Q : สารสนิมแก่ ? คืออะไร ?!?

A : ครับ สารสนิมแก่ ก็คือ Oxidant , Free Radical หรือที่เราเรียกสวยๆ ว่า “ อนุมูลอิสระ ” ** นั่นเองครับ ซึ่งเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น อาหารการกินที่ไขมันมาก จะให้พลังงานสูง ร่างกายต้องเผาผลาญมาก เกิด Free Radical หรือ อนุมูลอิสระเยอะ เป็นต้นครับ

คำถามคือ แล้วอะไรล่ะ ? ที่จะมาช่วย กำจัด หรือต่อต้าน สารสนิมแก่ ให้คนเราเสื่อมช้าลง แก่น้อยลง ดูอ่อนวัยยาวนานขึ้น

ครับ คำตอบก็คือ สารต้านอนุมูลอิสระนั่นเองครับ

**  “อนุมูลอิสระ(free radical)” สร้างขึ้นจากกระบวนการปกติในร่างกาย อาทิเช่น การหายใจ การย่อยอาหาร การผลิตพลังงาน รวมทั้งปัจจัยภายนอกบางอย่างเช่นความเครียด รังสียูวี มลภาวะ ควันพิษจากท่อไอเสียรถยนต์ อนุมูลอิสระนั้นไม่สมบูรณ์และมีแนวโน้มที่จะขโมยความสมบูรณ์มาจากเซลล์ที่แข็งแรงในร่างกายเพื่อที่จะทำให้ตัวเองสมบูรณ์และก็จะวนเวียนแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนก่อให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ การเกิดริ้วรอยก่อนวัยและโรคภัยไข้เจ็บขึ้น ดังนั้น “สารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant)” จึงเข้ามามีบทบาทในด้านความงามและการป้องกันการเกิดโรคต่างๆ เพิ่มมากขึ้น  มีงานวิจัยมากมายบ่งชี้ว่า สารต้านอนุมูลอิสระสามารถลดความเสี่ยงต่อโรคโดยเฉพาะโรคเรื้อรังที่สัมพันธ์กับอาหาร เช่น โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคสมอง (เช่น อัลไซเมอร์) เป็นต้น รวมทั้งช่วยชะลอกระบวนการบางขั้นตอนที่ทำให้เกิดความแก่ และช่วยปกป้องความเสียหายต่อเซลล์และเนื้อเยื่อได้ อีกด้วย

ตารางวัดค่า ORAC : วัดประสิทธิภาพการต่อต้านอนุมูลอิสระ

เราจะเห็นได้ว่า สาร Astaxanthin นั้น ออกฤทธิ์แรงที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับไลโคปีน วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีนครับ

( กราฟแท่งยิ่งสูง แปลว่า สารนั้นๆยิ่งต้านเสื่อม ต้านแก่ ได้มากครับ)

และในปัจจุบัน ได้มีบริษัทผลิตอาหารเสริมหลายบริษัทเลยครับ ที่นำเข้าสารตัวนี้มาบรรจุ Capsule ขาย โดยส่วนใหญ่ จะมีปริมาณสารสำคัญต่อ 1 Capsule เท่ากับ 2 มิลลิกรัม (เทียบเท่า Vitamin C 12,000 มิลลิกรัม)  แต่ที่กุ้งเห็นแบรนด์ที่ให้ปริมาณสารตัวนี้เยอะที่สุด เห็นจะเป็น " สวีดิช คอมเพล็กซ์ (แอสตาแซนธิน) Wellness by Oriflame " ครับ โดยให้มาถึง 4 มิลลิกรัม (เทียบเท่า Vitamin C 24,000 มิลลิกรัม หรือ Vitamin C ของ Blackmore 1000 mg. = 24 เม็ดเลยทีเดียวครับ)

( * Quenching Activities of Common Hydrophilic and Lipophilic Antioxidants against Singlet Oxygen Using Chemiluminescence Detection System
Yasuhiro Nishida*, Eiji Yamashita and Wataru Miki Institute for Food Science Research, Fuji Chemical Industry CO., Ltd., 55 Yokohoonji, Kamiichi, Toyama 930-0397,Japan Carotenoid Science, Vol.11, 2007, 16-20 ISSN 1880-5671 )

ฉลากข้างขวด : มีคำแปลภาษาไทยบอกข้อมูลทั้งหมด
เช่น ส่วนผสม, เครื่องหมาย อย. และ คำแนะนำต่างๆ เป็นต้นครับ

ลักษณะจะเป็นแคปซูลแบบ Softgel ครับ

โดยภายใน 1 แคปซูลจะประกอบด้วย 

1. Soybean Oil หรือ น้ำมันถั่วเหลือง ใช้เป็นตัวทำละลายสาร Astaxanthin ครับ 

2. ผงสาหร่ายทะเลสีแดง 11.1 % (ให้สาร Astaxanthin  4 mg. )

3. Lecithin เป็นตัวรวมน้ำกับน้ำมัน ให้เป็นเนื้อเดียวกัน

4. Gelatin เป็นสารที่ใช้ทำแคปซูล ปลอดภัยมาก ทานได้

5. Glycerol คือ กลีเซอรอล ซึ่งเป็นวัตถุดิบ Food Grade รับประทานได้ ปลอดภัยครับ

6. Aqua หรือ Water หรือ น้ำบริสุทธิ์นั่นเองครับ

จะเห็นได้ว่า
Vitamin C จะทำงานเป็น Anti-Oxidant ได้ที่
Extracellular Fluid หรือ เซลล์ชั้นนอกเท่านั้น ในขณะที่ Astaxanthin
สามารถ Action ในจุดที่ลึกถึง Cytoplasm
หรือ เซลล์ชั้นในเลยทีเดียวครับ (เพราะว่า Astaxanthim สามารถทะลุทะลวงชั้นไขมันของเราได้ครับ เพราะมันละลายใน Lipid)
**** รู้หรือไม่ว่า! แอสตาแซนธินเป็นสารที่ละลายไขมัน(Lipid) และสามารถผ่านเข้าไปในทุกอวัยวะในร่างกายได้  อาทิเช่น ตา สมอง ระบบหัวใจและหลอดเลือด
ผิวหนังจึงช่วยลดอาการอักเสบและกำจัดอนุมูลอิสระได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึง

ข่าวดี !! สาร Astaxanthin ตัวนี้ มีอยู่ในอาหารตามธรรมชาิติด้วยนะครับ เช่นในเนื้อปลา Salmon และ เนื้อกุ้ง Lobster ครับ(ส่วนที่มีสีแดงๆส้มๆ นั่นแหละครับ) นั่นหมายความว่า เราไม่จำเป็นต้องซื้ออาหารเสริมมาทานก็ได้ ถ้าหากเราทานอาหาร 2 ชนิดนี้ ในปริมาณที่เพียงพอทุกวันครับ แต่ปัญหาคือ คนไทยส่วนใหญ่ ไม่สามารถทานปลา Salmon หรือ กุ้ง Lobster ได้ทุกวันเพราะราคาค่อนข้างสูง และอาจปนเปื้อนโลหะหนักจากทะเลแถมมาด้วยครับ

ยกตัวอย่าง : ปลา Salmon 1 ชิ้น 200 กรัม = สาร Astaxanthin  ประมาณ 1 - 2  มิลลิกรัม

แต่เนื่องจากการจะได้มาซึ่งสาร Astaxanthin ที่พบมากในปลา Salmon ที่กล่าวไปนั้น เราจะต้องฆ่าปลา Salmon จำนวนมาก เพื่อสกัดเอาสารที่ต้องการออกมา(ดังรูปข้างบน) ดังนั้นทางผู้ผลิตจึงเลี่ยงไปใช้จากแหล่งอื่น เช่น สาหร่ายทะเลสีแดง ที่เรียกว่า Microalgae สายพันธุ์ Haematococcus Pluvialis เพราะมีปริมาณสาร Astaxanthin เข้มข้นที่สุดในบรรดาพืชแล้วครับ และนอกจากนั้น ทางบริษัทเค้ายังมีโรงงานเอง สามารถเพาะเลี้ยงได้เอง โดยใช้ระยะเวลาเพียง 10 วันเท่านั้นครับ ( เค้าเพาะเลี้ยงด้วยการอบบ่ม UV ช่วยครับ)