Group Blog
 
All Blogs
 

พระอรหันต์ กับ ผู้รู้

สังคมไทยเป็นสังคมพุทธ ที่มีเนื้อหาครอบคลุมจิตใจมากกว่าการปฏิบัติ ถ้าหากจะให้ชาวพุทธปฏิบัติได้เต็มที่จริง ๆ ก็ต้องเข้าวัดบวชปฏิบัติธรรมกันเป็นจริงเป็นจังไป

วันนี้ผมอยากจะลองเสนอปรับความคิดเรื่อง พระอรหันต์ กับผู้รู้ ซึ่งมีการโยงข้ามกันไปมา อย่างน่าฉงนและน่าสนใจอยู่ทีเดียว สำหรับผู้ที่ศึกษาคำสอนหลักธรรมมาพอเอาการ ก็จะหลีกเลี่ยงที่จะไม่ก้าวล่วงเรื่องที่เกี่ยวกับพระอรหันต์

ส่วนตัวผมเองนั้น ไม่มีข้อสงสัยใด ๆ เลย กับคำสอนของพุทธศาสนา แต่ก่อนเคยสงสัยเหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นแบบนั้น ทำไมต้องสร้างวัด อุทิศบุญกุศล เงินทอง บริจาคเป็นทานทำนุบำรุงศาสนา ทำไมพระต้องได้อยู่กุฎิดีดี หรูๆ ทำไมพระต้องเคร่งครัด ถือศีลเยอะแยะ พระหมดความต้องการทางโลกจริงหรือ? สำหรับเรื่องตัวบุคคลนั้นผมถือว่าเป็นเรื่องตามวิสัย ชั้นลำดับ การปฏิบัติของแต่ละบุคคล แต่เรื่องเนื้อหาที่เป็นหลัก ว่าด้วย การทำดี ละเว้นชั่ว บาปบุญ ผลกรรม นั้นเชื่อสนิทใจ และเชื่ออย่างยิ่งในหลักการปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ตามแนวศาสดาทุกประการ

สังคมไทย ผูกโยงเรื่องหลาย ๆ เรื่องเข้าเป็นเรื่องเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่ควรแยกออกจากกันให้ชัดเจน เช่น เรื่องที่ผมกำลังเขียนหัวข้อนี้อยู่ คือ คำว่าพระอรหันต์ กับคำว่าผู้รู้
พระอรหันต์ คือ อะไร มีคุณสมบัติอย่างไร
ผู้รู้ คือ ใคร มีคุณสมบัติอย่างไร
แล้วบุคคลสองคน สองแบบนี้ เป็นคน ๆ เดียวกันได้หรือไม่

คำตอบที่ผมคิดไว้ในใจคือ พระอรหันต์ คือ ผู้รู้... รู้แจ้งเห็นจริงตามหลักอริยสัจสี่ ประการ ซึ่งเป็นหลักพื้น ๆ ที่มีอยู่แล้ว แต่การจะปฏิบัติตัวให้เข้าใจกระจ่าง ปราศจากสงสัยนั้น เป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสเอาการ
ทุกข์ คือ การเกิดดับ ๆ สมุทัย คือ ต้นเหตุของการเกิดดับ ๆ นิโรธ คือ ตัวทำลายที่จะมาทำลายต้นเหตุของการเกิดดับๆ มรรค คือ วิธีการให้ได้มาซึ่งตัวทำลาย ถ้าจะสรุปง่าย ๆ หลักการทางพุทธศาสนาก็คือ การดับที่เหตุของผลที่เกิดขึ้น เป็นหลักการกว้างครอบจักรวาลนำไปใช้ได้ทุก ๆ เรื่อง ไม่จำเป็นต้องเฉพาะในเรื่องธรรมะ ซึ่งนั่นคือที่มาของความยิ่งใหญ่ของศาสดาชาวพุทธ ซึ่งผมเชื่อว่าการค้นพบของศาสดานั้น พระองค์คงไม่ได้คิดแค่เอามาใช้ในเรื่องของการเกิดแก่เจ็บตายมนุษย์(ซึ่งเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ สำคัญ และยากยิ่งกว่าเรื่องอื่น ๆ ทุกเรื่อง) เท่านั้น เพียงแต่คนไปจำกัดวงไว้แค่ในเรื่องธรรมะ ความเชื่อ จึงไม่ค่อยได้ศึกษากันจริง ๆ จัง ๆ ออกมาสู่แนวอื่น ๆ
เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็คือ สิ้นสงสัยในภาวะที่เป็นอยู่ หมดข้อกังวล ข้อกังขา เกี่ยวกับสัจจะแห่งชีวิตความเป็นไปของมนุษย์ รวมทั้งสรรพสิ่งต่าง ๆ คงเป็นการดำรงสภาวะไปตามปกติ ตามสภาพความเปลี่ยนแปลงของสิ่งรอบตัว โดยมีหลักของ ไตรสิกขาคือ ศีล(เอาไว้ควบคุมกาย) สมาธิ(เอาไว้ควบคุมจิต) ปัญญา(ไฟฉายเปิดทางส่องหา) เป็นตัวนำพาเดินทาง แล้วมาจบที่คำว่าอนัตตา คือ ความไม่เที่ยงของ รูป เวทนา สังขาร และวิญญาณ และสุดท้ายจะออกไปสู่ เมตตา ตัวเดียว เพราะไม่มีทางออกเป็นอื่นไปได้กว่านี้อีกแล้ว เพราะถ้าไม่ออกตัวนี้ก็คือ จบอยู่ในตัวเอง
อ้าว.. แล้วผู้รู้ล่ะ ผู้รู้ มีหลายอย่าง แยกได้ตั้งแต่ รู้เฉพาะเรื่อง รู้หลายเรื่อง รอบรู้ รู้จากการปฏิบัติ รู้จากการคิด เป็นต้น แต่ไม่มีใครรู้ทุกเรื่องถูกไปหมดทุกเรื่อง และผมก็ไม่เชื่อว่า พระอรหันต์จะรู้แจ้งในทุก ๆ เรื่อง

แล้วกรณีพระอรหันต์ เข้ามาแสดงภูมิความรู้ในสาขาอื่น ๆ ที่เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมมนุษย์ เป็นไปได้ไหมว่า ท่านรู้แจ้งในสาขานั้น ผมเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้แจ้งในเรื่องที่ตนเองไม่ถนัด แต่อย่าลืมว่า ทุกเรื่อง สามารถอธิบายและจบลงได้โดยกระจ่าง ด้วยคำ ๆ เดียว คือ ความดี ซึ่งแน่นอนใครล่ะจะรู้ดีกว่าพระอรหันต์
แล้วถ้าหากเป็นเรื่องอื่น ๆ ล่ะ เช่น เรื่องระบบบริหาร เรื่องการผลิต วิทยาศาสตร์ แล้วพระอรหันต์จะรู้ไหม ผมก็ตอบได้อีกเช่นกันว่า รู้ได้ ถ้าหากได้เรียนรู้เรื่องเหล่านั้น

สรุป... พระอรหันต์เรียนรู้เรื่องอะไร แล้วความรู้ของพระอรหันต์เอามาใช้อธิบายเรื่องใด ได้บ้าง นำไปประยุกต์ใช้กับเรื่องใดได้บ้าง ถ้าหากเราคิดได้ดั่งนี้ ผมคิดว่า บทบาทของพระ กับ สังคมไทย คงจะอธิบายกันได้ง่าย ๆ ยิ่งขึ้น หลายครั้งที่มักได้ยินว่า พระอยู่ส่วนพระ อย่ามายุ่งทางโลก อ้าว...ไงเป็นงั้นล่ะ แล้วพระไม่ใช่มนุษย์โลกหรอกหรือ????
ในทางกลับกัน พระในฐานะมนุษย์โลก ก็หาทางออกให้กับตัวเองได้เสมอว่า เรื่องนั้นเป็นเรื่องทางโลก เราไม่เข้าไปยุ่ง ทางโลกก็ไม่ควรจะมายุ่งกะเรา

แล้วใครล่ะที่จะกล้าสอนพระอรหันต์ หรือใครบ้างล่ะที่สอนพระอรหันต์ได้ ถ้าหากเป็นเรื่อง ของพระอรหันต์ก็ต้องว่าด้วย คำสอนของศาสดา แต่ถ้าหากเป็นเรื่องอื่น ผมคิดว่าใครที่รู้ก็สามารถเป็นครูพระอรหันต์ได้ทั้งนั้นแหละ ...แล้วใครล่ะรู้จริง เป็นผู้รู้จริงในเรื่องที่จะสอนนั้น

ดังนั้น ถ้าหากจะสงสัยในเรื่องที่พระอรหันต์รู้ว่าไม่จริง การปฏิบัติของพระอรหันต์ปฏิบัติได้ไม่จริง ไม่ใช่ของจริง โดยการเอาไปเปรียบเทียบกับสิ่งที่ท่านไม่รู้แจ้งจะถือว่าเป็นการลบหลู่หรือไม่??? จะตกนรกหรือเปล่า???
สำหรับผม ไม่สงสัยในเรื่องที่พระอรหันต์รู้ และปฏิบัติได้อยู่แล้ว แต่ไม่เชื่อพระอรหันต์ในทุกเรื่องที่ท่านพูดว่าถูกต้องแล้ว ไม่ยอมรับลักษณะการปฏิบัติที่เป็นอยู่บางอย่างของพระอรหันต์ว่าเป็นแบบอย่างที่ดีงาม ซึ่งเรื่องที่ไม่ถูกต้องที่พระอรหันต์พูดนั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะนำมาวิจารณ์ถึงความน่าเชื่อถือในสิ่งที่ท่านปฏิบัติได้อยู่แล้ว

คือ การแยกตัวบุคคลกับตัวเนื้อหา บุคคลจะได้รับการเคารพศรัทธาตามลักษณะการปฏิบัติตัวตน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ใครบางคนอาจจะไม่ชอบลักษณะการปฏิบัติตัวบางอย่างของใครบางคนก็มีให้เห็นเป็นปกติทั่วไป แต่ถ้าหากเป็นเรื่องเนื้อหาแล้ว คือ ดูถูกสิ่งที่คนอื่นรู้ว่าด้อยหรือไม่เท่าตน ถ้าการวินิจฉัยนั้นผิดไป นั่นแสดงว่าเราโง่ด้อยปัญญากว่าผู้นั้นต่างหาก แล้วสมควรหรือไม่ล่ะที่ผู้ไม่รู้จะต้องตกนรก ความจริงมันก็แค่ระดับความไม่เข้าใจ ความโง่ ของคนเราเองนั่นแหละ
เดี๋ยวก็จะมีคนหาเรื่องต่ออีกว่า ความโง่ ความฉลาด ของคน เป็นอันเดียวกับความดีหรือไม่? โง่แต่ดีกว่าคนฉลาด ก็มี ว่างั้น.... อันนี้เป็นเรื่องคนออกนอกกรอบคิด ที่ว่า โง่ หรือ ฉลาด เรื่องใด ถ้าโง่ในเรื่องความดี จะให้ดีกว่าคนฉลาดได้หรือเปล่าล่ะ?




 

Create Date : 16 ตุลาคม 2548    
Last Update : 16 ตุลาคม 2548 5:17:38 น.
Counter : 206 Pageviews.  

ประสบการณ์ที่ผ่านมา

ก็ไม่รู้เป็นอะไรเหมือนกัน ถึงเกิดอาการอยากจะเขียนบล๊อกนี้ขึ้นมา เพราะผมคิดว่าไม่เห็นจะได้ประโยชน์หรือเกิดประโยชน์อะไรนัก กับโลกออนไลน์บนหน้าจอสี่เหลี่ยมเล็ก กับตัวหนังสือ และรูปภาพที่ปรากฎ ได้ไปอ่านบล็อคของหลาย ๆ ท่านมา บางคนก็ทำเสียบรรเจิดบรรจง มีแสงมีสี บางคนก็มีอะไรให้อ่านเยอะแยะมากมาย เราก็หลงเข้าไปอ่านเพลิน ๆ เป็นชั่วโมง อยู่ทีเดียว

ได้ลองเข้าไปตอบกระทู้ สมาชิกพันธ์ทิพย์แห่งนี้ บางห้อง บางกระทู้ แต่แล้ว ก็เกิดอาการเบื่อ ๆ ไปเฉย ๆ อ่านไปอ่านมา บางที่ก็อ้อล้อกันน่าดู บางอันก็แบ่งกลุ่มฟัดเหวี่ยวง แก้กันไปแก้กันมา ก็สนุกไปอีกแบบเหมือนกัน

แต่แล้ว ตัวเองก็เกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งขึ้นมาในวงการไซเบอร์อันนี้ คือ การปกปิดตัวเอง ตอแหล ไปเรื่อย ๆ เปื่อย ๆ แม้กระทั่งตัวเรา เอง ไม่อยากให้คนอื่นมาแฮค ข้อมูลด้านลบ ไม่ดี ของตัวเองออกไป บางทีก็พยายามบอกตัวเองว่า ใ้ห้ความเห็นอย่างกลาง ๆ ไว้ ดีกว่า

ดังนั้นวัตถุประสงค์ การเขียนบล็อกอันนี้ขึ้นมา ก็คือ การมาระบายความคิด ความรู้สึกของตัวเอง เป็นตัวอักษร ทิ้งไว้ในที่แห่งนี้ และจะขอตั้งนโยบายเริ่มแรกว่า ขอสงวนที่จะไม่รับฟังความเห็นจากผู้อื่น ใครอยากอ่านก็เิชิญอ่าน ผ่านมาแล้วก็แค่ผ่านไป เราคงไม่ได้หวังจะมารู้จักอะไรกันหรอกจริงไหม?? ยกเว้นสำหรับบางท่านที่เราจะสนใจเป็นพิเศษ ก็คงจะต้องติดต่อคบหากันไปตามอัธยาศัย

วันนี้ พอแล้ว.. บ่นเล่น ๆ แค่นี้แหละ




 

Create Date : 27 สิงหาคม 2548    
Last Update : 27 สิงหาคม 2548 20:58:50 น.
Counter : 169 Pageviews.  


คนไม่เสียสิทธิ์
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add คนไม่เสียสิทธิ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.