=== ลุยอียิปต์ ค้นหาปริศนา แดนไอยคุปต์ ตอนที่ 1 Cairo และ มหาปิรามิด Giza===
การเดินทางไปอียิปต์เที่ยวนี้ ค่อนข้างฉุกละหุก นิดหน่อยทั้งที่เตรียมการล่วงหน้าไว้ตั้งประมาณ หนึ่งเดือนเพราะว่าทัวร์ที่จองไว้ตอนแรกนั้น กรุ๊ปที่จะเดินทางไปด้วยกับเรา เค้ายกเลิก ก้อเลยเหลือ อยู่แค่ครอบครัวเราครอบครัวเดียว ก็เลยให้เค้าจัดทัวร์ให้เรา เฉพาะครอบครัวแค่ 7 คน Visa ที่ปกติ ที่ไหนก็ขอได้ง่าย แต่ที่นี่ขอเอกสารจุกจิก กว่าจะครบ วีซ่าผ่าน ก็วันที่ 15 ก่อนเดินทางแค่วันเดียววันที่ 16 มีนา เก็บกระเป๋าเตรียมออกจากบ้านตอนเย็นเข้าไปทานข้าวที่ กทม.ก่อนแวะไปแอร์พอร์ต แต่ทางทัวร์โทรมาบอกว่า ให้แต่งตัวให้เรียบร้อยเสื้อคอปก เพราะว่าเที่ยวบิน MS961 ของ Egypt Air ที่จะบินตรงไปไคโร คืนนี้ สมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดา จะเสด็จตามคำทูลเชิญของรัฐบาล อียิปต์เดินทางไป เยือนอียิปต์ด้วยทั้งบ้านก็เลย สรุป ใส่เสื้อ โปโล เรารักในหลวงกันไปทั้งทีม ถึง สุวรรณภูมิ สี่ทุ่มกว่า ทางสนามบิน ขอให้เช็คอินเร็วหน่อยเพื่อเตรียมรับเสด็จ แต่เข้าไปแล้ว เครื่องที่ มาจากปักกิ่ง แวะรับ พวกเราที่สุวรรณภูมิ เกิดดีเลย์ไปอีก 30 นาที เครื่องเลยออกช้าจาก 00:45 น.ไปเป็น 01:15 น.พอเที่ยงคืน กว่าๆเจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่ก็มาเตรียมรอส่งเสด็จกันที่ห้องรับรอง VIP ตรงใกล้ Gate D4 ที่เรารออยู่พอสมเด็จพระเทพฯเสด็จมาถึง และ เข้าสู่ห้องรับรอง VIP ซักครู่ ทางแอร์พอร์ต ก็เรียก ผู้โดยสารทั่วไปรวมทั้งผม ขึ้นเครื่องจนเรียบร้อย ก่อนทูลเชิญท่านเสด็จประทับที่เครื่องบินส่วนหน้าที่จัดไว้ เป็นที่ประทับเดินทางของพระองค์เครื่องเดินทาง ถึง สนามบิน Cairo ตอน 6:15 น.เวลาท้องถิ่นที่ไวกว่าไทย เราอยู่ 5 ชม. รวมใช้เวลาเดินทาง 10 ชม.พอดีๆก่อนให้ผู้โดยสารอื่นลงไป ทางสายการบินได้ทูลเชิญให้สมเด็จพระเทพฯ เสด็จลงจากเครื่องก่อน จนเรียบร้อย ก่อนที่จะให้พวกเราลงตาม อากาศที่อียิปต์ตอนแรกคิดว่าจะร้อน เพราะว่าเห็นว่าอยู่อาฟริกา ไม่ได้เตรียมเสื้อกันหนาวกันไปเลย มีแต่เสื้อบางๆแต่ที่ไหนได้ ลงไปถึงแอร์พอร์ต ตลอดจนอากาศทั้งวัน ค่อนข้างเย็น ลมแรง แม้จะมีแดด แต่อุณหภูมิแค่ 14 C หนาวเย็นใช้ได้พอๆกับหน้าหนาวทางเหนือ บ้านเราเลย เสื้อบางๆที่ใส่ไป นี่ทำให้หนาวได้ใจเหมือนกัน ที่สนามบินไคโร นี่ แปลกว่าที่อื่น ที่เค้าให้ Local Guide มาคอยรับ ลูกทัวร์ ตั้งแต่ตอนเข้าสู่ สนามบิน ก่อนผ่าน ตม. และ รับกระเป๋าเลย แทนที่จะไป รอตอนผ่านออกไปแล้ว ในว่าช่วยเรื่องเอกสารที่เป็นภาษาอาหรับให้เราไปเข็นรถ ขนกระเป๋ามา เห็นแล้ว ประทับใจ จนต้องถ่ายรูปรถเข็น สนามบิน อินเตอร์แห่งนี้ไว้ดูเลยที่เห็นอันบนนั่นเค้าทำเอง(มั้ง) มีเยอะหน่อย เห็นแล้ว อย่านึกว่ารถเข็นผักนะส่วนแบบทันสมัยเหมือนทั่วไป อันล่างก็พอมี แต่น้อยหน่อย และเก่ามาก แต่พอผ่านตม. และรับกระเป๋า ออกมาแล้ว ค่อยเข้าสู่โถงผู้โดยสารขาออก ค่อยดูทันสมัยหน่อยอียิปต์ มักเป็นอย่างนี้ตลอดมีอะไรที่ Contrast กัน ระหว่างเก่า ใหม่ ทันสมัย โบราณ สะอาด และสกปรก คละกันไป) จากนั้นเราก็เริ่มเดินทางเข้าสู่ Cairo และ ต่อไปยังเมือง Giza เพื่อชม มหาปิรามิด ที่ Giza จริงๆ แล้ว Cairo ซึ่งเป็นเหมือนหลวง กับ Giza นั่น อยู่ติดกัน กั้นกลาง ด้วยแม่น้ำไนล์แค่นั้น มีสะพานเชื่อมผ่าน สองเมืองนี้ รวมกัน บางครั้งก็เรียกว่า Great Giro ซึ่งปัจจุบันมันก็ถูกเรียกเป็น Cairo รวมกันไปหมดแล้ว คล้ายกับ กรุงเทพฯ กับ ธนบุรี บ้านเราที่รวมเป็นกรุงเทพมหานครเลย แต่ประชากร ของเค้าเยอะกว่า เราคือ 17 ล้านคน (ในขณะที่ทั้งประเทศ มี 70 ล้านคน)ระยะทางจากรร.ที่พักผม Zozer ที่อยู่บนถนน ปิรามิด นั่นห่างจากปิรามิด แค่ ประมาณ 5 กม.โบราณสถานเกือบทุกแห่งในอียิปต์ เมื่อจะเข้าไปจะต้องผ่าน Security Checked กันทุกแห่ง แม้แต่รร.ส่วนใหญ่ และร้านอาหาร ก็ยังตรวจ เช่นกัน The Great Pyramid of Giza มีทั้งหมด สามอัน(หรือจะเรียกองค์ หรือ หลังดี หว่า) เป็น ของ ฟาโรห์ สามองค์ สามรุ่น คือ ปู่ พ่อ และ ลูกปิรามิด พวกเราคงรู้กันดีแล้วว่ามันเป็นสุสานเก็บศพ ของฟาร์โรห์ ในอียิปต์ มีมากมายหลายร้อยแห่ง แต่ที่มีชื่อเสียง และใหญ่ที่สุด ก็คือ ที่ Giza นี่แหละ ที่ได้รับยกย่องเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก หลายคนเข้าใจว่าปิรามิด สร้างด้วยหินแกรนิต แต่จริงๆไม่ใช่ ความจริงมันสร้างด้วย หินปูน (Limestone) ซึ่งมีมากในอียิปต์ เวลาสร้างจะสร้างเป็นทรงปิรามิดตัน มีทางเดินแคบๆต่อจ้างข้างนอกเข้าไปยังห้องว่างๆเล็กๆที่ใช้เก็บโลงศพ และสมบัติ ของฟาร์โรห์ ข้างในที่เห็นด้านขวามือสุด คือ ปิรามิด ของฟาร์โรห์ Cheops องค์ใหญ่สุดปิรามิดอันกลาง เป็นของฟาร์โรห์ Chefren ลูกชาย ฟาร์โรห์ Cheops อันนี้ มีลักษณะพิเศษตรงที่ผิวที่ยอดของปิรามิดยังไม่สึกกร่อนไปมากเห็นเป็นรอย ทำให้แยกกับอันอื่นได้ง่ายเมื่อดูจากไกลๆอันเล็กสุด คือ ด้านซ้ายมือเป็นปิรามิด ของฟาร์โรห์ Mycerinus ลูกชาย Chefren อีกที ปิรามิดอันเล็กสุดนี่ว่ากันว่าค่าก่อสร้างแพงสุด เพราะว่า เอาแกรนิตมาหุ้มชั้นนอกไว้ แต่ผิวนอกที่เป็นแกรนิต พังไปเกือบหมดแล้วเหลือแต่แกนหินปูน ด้านในปิรามิดทั้งสาม แม้จะอยู่บริเวณเดียวกัน ห่างกันไม่มาก แต่เวลาเข้าไปใกล้ แล้ว มักจะเห็นแค่ อันเดียว หรือ 2 อัน ไม่ค่อยเห็นครบ 3 อัน เพราะว่า พื้นที่มันเป็นเนินดินบดบัง อยู่ ต้องนั่งรถขึ้นมาบนเนิน ถ่ายจากมุมนี้ ถึงจะเห็นได้ครบสามอัน แต่ยังคงไม่เห็นสฟิงค์ใหญ่อยู่ดี หามุมให้เห็นครบทั้งหมดยากแฮะ อันนี้เอาภาพจาก google มาให้ดู Location ของ veiw point เทียบกับ ตำหน่ง ของ Great Pyramid of Giza ทั้งสาม และ Great Sphinxเข้ามาดู Cheops Pyramid ใกล้ๆ สังเกตุด้านบน มีเสาล่อฟ้า กันฟ้าผ่าอยู่ด้วย ปิรามิดองค์นี้ เป็นปิรามิดที่ใหญ่ที่สุด ภายในต่างกับ ปิรามิดอื่นคือ มีห้องเก็บพระศพ 3 ห้อง แทนที่จะเป็นห้องเดียวเหมือนปิรามิดอื่น บางคน ก็เชื่อว่า มีสามห้องเพื่อเก็บศพ คนอื่นร่วมด้วย บางคน ก็บอกว่า อาจจะเป็นแบบห้องลวง ไว้หลอกพวกขโมย ขุดสุสาน แต่ไม่มีใครชี้ชัดได้ เพราะว่าตอนขุดพบนั้น ทั้งสามห้องนั้นถูกขุดขโมยไปแล้วเหลือแต่ห้องว่างปล่าว สำหรับการเข้าชมห้องในตัวปิรามิดนั้นต้องเดินก้มเข้าไปตามทางเดินแคบๆในปิรามิด ก่อนเข้าไปชมห้องว่างภายในนั้น ค่าเข้าชม สำหรับ ปิรามิด Cheops คือคนละ 100 LE ( Egyptian Pounds) หรือ ประมาณ 620 บาทไทย แต่ว่าจำกัดแค่วันละไม่เกิน สองร้อยคน แล้วต้องไปจองบัตร ตั้งแต่ 8 โมงเช้า ซึ่งส่วนใหญ่มักไม่ทันคิวกันส่วนของ ปิรามิด Chefren นั้น ค่าเข้าไปคนละ 25 LE ไม่ได้กำหนดเวลา แต่เห็นคิว คนรอยาวมากๆๆๆๆๆๆๆๆ ผมเลยถอดใจไม่อยากรอ อันนี้ คือ ปิรามิดของ ฟาร์โรห์ Chefren จุดสังเกตุ อย่างที่บอก ตรงยอดยังมีรอยผิว ที่ไม่ถูกกัดเซาะมากอยู่ ดูคล้ายหิมะปกคลุมยอดภูเขาไฟ ฟูจิเข้าไปดูหินที่ประกอบเป็นปิรามิดใกล้ๆ ก้อนหินค่อนข้างใหญ่เห็นเค้าเคลมว่า หนักก้อนล่ะกว่า สองตัน แต่ที่บอกว่า ผิวเรียบสนิท ต่อกัน แนบแน่นขนาดกระดาษรอดไม่ได้นั่น จริงๆไม่ได้เรียบนัก แต่ว่าที่กระดาษรอดไม่ได้ ก็เพราะว่าดินมันเข้าไปอุดเต็มมากกว่า อิๆสังเกตุ แถวปิรามิด จะมีตำรวจท่องเที่ยว ขี่อูฐ ตรวจตราดูแลความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวขณะเดียวกันก็มี พวกให้เช่าขี่อูฐ ชมปิรามิด เช่นกัน แต่เค้าเตือนว่าระวังพวกนี้ให้ดี พอเราไปขี่จ่ายตังค์เสร็จ ไอ้คนที่รับตังค์เราไป จะหายตัวไป แล้วมีคนอื่นมาทวงตังค์ ว่าเป็นเจ้าของอูฐตัวจริง เป็นอย่างนี้ประจำการเที่ยวชมรอบๆปิรามิด นอกจากการเดินชม และอาศัยรถขับไปยังจุดต่างๆแล้ว อีกทางเลือกที่คนนิยมกันก็คือ การนั่งรถม้า เหมือนในภาพ ซึ่งรถม้าลาก รวมทั้งรถลาลาก นี่ในอียิปต์ มีใช้กันเยอะ รวมทั้งถนนกลางเมือง แต่ว่า เป็นแบบโทรมๆ ไม่ได้หรูเหมือนกับคันนี้ ไว้จะเอาภาพมาฝากตอนเข้าไปดูจารจร จารจล ใน Cairo ระหว่างที่กำลังเดินชมปิรามิด มาที่ข้างปิรามิด Cheops หันไปเจอกลุ่ม VIP กลุ่มใหญ่ กำลังเดินชมปิรามิดเช่นกัน ตกใจนิดๆ แต่ดีใจมากๆ ครับ ที่เห็น พระเทพฯ กับคณะผู้ติดตาม ที่เสด็จ มาในเที่ยวบิน เดียวกัน ท่านลงเครื่อง แล้ว ก็เสด็จมาที่นี่เลย เหมือนกัน และรู้สึกดีใจจัง ที่เห็นคนไทย สิบกว่าคนที่กำลังเดินชม หยุดลงนั่งยองๆ ชื่นชมบารมีพระองค์กัน คนต่างชาติหลายคนเห็นแล้ว ก็ถามว่า เรานั่งทำไม มองใคร พอบอกว่า Our Princes เค้าก็ดีใจ และชื่นชมคนไทยที่ เคารพรักพระองค์เช่นกัน หลังจากแวะชม และถ่ายรูปปิรามิดทั้งสาม เราก็นั่งรถต่อไปยังเป้าหมายต่อไปคือ รูปสลัก Sphinx ที่อยู่ตรงทางเข้า ปิรามิด ฟาโรห์ Chefrenไปถึงจัดการ ถ่ายรูปหมู่กันหน่อย เพระว่า Location นี้ เป็นบริเวณเดียว ที่จะได้เห็น ทั้ง sphinx และ ปิรามิดทั้งสามพร้อมๆกันSprinx ตัวนี้ แกะสลักจากเนินหิน บริเวณนั้น ขนาดสูง 21 เมตร (ประมาณตึก 7 ชั้น) ยาว 73 เมตร หน้าเป็นฟาร์โรห์ ลำตัวเป็นสิงโต อยู่ในสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ ยกเว้นตรงดั้งจมูกหักไปบ้าง ทำให้ นกอาศัยเข้าไปทำรัง อยู่ตรงนั้นจะไม่หักได้ไงล่ะ ใครมาที่นี่ก็ชกปาก ชกดั้งจมูกกันทั้งนั้น อิๆ ส่วนความสูง sphinx ที่ว่าสูง 21 เมตรนี่ก็ยังสงสัยว่า จะสูงถึงเร้อออออออออเพราะว่ายืนเทียบกับลูกสาวผม มันยังต่ำกว่าอยู่อีก ฝ่ามือนึง อีกรูปที่ เราแอบเล่นกับ Sphinx จนฝรั่งหลายคนที่ต่อคิวถ่ายรูปเลียนแบบกันเป็นแถว คือ ท่านี้ กลับจาก ปิรามิด Local Guide พาเราไป ขี่อูฐเล่น เป็นประสพการ ในการมาเยือนอียิปต์ กันซะหน่อย ตอนขึ้น ไม่เท่าไร แต่ตอนมันย่อเข่าทิ้งตัวให้เราลง สิ ถ้าเกาะไม่แน่น กระเด็นข้ามหัวมันได้เลย อิๆ ค่าขี่อูฐ ทัวร์เค้าจ่ายให้ แต่ ค่าทิป 5 LE นี่ค่อนข้างบังคับ่ทิป อิๆ แต่ว่าดูๆแล้วสงสัย ทัวร์ท้องถิ่นก็คงไม่ได้จ่ายหรอก แต่ว่า เค้าคงได้จากทิปนี่แหละ แต่เห็นอูฐอียิปต์แล้วต้องบอกว่ามันแกร่งๆ แต่ไม่สวยเลย ไม่เหมือนอูฐ ที่ ฮาร์บิ้นทางตอนเหนือของจีน ที่ อยู่ติดรัสเซ๊ย ที่นั่นหนาว ลบ 20 C อุฐขนยาวสวย กว่าเยอะเลย (อันนี้ ถ่ายเมื่อตอนไปดูแกะสลักโคมหิมะปราสาทหิมะที่ฮาร์บิ้น เมื่อเดือนก่อน)ตอนแรกพอแค่นี้ก่อน เด๋วว่างๆ จะมาต่อ ภาคต่อไป ลุยเมือง Alexandria แผ่นดิน ของคลีโอพัตรา และ โบราณสถานอีกหลายแห่ง ในไคโร ตลอดจนกลโกง คนอียิปต์ และจารจร จารจล ในอียิปต์ อิๆ
===ลุยรับลมหนาว ปักกิ่ง และ เทศกาลโคมหิมะน้ำแข็งฮาร์บิ้น -20C หนาวถึงสะดือ (ตอนที่1พระราชวังกู้กง)==
เปิดบล้อคกลุ่มนี้ ด้วยทริปล่าสุด ปักกิ่งฮาร์บิ้น ล่ะกัน Tripนี้ ความจริง ตั้งใจอยากไปตั้งแต่ปีที่แล้ว ที่เตรียมตัวจะไปแต่ ติดธุระด่วน ทำให้พลาดไปปีนี้ เลยเตรียมเคลียร์งานล่วงหน้าหาวันว่าง ได้ 6 วัน บินลัดฟ้าไป รับลมหนาว กับเทศกาลโคมหิมะน้ำแข็ง และ แวะเที่ยวปักกิ่ง ด้วยเลย เป็นทริปเที่ยว 6 วันเต็มเหยียดแบบลืมเหนื่อยกันเลยPlan ไว้ว่า เพื่อไม่ให้รูปเยอะ จะแบ่งเป็น 3 Blog Blog แรก คือ blog นี้ เป็นวันแรกที่อยู่ในปักกิ่ง พาชม พิพิธภัณฑ์สงคราม อนุสรสถาน พระราชวังต้องห้าม (กู้กง) และ ตลาดรัสเซียBlog ที่สองเป็นไฮไลท์ของทริปนี้ คือวันที่ 2-3-4 ซึ่งอยู่ในฮาร์บิ้น ท่ามกลางอุณหภูมิ -10 ถึง -20 C ตะลุยงานแกะสลักหิมะ และ โคมปราสาทน้ำแข็ง และ สวนเสือไซบีเรีย และ วิหาร เซนต์โซเฟีย สวนสตาลิน และ Ski Resort และ ขี่อูฐ ขี่ม้า ขับ Ski Cruiser ที่ ทะเลสาบอาหลงและปิด Blog สุดท้าย ด้วยการอำลาปักกิ่ง ในวันที่ 5 และ 6 ด้วยการไปเยือน สิ่งมหัศจรรย์ของโลก กำแพงเมืองจีน ถึงป้อมบนสุด และ พระราชวังฤดูร้อน อี้เหอหยวน ตำหนักโปรดของซูสีไทเฮา ก่อนอำลาปักกิ่งกลับเมืองไทย เสร็จแล้ว จะทำลิ้งค์โยงไปด้วยกันนะครับ########################################คืนวันที่ 16 มกรา ออกจากบ้านตอนเย็น แล้ว แวะทานข้าวที่กทม.ตอนค่ำ ก่อนนำรถไปจอดที่อาคารจอดรถ 3 ของสุวรรณภูมิ ด้านใกล้ประตู 9 เพื่อเข้าเช็คอิน เตรียมเดินทาง ปกติ ถ้าเดินทางไม่เกิน อาทิตย์ผมนิยม นำรถไปจอดที่ Air Port ยอมเสียค่าจอดวันล่ะ 250 แทนการ ให้คนรถไปรับส่ง ซึ่งสิ้นเปลืองพอกัน แต่สะดวกน้อย กว่า :P01:30 วันที่ 17 มค. 07 เราออกจากสุวรรณภูมิด้วย เที่ยวบิน CA 980 บินตรงไปยังปักกิ่ง ถึง ปักกิ่ง เวลา 7 โมงเช้าๆกว่าๆ เวลาท้องถิ่น อุณหภูมิที่ Air Port จากการรายงานของกัปตันก่อนเครื่องลง คือ - 6 C หนาวกำลังได้ที่ เสื้อแจ็คเก็ตที่อุตส่าห์หอบติดขึ้นเครืองได้ ใช้งานตอนนี้แหละ เพราะว่าตอนลงเครื่องไม่ได้เข้างวง ต้องลงไปเดินรับลมหนาวก่อนต่อบัส ไปเข้า Terminal มองไปตามหลุมจอด ในแอร์พอร์ต เห็นน้ำแข็งเกาะตามพื้นบ้าง แต่หิมะที่นี่ไม่ค่อยมี แม้อากาศจะหนาวมาก แต่เนื่องจากอากาศแห้ง ความชื้นต่ำหลังจากออกจาก Air Port หาอาหารเช้ารองท้องแล้ว ก็เริ่มตะลุยกันเลย ตามประสาคนบ้านไกลเวลาน้อยจุดแรก ที่แวะเที่ยว และถ่ายรูปกัน ก็คือ อนุสาวรีย์ วีรชน พิพิธภันฑ์สงคราม ศาลาประชาคม และ อนุสรณ์สถานประธานเหมาที่มีประชาชนเข้าคิวยาวกันเป็นร้อยๆเมตร เพื่อเข้าคำนับศพ อดีตผู้นำจีน จากบริเวณอนุสรณ์สถาน และจตุรัส เทียนอันเหมิน เราเดินตัดข้าไปยัง ซุ่มประตูเทียนอันเหมิน ซุ้มประตูหนึ่งของ พระราชวังต้องห้าม กู่กง ซุ้มประตูนี้ จัดว่าฉากเมืองปักกิ่งที่พวกเราคุ้นตากันดี มากที่สุดทีเดียว ก่อนผ่านเข้าไปในพระราชวังต้องห้ามกู้กง แวะเข้าห้องน้ำกันหน่อย ห้องน้ำอยู่ด้านข้างซุ้มประตูนั่นแหละหลายคนที่ไปเมืองจีนแล้ว เคยสยองขวัญกับห้องน้ำเมืองจีน ขอบอกเลยครับ เด๋วนี้ พัฒนาไปเยอะแล้ว บางแห่งทันสมัยพอๆกับรร.ชั้นหนึ่งบ้านเราสังเกตุบานประตู ทางเข้าสถานที่ต่างๆ ถ้าเป็น ที่อยู่ของกษัตริย์ จะมีจำนวนสัมพันธ์ กับ เลข 9 อย่างเช่นบานประตูเข้าวังนี้ ปุ่มสีทองที่ประตู มีจำนวน แถวล่ะ 9 ปุ่ม รวม 9แถว พระราชวังต้องห้ามกู่กง เป็นพระราชวังหลวงของจีน สร้างเมื่อ 600 กว่าปีที่แล้ว เป็นที่ประทับของกษัตริย์จีน ราชวงษ์หมิง ของแมนจู รวม 24 รัชกาล จนถึงจักรพรรดิจีนองค์สุดท้าย "ปู้ยี่" ที่ถูก ท่านนายพล (นพ.ซุนยัดเซ็น) นำประชาชนยึดอำนาจ และโค่นล้มลง ตัวพระราชวังมีขนาดใหญ่มหึมา ว่ากันว่ามีจำนวนห้องที่สร้างรวมกันถึง 9999 ห้องครึ่ง ขาดไปครึ่งห้อง ครบหมื่น เนื่องจากสุดยอดความยิ่งใหญ่ของจีน คือ เจ้าบนสวรรค์ จะยึดเลขหนึ่งหมื่น ดังนั้นจักรพรรดิ ขอเป็นรองแค่ ครึ่งห้อง แต่ถ้าไปเดินนับจริงๆ จำนวนห้อง ไม่ได้มี เกือบหมื่นห้องอย่างที่ว่าหรอก เพราะว่าเค้านับตามเสา ที่เรียงกัน โดยพื้นที่ที่อยู่ระหว่าง 4 เสา นับเป็นหนึ่งห้อง (สมมติเสาปักติดกัน เป็นตารางหมากรุก 9 ต้นเรียงกัน แถวละสาม ก็จะมีพื้นที่ระหว่างเสานี้ รวม 6 ห้อง อย่างนี้เป็นต้น) การก่อสร้างยึดหลักฮวงจุ้ย ด้านหน้าต้องมีน้ำ ด้านหลังต้องมีเขา แต่เมื่อพื้นที่ก่อสร้างเป็นพื้นราบ แรงงานมีเยอะดังนั้น จัดการ ขุดด้านหน้า ให้เเป็นทะเลสาบ และ เอาดินจากการขุดทะเลสาบ ไปถมด้านหลัง สร้างภูเขาขึ้นมา เจ๋งมะ :Pพื้นที่พระราชวังโดยรวมประมาณ 72000 ตร.กม. รอบกำแพงพระราชวัง มีความยาวรวมกันถึง 6 กม.เศษ พระราชวังแห่งนี้นี่เอง ที่อนุญาติให้ภาพยนต์เรื่องเดียวได้เข้าไปถ่ายทำ ในสถานที่จริง นั่นก็คือ เรื่อง จักรพรรดิ องค์สุดท้าย The Last Emperor ที่โด่งดังนั่นเองผ่านซุ้มประตูเทียนอันเหมินเข้าไปเรายังคงต้องผ่านซุ้มประตู และ โครงสร้างอาคาร ที่มีมากมาย จนจำกันไม่หวัดไม่ไหว ฟังไกด์โม้ให้ฟัง ประวัติศาสตร์ ว่าตำหนักนี้ คนนี้อยู่ ตำหนักนี้ องค์ชาย สี่กับองค์ชาย 13 ในศึกสายเลือด พำนัก แก้พินัยกรรม ฟั้งแล้วมึน เข้ามาข้างใน เราพบ ฮ่องเต้ (จำลอง) อยู่บนระเบียงสูง คอยออกว่าราชการ โบกมือต้อนรับนักท่องเที่ยว อยู่ไกลๆ (เด๋วจะหาว่าไม่ไกลจริงเพราะว่ารูปใหญ่นั่น Close UP ออกมา เลยเอารูปเต็มใส่ไว้ให้ดูด้วย อิๆ)ผ่านประตูเทียนอันเหมินเข้าไปแล้ว ภายในยังมีซุ้มประตูและตำหนัก เป็นชั้นๆ ตลอดทาง สังเกตุ แต่ละประตู จะมีช่องประตูสามช่องช่องกลาง จะเป็นช่องที่ สงวนไว้ เฉพาะ ฮ่องเต้ และฮองเฮา ของพระองค์เท่านั้น และ คนอีกพวกที่ ได้รับสิทธิ์ ให้ผ่านช่องนี้ได้ คือ "จอหงวน"บัณฑิต ที่ทรงความรู้ ที่สอบเข้ามารับใช้ราชการ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า จีนสมัยนั้น ก็ยังให้เกียรติ คนมีความรู้ความสามารถมากส่วนช่องซ้าย สงวนไว้สำหรับ ราชนิกูลอื่นๆ และช่องขวา สำหรับพวกขุนนางว่ากันว่า การที่คนอื่นประตูช่องกลางไม่ได้นี่เอง ที่ทำให้ ซูสีไทเฮา ผู้ที่คิดว่าตัวเองเป็นหงส์เหนือมังกร เป็นคนที่ยิ่งใหญ่กุมอำนาจเหนือกว่าฮ่องเต้ ไม่ชอบพระราชวังกู่กง และ ได้ย้ายไปพำนักส่วนใหญ่ที่ วังฤดูร้อนอี้เหอหยวน มากกว่า (เด๋วตอนท้ายก่อนอำลาปักกิ่ง ค่อยแวะไปเที่ยววังนี้กันอีกที )เนื่องจากอุณหภูมิช่วงนี้อยู่ในหน้าหนาว อากาศติดลบตลอดมาเดือนกว่าๆแล้ว แม้แต่กลางวันอย่างวันที่ไปถึงก็ยังติดลบ อยู่ประมาณ 6C ดังนั้นน้ำตามแม่น้ำ และทะเลสาบ จึงกลายเป็นน้ำแข็งกันเกือบหมด รวมทั้ง ในลำธารต่างๆภายในวัง เนื่องจากปัญหาการที่น้ำแข็งตัวในหน้าหนาวตลอด นี่สร้างปัญหามาให้ตั้งแต่โบราณ ดังนั้นกระถางที่ใส่น้ำไว้ดับไฟเวลามีปัญหาไฟไหม้ ในหน้าหนาวน้ำเป็นน้ำแข็งใช้ไม่ได้ จึงต้องมีช่องด้านล่างเอาไว้ใส่ฟืนติดไฟทำเป็นเตาต้มน้ำแข็งไม่ให้แข็ง ทางเดินในพระราชวังปูด้วยหินแกรนิต แต่ส่วนใหญ่สึกกร่อนผุพังไปมากแล้วมีการบูรณะปูใหม่ให้เรียบ บางส่วนสำหรับนักท่องเที่ยวได้เดินสะดวก ตามหลังคาตำหนักต่างๆ ถ้าสังเกตให้ดี จะเห็นได้ว่าตรงปลายของสันหลังคาแต่ละด้านจะมีรูปสัตว์ต่างๆ ตกแต่งอยู่ จำนวนมากน้อยต่างกันไป จำนวนสัตว์ที่มากขึ้น บ่งฐานะของเจ้าของตำหนักที่มีความสำคัญเพิ่มขึ้นไปด้วย (คล้ายๆ กับช่อฟ้า (ยอดปราสาท) บน สิม(โบสถ์) บนหลังคาของวัดที่ หลวงพระบางเลยแฮะ:วิวส่วนใหญ่ของ พระราชวัง ก็คล้ายๆกันไปหมด เป็นตำหนักใหญ่เล็กๆ สลับกันไป มองจากที่สูงเห็นแต่หลังคาต่อเนื่องกันไป สลับกับลานกว้าง ถ้าปล่อยให้เดินหลงแน่ อิๆก่อนจะเดินทะลุออกประตูด้านหลังของพระราชวังกู่กง แวะถ่ายรูปกับต้นสนโบราณสองต้นนี้ซะก่อน เป็นต้นสนที่พันเกี่ยวกัน ประมาณว่าคู่รักที่มีสัมพันธ์แน่นแฟ้น (หลายคนเลยไม่ยอมถ่าย อิๆ)ออกจากพระราชวังกู้กงแล้ว เราไปทานอาหารกลางวันกันแวะลิ้มรสเป็ดปักกิ่งต้นตำหรับ ซึ่งก็คล้ายๆเป็ดปักกิ่งบ้านเรา แต่ต่างกันหลักๆ ก็ตรงเค้าแล่เป็ดทั้งหนังและเนื้อมาด้วยกันต่างกับ เป็ดปักกิ่งบ้านเรา ที่ทานแต่หนังเท่านั้น แต่เรื่องความกรอบ ความมัน พอๆกัน อิๆหน้าร้านเป็ดปักกิ่งหลายร้านจะมีเป็ดยืนต้อนรับ แต่ดูหน้าเป็ดตัวนี้สิ ผมว่ามันหน้าเศร้าๆ แฮะสำหรับ ซุปถ้วยนี้ รสชาติงั้นๆแต่ชอบใจ หม้อต้มแขวน ยังกะหม้อสนามอดถ่ายรูปมาไม่ได้ อิๆหลังจากอิ่มท้อง ทางทัวร์เราเปลี่ยนโปรแกรมจากการไปเที่ยว พระราชวังอี้เหอหยวน มาเป็น ช้อปปิ้งเสื้อผ้ากันหนาว รองเท้ากันหิมะ หมวก และเสื้อผ้าหนาหนัก ที่ตลาดรัสเซีย เพื่อไปผจญหนาวที่ฮาร์บิ้นกัน แทนที่จะไปวันกลับ ซึ่งไม่ได้ใช้เสื้อผ้าพวกนี้แล้ว ใครที่จะไป ปักกิ่งต่อฮาร์บิ้น น่าจะปรับโปรแกรม มาซื้อเสื้อผ้าที่ตลาดนี้ก่อนไปฮาร์บิ้น เช่นกัน ครับ ที่ตลาดรัสเซีย แทบไม่ได้ ถ่ายรูปมัวแต่ไล่เลือกเสื้อผ้ากันหนาว รองเท้ากันหิมะ ถุงมือ และหมวก ซึ่งออกแบบได้สวยแต่คุณภาพก็งั้นๆ โค้ท ราคาบอกกันตัวล่ะ 1000-1500 หยวน(หยวนละ 5 บาท) แต่ต่อราคากันจริงเหลือ 100 -200 หยวน เท่านั้นสำหรับโค้ช ขนเป็ด ขนห่าน ส่วนกั๊ก ก็ต่ำกว่า 100 รองเท้า กันหิมะบุขน ราคาต่อจาก 400-500 หยวน มาอยู่แถว 60-80 หยวน ถุงมือ ก็ 10-20 หยวนช้อปกันเพลินลืมเวลา เลย อิๆค่ำกินข้าวแล้ว เข้านอน เพราะว่าต้องตื่นเช้า เตรียมขึ้นเครื่องไปฮาร์บิ้น เช้ามืดวันรุ่งขึ้นนอนก่อนครับ เด๋วค่อยไปต่อ Blog 2 ที่ฮาร์บิ้นกัน กระซิบก่อน ว่า ปราสาทโคมหิมะน้ำแข็งที่ฮาร์บิ้นสวยไม่แพ้ที่ใดในโลก อิๆ