ว่าด้วยความยุ่ง
ชฎาสูตร ว่าด้วยความยุ่งจากพระไตรปิฎกเล่มที่ 16 สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เทวตาสังยุต สัตติวรรคเทวดาทูลถามว่า........หมู่สัตว์ยุ่งทั้งภายใน ยุ่งทั้งภายนอกถูกความยุ่งพาให้นุงนังแล้ว ข้าแต่พระโคดม เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์ขอทูลถามพระองค์ว่า ใครพึงแก้ความยุ่งนี้ได้พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า........นรชนผู้มีปัญญา เห็นภัยในสังสารวัฏดำรงอยู่ในศีลแล้ว เจริญจิตและปัญญามีความเพียร มีปัญญาเครื่องบริหารนั้นพึงแก้ความยุ่งนี้ได้........บุคคลเหล่าใดกำจัดราคะ โทสะ และอวิชชาได้แล้วบุคคลเหล่านั้นสิ้นอาสวะแล้ว เป็นพระอรหันต์พวกเขาแก้ความยุ่งได้แล้ว........นามก็ดี รูปก็ดี ปฏิฆสัญญาก็ดีรูปสัญญาก็ดี ดับไม่เหลือในที่ใด ความยุ่งนั้นก็ย่อมขาดหายไปในที่นั้นชฎาสูตรที่ 3 จบ
ว่าด้วยผู้ลืมเลือนธรรม
สุสัมมุฏฐสูตร ว่าด้วยผู้ลืมเลือนธรรมจากพระไตรปิฎกเล่มที่ 16 สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เทวตาสังยุต นฬวรรคเรื่องเกิดที่กรุงสาวัตถีเทวดานั้นยืนอยู่ ณ ที่สมควรแล้ว ได้กล่าวคาถานี้ในสำนักของพระผู้มีพระภาคว่า บุคคลผู้ลืมเลือนธรรมย่อมถูกชักนำไปในวาทะของคนเหล่าอื่นบุคคลเหล่านั้นหลับอยู่ยังไม่ตื่นบัดนี้เป็นกาลที่บุคคลเหล่านั้นควรจะตื่นพระผู้มีพระภาคตรัสว่า บุคคลผู้ไม่ลืมเลือนธรรมย่อมไม่ถูกชักนำไปในวาทะของคนเหล่าอื่นบุคคลเหล่านี้ผู้รู้ดี รู้ชอบย่อมดำเนินไปอย่างสม่ำเสมอในที่ที่ไม่สม่ำเสมอสุสัมมุฏฐสูตรที่ 8 จบหมายเหตุ : ที่ที่ไม่สม่ำเสมอ หมายถึง โลกสันนิวาส หมู่สัตว์ หรือกิเลสที่ไม่สม่ำเสมอ
ว่าด้วยความตื่น
............ชาครสูตร พระสูตรว่าด้วยความตื่นจากพระไตรปิฎกเล่มที่ 15 สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เทวตาสังยุต นฬวรรค เรื่องเกิดที่กรุงสาวัตถีเทวดานั้นยืนอยู่ ณ ที่สมควรแล้ว ได้กล่าวคาถานี้ในสำนักของพระผู้มีพระภาคว่า .....เมื่อธรรมทั้งหลายตื่นอยู่ ธรรมประเภทไหนที่ชื่อว่าหลับอยู่เมื่อธรรมทั้งหลายหลับอยู่ ธรรมประเภทไหนชื่อว่าตื่นอยู่บุคคลหมักหมมธุลีคือกิเลสเพราะธรรมประเภทไหนบุคคลบริสุทธิ์เพราะธรรมประเภทไหนพระผู้มีพระภาคตรัสว่า.....เมื่ออินทรีย์ 5 ตื่นอยู่ นิวรณ์ 5 ชื่อว่าหลับอยู่เมื่อนิวรณ์ 5 ตื่นอยู่ อินทรีย์ 5 ชื่อว่าตื่นอยู่บุคคลหมักหมมธุลีคือกิเลสเพราะนิวรณ์ 5 บุคคลบริสุทธิ์เพราะอินทรีย์ 5 ชาครสูตรที่ 6 จบ
ว่าด้วยการหลีกเร้น
......ปฏิสัลลานสูตร พระสูตรว่าด้วยการหลีกเร้นจากพระไตรปิฎกเล่มที่ 25 พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ทุกนิบาต ทุติยวรรค แท้จริง พระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสไว้แล้ว พระสูตรนี้ พระอรหันต์กล่าวไว้แล้ว ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้"ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเป็นผู้พอใจในการหลีกเร้น ยินดีในการหลีกเร้น หมั่นประกอบความสงบแห่งจิตภายใน ไม่ห่างจากฌาน ประกอบด้วยวิปัสสนา เพิ่มพูนเรือนว่าง เถิด ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอทั้งหลายพอใจในการหลีกเร้น ยินดีในการหลีกเร้น หมั่นประกอบความสงบแห่งจิตภายใน ไม่ห่างจากฌาน ประกอบด้วยวิปัสสนาเพิ่มพูนเรือนว่างอยู่ พึงหวังได้ผลอย่าง 1 ใน 2 อย่าง คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมีอุปาทานเหลืออยู่ก็จักเป็นอนาคามี"พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความดังกล่าวมานี้แล้ว ในพระสูตรนั้น จึงตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า.....ชนทั้งหลายมีจิตสงบแล้ว มีปัญญารักษาตนมีสติ เพ่งพินิจ ไม่ใยดีในกามทั้งหลายย่อมเห็นแจ้งธรรมโดยชอบเป็นผู้ยินดีในความไม่ประมาทมีปกติเห็นภัยในความประมาทเป็นผู้ไม่ควรเสื่อม ดำรงอยู่ใกล้นิพพานทีเดียวแม้เนื้อความนี้ พระผู้มีพระภาคก็ตรัสไว้แล้ว ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้แล ปฏิสัลลานสูตรที่ 8 จบหมายเหตุ : เพิ่มพูนเรือนว่าง ในที่นี้หมายถึงการเรียนสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน แล้วไปยังเรือนว่าง นั่งอยู่ตลอดวันและคืน เจริญอธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา
ว่าด้วยกาลที่ล่วงเลยไป
คัดจาก อัจเจนติสูตร สูตรที่ว่าด้วยกาลที่ล่วงเลยไปเรื่องเกิดขึ้นที่กรุงสาวัตถีเทวดานั้นยืนอยู่ ณ ที่สมควรแล้ว ได้กล่าวคาถานี้ในสำนักของพระผู้มีพระภาคว่า กาลล่วงเลยไป คืนผ่านพ้นไปช่วงแห่งวัย ละไปตามลำดับ บุคคลพิจารณาเห็นภัยนี้ในมรณะควรทำบุญที่นำความสุขมาให้พระผู้มีพระภาคตรัสว่ากาลล่วงเลยไป คืนผ่านพ้นไปช่วงแห่งวัย ละไปตามลำดับบุคตคลพิจารณาเห็นภัยนี้ในมรณะควรละโลกามิส มุ่งสู่สันติเถิดอัจเจนติสูตรที่ 4 จบจากพระไตรปิฎกเล่มที่ 15 สังยุตตนิกาย สคาถาวรรค เทวดาสังยุต นฬวรรค