-=Jfk=- Blog ดินแดน แห่ง มิตรภาพ ใน Cyber Space ที่ไร้พรมแดน
Group Blog
 
All Blogs
 

==== มารู้จัก สายตาสั้น สายตายาว และ สายตาคนแก่กันเหอะ ===

สายตาสั้น กับสายตายาว เป็นความผิดปกติ ของโครงสร้างลูกตา ที่ยาว สั้นมากน้อยต่างกันเมื่อเทียบกับการรวมแสงของเลนส์ตาและกระจกตา ซึ่งส่งผลทำทำให้โฟกัสของภาพ ที่ผ่านเข้าตามาแล้ว ไปตกที่ระยะที่ สั้น หรือ ยาว กว่าจอรับภาพปกติ

กรณี คนสายตาสั้น ก็คือ พวกที่มองไกลได้ไม่ชัด มองเห็นได้ชัดแต่ระยะใกล้ๆ เกิดจากโฟกัสแสงมันตกก่อนถึงจอภาพ ดังนั้นต้องใช้เลนส์เว้า ถ่างให้มันไปตกพอดี ที่จอภาพ

ส่วนคนสายตายาว ก็ตรงข้าม มองไกลชัดเจนดี แต่มองใกล้ จะมองไม่ชัด เนื่องจากโฟกัสมันไปตกเลยหลังจอภาพ ต้องเอาเลนส์นูน มารวมดึงโฟกัสของแสงให้ตกใกล้เข้ามา อยู่ที่จอภาพพอดี

ส่วนอีกโรค คือ สายตาคนแก่ (Presbiopia) อันนี้ หลายคน มักจะไปสับสนกับสายตายาว
พวกสายตาคนแก่นี้ ไม่ใช่โรคสายตายาว แต่ว่าเป็นภาวะที่ กล้ามเนื้อที่ช่วยปรับความหนาของเลนส์ตา มันเสื่อมสภาพไป ตอนอายุมากขึ้น ทำให้เวลาอ่านหนังสือใกล้ๆ ซึ่งคนปกติ กล้ามเนื้อรอบๆเลนส์ตา (Ciliary muscle) จะดึงปรับให้เลนส์ตาปรับตัวให้โป่งนูนขึ้นเพื่อเพิ่มให้โฟกัสตกพอดีกับจอภาพได้ (เรียกการปรับนี้ว่าAccommodation)

ซึ่ง คนแก่เมื่อมันเสื่อมไป ก็ทำให้โฟกัสไม่ค่อยได้เวลาอ่านหนังสือ ต้องเอาออกห่างๆตัวหน่อย เหมือนต้องมองไกลๆ คล้ายๆคนสายตายาว(แต่ว่าจริงๆ ระยะห่างมันไม่ได้มากเหมือนพวกที่สายตายาวดูกันปกติ )ภาวะนี้ พบได้ในคนอายุมากหน่อยแถว 40 กว่าๆขึ้นไปแล้ว

โดยปกติแล้ว คนที่อายุเกิน 20 ปีไปแล้ว โครงสร้างการเติบโตของดวงตามักจะคงที่แล้ว ดังนั้น ภาวะสายตาสั้น หรือ ยาว จะคงที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงไปอีกแล้ว คือสั้นเท่าไร ยาวเท่าไร ก็คงที่อย่างนั้น (นี่คือเหตุผล ที่คนจะยิง Lasic แก้สายตาสั้น แบบถาวร จะมาทำตอน หลัง 20 ปีแล้ว เนื่องจากตอนนั้นสายตาจะคงที่แล้ว )

ดังนั้น จะเห็นได้ว่า บางคน ที่สายตาสั้นซึ่งต้องใช้แว่นสายตาสั้น(ซึ่งเป็นเลนส์เว้า)อยู่ประจำตลอดมา พอแก่ตัวลง อายุเริ่มเข้าสู่แถวช่วง สี่สิบกว่าๆไป เริ่มมีภาวะตาคนแก่ พวกนี้ ก็เลย จะเกิดภาวะทั้งสองอย่างผสมกัน คือ สายตาสั้น คือมองไกลก็ไม่ชัด ต้องใส่แว่นเลนส์เว้า

แต่พอจะอ่านหนังสือใกล้ๆ ก็มองไม่ชัดอีกเพราะว่าตาโฟกัสเพิ่ม(การAccommodation) ไม่ได้ จากภาวะตาคนแก่ด้วย ยิ่งถ้าใส่แว่นสายตาสั้นซึ่งเป็นเลนส์เว้าอยู่แล้ว ก็ยิ่งทำให้มันแย่เพิ่มไป หลายคน จึงถอดแว่น สายตาสั้นที่ใส่ออกเพื่ออ่านหน้งสือ หรือถ้าเป็นมาก ๆ นอกจากถอดแว่นเลนส์เว้าแล้วยังไม่พอ ก็ต้องใส่แว่นเลนส์นูน (ซึ่งปกติเป็นแว่นของคนสายตายาว) เพื่อช่วย ให้โฟกัสได้ดี ขึ้นด้วย

กลายเป็นต้องมีแว่นสองอัน (อันหลังเรียกให้หล่อหน่อยแทนที่จะเรียกแว่นสายตาคนแก่ ก็เรียกว่าแว่นอ่านหนังสือ )

แต่เพื่อไม่ให้ยุ่งยากต้องพกแว่นหลายอัน เค้าเลยทำแว่นชนิดที่ เรียกว่าเลนส์สองชั้น คือมีเลนส์สองชนิดในอันเดียวกัน ด้านบนเป็นเลนส์เว้า ด้านล่างเป็นเลนส์นูน

โดยด้านบนเป็นเลนส์เว้านี่ช่วย แก้สายตาสั้นเวลามองไกล ซึ่งเราจะเหลือบตาอยู่ระดับปกติสูงหน่อยก็จะมองผ่านเลนส์เว้าอันนี้ จะได้เห็นชัด

แต่พอจะอ่านหน้งสือ ซึ่งเราต้องเหลือบตามองลงต่ำลง ก็จะทำให้มองผ่านเลนส์นูนด้านล่าง ช่วยโฟกัสภาพ อ่านหนังสือได้ชัด(แก้ตาคนแก่)

ข้อเสียของเลนส์แบบนี้ คือมันมีสองชั้นมองเห็นได้ชัด คนเห็นปุ๊บก็จะรู้ว่า เฮ้ย หมอนี่แก่แล้วนี่หว่า

ดังนั้นเพื่อไม่ให้ใครรู้ ว่าแก่ เค้าเลยทำแว่นที่เรียกว่า Progressive lens ซึ่งก็คือแว่นที่มีเลนส์สองชนิดเหมือนข้างบนนั้นแหละ แต่มันไล่ระดับ จนมองไม่เห็นรอยต่อของเลนส์ทั้งสอง ทำให้มองไม่รู้ว่าเป็นเลนส์สองอัน ปิดบังความแก่ได้ แต่หลายคนใช้ใหม่ๆจะมึนๆงง จากโฟกัสที่มันไล่ต่างกัน นั่นแหละ

ส่วนถ้าเป็นคนที่มีภาวะทั้งสายตาสั้น (จะเอียงด้วยหรือไม่ก็ตาม ) และมีสายตาคนแก่ด้วย ถ้าจะใช้ คอนแทคเลนส์ ก็ใช้ เพื่อแก้ ภาวะสายตาสั้น (หรือ จะแก้เรื่องเอียงด้วย) แต่เวลาจะอ่านหนังสือ ก็ใช้ แว่นเลนส์นูน ช่วยแก้ไขภาวะตาคนแก่

สำหรับของผม จ้างก็ไม่บอกว่าเห็นใส่เป็นเลนส์ชิ้นเดียวเนี่ย เป็น Progressive Lens หรือ ป่าว

อ้อ เพิ่มเติมอีกซักนิดสำหรับคำถามที่คนชอบถามกัน คือเวลาวัดสายตา ตามร้าน เค้าจะบอก มาว่าสั้น 200 หรือ 300 ยาว 200 หรือ 300

แต่บางครั้งเวลาไปวัดกับหมอตา เค้าบอกออกมาเป็น -1.5 อะไรแบบนี้ ต่างกันอย่างไร ไม่ค่อยคุ้น

ตัวเลข -1.5 อะไรพวกนี้ หน่วยเป็น diopter ถ้าตัวเลข - แสดงว่าเป็นสายตาสั้น ถ้าเลข ธรรมดาหรือบวก ก็เป็น สายตายาว ค่า -1.5 dioper ก็คือ สั้น 150 หรือ ถ้า -10 Diopter ก็คือ สั้น 1 พัน ครับ




 

Create Date : 25 มีนาคม 2550    
Last Update : 25 มีนาคม 2550 22:50:59 น.
Counter : 11974 Pageviews.  

=== รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับ กรุ๊ปเลือดของคน ABO_Rh_Bombay blood (Mini Lecture) ===

ถือโอกาสลูกสาว ถามการบ้านเรื่องนี้

เลยจัดการเอาข้อมูลเก่า มาดัดแปลงแก้ไข รีวิวใหม่ ให้เค้า

แต่แทนที่จะส่งเมล์ เลยเอามาแปะ Blog แทนเผื่อเพื่อนๆคนอื่นได้เอาไปใช้ประโยชน์ด้วยได้

%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%
ความรู้เรื่องหมู่โลหิต และ การให้เลือด

หมู่โลหิต หรือกรุ๊ปเลือด โดยทั่วไป ที่พูดถึงกัน จะหมายถึง ABO System ทั้งนั้น ซึ่งมีกรุ๊ปเลือดทั้งหมด อยู่ 4 กรุ๊ป คือ

หมู่เลือด A จะมี Antigen A Antibody B
หมู่เลือด B มี Antigen B Antibody A
หมู่เลือด AB มี Antigenทั้งสองชนิดคือ A,B ไม่มี Antibody
หมู่เลือด O ไม่มี Antigenทั้งสองชนิด แต่จะมี Antibody A,B ทั้งสองชนิด

(หมายเหตุ Antigen คือโปรตีน หรือสารที่ร่างกายเรามี หรือ ได้รับเข้าไป และเป็นตัวกระตุ้นให้ร่างกายเราสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาต่อต้าน หรือทำลาย Antigen นี้ (ภูมิต้านทานที่สร้างขึ้นนี้เรียกว่า Antibody ซึ่งปกติแล้ว คนเราจะไม่สร้าง Antibody ต่อ สารหรือ ร่างกายของตนเอง แต่จะสร้างภูมิต้านต่อ Antigen แปลกปลอมที่ ตัวเองไม่มีและเข้าสู่ร่างกายเท่านั้น)

ถ้ายังจำกันได้ เราเคยถูกสอนในวิชาวิทยาศาสตร์ สมัยตอนเรียนมัธยมว่า
การให้เลือดนั้น เลือดของผู้ให้ จะต้องไม่มี Antigen ที่ผู้รับ มี Antibody นั้น

เลยได้ข้อสรุป ออกมา ว่า คนหมู่เลือด O ซึ่งไม่มี Antigen ใดๆ อยู่เลย จะสามารถนำไปให้กับเลือดหมู่อื่นได้ทุกหมู่เลือด แต่จะสามารถรับได้เฉพาะหมู่เลือด O เท่านั้น

ส่วนคนที่มีหมู่เลือด AB ซึ่งมี Antigen ทั้ง A และ B จะให้กับคนอื่นที่เป็นหมู่ A B หรื อ O ไม่ได้เลย จะให้ได้แต่ กับ คนไข้กรุ๊ป AB ด้วยกันเท่านั้น
แต่ว่า เนื่องจากตัวเองไม่มี Antibody ใดๆ ดังนั้นจึงสามารถรับเลือดได้ทุกหมู่

แต่ในความเป็นจริงแล้วในการรักษา

เวลาแพทย์จะให้เลือด จะต้องให้เลือดที่ตรงหมู่กันเท่านั้น เนื่องจากถ้าถ้าเป็นเลือดต่างกรุ๊ป อาจจะทำปฏิกริยากัน ทำให้เกิดการแตกของเม็ดเลือดได้

ยกตัวอย่างเช่น คนเลือด Gr AB ถ้ารับเลือด Gr A มา แม้ว่า ตัวเองไม่มี Antibody A ไปทำลายเม็ดเลือดที่รับมา แต่ในน้ำเลือดคนให้มา จะมี Antibody B ซึ่งจะปฎิกริยากับ Antigen ของตัวเองได้

ดังนั้นคนที่เลือดกรุ๊ป AB ซึ่งน่าจะดี ที่รับเลือดได้ทุกกรุ๊ป กลับหาเลือดยากเนื่องจาก เลือดกรุ๊ปนี้มีอยู่ไม่ถึง 5% ของประชากรทั้งหมด เวลาต้องหากรุ๊ปเดียวกันตอนให้เลือด จึงหายากหน่อย ไม่ดีเหมือน ที่ได้รับการสอนกันมา แต่เดิม

(สรุป คือ การให้เลือด นั้น ต้องให้ เลือดตรงกรุ๊ปกันเท่านั้น ยกเว้นกรณีฉุกเฉินจำเป็นจริงๆ เท่านั้นจึงเลือกใช้เลือดอย่างที่บอกไว้ข้างบน และการให้มักจะแยกเอาเฉพาะเม็ดเลือดแดงมาใช้ แยกน้ำเลือดทิ้งและอาจจะมีการล้าง ให้มีAntibody ปนมากับเลือดน้อยที่สุด)

การให้เลือดนี้ แม้แต่เลือดกรุ๊ปเดียวกัน ก็ยังมีโอกาส ที่จะทำปฏิกริยาเข้ากันไม่ได้ เหมือนกัน แต่ โอกาสไม่มากนัก ดังนั้นก่อนให้เลือดทุกครั้ง จึงต้องเอาเลือดทั้งสองฝ่ายมาตรวจสอบ ความเข้ากันได้(Group matched) ก่อนทุกครั้ง

พ่อ กับ แม่ มีเลือดกรุ๊ปใด จะได้ลูก ที่มีกรุ๊ปเลือดใดได้บ้าง

เรื่องนี้ อธิบายได้ดังนี้

ให้นึกภาพว่ายีนส์ ของคนเรานั้นจะมีสองอันประกบกันเป็นคู่ อันนึงได้จากแม่ อีกอันได้จากพ่อ และจะแยกตัว ออกเป็นสองข้าง ในตอนเป็นเซลสืบพันธ์ เพื่อไปจับคู่กับอีกครึ่งหนึ่งของฝ่ายตรงข้าม กลับมาเป็นเต็มคู่ อีกครั้งในลูก

ลักษณะของยีนส์ ในกรุ๊ปเลือดต่างๆ (โดยยีนส์นั้นเป็นตัวกำหนดให้ร่างกายสร้าง Antigen นั้นๆบนผิวเม็ดเลือดแดง)
Gruop A = มียีนส์ AO หรือ AA
Gruop B = มียีนส์ BO หรือ BB
Gruop AB = มียีนส์AB
Gruop O = มียีนส์ OO

ทีนี้มาดู ว่า พ่อ กับแม่ แม่กรุ๊ปใด ให้ลูก กรุ๊ปใด ได้บ้าง

กรณีที่ 1 ทั้งสองฝ่าย group A เหมือนกัน จะเป็นได้ดังนี้
ถ้าพ่อแม่เป็น AA+ AA ลูกจะเป็น AA ร้อยเปอร์เซนต์ (Group A ทั้งหมด)
ถ้าพ่อแม่เป็น A0 +AA ลูกจะเป็น AO กับ AA อย่างล่ะครึ่ง( แต่ก็เป็น Gr A ทั้งหมด)
ถ้าพ่อแม่เป็น A0 + AO ลูกจะเป็น AO 50% กับ AA กับ OO อย่างล่ะ 25% (เป็น Gr A 75% กับ O 25%)

ในทางปฏิบัติ คนกรุ๊ป A เราไม่ทราบหรอกครับ ว่ามันเป็น AA หรือ AO แต่จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นแบบใด ลูกก็จะมีโอกาสเป็นได้แค่ Gr A หรือ O เท่านั้น

กรณีที่ 2 ทั้งสองฝ่ายกรุ๊ป B เหมือนกัน
ก็ จะเหมือนกับ กรณีของ A ข้างบน แต่เปลี่ยนเป็น จาก A เป็น B เท่านั้น

กรณีนี้ จะได้ลูกแค่ Gr B และ O เท่านั้น

กรณีที่ 3 ทั้งสองฝ่ายเป็น AB เหมือนกัน จะเป็นดังนี้
AB+AB จะได้ ลูก AB 50% กับ AA และ BB อย่างล่ะ 25%

กรณีนี้จะได้ลูก Gr AB 50% และ A กับ B อย่างล่ะ 25% ไม่มีกรุ๊ป O เลย

กรณีที่ 4 ทั้งสองฝ่ายกรุ๊ป O เหมือนกัน จะได้ ดังนี้
OO+OO จะได้ลูก เป็น OO 100%

กรณีนี้จะได้แต่ลูกกรุ๊ป O เท่านั้น ไม่มีกรุ๊ปอื่นปน

กรณีที่ 5 ฝ่ายหนึ่ง Group A อีกฝ่ายกรุ๊ป B จะเป็นได้ดังนี้
AA + BB = ลูกได้ AB ร้อยเปอร์เซ็นต์(Gr AB ทั้งหมด)
AO + BB = ลูกได้ AB ครึ่งนึง กับ BO ครึ่งนึง (Gr AB กับ Gr B อย่างล่ะครึ่ง)
AA + BO = ลูกได้ AB กับ AO อย่างล่ะครึ่ง (Gr AB กับ Gr A อย่างล่ะครึ่ง)
AO+BO = ลูกได้ AB ,AO, BO, OO อย่างล่ะ 25% ( มีได้ทุกกรุ๊ป อย่างล่ะ 25% )

กรณีนี้ จะเห็นได้ว่า ถ้าพ่อแม่ คนนึง Gr A อีกคน B จะมีลูกได้ ทุกกรุ๊ปเลย

กรณี 6 ฝ่ายหนึ่งกรุ๊ป A อีกฝ่าย AB จะเป็นได้ดังนี้
AA + AB จะได้ลูก AA และ AB อย่างล่ะครึ่ง(ได้ลูกกรุ๊ป A และ AB อย่างล่ะครึ่ง)
AO +AB จะได้ลูก AA ,AO, AB, BO อย่างละ 25% (ได้ลูกกรุ๊ป A 50% และ กรุ๊ปAB กับ กรุ๊ป B อย่างล่ะ 25%)

กรณีนี้จะเห็นว่า ถ้า ฝ่ายหนึ่งเป็น A อีกฝ่ายเป็น AB จะได้ลูก กรุ๊ป A ,AB, B ได้ แต่ ไม่มีทางเป็น Gr O

กรณีที่ 7 ฝ่ายหนึ่ง AB อีกฝ่าย B จะเป็นได้ดังนี้
AB + BB จะได้ลูก BB และ AB อย่างล่ะครึ่ง(ได้ลูกกรุ๊ป A และ AB อย่างล่ะครึ่ง)
AB +BO จะได้ลูก BB ,BO, AB, AO อย่างละ 25% (ได้ลูกกรุ๊ป B 50% และ กรุ๊ปAB กับ กรุ๊ป A อย่างล่ะ 25%)

กรณีนี้จะเห็นว่า ถ้า ฝ่ายหนึ่งเป็น AB อีกฝ่ายเป็น B จะได้ลูก กรุ๊ป A ,AB, B ได้ แต่ ไม่มีทางเป็น Gr O เหมือนกัน กับกรณีที่ 4

กรณีที่ 8 ฝ่ายหนึ่ง Gr AB อีกฝ่าย O จะได้ดังนี้
AB + OO จะได้ AO กับ BO

กรณีนี้จะได้ลูก กรุ๊ป A กับ B ไม่มี AB และ O

กรณีที่ 9 ฝ่ายหนึ่ง Gr A อีกฝ่าย O จะได้ดังนี้
AA + OO ได้ AO ทั้งหมด (กรุ๊ป A ทุกคน)
AO + OO ได้ AO กับ OO อย่างละ50% (

กรณีนี้จะได้ลูก Gr A กับ O อย่างล่ะครึ่ง ไม่มี กรุ๊ป B กับ AB

กรณีที่ 10 ฝ่ายหนึ่ง Gr B อีกฝ่าย O จะได้ดังนี้
BB + OO ได้ BO ทั้งหมด (กรุ๊ป B ทุกคน)
BO + OO ได้ BO กับ OO อย่างละ50%

กรณีนี้จะได้ลูก Gr B กับ O อย่างล่ะครึ่ง ไม่มี กรุ๊ป A กับ AB

สรุปจากสิบกรณี ข้างบนมาให้ดูง่ายๆคือ
A +A = A ,O
B+B = B,O
AB+AB = A ,AB ,B(ได้ทุกกรุ๊ป ยกเว้น O)
O+O = O เท่านั้น
A+B = เป็นได้ทุกกรุ๊ป
A+AB = A ,AB ,B(ได้ทุกกรุ๊ป ยกเว้น O)
B+AB = A ,AB ,B(ได้ทุกกรุ๊ป ยกเว้น O)
AB+O = ได้ A หรือ B
A+O = A หรือ O
B+O = B หรือ O
A+B = A.,B,AB,O

แต่ถ้าเราสามารถระบุไปถึง ระดับยีนส์ได้ ว่าเป็นตัวไหน ก็พยากรณ์ได้แคบลงตามตัวอย่างข้างบน (อาจจะดูได้โดยดูจากประวัติครอบครัว เช่น คนที่ Gr A หรือ Gr B ที่มาจาก พ่อแม่ ที่เป็น AB +AB ย่อมเป็น grA ที่มี ยีนส์ AA หรือ Gr B ที่มียีนส์ BB เป็นต้น

จำนวนคนที่มีหมู่โลหิตต่างๆใน ABO System มีรายงานแตกต่างกันไปไม่แน่นอน

แต่ตัวเลขโดยประมาณ ของคนที่มีหมู่โลหิตต่างๆ ในระบบนี้ มีดังนี้

กรุ๊ป A มี Antigen A พบได้ประมาณ 20-25%
กรุ๊ป B มี Antigen B พบได้ประมาณ 20-25%(ในคนเอเชียโดยเฉพาะพวกจีนญี่ปุ่นจะพบมากหน่อย)
กรุ๊ป O ไม่มี Antigen ทั้ง Aและ B พบได้ประมาณ 45-50%
กรุ๊ป AB มี Antigenทั้ง A และ B พบได้ประมาณ 5%

ยาวหน่อยครับ แต่คิดว่าละเอียดทุกแง่มุม :)

Bombay Blood คืออะไร

เอาอันนี้ มาแปะแถมท้ายอีกหน่อย กรณี ยกเว้นที่ผลกรุ๊ปเลือดลูก ไม่สอดคล้องกับ พ่อแม่ คือไม่เป็นไปตามข้างบน

เช่นถามว่า O+O เป็น A ได้มั้ย หรือ A+O เป็น B ได้มั้ย

ตอบว่าเป็นไปได้ แต่เป็นข้อยกเว้นที่พบได้น้อยมากๆ

ภาวะที่ว่าคือ O ในพ่อหรือแม่นั้นไม่ใช่ O จริงๆ ซึ่งจะไม่มียีนส์ ที่สร้างแอนติเจ้น ทั้ง A และ B
แต่ว่าเป็น เป็นพวก Bombay Blood Group

โดยปกติคนที่ว่าเป็นเลือด Gr A หรือ B หรือ AB นี่ จะต้องมี Gene ทีสร้าง Antigen ดังกล่าวขึ้นมาอย่างที่บอกไว้ข้างบน แต่ว่าการจะแสดงลักณะของยีนส์ นั้นออกมาได้ ยังจะต้องมี Antigen H ซึ่งเป็นแอนติเจนอีกตัวอยู่บนเม็ดเลือดนั้นด้วย(ปกติเลือดทุกกรุ๊ป จะมี Antigen H อยู่แล้ว)

แต่ถ้าเลือด A หรือ B นั้นไม่มี Antigen H อยู่ด้วยตามปกติ พวกนี้จะไม่แสดงลักษณะ ของ Antigen A และ B ออกมาให้เห็น ทำให้เราตรวจแล้ว ดูเหมือนกับไม่มี Antigen ดังกล่าว ทำให้คิดว่าเป็นเลือดกรุ๊ป O แต่ว่าเมื่อ มีปัญหาต้องใช้เลือดและนำไปตรวจการเข้ากัน มันจะฟ้องออกมา เนื่องจากการเข้ากันไม่ได้ ของ Antibody และ Antigen ของเลือดที่นำมาให้

ดังนั้นถ้ากรณี อย่างนั้น O จากพ่อหรือแม่ฝ่ายหนึ่งเป็น Bombay Blood Groupหรือ O ปลอมๆ ที่จริงๆมี Antigen A หรือ B อยู่ แต่ไม่มี H อย่างนี้พอมาถึงรุ่นลูก ซึ่งอาจจะไปได้ H จากพ่อหรือแม่อีกฝ่าย ทำให้ ยีนส์ Aหรือ B ดังกล่าว มาแสดงออกในรุ่นลูกได้

แต่ขอบอกนะครับ ว่า ภาวะ Bombay Blood Group นี่หายากมากๆๆๆ

และถ้าพ่อแม่ไม่ใช่ Bombay Blood ล่ะก้อ ต้องมีรายการหยิบลูกผิดมากจากไหนกันมั่งละ

หมู่โลหิต Rh คืออะไร

ระบบหมู่โลหิต นอกจาก ABO System ที่บอกข้างบนแล้ว

ยังมีหมู่โลหิต อีกอันที่เป็นที่รู้จักกันดี นั่นคือ Rh หรือ Rhesus Blood System

โดย กรุ๊ปเลือด ในระบบนี้ จะมี Antigen ที่เรียกว่า D Antigen
ถ้าคนไข้ ที่มี D Antigen ก็เรียกว่า Rh+ve หรือ +
ส่วนคนที่ไม่มี D Antigen ก็เรียกว่า Rh-ve หรือ -

โดยการรายงาน กรุ๊ปเลือด เรามักจะรายงาน สองอันควบไปด้วยกันเลย เช่น O+ คือเลือดกรุ๊ป A และ Rh+Ve

ในคนทั่วๆไปเกือบทั้งหมดจะเป็น Rh+ve

Rh-ve ในคนไทยจะพบได้น้อยมากแค่ ประมาณ 3 ในพันคน (0.3%) แต่ถ้าในคนไทยซิกข์ จะพบสัดส่วนสูงขึ้น แต่ก็ยังน้อยมาก Rh+ve มากอยู่ดี รวมทั้งพวกคนในยุโรป หรือ ตะวันตก

ซึ่งมีสัดส่วน Rh-ve มากกว่า คนไทย แต่ถ้าเทียบกับ Rh+ve แล้ว ก็ยังพบน้อยกว่ามากๆๆๆๆๆๆๆ

คนไข้ที่ มี Rh- เราอาจจะเรียกว่าเป็นคนไข้หมู่พิเศษ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่หายาก เมื่อต้องการใช้เลือดจะหายาก ดังนั้นจึงมีการรวมตัวกันเป็นชมรมผู้มีหมู่โลหิตพิเศษ เพื่อที่จะได้ติดต่อตาม

กันได้เมื่อต้องการใช้เลือด

นอกจากปัญหาเรื่องการหาเลือดใช้ยากแล้ว

ในแม่ที่ Rh-ve นี้ ยังอาจจะมีปัญหาในเรื่องการคลอดลูกได้อีก เช่นถ้าคนนี้แต่งงานกับสามีที่เป็น Rh+ve ตามปกติ และลูกที่เกิดมาคนแรก เป็น Rh+ve ตามพ่อ ในตอนคลอด อาจจะมี

เลือดของลูกบางส่วนผ่านไปยังแม่ตอนคลอด(เนื่องจากตอนนั้นจะมีการลอกตัวของรก มีการสัมผัสเลือดลูกกับแม่ได้ จากการฉีกขาดของเส้นเลือด ส่งผลให้แม่ ) ได้รับ Antigen D บางส่วน

จากเลือดลูกแล้ว สร้าง Antibody ต่อ Antigen นี้ (Anti D ) ขึ้นมาในเลือดตัวเอง
ถ้ามีลูกอีกในท้องสอง และลูกเป็น Rh+ve เช่นกัน เลือดแม่ที่มี AntiD จะปล่อย AntiD นี้ผ่านรกเข้าไปยังลูกได้ทำให้ไปทำลายเม็ดเลือดแดง ของลูกทำให้เม็ดเลือดแดงแตก และทำให้เด็ก

เสียชีวิตได้ ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ




 

Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2550    
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2550 18:22:25 น.
Counter : 15877 Pageviews.  

=== มารู้จัก ครรภ์เป็นพิษ กันมั้ย ===

ครรภ์เป็นพิษ (Toxemia Of Pregnancy) หรือ ภาวะความดันโลหิตสูง ในขณะตั้งครรภ์ เป็นโรคที่พบได้บ่อยพอสมควรในคนท้อง

สาเหตุ ยังไม่มีใครทราบแน่ชัด (มีคำกล่าวกันเล่นๆว่า ใน Hall Of Frame ของ แขนงสูติศาสตร์ มีแผ่นป้ายประกาศกิตติคุณ ยกย่องแพทย์ด้านนี้ อยู่มากมายหลายคน แต่ยังมีที่ว่างพิเศษ อีก 1 ที่ เก็บเอาไว้รอไว้ สำหรับคนที่ทราบสาเหตุ ของครรภ์เป็นพิษ ที่แน่นอน :P :P )

ภาวะครรภ์เป็นพิษ ภาวะนี้ จะพบได้ในคนท้องในช่วงระยะประมาณ 3 เดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์( อายุครรภ์ ประมาณ 6-9 เดือน) ไปจนกระทั่งหลังคลอดได้ประมาณ 1 สัปดาห์

อาการระยะแรก อาจจะแค่พบโปรตีน หรือ ไข่ขาว(Albumin)หลุดออกมาในปัสสาวะ เนื่องจากมีการรั่วของไข่ขาวจากเลือด หลุดผ่านออกมา กับปัสสาวะ ทำให้มีการเสียไข่ขาวออกจากร่างกายไปเรื่อยๆ และเมื่อ มีการเสียออกมามากติดต่อกันเรื่อยๆ ก็จะทำให้ระดับของไข่ขาว( Albumin) ในกระแสเลือดลดลง

ตัวไข่ขาวหรือ albumin นี้มีหน้าที่อุ้มน้ำเข้าไว้ ให้อยู่ในกระแสเลือด เมื่อเสียไปมากๆ จะทำให้น้ำจากกระแสเลือด รั่วออกไป ตามเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย ทำให้เกิดอาการบวมได้ (คนไข้โรคไต (Nephrotic Syndrome)ที่เราเห็นว่าบวมก็เกิดจากการรั่วของไข่ขาว ออกมาทางไต แบบนี้เช่นกัน)

ส่วนของร่างกายที่บวม และเห็นได้ชัด จะพบแถว หน้าแข้งก่อนที่อื่น ต่อมาก็จะเป็น หนังตา, แขนขา และใบหน้า และลำตัวทั่วๆไป

โรคนี้มีความรุนแรง แตกต่างกันไปในแต่ละคน เป็นได้หลายระดับเช่น

ในรายที่เป็นน้อย อาจจะพบแค่ไข่ขาวออกมาในปัสสาวะ ร่วมกับการบวมเล็กน้อย (ถ้าเป็นไม่มากไข่ขาวอาจจะอยู่ในระดับต่ำๆ เช่นพบแค่ +1 ถึง +2 แต่ถ้าเป็นมากๆจะพบจนถึงระดับ +4 (ระดับสูงสุด)

ถ้าเป็นมากขึ้นไปอีกระดับ จะเริ่มพบ ความดันโลหิตสูงขึ้น เพิ่มขึ้นมา นอกจากการบวม และมีไข่ขาวข้างต้น คนไข้ระยะนี้ยัง คงให้พักผ่อนอยู่ที่บ้านได้ แนะนำให้นอนตะแคง ข้างโดยเฉพาะด้านซ้าย (แทนการนอนหงาย) เพราะว่าการนอนท่านี้ มดลูกและเด็ก จะ ไม่ค่อยไปกดทับเส้นเลือดใหญ่ในช่องท้องที่อยู่ด้านขวา ทำให้เลือดไปเลี้ยงมดลูกและเด็กได้ดีขึ้น (โรคนี้เส้นเลือดต่างๆจะมีการหดตัวทำให้เลือดที่ไปยังรกและอวัยวะภายในต่างๆ ลดน้อยลง ถ้าน้อยมากอาจจะเป็นอันตรายต่อเด็กด้วย) และยังช่วยทำให้เลือดไปเลี้ยงไตได้มากขี้น ทำให้ไตทำงานได้ดีขึ้น

ถ้าในรายที่รุนแรงขึ้นไปอีกระดับ จะมีความดันโลหิตสูงมากขี้นไปอีก โดยความดันขณะหัวใจคลายตัว (ค่าตัวล่าง) สูงกว่า 110 mm hg อาจมี การปวดจุกยอดอกแถวใต้ลิ้นปี่ ปวดศรีษะ ตาพร่ามัวไปจนกระทั่งมองไม่เห็น ในรายที่รุนแรง ระดับนี้ แพทย์จะต้องให้นอนพักโรงพยาบาลเพื่อเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด อาจจะต้องให้ยา MgSo4 เพื่อป้องกันการชัก และถ้าสภาพของเด็กสมบูรณ์พอที่จะให้คลอดได้ แพทย์จะให้คลอดเลย โดยถ้าปากมดลูกสุกนุ่มมากพอ อาจจะให้คลอดปกติ แต่ถ้าดูว่าจะมีปัญหาคลอดยากก็ต้องผ่าตัดช่วยคลอดให้ (ปกติเด็กถ้าเกินสามสิบห้าสัปดาห์( 8 เดือน)ไปแล้ว ก็จะแข็งแรงพอที่จะให้คลอดออกมาได้โดยไม่มีปัญหามากนัก

ในรายที่รุนแรงที่สุด คนไข้ จะมีการชักที่เรียกว่า Eclamsia ซึ่ง ถ้าพบว่ามีการชักเกิดขึ้นแล้ว แพทย์จะให้ยาเพื่อช่วยให้หยุดชัก แล้ว ถือเป็นข้อบ่งชี้ที่จะต้องทำให้การตั้งครรภ์สิ้นสุดลงทันที ด้วยวิธี คลอดธรรมดา หรือผ่าคลอดก้อได้ ที่คิดว่าจะเร็วที่สุด โดยไม่คำนึงว่าเด็กจะแข็งแรงหรือไม่(เป็นการทำเพื่อช่วยชีวิตแม่)

อย่างที่บอกโรคนี้พบได้บ่อยพอสมควร ในการตั้งครรภ์ทั่วไป

ดังนั้นสำหรับคุณแม่มือใหม่ ที่โชคไม่ดีพบว่าเกิดภาวะนี้ ก็ไม่ต้องตกใจ ขอให้พักผ่อนมากๆ ถ้ามีปัญหาปรึกษา กับ คุณหมอฝากครรภ์ดูแลได้เลย

ในปัจจุบัน คนไข้เริ่มมีความรู้มากขึ้นพบแพทย์ได้ไวขึ้น มักจะได้รับการดูแลรักษาใกล้ชิด มักจะไม่ค่อยมีที่เป็นมากจนถึงขั้นที่จะชัก




 

Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2550    
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2550 19:10:25 น.
Counter : 3971 Pageviews.  

@@ Hyperventilation โรคหายใจแรง มือเท้าเกร็ง (โรคหมอเจ็บ) @@

Hyperventilation เป็น อาการแสดงออก ที่เกิดจาก ความผิดปกติ ของภาวะทางจิตใจ แต่ไม่ใช่โรคจิต นะ

ส่วนใหญ่ มักพบเกิดอาการเมื่อ มีความวิตกกังวล มีเรื่องเครียด กลัว หรือ แม้แต่ ตกใจมากๆ ก็เป็นได้ หรือในบางคนที่ปวดหัวมาก มีไข้สูงมาก หรือเจ็บปวดจากอย่างอื่น ก็มีอาการเกิดขึ้นได้ เช่นกัน

อาการก็คือ เมื่อคนไข้เมื่อมีภาวะเครียดหรือ Stress ดังกล่าวข้างต้นเกิดขึ้นแล้ว จะทำให้ เค้าหายใจแรง เร็ว และ ลึก ทำให้ คาร์บอนไดอ๊อกไซด์ในเลือด ถูกขับออกมากับลมหายใจมาก (ในขณะที่หายใจเข้าแรงๆ นี่ ก็ได้อ๊อกซิเจน เข้าไปมากด้วย แต่ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับ อาการของโรค)

เมื่อคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ ถูกขับออกมามาก จะส่งผลทำให้ เลือดมีความเป็นกรดลดลง หรือ จะบอกว่าความเป็นด่างมากขึ้น ก็ได้(PH สูงขึ้น) เนื่องจาก CO2 นั้นเมื่ออยู่ในเลือดมันละลายในน้ำอยู่ในรูปของกรดคาร์บอนิค (เหมือนน้ำโซดาเลยเนอะ :P )

เมื่อเลือด มี ความเป็นด่าง มากขึ้น จะส่งผลให้ระดับ ของไออ้อนของ Calcium หรือ Ca2+ อิสระในเลือดลดต่ำลง ก่อให้ทำให้เกิดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อคล้ายตะคริว แต่มีลักษณะเฉพาะ ของมัน คือ จะเกร็งแบบ นิ้วมือจีบเข้าหากัน ข้อมือบิดเข้าหาตัว ปลายเท้าเหยียดเกร็ง ที่เรียกกันว่า Carpopedal Spasm

วิธีการดูแลปฐมพยาบาลเบื้องต้น ของผู้ป่วยพวกนี้ เมื่อพบเห็นก็ให้เอาถุงพลาสติค หรือถุงกระดาษ หรือ กรวยกระดาษ ครอบหน้าให้เค้าหายใจเอา CO2 ที่หายใจออกมามากเกิน ไปให้ย้อนกลับเข้าไป (แต่ต้องเปิดให้หายใจ อากาศปกติด้วยนะ ไม่งั้นเดี๋ยวขาด O2 ตายกันพอดี :P :P ) ขณะเดียวกัน ก็แนะนำให้คนไข้ ทำใจสบายๆ ผ่อนคลายหายใจช้าๆ เบาๆ ลงให้เค้ารู้สึกมั่นใจอบอุ่น ไม่ตกใจกังวล (หลายคนแนะนำผิดให้หายใจแรงๆ ลึกๆ ๆ เหมือนคนเป็นลม อันนั้น ยิ่งทำให้อาการแย่ลงนะ :P)

ขณะเดียวกันก็แก้สาเหตุ รักษาต้นตอ ของคนไข้ เช่นลดภาวะไข้ ปวด หรือ ผ่อนคลายความเครียดลง ก็จะดีขึ้น

ถ้ายังมีอาการมาก ก็พาพบแพทย์หาสาเหตุเพิ่มเติม

เห็นมะ โรคฮิต จากหนังหมอเจ็บเรื่องนี้ ดูแลไม่ยากเท่าที่คิด :P




 

Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2550    
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2550 23:07:41 น.
Counter : 49502 Pageviews.  

===โด้ปเลือด มีจริง ป่าว ทำไงกันหว่า แล้ว ผ่าตัดใช้เตรียมเลือดตัวเองไว้ใช้ได้มั้ย ===

การโด้ปเลือด มีใช้กันในกีฬา ที่ต้องการการนำอ๊อกซิเจนมากๆ ไม่ให้เหนื่อยโดยเฉพาะการแข่งขันที่ต้องมีการแข่งขันติดต่อกันหลายๆวัน อย่างเช่นจักรยานที่เป็นทัวร์ต้องแข่งติดกันๆหลายวัน

หลักการโด้ปเลือดที่ทำกันก็คือ ก่อนแข่งเค้าจะเจาะเลือดนักกีฬาคนนั้นออกมา ปั่นแยกเม็ดเลือดแดงเก็บไว้

เมื่อร่างกายเสียเลือด จากการที่เจาะออกมาร่างกายของเค้าก็จะเร่งการสร้างเลือดใหม่ขึ้นมาแทนให้อยู่ในความเข้มข้นในระดับปกติ หรือใกล้เคียงปกติ

แล้วพอ ก่อนแข่งก็เอาเม็ดเลือดแดง ที่เก็บแยกไว้ให้เข้าไป ซึ่งจะช่วยให้นักกีฬานั้นมี เลือดที่มีความเข้มข้นมากกว่าปกติ นำอ๊อกซิเจนได้ดีกว่าปกติ ส่งผลให้เหนื่อยช้าลง

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การให้ต้องคำนวนให้ดี เพราะว่าการให้เลือดจำนวนมากทำให้เกิดน้ำท่วมปอดหัวใจวายได้ หรือ แม้แต่เลือดที่ข้นเกินไปก็ทำให้หัวใจทำงานหนัก และหัวใจวายได้เช่นกัน

วิธีการคล้ายๆกันนี้ มีการนำมาใช้ทางการแพทย์เหมือนกัน โดยใช้ ในการเตรียมเลือดไว้เพื่อคนไข้ที่จะต้องผ่าตัด ที่มีการเตรียมการล่วงหน้าได้(Elective Surgery) เพื่อที่จะได้ใช้เลือดของตัวคนไข้เอง มาสำรองไว้ใช้ในการผ่าตัดเพื่อลดความเสี่ยง ที่จะเกิดจากการใช้เลือดคนอื่น

หลักการก็คือ ก่อนผ่าสอง หรือ สามสัปดาห์ เค้าจะเอาคนไข้มาเจาะเลือดออกมา เก็บไว้เป็นเลือดสำรองในการผ่าตัดครั้งละ 1 ยูนิต ซึ่งหลังจากนั้นคนไข้ได้พักประมาณ หนึ่งสัปดาห์ ก็จะสร้างเม็ดเลือดขึ้นมาได้เกือบเท่าของเดิม

เมื่อครบ 1 สัปดาห์ ก็จะเอามาเจาะเลือดเก็บไว้ เพิ่มอีก 1 ยูนิต ซึ่งการเจาะอย่างนี้ เราก็จะเก็บเลือดคนไข้ เองได้ สัปดาห์ล่ะหนึ่ง ถุง ซึ่งการเตรียมอย่างนี้ กว่าถึงวันผ่าตัดเราก็จะมีเลือดของคนไข้เอง เตรียมไว้ 2-3 ถุงเพื่อใช้ตอนเสียเลือดในการผ่าตัด

แต่เตรียมเก็บเลือดแบบนี้ เราเก็บล่วงหน้าหลายๆสัปดาห์ เพื่อให้เก็บเลือดได้หลายๆ ยูนิตไม่ได้ เนื่องจากเลือดที่เอาออกมาจากร่างกายเราแล้ว มีอายุเก็บไว้ใช้งานได้แค่ประมาณ หนึ่งเดือนเท่านั้น ถ้าเก็บก่อนนานเกินไปเลือดที่เก็บออกมาไว้เกินเดือน ก็จะเสียไปก่อนวันผ่าตัดเจ็บตัวฟรี




 

Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2550    
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2550 22:55:46 น.
Counter : 1136 Pageviews.  

1  2  

-=Jfk=-
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 13 คน [?]




มิตรภาพ อาจจะเป็นสิ่งเดียว ที่เราแจกจ่ายออกไปเท่าไรก็ไม่มีวันหมด

ยิ่งให้ออกไป มอบออกไป มากเท่าไร ก็ยิ่งผลิบาน ไปทั่ว และย้อนกลับคืนมามากเท่าทวีคูณ

ขอบคุณ Internet ที่ช่วยหว่านเมล็ดพันธ์แห่งมิตรภาพให้กระจายไปทั่วใน Cyber Space ที่ไร้พรมแดนนี้
Friends' blogs
[Add -=Jfk=-'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.