สนามบินไต้หวันถึงได้เปิดช้าขนาดนั้น สรุปห้อยรอไปเกือบครึ่งชั่วโมง
( *แล้วชั้นจะกินทันไหมเนี่ยยยยย)


คนรอกันหนาแน่น เพราะเจ้าหน้าที่มาช้า
( *มีคนเคยแซวเอาไว้ว่าการบินไทย ตัวย่อ TG มาจากคำว่า Tomorrow Go) 


ถึงสักที ห้องรับรองผู้โดยสารชั้นธุรกิจของการบินไทย ที่ Taoyuan Internation Airport -- หน้าตาบ้านๆกว่าที่คิดไว้เยอะ


มีทีวีกับมุมหนังสือเอาไว้เอนเตอร์เทน
ส่วนตัวรู้สึกว่าไม่คุ้มกับความพยายามเลย เพราะกว่าจะดั้นด้นขึ้นมาได้ แอบลำบากเล็กน้อย เพราะตอนนี้ที่สนามบินกำลังปรับปรุงพื้นที่อยู่ เลยทำให้กว่าจะมาถึงห้องรับรองผู้โดยสารนี้ จขบ.ต้องแบกกระเป๋า Carry-on ของตัวเองที่หนักกว่า 7 กิโลกระเตงๆไต่ขึ้นบันไดมาเอง กว่าจะถึงลิ้นแทบติดพื้น
แถมหน้าตาอาหารรับรองที่จินตนาการเอาไว้ ก็ไม่ได้ตรงกับความเป็นจริงเลย
ซุ้มอาหารและเครื่องดื่มกันดารมาก มีแซนวิชง่อยๆกับตู้ซาลาเปาเล็กๆและผลไม้อีกนิดหน่อย เครื่องดื่มก็เป็นแบบกระป๋องอยู่ในตู้เย็นเล็กๆ -- 7Eleven ยังน่าตื่นตากว่า เฮ้ออออ
นั่งหายใจได้ครึ่งชั่วโมงก็มีเจ้าหน้าที่มาตามให้ไปขึ้นเครื่อง
( *ใช่ค่ะ -- ลากประเป๋ากันลงมาอีกรอบ! นี่ตรูกำลังหาเรื่องใส่ตัวใช่ไหม)  


ขึ้นเครื่องมาแล้วค่อยดีหน่อย เจอเก้าอี้หน้าตาไฮโซ

เอ่อออ... จะมีปุ่มปรับอะไรเยอะขนาดนั้นคะ เค้างง


หน้าตาจอทีวีที่ดูดีขึ้น -- แต่พอดูจริงๆ แอบรู้สึกว่ามันไกลไปอ่ะ
บริการในชั้นธุรกิจนับว่าไม่ผิดหวัง ขึ้นมาปุ๊บไม่นานก็มี"ผ้าขนหนู"ร้อนมาเสิร์ฟ
เน้น -- ว่าผ้านะคะ ไม่ใช่กระดาษ เดี๋ยวนี้หลายๆสายการบินเลิกเสร์ฟผ้าร้อนกันไปแล้ว อย่างดีก็มีกระดาษเย็น/ร้อนมาให้ นอกจากนี้ยังมีสารพัดน้ำมาบริการ ตั้งแต่น้ำส้ม น้ำแอปเปิ้ล ไปจนถึงแชมเปญ
( *กะจะมอมตั้งแต่เครื่องยังไม่ขึ้นเลยเนอะ)
พอเครื่องขึ้นได้ไม่นาน พนักงานก็เอาเมนูอาหารมาให้ ไม่ได้ให้สั่งแบบร้านอาหารนะคะ แค่เป็นข้อมูลให้เรารู้ว่าวันนี้จะเสิร์ฟอะไรบ้างก็แค่นั้น ตัวเลือกก็มีพอสมควร อย่างอาหารจานหลักก็มีให้เลือกประมาณ 5-6 อย่าง (มากกว่าชั้นประหยัดที่มีอย่างมากก็ 3 อย่าง) ที่แตกต่างออกไปคือมีอาหารว่าง ขนมปัง ชีส ขนมหวานและผลไม้เสิร์ฟแยกกัน ไม่ได้รวมมาในถาดเดียวแบบชั้นประหยัด
นอกจากนี้ยังมีเมนูเครื่องดื่มเอาไว้ให้ดูด้วย มีตั้งแต่เครื่องดื่มธรรมดาประเภทไม่มีแอลกอฮอล์พวกน้ำอัดลม น้ำผลไม้ ไปจนถึงพวกแอลกอฮอล์ประเภทไวน์แดง ไวน์ขาว คอนยัคและแชมเปญ
มาถึงขั้นตอนการเสิร์ฟ -- จะมายกถาดวางๆก็คงไม่สมศักดิ์ศรีชั้นธุรกิจ ก่อนนำอาหารวาง จะมีขั้นตอนการเปิดโต๊ะ ปูผ้าขาวก่อน
( *นี่ใช่ไหมคือส่วนต่างที่เราจ่ายไป  )
ที่จขบ.แอบขำก็คืออุปกรณ์การกินที่ให้มา อย่างที่เห็นในรูปถัดไป อุปกรณ์ที่เห็นช้อน ส้อม "มีด" เป็นแบบไซส์และวัสดุมาตราฐานปกติเปี๊ยบ เลยแอบสงสัยไม่ได้ว่าแล้วที่ security ที่สนามบินไม่ให้นำแม้แต่กรรไกรตัดเล็บอันจิ๋วๆขึ้นเครื่องนี่เป็นเพราะอะไร (*อันนี้พูดจากประสบการณ์ตรงเพราะเคยโดนยึดมาแล้ว -- ลืมเอาออก) 



หน้าตาอาหารดูดี๊ดูดี ... รสชาดก็ดีไม่แพ้หน้าตา
ขั้นตอนการเสิร์ฟไม่แตกต่างจากเราไปทานร้านอาหารที่เป็นแบบคอร์สๆ ไล่มาตั้งแต่อาหารว่าง อาหารหลัก ขนมหวาน ชีสและผลไม้ น้ำชา-กาแฟ หากใครชอบดื่มไวน์ ก็จะมีบริการอยู่ไม่ขาด 
ทานกันอิ่มหนำสำราญแล้ว -- คราวนี้ถึงขาเอาออกกันบ้าง 
ข้อดีของชั้นธุรกิจคือไม่ต้องรอเวลาเข้าห้องน้ำ เนื่องจากมีด้วยกันหลายห้องห้องน้ำของชั้นธุรกิจจะแบ่งแยกไว้ต่างหาก - พนักงานจะดึงผ้าม่านมากั้นไว้ ไม่ให้ผู้โดยสารจากชั้นอื่นมาใช้ (*แต่ก็แอบเห็นมีคุณป้านินจามาจากชั้นประหนัดแว่บเข้าไปใช้ เวลาเจ้าหน้าที่เผลอนะ)
เข้าไปห้องน้ำสำรวจความแตกต่างเล็กน้อย ที่เห็นก็มีโลชั่นทามือ น้ำหอมและ โคโลญจน์เอาไว้ให้บริการด้วย ทั้ง 3 อย่างจัดเอาไว้ในชั้นวางที่ตกแต่งด้วยผ้าอย่างเรียบร้อย
อีกความต่างที่เด่นชัดคือเรื่องของกระดาษเช็ดมือ -- ของชั้นนี้เป็นผ้าขนหนูค่ะ!   
นึกภาพกระดาษทิชชูเช็ดมือที่เราดึงๆกันออกไหมคะ แต่คราวนี้เปลี่ยนจากกระดาษเป็นผ้าขนหนูสี่เหลี่ยมจัตตุรัสเล็กๆแทน เขาใส่ไว้เป็นตั้งเลยค่ะ จขบ.แอบนึกเสียดายมากๆ เข้าใจนะคะว่าเป็นถึงชั้นธุรกิจที่ราคาสูง แต่แหม แค่จะเช็ดมือให้แห้งถึงกับต้องลงทุนใช้ผ้าขนหนูด้วยหรือ แถมใช้เสร็จก็ทิ้งลงถังขยะเลยนะคะ ไม่มีถังแยกต่างหาก แอบเสียดายทรัพยากรณ์เอามากๆ
ไม่รู้ว่าทางสายการบินมีระบบการแยกขยะยังไง ไม่รู้ว่าผ้าขนหนูแบบนี้รึเปล่าที่แถวเจ๊เล้งหลังการบินไทยเอามาขายเป็นปึกๆสมัยก่อน
( *ไม่รู้เดี๋ยวนี้ยังมีไหม สมัยก่อนซื้อเอามาทำผ้าเช็ดบ้านบ่อยๆ)


หน้าตา Lounge ที่สนามบินภูเก็ต หน้าดาดูดีขึ้นมาหน่อย -- อาหารการกินก็สมบูรณ์ มีมาม่าด้วยนะ อาหารไฮโซ 555


เลือกเอาเลยไทย จีน ฝรั่ง -- ของหวาน ของคาว

ห้องกว้างไม่แออัดเหมือนที่ไต้หวัน สังเกตดูฝรั่งเยอะกว่าคนไทย


แม้แต่ในนี้ยังมีแบ่งชนชั้น -- อันนี้เขากั้นเอาไว้ให้ระดับ First-Class กับสมาชิก Platinum เท่านั้น
ความโชคดีของการซื้อตั๋วชั้นธุรกิจครั้งนี้ก็คือ
1. ช่วงเวลาที่เดินทางทั้งไปทั้งกลับระหว่างไต้หวัน-กรุงเทพฯเป็นช่วงก่อนเทศกาลตรุษจีน (วันที่ 9) ดังนั้นจึงมีจำนวนนักเดินทางเยอะมาาาาาก ตอนขากลับที่สนามบินภูเก็ต (วันที่8) สนามบินแน่นมาก ที่นั่งรอขึ้นเครื่องแทบไม่มี จริงๆที่ยืนยังแทบไม่มี อารมณ์น้องๆสถานีขนส่งหมอชิตวันสงกรานต์ การได้ไปนั่งรอในห้องเงียบๆที่กว้างๆไม่ต้องแข่งเกมส์เก้าอี้ดนตรีจึงเป็นความสุขอย่างยิ่ง
2. จุดประสงค์การเดินทางรอบนี้คือไปดำน้ำ ดังนั้นการได้น้ำหนักกระเป๋า 30 กิโลต่อคนจึงทำให้การแพ็คอุปกรณ์ดำน้ำเป็นเรื่องง่ายขึ้นเยอะ  ปกติต้องอ้อนหน้าเคาร์เตอร์เยอะมาก แถมในกระเป๋า carry-on ก็แอบแบกไปอีกเพียบ (*เคยทำสถิติแอบเอาขึ้นถึงเกือบ 20 กิโลมาแล้ว!)
3. ช่วงที่เดินทางเป็น High season พอดี ดังนั้นราคาตั๋วของชั้นประหยัดก็อยู่ในช่วงแพงที่สุด เมื่อเทียบความต่างแล้วเลยไม่ต้องเจ็บใจมากนัก
4. ถ้าไม่ได้ใช้บริการชั้นธุรกิจรอบนี้ ตอนต่อเครื่องที่กรุงเทพฯไปภูเก็ตคงตกเครื่องไปแล้ว - เนื่องจากเครื่องที่มาจากไต้หวันดีเลย์ พอมาลงกรุงเทพฯวิ่งกันขาขวิด ดีที่ไม่ต้องรอคิวเช็คอิน เดินลิ่วๆเข้าไปได้เลย  
5. ขากลับมาไต้หวันเจอทัวร์จีนกลุ่มใหญ่ - ถ้าต้องนั่งติดกับบรรดาซ้อๆเฮียๆ คงไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันแน่ๆ เพราะที่แอบดูตอนขึ้นเครื่องมา ลุงๆป้าๆแกเปลี่ยนที่กันอุดตลุด สงสารเจ้าหน้าที่แทนจริงๆ แถมเวลาคุยกัน สามแถวหลังสุดยังได้ยินเลยมั้ง 
หลังจากที่ตอนแรกแอบบ่นกับคุณแฟนกระปอดกระแป่ดว่าเสียดายตังค์กับเรื่องค่าตั๋วเครื่องบิน หลังทริปนี้แอบดีใจที่เลือก option นี้เพราะนอกจากความสะดวกสบายที่ได้แล้ว ยังทำให้ได้ประสบการณ์และมุมมองใหม่ๆอีกเพียบ การใช้บริการสายการบินไม่ใช่เป็นแค่รอยต่อระหว่างการเดินทางจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง แต่เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นที่เราตั้งหน้าตั้งตารอ ถ้าเราเปิดเซ็นเซอร์ของเราให้กว้างตลอดเวลาแบบนี้เสมอๆ เราจะพบกับสิ่งน่าสนใจต่างๆรอบตัวได้มากขึ้น ต่อให้ไม่ได้เดินทางด้วยชั้นธุรกิจ เรื่องราวของการเดินทาง รับรองสนุกตื้นเต้นไม่น้อยไปกว่ากันแน่ๆ
Enjoy travelling through life กันทุกๆวันนะคะ



Create Date : 21 พฤศจิกายน 2556
Last Update : 21 พฤศจิกายน 2556 10:48:50 น. 0 comments
Counter : 1238 Pageviews.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Travel with Lizard
Location :
Taipei Taiwan

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




[Add Travel with Lizard's blog to your web]