|
รูปแบบการเมืองไทย สอง...
ขอแสดงความยินดีกับ คุณสนธิฯ ด้วยครับ ที่ได้จารึกชื่อตัวเองไว้บนหน้าประวัติศาสตร์การเมืองได้แล้ว ในฐานะผู้นำมวลชนขับไล่นายกรัฐมนตรีที่ชื่อทักษิณ ได้สำเร็จ..
ผมคิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า สนธิฯ ต้องออกมานำขบวนเพื่อจะให้ตัวเองได้จารึกชื่อเป็นที่จดจำของคนไทยรุ่นหลัง ตามวิสัยพื้นเพที่เขาเคยบอกเสมอว่า เขาเป็นนักประวัติศาสตร์ (ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกเขาบอกไว้ว่าเขาไม่ใช่ผู้นำม๊อบ ไม่คิดจะเป็น และเป็นไม่ได้ สิ่งที่เขาทำคือ ทำหน้าที่สื่อที่ดีเท่านั้น)
และคราวนี้ก็แสดงให้เห็นว่า นักประวัติศาสตร์ลงมาเขียนประวัติศาสตร์ของตัวเองด้วยตัวเอง...
การชุมนุม เมื่อวันเสาร์ที่ สี่กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นอะไรหลาย ๆ ด้าน แต่ด้านหนึ่งต้องขอชื่นชม คุณสนธิฯ ที่ควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ ทั้ง ๆ ที่มันน่าจะบานปลายยืดเยื้อ ดุดันรุนแรงมากกว่านี้ เพราะก่อนวันดังกล่าว มีทั้งกลุ่มคณาจารย์ นักการเมือง ช่วยกันละเลง ปูพรมไว้ให้คุณสนธิฯ เป็นอย่างดี...
อย่างว่าล่ะนะครับ นักประวัติศาสตร์อย่างสนธิฯ เรียนรู้จากบทเรียนเก่า ๆ มาพอสมควร ก็เลยต้องหาคนมาช่วยยับยั้งได้จำนวนมาก และป้องกันมิให้เกิดความรุนแรงให้จงได้
และเขาคงจะรู้ซึ้งแล้วว่า การนำม๊อบ นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ โดยเฉพาะการคุมคนจำนวนมาก แม้จะมีคีย์แมนหลายคน สนับสนุนชูเขาขึ้นเป็นผู้นำเป็นอย่างดี
แต่มองอีกมุมหนึ่งคือ... สนธิฯ ไม่แน่จริง ทำเหมือนเล่นป่าหี่ สุดท้ายก็คือสร้างความสับสนวุ่นวายให้แ่ก่บ้านเมืองแค่นั้น
ผมจะทำนายปรากฎการณ์ของคุณสนธิฯ ลองดูครับ... ว่าการเข้าไปยืนบนแท่นผู้นำมวลชนอย่างนั้น การจะลงจากแท่นง่าย ๆ คงไม่สวยนัก ตอนนี้เขาได้เข้าไปเล่นบนเวทีการเมืองแบบเต็มตัวแล้ว การจะถอนออกมาแบบไม่มีอะไร ผมว่ามันน่าผิดหวังมาก ...
อยากจะฟันธงไว้ตรงนี้เลยว่า สนธิฯ ต้องเล่นการเมือง แน่นอน จะด้วยตัวเองหรือไม่แค่นั้นแหละ แต่ผมฟันธงต่อไปอีกว่า ต้องเล่นการเมืองด้วยตัวเอง...(แม้เขาบอกว่ากี่ครั้งแล้วว่า ไม่เล่นการเมืองแน่นอนก็ตาม... แต่ผมไม่เชื่อว่าเขาจะออกจากเวทีนี้ได้ การกลับไปทำหน้าที่สื่อหรือ??? ผมว่ามันจะผิดเวทีของแกกระมัง) ก็ต้องรอติดตามดู บทบาทของ คุณสนธิฯ กันต่อไปล่ะครับ... จะลง สว. สส. พรรคไหนหรือเปล่า ?
การนำม๊อบครั้งนี้ ถือว่าแกบ้าดีเดือดพอสมควรครับ... แม้ถูกลอยแพจากกลุ่มทุนหลัก ๆ มากมาย ต้องตระเวนหาพวกสร้างมวลชนขึ้นเหนือล่องใต้ อยู่หลายรอบ..เพราะแกไม่มีฐานของตัวเอง ไม่ใช่คนที่ประชาชนศรัทธามากมาย สุดท้ายก็เลือกเจาะเป็นกลุ่ม ๆ โดยเฉพาะจากฐานของคนที่ไม่พึงพอใจนโยบายรัฐเป็นหลัก
และผมก็อยากจะฟันธงต่อไปอีก เรื่องการถวายฎีกา ว่า ไม่มีอะไรเป็นผลลัพธ์เกิดขึ้นแน่นอน... คือ ไม่มีทางเปลี่ยนตัวนายกฯ ได้ นอกจากนั้นอีก...จะไม่ีมีคำตอบใด ๆ ที่เป็นผลดีต่อผู้ถวายฎีกาเลย อาจจะหายเงียบไปเลย
แต่ผมก็แปลกใจมาก...ว่าเหตุใดมีคนสนับสนุน คนสนธิฯ กันออกนอกหน้านอกตากันมากมายขนาดนั้น ทั้ง ๆ ที่วิธีการคิดอย่างสนธิฯ ที่ผมบอกไว้คือ เขาพยายามจะเซฟตัวเองให้มากที่สุด จึงมีการนำเอาสถาบันเชิงสัญลักษณ์มาเป็นหลักอิง
ประเด็นที่น่าสนใจ คือ การเอือมระอา กับนายกฯ คนปัจจุบัน ของคนเมือง คนรับข่าวสาร นักการเมืองบางกลุ่มบางคน...
สำหรับประชาชนคนรับข่าวสาร คนเมือง น่าปวดหัวครับ...เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทางการเมือง มันทำให้สับสน ปวดหัวเวียนเกล้าเสียอย่างยิ่ง ปัญหาอย่างเรื่อง การเมืองผลประโยชน์ทับซ้อน การคอรัปชั่น การเมืองพวกพ้อง และที่สำคัญการเมืองอำนาจเบ็ดเสร็จ
เท่า ๆ ที่ผมประเมินด้วยสติปัญญาตัวเอง หาอ่านหนังสืออยู่หลายเล่ม ย้อนประวัติศาสตร์ไป ผมให้เหตุเรื่อง อำนาจเบ็ดเสร็จ คือ ปัญหาของการเมืองยุคทักษิณฯ ครับ ที่เป็นเรื่องทำให้คนทั่วไปไม่พอใจคนอย่างทักษิณฯ มากที่สุด
ส่วนเรื่องผลประโยชน์ คอรัปชั่น พวกพ้อง นั้น สำหรับผมแล้ว...จากประวัติศาสตร์การเมืองไทย มันเหมือนอยู่ในสายเลือดยังไงยังงั้นแหละครับ
ส่วนปัญหาเรื่องการบริหาร นโยบายที่ผิดพลาดนั้น ผมพยายามพิจารณาให้ความสำคัญเช่นกัน... แต่ก็ต้องยอมรับว่า มันมีทั้งดีและเสียปะปนกันครับ...
การบริหารงานของนายกฯ คนปัจจุบัน...เข้ามาในภาวะเศรษฐกิจขาดความเชื่อมั่น ดังนั้นเขาทำได้สำเร็จคือ สร้างความเชื่อมั่นทางด้านเศรษฐกิจให้กับเมืองไทยในสายตาต่างชาติได้สำเร็จ
ในขณะเดียวกันจัดการเรื่องการเมือง คือ รวมพรรค... มิติเรื่องการรวมพรรคนั้น ลึกซึ้งมากครับ.. เพราะไม่ใช่แค่เอาจำนวน สส.เท่านั้น แต่ยังหมายถึง รวบรวมเอากลุ่มทุนเข้ามาอยู่รวมกันเป็นก้อนได้สำเร็จด้วยเช่นกัน
ดังนั้น นักการเมืองเก่า ๆ ที่ใช้ทุนตัวเองเป็นหลัก ก็ค่อย ๆ เริ่มหายหน้าหายตาไปจาก ครม. เพิ่มสัดส่วนให้่ตัวแทนกลุ่มทุนเข้ามา ขณะที่กลุ่มเก่าแก่ ถูกลดบทบาท ทั้งทางการเมืองและการเพิ่มทุนของกลุ่ม ก็อาศัยการต่อรอง ด้วยการรวมกลุ่มก๊ก ก๊วน ให้ได้มากที่สุด แต่ไม่สำคัญหรอก ถ้าหากมีแต่ก๊ก หรือก๊วน แต่ไม่ติดกลุ่มทุนเข้ามาด้วย
ดังนั้น การเมืองปัจจุบัน จึงบอกได้ชัดว่า เป็นการเมืองของกลุ่มทุน ไปแล้ว ไม่ใช่ การเมืองของนักเลือกตั้ง หรือกลุ่ม สส.หลายเสียง เหมือนอย่างที่เคย ๆ เป็นมาสมัยอดีต...ที่ได้ เป็น รมต.ตามจำนวน สส.ในโควต้าของตน
ประเด็นที่ นายเสนาะฯ พูดเรื่อง ถูกขังด้วยกฎ เก้าสิบวัน จึงเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุด....
แต่เป็นเพราะคำพูดออกมาจากปากนายเสนาะฯ จึงไม่ค่อยมีคนนำไปสานต่อ หรือสนใจนัก ...
สำหรับผมแล้ว ผมว่ามันคือ หัวใจของการเมืองไทย ตอนนี้เลยทีเดียว เพราะ สส. ไม่สามารถเป็นอิสระจากพรรคได้ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่อยากอยู่ หรือไม่ชอบ ... นอกจากเป็นกบฎเพื่อชาติ เท่านั้น... ถามว่า แล้ว สส.พวกนี้จะได้ประโยชน์อะไรล่ะ ถ้าเป็นกบฎแล้ว ตัวเองต้องเลิกอาชีพนักการเมืองไป
กม.รธน. กำหนดให้ สส.ต้องสังกัดพรรคการเมือง ไม่น้อยกว่า เก้าสิบวัน ก่อนวันเลือกตั้ง เป็นสองล๊อคชัด ๆ คือ หนึ่ง ทำไมต้องสังกัดพรรคการเมือง และสอง ทำไมต้องเก้าสิบวัน
หลายคนมองว่า เพราะแก้ปัญหา เรื่องการซื้อตัว สส. ก่อนวันเลือกตั้งได้ชงัดดีแล้ว แต่กลับไม่คิดว่า สส.ตกเป็นทาสของนายทุนพรรค ที่จะชี้เป็นชี้ตายได้ นับตั้งแต่ ไม่ส่งเลือกตั้งในครั้งต่อไปในนามพรรค หากไม่ทำตามมติพรรค แม้จะไม่เข้าท่าก็ตาม และโดยเฉพาะการเมืองแบบพรรคเดียวเสียงข้างมากเด็ดขาดอย่างนี้ กลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับพรรคแม้จะมีจำนวนมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้จริง ๆ เพราะตัวเองไม่มีพรรค...จะแยกออกไปตั้งพรรคใหม่.. ก็ติดล็อกเก้าสิบวันอีกนั่นแหละ
ทำได้ดีที่สุด คือ ตายเดี่ยว คือ ลาออกไปสักคนสองคน ซึ่งมันไม่กระเทือน และไม่มีผลทางการเมืองหรอก และตัวเองออกไปแล้ว ก็ืคือ เป็นเหมือนฆาตกรรมตัวเองทางการเมือง จะกลับเข้ามาอีกก็ไม่ได้
ผมไม่ทราบว่า แท้จริง ๆ กลุ่มที่ไม่ชอบนายกฯ นั้น เขามองประเด็นเรื่องอะไรเป็นหลักกันแน่ แต่สำหรับผมแล้ว คือ เรื่องอำนาจเด็ดขาดทางการเมือง ตกอยู่ในมือของกลุ่มทุนของนายกฯ น่าจะเป็นรากแก้วของปัญหาการเมืองไทยในขณะนี้
ก็แค่ลองคิด ตาม ๆ เขาไปดูครับ...
Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2549 |
Last Update : 5 กุมภาพันธ์ 2549 23:12:27 น. |
|
2 comments
|
Counter : 235 Pageviews. |
|
|
|
โดย: tttttt IP: 202.28.51.71 วันที่: 26 มกราคม 2552 เวลา:14:39:46 น. |
|
|
|
| |
|
|