Group Blog
 
All Blogs
 
บทลงโทษการพ้นจากศาสนาอิสลาม

ขอความสันติสุขจงมีแด่ทุกท่านครับ

ก่อนอื่นทำความเข้าใจก่อนนะครับว่า หลักการของศาสนาอิสลาม มาจาก 2 แหล่ง คือ 1.กุรอาน 2.ซุนนะห์ (แนวทาง กิจปฏิบัติ รวมทั้งคำพูด) ของท่านศาสดา หลักการใดขัดแย้งไปจากนี้ถือว่า ไม่ใช่หลักการอิสลาม และหากหลักการใดมีการขัดแย้งกันเอง ให้ถือว่ากุรอานคือข้อตัดสินขั้นเด็ดขาดครับ

การพ้นไปจากศาสนาอิสลามนั้น ในภาษาอาหรับ คือ “ริดดะฮฺ” ซึ่งแปลว่า การหันหลังให้ ส่วนผู้ที่กระทำการดังกล่าว เรียกว่า มุรตัด ซึ่งเป็นที่เข้าใจในหลาย ๆ คนว่า โทษคือการประหารชีวิต แต่ในความเป็นจริงเมื่อเราพิจารณาจากกุรอาน เราจะพบว่า กุรอานได้บัญญัติเรื่องการพ้นจากศาสนาไว้ 13 อายะห์ (โองการ) ในแต่ละซูเราะห์ (บท) เช่น

“...จนกว่าเจ้าจะปฏิบัติตามศาสนาของพวกเขา จงกล่าวเถิด แท้จริงคำแนะนำของอัลลอฮ์เท่านั้น คือ คำแนะนำ แน่นอนถ้าเจ้าปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากที่มีความรู้มายังแล้ว ก็ย่อมไม่มีผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือใด ๆ สำหรับเจ้าให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์ได้” (กุรอาน 2:120)

“และผู้ใดแสวงหาศาสนาหนึ่งศาสนาใดอื่นจากอิสลามแล้ว ศาสนานั้นก็จะไม่ถูกรับจากเขาเป็นอันขาด และในปรโลกเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน” (กุรอาน 3:85)

“ผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์หลังจากที่เขาได้รับศรัทธาแล้ว(เขาจะได้รับความกริ้วจากอัลลอฮ์) เว้นแต่ผู้ที่ถูกบังคับทั้งๆ ที่หัวใจของเขาเปี่ยมไปด้วยศรัทธา แต่ผู้ใดเปิดหัวอกของเขาด้วยการปฏิเสธศรัทธา พวกเขาก็จะได้รับความกริ้วจากอัลลอฮ์และสำหรับพวกเขาจะได้รับการลงโทษอย่างมหันต์” (กุรอาน 6:106)

แต่จากทั้งหมด พบว่า ไม่มีโองการใดเลยที่ระบุถึงโทษทัณฑ์ที่ต้องได้รับบนโลกนี้ โทษทั้งหมดถูกระบุว่าเป็นความรับผิดชอบของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น
ถึงแม้ว่า จะมีการก่อตั้งรัฐอิสลามขึ้นแล้วก็ตาม ก็ยังไม่มีโองการใดระบุว่าต้องทำโทษหรือประหารผู้ที่หลุดพ้นจากศาสนา
อาทิเช่น ซูเราะห์อัล บากอเราะห์ อายะห์ที่ 217 ความว่า

“...และผู้ใดในหมู่พวกเจ้ากลับออกไปจากศาสนาของเขา แล้วเขาตายลง ขณะที่เขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้วไซร้ ชนเหล่านี้แหละบรรดาการงานของพวกเขาไร้ผล ทั้งในโลกนี้และปรโลก และชนเหล่านี้แหละคือชาวนรก ซึ่งพวกเขาจะอยู่ในนรกนั้นตลอดกาล”

นักการศาสนาบางท่านให้ความเห็นว่า การพ้นจากศาสนานั้น เป็นความผิดที่เขาผู้นั้นต้องรับผิดชอบต่อพระผู้เป็นเจ้าเอง ซึ่งหากว่ามีการลงโทษประหารชีวิตด้วยเหตุผลของการพ้นจากศาสนาจริง มันก็จะไปขัดแย้งกับโองการที่ว่า -
"ไม่มีการบังคับใด (ให้นับถือ) ในศาสนา อิสลาม แน่นอน ความถูกต้องนั้นได้เป็นที่กระจ่างแจ้งแล้วจากความผิด ดังนั้นผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่อ อัฎ-ฎอฆูต(ซัยตอน) และศรัทธาต่ออัลลอฮ์แล้ว แน่นอนเขาได้ยึดห่วงอันมั่นคงไว้แล้ว โดยไม่มีการขาดใด ๆ เกิดขึ้นแก่มัน และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้" (กุรอาน 2:256)

เมื่อไม่มีการระบุการลงโทษในทางโลกที่บันทึกในกุรอานแล้ว หากมามองในแง่ของซุนนะห์ท่านศาสดาจะพบว่า
ครั้งหนึ่ง มีชาวยิวกลุ่มหนึ่ง มาเข้ารับศาสนาอิสลาม แต่ต่อมาก็ได้ละทิ้งอิสลามและกลับไปสู่ศาสนาเดิม ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้ถูกกล่าวไว้ในซูเราะห์อาลิอิมรอน อายะห์ที่ 71-73 แต่ทั้งหมดก็ไม่ได้ถูกท่านศาสดาลงโทษแต่ประการใด หรืออีกกรณีหนึ่งที่อาหรับเบดูอิน คนหนึ่งมาหาท่านศาสดาและขอเข้ารับอิสลาม แต่ต่อมาเขาก็ล้มป่วยและมาขอยกเลิกการเป็นมุสลิม (คือ เปลี่ยนจากอิสลามไปเป็นอย่างอื่น) ถึง 3 ครั้ง แต่ทั้ง 3 ครั้งท่านศาสดาก็ปฏิเสธอย่างสุภาพ จนสุดท้ายเขาจึงเดินทางออกไปจากมาดีนะห์ ซึ่งท่านศาสดาก็ไม่ได้กล่าวโทษเอาผิด หรือส่งทหารออกตามล่าแต่อย่างใด

จากบทสรุปในหลายส่วน นักวิชาการมุสลิมให้ความเห็นในหลายด้าน บ้างก็ว่า การพ้นจากศาสนาจำเป็นต้องถูกประหารโดยอ้างเอาหะดิษ ของอิบนุอับบาส ที่ว่า “ผู้ใดเปลี่ยนศาสนาจงฆ่าเขา” หรือหะดิษที่เกี่ยวกับชนเผ่าอูกัลป์เป็นต้น แต่ทั้งหมดก็ถูกอีกฝ่ายโต้แย้ง โดยอ้างหลักฐานจากกุรอานในซูเราะห์ที่ 2 อายะห์ที่ 256 และซุนนะห์ท่านศาสดา โดยวิจารณ์ว่าการสังหารที่เกิดขึ้น เป็นเพราะคดีความอื่น (เช่นการปล้น) ไม่ใช่เรื่องของการเปลี่ยนศาสนา

โดยทั้งนี้มีหลักฐานบางประการจากคอลีฟะห์อุมัร (รด.) ว่าท่านได้สั่งให้ทหารของท่านจัดการกับผู้เปลี่ยนศาสนาอย่างสันติวิธี หรือหากชักชวนไม่ได้ผล ก็ควรจำคุกดีกว่าการประหาร
นักวิชาการมุสลิมจึงให้ความเห็นว่า การเปลี่ยนศาสนาของมุสลิมคนหนึ่งนั้น ควรจำกัดให้เป็นโทษแบบตะอฺซีร (คือ อยู่ในดุลพินิจของผู้พิพากษา) หากการเปลี่ยนศาสนานั้นไม่ได้ส่งผลต่อความมั่นคงของรัฐ ก็ไม่จำเป็นต้องลงโทษ หรือแค่แนะนำ ตักเตือน แต่หากการเปลี่ยนศาสนามีผลต่อความมั่นคงของรัฐ หรือเปลี่ยนด้วยเจตนาของการก่อกบฏต่อรัฐ ก็อาจจำคุก หรือประหารชีวิตได้ ซึ่งทัศนะนี้ได้รับการยอมรับมากกว่า ทัศนะของบางมัซฮับ (สำนักคิดทางนิติศาสตร์อิสลาม) ที่กล่าวว่ามันเป็นโทษประเภท ฮัด (ความผิดที่ชัดเจน)

ด้วยจิตคารวะ




Create Date : 03 ธันวาคม 2548
Last Update : 4 กุมภาพันธ์ 2549 0:22:11 น. 12 comments
Counter : 3834 Pageviews.

 


โดย: POODNOY IP: 58.8.70.128 วันที่: 18 เมษายน 2549 เวลา:2:18:32 น.  

 
ตามมาอ่านด้วยความเคารพเจ้าค่า


โดย: Jakaey วันที่: 24 กรกฎาคม 2549 เวลา:1:38:32 น.  

 
ชอบคุณค่ะ


โดย: kala99 IP: 125.24.236.194 วันที่: 11 ตุลาคม 2549 เวลา:14:40:07 น.  

 
อธิบายได้ดีเลย kheedes


โดย: นะ(รก) วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:1:43:16 น.  

 
เห็นว่าเป็นเรื่องเดียวกัน.เลยเอามาฝาก.....หากยังไม่เจอที
.................................

قَالَ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مَنْ بَدَّلَ دِينَهُ فَاقْتُلُوهُ
ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า "ผู้ใดเปลี่ยนศาสนาของเขา (มุรตัด) พวกเจ้าก็จงสังหารเขาเสีย" บันทึก อัลบุคอรีย์

قال رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ لَا يَحِلُّ دَمُ امْرِئٍ مُسْلِمٍ إِلَّا بِإِحْدَى ثَلَاثٍ كُفْرٌ بَعْدَ إِسْلَامٍ أَوْ زِنًا بَعْدَ إِحْصَانٍ أَوْ قَتْلُ نَفْسٍ بِغَيْرِ نَفْسٍ
ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า "ไม่อนุญาตให้หลั่งเลือดมุสลิมนอกจากหนึ่งในสามสาเหตุเท่านั้น นั่นคือ การปฏิเสธศรัทธาหลังจากที่เข้ารับอิสลามแล้ว หรือการผิดประเวณีหลังจากที่ได้แต่งงานแล้ว หรือสังหารผู้อื่นที่ต้องห้าม" บันทึก อันนะสาอีย์


- อิสลามได้ให้ความอิสระในการเลือกนับถือศาสนาอย่างเต็มที่ และอิสลามไม่บังคับและห้ามบังคับผู้อื่นเข้ารับอิสลามอย่างเด็ดขาด
2. อิสลามจะให้ความคุ้มครองแก่ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมที่อาศัยอยู่ในประเทศอิสลามพอๆกับการดูแลให้ความคุ้มครองต่อชาวมุสลิมเอง เพียงแต่พวกเขาจำเป้นต้องจ่ายเงินญิซยะฮฺ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับการให้ความคุ้มครองดูแลดังกล่าว ทั้งด้านเกียรติ ทรัพย์สิน และความอิสระด้านการนับถือศาสนาของเขา และแลกกับการที่เขาไม่ต้องไปเกณท์ทหาร ไปอยู่ชายแดน และญิฮาดปกป้องประเทศ เป้นต้น
2- เมื่อผู้ใดเข้ารับอิสลามแล้ว เขาจำเป็นต้องอยู่ในกรอบของความเป็นมุสลิมตลอดไป ไม่ว่าเขาจะพอใจ (เป็นมุสลิมที่ดี) หรือไม่พอใจ (เป็นมุนาฟิก) ก็ตาม ดังนั้นผู้ใดที่จะเข้ารับอิสลาม จึงจำเป็นต้องคิดให้รอบคอบ และถี่ถ้วน เพราะฉะนั้นเราจะเห้นว่าชาวอาหรับกุเรชไม่ยอมเข้ารับอิสลามง่ายๆ ทั้งๆที่เขาก็ศรัทธาในอัลลอฮฺ เพราะเขาทราบดีว่าถ้าเข้าอิสลามแล้ว ก็ต้องเข้าด้วยใจศรัทธาอย่างเต็มร้อย เพราะพวกเขาทราบดีว่า ถ้าเข้าไปแล้วก็ไม่สามารถออกจกาอิสลามได้อีก
3- ต้องเข้าใจว่าการออกกฎหมายห้ามเปลี่ยนศาสนา เกิดขึ้นกับผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามเท่านั้น และเป็นการออกกฎหมายในประเทศอิสลามเท่านั้น ส่วนผู้ที่ไม่ได้เป็นมุสลิมยังคงมีอิสระที่จะเลือกนับถือศาสนาอยู่เหมือนเดิม
4- บัญญัติอิสลามจะมีรูปแบบการปฏิบัติที่แตกต่างกันระหว่างผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามกับผู้ที่ไม่นับถือศาสนาอิสลามในหลายๆด้านด้วยกัน ซึ่งถ้าเราจะเทียบให้เห็นง่ายๆก็เปรียบเสมือนรูปแบบการปฏิบัติของรัฐบาลต่อประชาชนที่เป็นพลเมืองของประเทศกับการปฏิบัติต่อชนต่างด้าวในปัจจุบัน ที่รัฐบาลสามารถออกกฎหมายห้ามเปลี่ยนสัญชาติ เพื่อรักษาเสถียรภาพของประเทศ ขณะเดียวกันรัฐบาลอาจเปิดโอกาสให้ชนต่างด้าวขอสัญชาติของประเทศตนได้
5- จากความแตกต่างของหุกมที่เกี่ยวข้องกับมุสลิมและผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมนี่เองทำให้เป็นที่มาของกฎหมายห้ามเปลี่ยนศาสนา ซึ่งที่จริงมันไม่ได้เกี่ยวข้องเพียงแค่ถ้าเปลี่ยนแล้วก็กลายเป็นคนมุรตัดและถูกประหารชีวิต แต่จากการเปลี่ยนจากศาสนาอิสลามสู่ศาสนาอื่น ทำให้สภาพทางสังคมของเขาเปลี่ยนแปลงไปด้วย โดยเฉพาะด้านกฎหมายครอบครัว อาทิ ตัดขาดความเป็นทายาททางมรดก ไม่สามารถแต่งงาน หรืออยู่กินกับภรรยาที่เป็นมุสลิม (ในกรณีที่ไปเข้ารีตอื่นจากศาสนาคริสต์และยิว) เป็นต้น
6- จากการศึกษาทางวิชาการพบว่า กรณีการเปลี่ยนหรือเข้าออกจากศาสนาหนึ่งสู่อีกศาสนาหนึ่ง กลายเป็นการละเล่นทางการเมืองอย่างหนึ่ง บางคนเข้ารับอิสลามเพียงเพื่อต้องการจะแต่งงานกับผู้หญิงมุสลิม ไม่ใช่จากการศรัทธาต่ออิสลามอย่างแท้จริง พอเกิดไม่พอใจขึ้นมาก็ประกาศออกศาสนาอิสลามและกลับไปเป็นอย่างเดิม บางคนเข้ารับอิสลามเพียงเพื่ออยากลองของ อยากลิ้มรสความเป็นมุสลิมว่ายากลำบากแค่ไหน ฯลฯ
7- ดังนั้นการออกกฎหมายห้ามเปลี่ยนศาสนา (อิสลาม) จึงเป็นทางออกที่สอดคล้องกับหลักการขั้นพื้นฐานของอิสลามหลายๆอย่าง ในเชิงที่ว่า เป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม หรือ ป้องกันก่อนการเยียวยา سد الذرائع อาทิ
7.1 ป้องกันความวุ่นวายในสังคม ทั้งด้านกฎหมายครอบครัว และความสงบของประเทศ
7.2 ป้องกันการนำเอาศาสนามาเป็นของเล่นทางการเมือง
7.3 ทำให้ผู้ที่คิดจะเข้ารับอิสลามต้องใตร่ตรองให้รอบคอบและเชื่อมั่นหรือแน่ใจจริงๆว่าตนเองศรัทธาต่ออิสลามอย่างแท้จริง เพราะถ้าไม่เช่นนั้นเขาอาจจะไม่มีสิทธิออกจากสาสนาอิสลามอีก ซึ่งในกรณีนี้ถ้าไม่กล้าประกาศตนเป็นมุรตัดที่ต้องโทษประหารชีวิต ก็กลายเป็นมุนาฟิกที่กลับกลอกและสามารถมีชีวิตอยู่อย่างลอยนวล โดยที่กฎหมายอิสลามไม่สามารถแตะต้องได้
8- ถ้ามีการทักท้วงว่าการออกกฎหมายห้ามเปลี่ยนศาสนาเป็นการกดขี่และก้าวก่ายสิทธิส่วนบุคคล หรือสิทธิด้านความมีอิสระในการเลือกนับถือศาสนา เราขอตอบว่า
8.1 ความมีอิสระดังกล่าวอิสลามเปิดโอกาสให้เขาไตร่ตรองและเลือกก่อนที่เขาจะเข้ารับอิสลามแล้ว ดังนั้น เมื่อเขาตัดสินใจเข้ารับอิสลาม ก็แสดงว่าเขาพร้อมทุกอย่างที่จะปฏิบัติและตอบรับตามคำบัญชาหรือบัญญัติแห่งศาสนา ด้วยเหตุนี้ ประตูสำหรับการออกจากศาสนาอิสลามก็ได้ถูกปิดลง ในเชิงที่ว่า คุณไม่เข้าไม่เป็นไร เราไม่บังคับ แต่ถ้าคุณเข้าไปแล้วคุณก็ต้องอยู่ในกรอบของอิสลาม และอิสลามจะไม่อนุญาตให้คุณออกไปอีก
8.2 ดังนั้น จากเหตุผลที่ยกมาข้างต้น โดยส่วนตัว จึงเห็นว่า การออกกฎหมายห้ามออกจากศาสนาอิสลามจึงเป็นความชอบธรรมที่ไม่ต่างไปจากการออกกฎหมายห้ามก่ออาชญากรรม ห้ามมีการผิดประเวณี ที่ผู้ฝ่าฝืนมันล้วนต้องถูกทำโทษตามประมวลกฎหมายของแต่ละกรณี วัลลอฮุอะอ์ลัม

//www.muslimthai.com/forum/index.php?topic=4416.msg72842;topicseen#new


โดย: ผ่านมา IP: 58.181.145.220 วันที่: 14 มิถุนายน 2550 เวลา:16:03:10 น.  

 
Returned Jerusalem back to us!!

And STOP Jihad!


โดย: Crusader IP: 125.24.42.76 วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:19:26:29 น.  

 
"ที่กล่าวว่า และหากหลักการใดมีการขัดแย้งกันเอง ให้ถือว่ากุรอานคือข้อตัดสินขั้นเด็ดขาด"

เมื่อกุรอ่านมีเรื่องนี้อยู่ในนั้น พระองค์แจ้งเสร็จสรรพแล้วว่าต้องจัดการเช่นไร

ใยต้องนำสิ่งอื่นมา นอกเหนือจากกุรอ่าน

รบกวนอธิบายข้อสงสัยตรงนี้?????



โดย: บังเอิญแวะผ่านมา IP: 124.121.16.165 วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:12:02:36 น.  

 
งง


โดย: บอส IP: 124.122.158.205 วันที่: 10 มิถุนายน 2552 เวลา:9:19:00 น.  

 
เกือบทุกประเทศมุสลิมกฎหมายบังคับให้เด็กที่เกิดในประเทศต้องนับถือศาสนาอิสลาม ดังนั้นหลักฐานแสดงตัวตนใดๆที่ทางการออกให้ จะเขียนกำหนดไว้ว่าเค้านับถืออิสลาม เด็กเหล่านั้นโตขึ้นมาก็ไม่ได้รับอิสระเสรีในการนับถือศาสนาเลย

ผู้หญิงมุสลิมจะต้องรักษาพรหมจารีย์(ด้านหน้า)จนกว่าจะถึงวันแต่งงาน เพราะฉะนั้นสาวมุสหลายคนไม่ได้รักษาพรหมจารีย์ด้านหลัง เรื่องจริง.....

เคยเห็นในคลิปหญิงชาวเคริท์มีสัมพันธ์กับชายชาวมุสลิม เธอโดนลงโทษโดยบรรดาตรีนนนน ของผู้ชายชาวมุสลิม เธอพยายามเอาแขนทั้ง2บังหน้าไว้ แต่ตัวก็ยังโดนตรีนๆๆๆๆ หลังจากนั้นมีชายคนนึงถอดกางเกงเธอออก แล้วชายหลายๆคนก็รุมกระเทือบเธออีก เธอกลิ้งไปมาเหมือนลูกฟุตบอล นาทีสุดท้ายของชีวิตเธอ ได้มีชายคนนึงเอาอิฐบล๊อคก้อนใหญ่ๆ 1 ก้อน มันยกอิฐนั้นเหรือหัวแล้วปล่อยอิฐนั้นตกลงมาโดนศรีษะผู้หญิงคนนั้นเต็มๆ เธอแน่นิ่งไป ไอ้คนนั้นหยิบอิฐก้อนเดิมขึ้นมาอีก แล้วก็ทำซ้ำอีกครั้ง ส่วนไอ้พวกที่กระเทือบร่างกายส่วนร่างก็กระเทือบไป จนเธอแน่นิ่ง เธอใส่เสื้อแขนยาวสีแดงกางเกงสีดำ ใครอยากดูคลิปไปหาได้ในกู้เกิ้ลพิมคำว่า "Iraq stonehead Kurdish"

อีกหนึ่งคดี ที่เบลเยี่ยม เป็นครอบครัวมุสลืมที่ย้ายมาจากประเทศกลุ่มอาหรับหรือเปอร์เซียนี่แหล่ะ มันฆ่าปาดคอน้องสาวมัน สาเหตุคือน้องสาวไม่เป็นมุสลิมที่ดี คือน้องสาวไม่สวมผ้าคลุมผม และไม่ยอมแต่งงานกับผู้ชายที่ครอบครัวเลือกให้ มันเลยฆ่าปาดคอน้องมัน สุดท้ายตำรวจก็จับมันเข้าคุก แต่มันยังบอกกับศาลว่า ไม่รู้สึกผิดเพราะน้องสาวมันทำผิดต่อพระเจ้า ถึงมันจะเข้าคุก(กฎหมายเบลเยี่ยมไม่มีบทลงโทษประหารชีวิต) แต่มันจะได้ขึ้นสวรรค์ สัตวววววววววววววววววว์


โดย: Dont IP: 83.134.41.34 วันที่: 25 ตุลาคม 2552 เวลา:15:31:34 น.  

 
พระเจ้าของฉันคืออินเตอร์เน็ต อย่างอื่นไม่นับถือเเละไม่ขอพรไม่ออนวอนพรเจ้าองค์ไหนทั้งนั้น นับถือเเล้วเรื่องมากมีโทษมาก เฉพราะฉะนั้นกูจึงไม่นับถือใครหมูหมากาไก่กูกินเรียบเลย อร่อยอืกต่างหาก เหอๆๆๆ


โดย: am IP: 110.169.8.169 วันที่: 24 พฤศจิกายน 2553 เวลา:7:43:41 น.  

 
พระเจ้าของฉันคืออินเตอร์เน็ต อย่างอื่นไม่นับถือเเละไม่ขอพรไม่ออนวอนพรเจ้าองค์ไหนทั้งนั้น นับถือเเล้วเรื่องมากมีโทษมาก เฉพราะฉะนั้นกูจึงไม่นับถือใครหมูหมากาไก่กูกินเรียบเลย อร่อยอืกต่างหาก เหอๆๆๆ


โดย: am IP: 110.169.8.169 วันที่: 24 พฤศจิกายน 2553 เวลา:7:44:26 น.  

 
นรก สวรรค์ หรือ วงจรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด มีมนุษย์โลก เป็นต้น ไม่ได้แบ่งแยกว่าคนศาสนา ลัทธินั้น จะต้องเกิดในที่นั้นที่นี้ เป็นของกลาง ไม่ว่าคน สัตว์ใดๆ ที่ทำชั่ว ก็จะได้ชั่ว ทำดีก็จะได้ดี เพราะฉะนั้น สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั้น เป็นความจริง เป็นความจริงที่มีอยู่


โดย: an IP: 202.176.167.247 วันที่: 24 พฤศจิกายน 2553 เวลา:12:01:58 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

kheedes
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add kheedes's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.