ยิ้มน้อยน้อย...ตามรอยธรรม
 
 

คุยกับชาวบ่อนไก่ และสำรวจพื้นที่คลองเตย

เรื่อง "เดินสู่ความเข้าใจ" ในตอนนี้ เป็นตอนที่ดิฉันกับเพื่อนรุ่นน้อง 2 คนไปลงพื้นที่บ่อนไก่กัน แบ่งเป็น 15 ตอนย่อย ซึ่งดิฉันเขียนไว้ในส่วนของ comment เพราะยังคิดลงพื้นที่อีกหลายครั้ง จะได้แบ่งหัวข้อเป็นเรื่องๆ เป็นคราวๆ ไป สำหรับในตอนนี้ ประกอบด้วย 15 ตอนย่อยค่ะ

1. มากกว่าที่นึก ลึกกว่าที่คิด
2. เรื่องเล่าจากชาวบ้าน
3. พบคนหลังวัดปทุมฯ ที่คุ้นเคยกับวังเพชรบูรณ์
4. ก่อนจะมาเป็นเซ็นทรัลเวิลด์
5. เรื่องเล่าของหม่อมถนัดศรี
6. จากวังเพชรบูรณ์ สู่ เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์
7. จากเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ สู่ เซ็นทรัลเวิลด์
8. ภัตตาคารจันทร์เพ็ญ ดังดอกไม้กลางไฟฟอน
9. ความสำคัญทางยุทธศาสตร์ของบ่อนไก่
10. ชาวบ่อนไก่ก็รักในหลวงนะ
11. คุยกับคนเก่าแก่ของบ่อนไก่
12. จากพื้นราบสู่แฟลตสูง ชุมชนที่ยังดำรงไว้ได้
13. จุดที่ยอมกันไม่ได้
14. เรื่องเล่าชาวแฟลตสาม
15. ยังมีความจริงอีกหลายส่วนที่รออยู่

*****

วันที่ 25 มิถุนายน 2553

1. มากกว่าที่นึก ลึกกว่าที่คิด

......วันนี้คุณพ.มารับดิฉันไปลงพื้นที่บ่อนไก่ด้วยกัน โดยมีคุณศ.นัดว่าจะไปรอพบเราที่หน้าชุมชนบ่อนไก่ คุณพ.เกิดและอาศัยอยู่ที่บ่อนไก่มายาวนาน ก่อนที่ครอบครัวของเธอจะย้ายมาอยู่ที่พระโขนง แต่ก็ยังมีญาติอีกหลายคนซึ่งยังตั้งรกรากอยู่ที่บ่อนไก่นั้น

......เราลงทางด่วนเอกมัย-รามอินทราที่ซอยสุขุมวิท 50 แล้วขับรถมาทางพระโขนงเพื่อเข้าถนนพระราม 4 เดิมดิฉันคิดว่า อยากเดินเท้าจากสามย่านไปจนถึงคลองเตย สอบถามพูดคุยกับผู้คนไปเรื่อยๆ แต่ก็ได้บอกคุณพ.ว่า เราไม่ได้ไปเพื่อเดิน แต่ไปเพื่อเปิดใจรับฟังผู้คน เพื่อความเข้าใจของเราเอง และเพื่อจะได้คลี่เหตุการณ์ต่างๆ ออกมาโดยหวังเป็นส่วนหนึ่งของการสมานรอยร้าวระหว่างผู้คนได้บ้าง

......เพราะเราไม่ใช่คนฝ่ายใดสีใด เราเป็นเพียงคนเล็กคนน้อยที่มีใจเป็นอิสระ และห่วงใยต่อเพื่อนมนุษย์เท่านั้น ซึ่งเราอาจเริ่มจากการสำรวจพื้นที่กว้างๆ ก่อนเพื่อให้เห็นภาพรวมก็ได้ เพื่อที่เมื่อเราลงไปคุยกับผู้คนในแต่ละจุดที่อยู่ในภาพย่อย เราจะได้เข้าใจพวกเขามากขึ้น

......คุณพ.ได้เริ่มเล่าเรื่องพื้นที่กว้างๆ ให้ดิฉันฟัง เธอบอกว่าบนถนนสุขุมวิทนี้ ทางขวามือนับตั้งแต่สุขุมวิท 71(ซอยปรีดี พนมยงค์) ไปจนซอยนานา เป็นที่ดินละแวกผู้ดีเก่า ราชนิกูล ขุนนาง ข้าราชการ ปัจจุบันจึงกลายเป็นย่านที่อยู่อาศัยราคาแพง เป็นคอนโดหรูของชาวต่างประเทศจำนวนมาก ฝั่งซ้ายมือของถนนสุขุมวิทไปจนจรดถนนพระรามที่ 4 เดิมมักเป็นที่ดินของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไล่ลงไปจนถึงหัวลำโพง เธอบอกว่า ให้เช็คข้อมูลพวกนี้อีกที เพราะเป็นข้อมูลที่เธอรู้มาจากพ่อ ซึ่งพ่อเธอก็เสียชีวิตไปแล้ว

......เมื่อเลี้ยวเข้าสู่ถนนพระรามที่ 4 ฝั่งขวามือเป็นพื้นที่ซึ่งไปจรดถนนสุขุมวิท ฝั่งซ้ายมือเป็นพื้นที่ซึ่งไปจรดถนนทางรถไฟสายเก่า เธอบอกดิฉันว่า “หนูจะพาพี่ไปเส้นพระรามสี่ก่อน ไปจนถึงช่อง 3 ที่ถูกเสื้อแดงเผา แล้วค่อยเข้าทางรถไฟสายเก่า เพราะสมัยก่อนเส้นทางรถไฟสายเก่าเป็นเส้นย่านการค้าเก่าแก่ แต่พอถนนพระราม 4 ขยาย การค้าก็ซบเซา พอผ่านหน้าช่อง 3 ดิฉันก็อุทานว่า “อ๋อ..เข้าใจแล้ว เขาเผากันตรงไหน” เมื่อนึกเทียบกับคลิปที่หาดูได้ทางอินเตอร์เน็ต

......พอคุณพ.เลี้ยวเข้าถนนทางรถไฟสายเก่า ก็ทำให้รู้สึกเหมือนได้ย้อนอดีต บ้านเรือนแถวไม้เก่าๆ ยังมีอยู่มาก แม้จะมีบางส่วนปรับปรุงเป็นตึกแถวไปบ้างแล้ว คุณพ.เล่าว่า เขตคลองเตยเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยชุมชนแออัด แต่ก็เป็นทำเลทองด้วยในเวลาเดียวกัน

......ดิฉันนึกถึง ความขัดแย้งในตลาดคลองเตยที่ถึงเลือดถึงเนื้อในปี 2551 ผู้ค้าในตลาดที่ต่อต้านสัญญาไม่เป็นธรรมตายไป 2 คนและบาดเจ็บร้อยกว่าคน และยังไม่รู้จะจบอย่างไร เพราะเป็นการสมประโยชน์ระหว่างการท่าเรือฯ คนมีสี และมีอิทธิพลของนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่คุณพ.บอกว่า ผลประโยชน์ใหญ่ยังมากกว่านั้น คือ เป็นเรื่องพื้นที่นับพันๆ ไร่ของการท่าเรือ ซึ่งมีการเตรียมทำโครงการใหญ่ตั้งแต่สมัยทักษิณยังเป็นนายกฯ ดิฉันจึงบอกเธอว่า “ไปพบคุณศ.ก่อน แล้วรับเธอมาตระเวนพื้นที่รวมๆ ด้วยกันจะดีกว่า แล้วค่อยลงไปคุยกับคนในพื้นที่อีกที เพราะเธอรอเราอยู่”




 

Create Date : 05 กรกฎาคม 2553   
Last Update : 5 กรกฎาคม 2553 10:46:44 น.   
Counter : 2182 Pageviews.  


เดินเท้าคุยกับผู้ค้ารายย่อยหลังเหตุการณ์เผาเมือง

.....ตอนที่ดิฉันตัดสินใจนำเอาเรื่องที่ไปพบเห็นสัมผัสจากการตระเวณไปพบปะพูดคุยกับผู้คนที่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่มนปช.เมื่อเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2553 หลังจากที่มีเหตุการณ์เผาเมืองเกิดขึ้น ดิฉันไม่รู้จะเขียนเรื่องนี้ในหมวดหมู่อะไรดี เพราะดิฉันคิดแค่เรื่องมีคนกำลังเดือดร้อนมากๆ สำหรับดิฉัน นี่ไม่ใช่การเมือง แต่เป็นเรื่องชีวิต เป็นเรื่องผู้คน จึงตัดสินใจเขียนบล็อคในหมวดหมู่ ไดอารี่ บันทึกประสบการณ์ชีวิต

......หลังจากนำขึ้นบล็อคแล้ว ดิฉันก็ไปพูดคุยกับผู้คนต่อที่ย่านบ่อนไก่ ซึ่งการพูดคุยก็เพียงอยู่ในช่วงเริ่มต้น เพราะมีเรื่องราวมากมายจากปากซอยถึงท้ายซอยให้เราฉงนสนเท่ห์ ซึ่งเรื่องราวส่วนนี้ ดิฉันก็จะได้นำขึ้นมาลงในบล็อค มาบอกเล่าในเวลาต่อไป

......ตอนนำเรื่องราวขึ้นบล็อคครั้งแรก รู้สึกข้อความยาวไป จึงซอยเป็นตอนๆ แล้วแปะลงไปในช่องความเห็น ตอนนี้เข้ามาเพิ่มเติมเรื่องราวในบ่อนไก่ จึงทำไปในลักษณะเดียวกันค่ะ

oDaineo 5 ก.ค. 2553

..........

1.แรงบันดาลใจ

.....ดิฉันตั้งใจออกสำรวจพื้นที่ปะทะและการเผาเมืองมาตั้งแต่เหตุการณ์สงบใหม่ๆ แต่ความตั้งใจนี้แรงกล้าขึ้นในวันวิสาขบูชา(28 พ.ค.2553) หลังจากที่ได้คุยกับน้องคนหนึ่งซึ่งพักอาศัยอยู่บริเวณลุมพินี-บ่อนไก่ ตรงจุดปะทะในงานสัปดาห์ส่งเสริมพุทธศาสนาที่ท้องสนามหลวง

.....เธอมาซื้อหนังสือที่แผงของคุณม. คุณม.แนะนำให้ดิฉันรู้จัก และบอกว่า “พี่คนนี้เขาอยู่บ่อนไก่นะ อยากรู้อะไรก็ถามได้” แต่พอดิฉันขยับจะถาม เธอกลับส่ายหน้า ทำท่าเหมือนปาดน้ำตา บอกว่า “ไม่อยากพูด” ดิฉันจึงแสดงความเห็นใจเธอ “คงลำบากมากเลยนะคะ ถูกรัฐบาลตัดน้ำตัดไฟ” เธอมีอาการของขึ้นทันที ร้องบอกดิฉันว่า “รัฐบาลไม่ได้ตัดไฟนะพี่ เสื้อแดงมันยิงหม้อไฟ พอไฟดับ ก็ปั๊มน้ำไม่ได้ คอนโด 14 ชั้นน่ะพี่ มันก็เหมือนถูกตัดน้ำไปโดยอัตโนมัติ”

.....ดิฉันอึ้ง “แล้วทำไมข่าวบอกว่า รัฐบาลตัดล่ะ” เธอส่ายหน้า “รัฐบาลตัดตรงราชดำริ ไม่ได้ตัดตรงบ่อนไก่ ตรงนี้เสื้อแดงยิงหม้อไฟ ช่างไฟจะมาซ่อม มาต่อไฟให้ ก็ยิงช่างไฟฟ้าด้วย” ดิฉันเอื้อมมือไปจับมือเธอ “เห็นใจมากนะคะ ดูข่าวทางบ้านไม่รู้เลย เห็นแต่ภาพคนอพยพ ไม่รู้เรื่องนี้เลย” เธอสบตาดิฉัน “มีอีกเยอะเลยที่คนนอกไม่รู้ หนูเองก็ไม่รู้ว่า ในชีวิตจะต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ เหมือนอยู่ในสงครามเลยพี่”

..... หลังจากนั้นเราก็คุยกันไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ รวมเวลา 3 ชั่วโมงเต็ม ดิฉันจึงได้รู้ว่า ชาวแฟลตบ่อนไก่ต้องปกป้องตนเองอย่างกล้าหาญขนาดไหน จึงป้องกันการบุกเข้ายึดแฟลตของกลุ่มคนเสื้อแดงได้ “หนูนี่แหละอยู่ที่แฟลต สู้กับมัน คือพวกผู้หญิงเป็นหน่วยสอดแนม ส่องกล้องทางไกลตลอด คอยบอกพวกหนุ่มๆ ในแฟลตให้ยิงสกัดพวกเสื้อแดง พวกนั้นมีอาวุธมากกว่าเราเยอะแยะ มันก็ยิงข้ามหัวพวกเราไปมาตลอด เราทั้งแฟลต 14 ชั้น พี่เชื่อไหม มีปืนพกรวมกันไม่กี่กระบอก แต่ก็ได้ใช้ยิงสกัด ไม่ให้เสื้อแดงเข้ามายึด เข้ามาเผาแฟลตเรา”

.....ในท่ามกลางความกล้า ก็มีความเป็นมนุษย์ มีความกลัว และมีความหวั่นไหวต่างๆ “เราแค่ยิงสกัด ให้เขาถอยไป ไม่ยิงให้ตาย ถ้าคนของเขาตาย เขาคงไม่ปล่อยเราไว้”

.....เธอเล่าว่าแฟลตของเธอติดกับชุมชนแออัดที่มีคนเสื้อแดงอยู่เป็นจำนวนมาก แต่พวกที่เข้ามาจู่โจมส่วนใหญ่เป็นคนแปลกหน้า มีชุดดำปนมาด้วยจำนวนไม่น้อย และมีอีกส่วนที่ใส่ชุดลายพราง ซึ่งชาวแฟลตได้ยิงสกัดให้ถอยออกไป โดยอีกฟากฝั่งหนึ่งเป็นบังเกอร์ของทหาร
เธอยังเล่าเรื่องอื่นๆ ให้ฟังอีกมากมาย เช่นเรื่อง ชะตากรรมของร้านค้าย่อยที่ถูกเผา เธอว่า รัฐบาลยังช่วยไม่ตรงจุด เพราะคนที่เดือดร้อนมากที่สุดก็คือ ผู้เช่าช่วง หรือเรื่องความเห็นใจที่เธอมีต่อเสื้อแดงชนบทที่เข้ามาชุมนุม เพราะเธอเองนั้น มีร้านขายของอยู่ แต่ขายไม่ได้เพราะสถานการณ์ชุมนุม และเนื่องจากบ้านอยู่ใกล้ที่ชุมนุม จึงมักเข้าไปดูว่า เขามาเรียกร้องอะไรกัน

.....ความที่อยากให้คนเสื้อแดงกลับบ้าน เพราะเธอแบกรับค่าใช้จ่ายจำนวนมาก โดยแทบไม่มีรายรับต่อไปไม่ไหว การชุมนุมยืดเยื้อและไม่รู้จะจบเมื่อไร เธอจึงคิดง่ายๆ ว่า ถ้าคนที่เดือดร้อนจากการชุมนุมซึ่งต้องสูญเสียรายได้เดือนละหลายหมื่น หรือบางคนเป็นแสน จะช่วยกันจ้างผู้ที่มาชุมนุมให้กลับบ้าน เพราะถ้าจ้างให้มาได้ ก็ควรจ้างให้กลับได้ เธอจึงไปตีสนิทกับคนที่มาจากชนบท จนถึงขั้นให้ข้อเสนอนี้ได้

.....คำตอบที่เธอได้รับทำให้เธออึ้ง เพราะเขาก็อยากกลับ แต่กลับไม่ได้ เรื่องบัตรประชาชนที่ถูกนปช.ยึดไว้ยังไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เรื่องที่ใหญ่มากคือ ถ้าหากเขากลับไปเองโดยพลการ ไม่ใช่ผู้นำเป็นคนพากลับ เขาจะไม่สามารถอยู่ในหมู่บ้านได้อีกต่อไป เขาจะอยู่ไม่ได้ ต้องถึงขั้นทิ้งรกรากของตนเอง เมื่อเธอได้รู้เรื่องราวเหล่านี้ก็อ่อนใจ “หนูว่าเขาน่าสงสารอะพี่ แต่หนูก็สงสารตัวเองเหมือนกัน เฮ้อ” ความรู้สึกเหล่านี้ทำให้เธอรู้สึกเกลียดพวกแกนนำนปช.มากขึ้น โดยเฉพาะคนที่อยู่เบื้องหลังแกนนำ คือ ทักษิณ แล้วความเกลียดก็พุ่งขึ้นถึงขีดสุด เมื่อบ่อนไก่กลายเป็นเขตปะทะและเกิดการเผากันขึ้นมา

.....เราปักหลักคุยกันอยู่นาน พี่ผู้หญิงอีกคนมาคอยป้วนเปี้ยนเลือกหนังสืออยู่ข้างๆ ท่าทางสนใจเรื่องที่เราคุยกัน ดิฉันเลยหยิบเก้าอี้ให้อีกตัว เพื่อให้เข้าร่วมวงสนทนาด้วย เป็นผู้ปฏิบัติธรรม และถือศีล 8 ในวันวิสาขบูชานี้ด้วย แต่ก็อยากรู้ความเป็นไปของเหตุการณ์บ้านเมือง การมีคนธรรมะเข้าร่วมวงอีกคนหนึ่ง ทำให้เราสามารถลดความร้อนแรงและความอัดอั้นของน้องคนนี้ได้พอสมควร เพราะที่จริงเธอก็ฝักใฝ่ธรรมะจึงต้องมางานสนามหลวงทุกปี มาอยู่จนส่งพระบรมสารีริกธาตุเข้าวัดพระแก้ว

.....จากเรื่องของน้องคนนี้ ดิฉันรู้สึกได้ว่ายังมีผู้คนอีกมากมายแค่ไหนที่เต็มไปด้วยความอัดอั้นตันใจ จึงเห็นว่า ต้องรีบลงพื้นที่ ถึงจะทำอะไรไม่ได้ ไปฟังพวกเขาบอกเล่าอะไรๆ ให้ฟังก็ยังดี ทั้งดิฉันเองก็จะได้เอามาต่อภาพเพื่อเขียนเรื่องราวโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ ในมุมมองของภาพรวมๆ ที่ดิฉันกำลังพยายามปะติดปะต่อได้อีกด้วย และได้เล่าความคิดเรื่องอยากลงพื้นที่ให้คุณม.ฟัง แต่เนื่องจากยังมีธุระอื่นต้องจัดการหลายวัน จึงเพิ่งลงตัวที่จะไปเดินสำรวจในวันที่ 8 มิ.ย. ซึ่งคุณม.ยินดีไปเป็นเพื่อน เพราะมีความชำนาญในพื้นที่เป็นอย่างดี




 

Create Date : 22 มิถุนายน 2553   
Last Update : 5 กรกฎาคม 2553 8:11:03 น.   
Counter : 409 Pageviews.  



oDaineo
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Photo Frames. Yellow Flowers Border
[Add oDaineo's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com