ล่องเรือทัวร์เนเธอร์แลนด์ Staande Mastroute: Friesland - Groningen
ตอนออกเดินเรือครั้งนั้นไอบินหลายังเป็นมือใหม่ในการแล่นใบและมีความรู้เกี่ยวกับเรือน้อยมาก
ปี ๒๕๕๐ ไอบินหลาไปเรียนแล่นใบกับสมาคมแข่งเรือใบแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ มีการฝึกอบรมทั้งภาคทฤษฎี ภาคปฏิบัติให้กับเยาวชนและบุคคลทั่วไป ที่อ่าวดงตาล อ.สัตหีบ ถือเป็นโชคดีที่ได้เรียนกับครูอ้วน เรือเอก ดำรงศักดิ์ วงศ์ทิม แชมป์เอเชียนเกมส์ของไทย และครูหลิม ซึ่งถือว่าเป็นสุดยอดในคลาสเรือเลเซอร์ ความรู้และประสบการณ์นี้เป็นหัวใจของการแล่นใบ เพราะเรือเล็กที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า Dinghy ทำให้เราสัมผัสและเข้าใจปฏิกริยาสัมพันทธ์ระหว่างเรือกับลมได้ดีกว่าเรือลำใหญ่

หลังจากนั้นก็ตัดสินใจเตรียมเรือและออกเดินทางจากเมืองแอ้นท์เวิร์ป ประเทศเบลเยียม วันที่ ๑๔ สิงหาคมปีเดียวกัน



จากความตั้งใจเดิมที่จะใช้ Staande Mastroute เป็นทางเลี่ยงคลื่นลมแรงในทะเลเหนือ กลับกลายเป็นการล่องท่องเที่ยวชมธรรมชาติตามลำน้ำของประเทศเนเธอร์แลนด์ทั้งไป-กลับ คือ

เที่ยวแรก เร่งเครื่องขึ้นเหนือจนถึงเมือง Delfzijl เพื่อทะเล Wadden Sea ของเยอรมนี ไอบินหลาเคยเขียนลงห้อง Blue Planet ระหว่างติดอยู่ที่เกาะ Norderney ประเทศเยอรมนี ติดตามอ่านได้ที่นี่ค่ะ ล่องเรือแล่นใบ Asalei... ทริปแรก Belgium-Netherlands-Germany-Denmark!!!! และ ล่องเรือแล่นใบ Asalei... ตอนที่ 2 ผ่านเนเธอร์แลนด์ ไป Denmark….not!

เที่ยวหลังคือ ขากลับ ล่องลงใต้เจาะลึกเมืองต่างๆ เช่น Amsterdam, Leeuwarden และ Groningen ที่ไอบินหลาเล่าเพิ่มเติมกันบน blog

และสำหรับตอนที่ ๔ นี้ไอบินหลาขอเล่ารวบยอดทั้งช่วงขึ้นเหนือ-ล่องใต้ ตามเส้นทางนี้ตามแผ่นที่ด้านล่างค่ะ



จากทะเลสาบ IJsselmeer เราหันหัวเรือขึ้นเหนือผ่านเมือง Lemmer ซึ่งถือเป็นประตูสู่ Friesland บนเส้นทาง Staande Mastroute ลัดเลาะตามลำคลอง ผ่านทะเลสาบและเมืองใหญ่น้อยบนเส้นทางที่คดเคี้ยว กินเวลานานกว่าที่เราเคยคาดไว้ บรรยากาศโดยรอบเริ่มเปลี่ยนไปจากตอนใต้ของประเทศทีละน้อย น้ำในลำคลองดูสะอาด ไหลเอื่อยไปตามกระแสน้ำและสายลม



ตอนนั้นไอบินหลาก็เหมือนกับหลายๆ คนที่ไม่คุ้นและไม่ค่อยรู้ข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวแถบนี้ คิดว่าคงงั้นๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจมากมาย เป็นเพียงส่วนสุดท้ายบนเส้นทาง Staande Mastroute อยากรีบผ่านๆ ไปเยอรมนีโดยเร็วที่สุด ไม่คิดเลยว่าที่นี่จะเป็นที่สุดของความประทับใจ ไอบินหลาใช้เวลาอยู่แถบนี้นานที่สุดถึงขั้นจะย้ายสำมะโนครัวมาอยู่อาศัยกันเลยทีเดียว

Friesland และ Groningen เป็น ๒ ใน ๓ จังหวัดทางตอนเหนือของประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่มีเอกลักษณ์ ความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรมและภาษาจากส่วนอื่นๆ ของประเทศเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ธรรมชาติของหมู่เกาะฟรีเซียนใน Wadden Sea ที่รายรอบจังหวัดทั้งสองทางด้านซ้ายมือ ยังสวยงามไม่เป็นรองใคร เสียดายที่ทริปนี้ไอบินหลาไม่มีโอกาสไปเที่ยว



เราแวะพักกันที่ Sneekermeer ซึ่งเป็นแหล่งแล่นใบยอดนิยมอีกแห่งนึงของแถบนี้ มีสโมสรและท่าเรือยอร์ชอยู่ ๓-๔ แห่ง อีกด้านหนึ่งของทะเลสาบมีที่จัดไว้ให้เรือจอดค้างคืนได้ฟรี คืนนั้นมี Asalei เพียงลำเดียว นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่ไอบินหลาได้สัมผัสธรรมชาติและความเงียบสงบ

ฝั่งซ้ายด้านหลังของ Sneekermeer ถัดจากที่เราจอดเรือไว้ มีแอ่งน้ำน้อยใหญ่อีกหลายแห่งที่มีคลองเชื่อมต่อกันโดยรอบ เรานำเรือยางออกวิ่งสำรวจ ชมบรรยากาศรอบๆ บอกได้เลยว่าสวย ประทับใจ ไว้ไอบินหลาเจอรูปชุดนั้นเมื่อไหร่ จะนำมาฝากกันอีกทีค่ะ



วันรุ่งขึ้นเราเร่งเครื่องขึ้นเหนือ ยิ่งรีบเหมือนจะยิ่งช้า ก่อนเข้าเขตเมือง Leeuwarden ซึ่งเป็นเมืองเอกของจังหวัด Friesland เกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญระหว่างทาง สะพานช่ือ Fonejactbrug ชำรุด ขณะที่ Asalei กำลังลอยลำลอดผ่านสะพานแรกอย่างไปช้าๆ สะพานอันที่สองดันเสีย… ซวย!!!!! สะพานเปิดไม่ได้ระยะเสากระโดงเรือ จะกลับลำก็ไม่ได้เพราะที่แคบ แถมด้วยลมกรรโชกพัดมาทางท้ายเรือ จนเสากระโดงเกือบชนสะพาน เรืออีกลำก็ตามหลังมาติดๆ ทำเอามือไม้สั่น ใส่เกียร์ถอยหลังโกยกันแทบไม่ทัน

คืนนั้นเราต้องจอดเรือนอนพักกันใกล้ๆ สะพาน จนสายๆ ของวันรุ่งขึ้นเจ้าหน้าที่เดินมาบอกว่าพอจะผ่านไปได้แล้ว จะเสี่ยงมั้ย เอ่อ !! ไม่ใช่ว่าเค้าจะซ่อมเสร็จนะคะ เขาบอกว่าสะพานเปิดได้สูงกว่าเมื่อวานมาก เรือพวกเธอผ่านได้แน่



สภาพก็ออกมาดังรูปข้างบน แต่ในนาทีระทึกขวัญเมื่อวานน่าตื่นเต้นกว่ามาก ..... งานนี้เล่นเอาเข็ดหลาบกับสัญญาณไฟแดง-เขียวที่ปกตินักเดินเรือเกือบทุกคนไม่ค่อยจะใส่ใจและไม่อยากเสียเวลารอกัน เห็นสะพานเปิดปุ๊บก็รีบแล่นเรือเอื่อยๆ เข้าไป

ผ่านสะพานนี้ไปแล้วเราก็ไม่ผิดหวังค่ะ เพราะแถบ Friesland มีธรรมชาติและเอกลักษณ์เฉพาะตัว บ้านเรือนที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำลำคลอง ดูเหมือนเขาตั้งใจออกแบบและตกแต่งให้เข้ากับสภาพแวดล้อม มีที่จอดเรือ ทั้งเรือเล็กและเรือยอร์ชลำใหญ่ตามแต่รสนิยมของเจ้าบ้าน



บ้านหลังด้านล่างนี้ ทำเลดี อยู่ก่อนเข้าเขตเมือง Leeuwarden นิดเดียว ...สวย ได้ใจไอบินหลาไปเต็มๆ



ช่วงแรกของทริปค่อนข้างรีบเร่ง เราจึงแล่นเรือผ่านเมือง Leeuwarden ไป แต่ขาล่องกลับจากเยอรมนี ไอบินหลาได้แวะชมเมืองนี้ ๒-๓ วัน เราเลือกจอดเรือที่ Prinsentuin ซึ่งเป็นสวนสาธารณะใจกลางเมือง มีที่จอดเรือบริการสำหรับนักท่องเที่ยว ด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบ สะอาด ทำเลดีจึงได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อน



จากเรือมองเห็นพิพิธภัณฑ์ของประติมากรชาวฟรีเซียนช่ื่อ Pier Pander
งานแกะสลักหินอ่อนของเขาอ่อนช้อยและปราณีตมาก หลายชิ้นดูมีชีวิตมากกว่าที่ตั้งอยู่ในพิพิธภัณฑ์ลูฟว์เสียอีก เส้นทางชีวิตของเขาน่าสนใจ Pier เกิดมาในครอบครัวชาวเรือที่ยากจน พ่อเป็น Skipper และด้วยใจรักงานศิลปะเขาเริ่มต้นจากการแกะสลักงานไม้ จนได้ทุนไปเรียนที่เมืองอัสเตอร์ดัม แต่โชคชะตาก็เล่นตลกเมื่ออาการป่วยทำให้เขาต้องพิการ ในช่วงที่เขาเพิ่งชนะการประกวด Prix de Rome สาขางานประติมากรรมเมื่อปี ค.ศ. 1885 และมีโอกาสก้าวสู่การเป็นศิลปินชื่อก้อง แต่เขาไม่ท้อต่อโชคชะตา กลับต่อสู้จนโด่งดังเป็นศิลปินชื่อก้องในโรม

ถัดออกไปไม่ไกลเป็น Pier Pander Tempel ซึ่งเป็นส่วนนึงของพิพิธภัณฑ์เช่นกัน ผลงานของ Pier Pander มีทั้งงานปั้น งานแกะสลัก และภาพเหมือน ดูเพิ่มได้ที่ Collectie-thema's และ Objecten roundshots





ตัวเมือง Leeuwarden แบ่งออกเป็นเมืองใหม่และเมืองเก่า เช่นเดียวกันกับเมืองใหญ่ๆ ทั้งหลายในยุโรปตอนเหนือ เขตเมืองเก่ายังคงรักษาบรรยากาศความเก่าแก่ได้ดี มีแกเลอรี่ขายภาพเขียนและงานศิลปะอีกหลายแขนง

จากเมืองนี้ขึ้นเหนือไป ยังคงเป็นที่โล่งกว้าง ตลอดเส้นทางมีจุดจอดพักเรือหลายแห่งที่ให้เราค้างคืนได้ฟรี ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ห่างไกลจากแหล่งชุมชน บางแห่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ





กฎหมายของเนเธอร์แลนด์บังคับให้เรือทุกชนิดที่มีห้องน้ำติดตั้งถังรองรับสิ่งปฏิกูล เพื่อควบคุมคุณภาพน้ำและรักษาสุขภาพอนามัยของคนที่ลงเล่นน้ำ ตำรวจน้ำของที่นี่ลงทุนซื้อเรือดำน้ำลำจิ๋วไว้สุ่มตรวจกันเลยทีเดียว หากจับได้ว่าอุจจาระลอยจากเรือลำไหนรับรองเจอดีแน่ แต่เมื่อคำนวณราคาอุปกรณ์และค่าปรับแล้ว พวกเรายอมเสี่ยงปล่อยท่อตรงจากโถส้วมลงคลองเหมือนเดิม



ผ่าน Dokkum เมืองเล็กๆ ที่เรือ Asalei ไปชนกิ่งไม้ดังสะเทือนไปทั้งคลอง


เราแล่นเรือผ่ากลางอุทยานแห่งชาติ Lauwersmeer ที่ยังคงรักษาความเป็นธรรมชาติของพื้นที่ชุ่มน้ำได้เป็นอย่างดี ส่วนหนึ่งของอุทยานเป็นปากแม่น้ำเหนือสุดของประเทศเนเธอร์แลนด์ที่มีประตูน้ำเชื่อมผ่าน Wadden Sea

เนื่องจากเส้นทางค่อนข้างแคบมีเพียงกิ่งไม้เล็กๆ เหมือนชาวประมงบ้านเราใช้ปักบอกทางเท่านั้น ดูจากแผนที่แล้วชิวๆ ไอบินหลาแล่นเรือเลาะกิ่งไม้ไปเรื่อย ชมธรรมชาติที่นี่จนเคลิ้ม มารู้ตัวอีกทีก็ตอนเรือแล่นไปติดโคลนเข้าเต็มๆ งานนี้เดือนร้อนกัปตันปีเตอร์อีกแล้ว ต้องรีบดึง keel ขึ้นและเร่งเครื่องนำเรือออกจากโคลนจนสำเร็จ

ทริปนี้ถือว่าพวกเราโชคดีมากที่ได้เจอสัตว์ขึ้นชื่อของอุทยานถึงสองชนิดคือ ฝูงวัว Highland cattle ที่พบเราโดยบังเอิญตอนแล่นเรือขึ้นเหนือไปเมือง Gronningen



และขากลับก็เจอฝูงม้า Konik Horses เหมือนได้ทัวร์ซาฟารีในยุโรปเหนือ



ขาล่องกลับบ้านเรามีเวลามาก จึงหยุดจอดเรือค้างคืนอยู่ที่นี่ ๓ คืน เต็มอัตราที่เขากำหนดไว้ แต่ไอบินหลาเห็นเรือบางลำอยู่เกินเวลาที่เขากำหนดไว้และใช้วิธีเวียนเทียน ไปจอดที่ใกล้ๆ วันสองวันแล้วกลับมาอยู่ที่นี่ต่อเป็นอาทิตย์



ตกกลางคืนที่นี่เงียบสงบจนเราไม่กล้าเปิดสตาร์ทเครื่องยนต์ปั่นไฟ กินข้าวกันใต้แสงเทียนโรแมนติกไปอีกแบบ ช่วงเช้าอากาศสดชื่นมาก สูดอากาศบริสุทธิ์จนชุ่มปอด แล้วออกเดินเที่ยว ดูนก ตามประสา



เห็นแล้วนึกถึงทะเลน้อย นอกจากภูมิประเทศที่คล้ายคลึงกันแล้ว บ้านเราก็มีควายน้ำให้ดู ไม่ต่างกับวัวน้ำของที่นี่สักเท่าไหร่ ขาดก็แต่เรือหางยาววิ่งพานักท่องเที่ยวไปแลทุ่งดอกบัว



บรรยากาศและธรรมชาติอย่างนี้หาได้ยากในเบลเยียม



เราเดินเรือเรื่อยมาจนเข้าเขตจังหวัด Groningen ซึ่งเป็นส่วนเหนือสุดของประเทศเนเธอรแลนด์ เมือง Groningen ชื่อเดียวกันเป็นเมืองเอกของจังหวัด ไอบินหลาประทับใจตั้งแต่เริ่มเข้าเขตตัวเมือง มีหมู่บ้านจัดสรรสมัยใหม่พร้อมที่จอดเรือยอร์ชส่วนตัว ถ้าเป็นเมืองไทยอาจมีโปรโมชั่นซื้อเรือยอร์ชแถมบ้าน หรือซื้อบ้านแถมเรือ



หากไม่ถูกใจ ไม่ใช่ Life Style ก็ยังมีเรือนแพวิลล่าและเรือบ้านให้เลือก



กัปตันปีเตอร์บอกว่าเรือลำข้างล่างมีส่วนว้าวโค้ง สวยกว่าเรือที่พบเห็นกันแถวเบลเยียมและฝรั่งเศส พร้อมทั้งอวดว่า สิบกว่าปีที่แล้วเขาก็เคยมีเรือ inland ship ยาว ๓๘ เมตร ที่เคยตั้งใจไว้ว่าจะตกแต่งเป็นที่อยู่อาศัยและท่องเที่ยว



กว่าจะถึงใจกลางเมือง Groningen เราต้องเดินเรือผ่านสะพานทั้ง ๑๕ แห่ง งานนี้หินระดับน้องๆ อัมสเตอร์ดัมเลยทีเดียว สะพานเริ่มเปิดในช่วงบ่าย กว่าไอบินหลาพร้อมด้วยเรืออีกหลายลำเคลื่อนขบวนพาเหรดไปถึงในเมืองก็ปาเข้าไป ๔ โมงเย็น






ช่วงแรกของการเดินทาง เราอยู่ที่ Groningen เพียงสองสามวันแต่ขากลับอยู่ยาวกว่า ๒ อาทิตย์ จนคิดตั้งหลักปักฐานกันอยู่ที่นี่เพราะติดใจมนต์เสน่ห์ของเมืองนี้เข้าให้



ที่นี่มีพิพิธภัณฑ์ modern art ขึ้นชื่อ ไอบินหลามั่นใจว่าหลายคนคงเคยเห็นพัดลมทรงนี้ผ่านตากันมาบ้าง


ตัวอาคารของพิพิธภัณฑ์เองก็ได้รับการออกแบบทันสมัย สวย แปลก



คนใต้ผูกพันธ์กับรถไฟ ไปที่ไหนไอบินหลาก็มักจะหาโอกาสไปเที่ยวสถานีรถไฟเสมอ แม้ทริปนี้จะไม่ได้ขึ้นรถไฟ แต่ก็ยังแถกเดไปแลสถานีรถไฟ





ที่นี่มี coffie shop ไม่น้อยไปกว่าอัมสเตอร์ดัม ไอบินหลาเดินสำรวจตลาดแล้วอดภูมิใจไม่ได้ที่เห็นสินค้าไทยเป็นที่นิยมอันดับต้นๆ ทั้งกัญชาและเห็ดเมา เขาบอกว่าสั่งตรงจากเมืองไทยให้เลือกหลายเกรด แถมราคายังถูกกว่าเมืองอื่นๆ ของเนเธอร์แลนด์มาก

เหตุผลที่ไอบินหลาชอบเมือง Groningen เป็นพิเศษ อาจจะเป็นเพราะมีควาคล้ายคลึงกับเมือง Ghent ในเบลเยียมมาก เป็นเมืองมหาวิทยาลัย จึงมีคนหนุ่มสาวอยู่ที่นี่กันเยอะ
เรียกได้ว่าเป็นแหล่งชุมนุม "ชายหล่อ หญิงสวย" ระดับต้นๆ ของประเทศเลยทีเดียว



ภาพด้านล่างเป็นบรรยากาศท่าเรือในเมือง Groningen ห้องน้ำที่นี่ออกแบบได้สวยหรูอย่างกับโรงแรมและเป็นห้องน้ำที่ดีที่สุดในบรรดาท่าเรือยอร์ชแถบทะเลเหนือที่ไอบินหลาเคยใช้บริการมาก



ระหว่างแล่นเรือจาก Groningen เมือง Delfzijl มีเรือใหญ่วิ่งทำเวลากันวุ่นวาย จนเราต้องเหลียวหน้าแลหลังกันตลอดเวลา และรู้สึกได้ว่าจะมีเรื่องตื่นเต้นตามมาอีกแน่ๆ



ถึงแม้ Delfzijl จะเป็นเมืองสุดท้ายของเส้นทาง Staande Mastroute แต่การเดินทางของไอบินหลายังไม่จบ เราตรงไปยังเกาะ Norderney ประเทศเยอรมนี

ไอบินหลาขอเวลารื้อฟื้นความทรงจำสักนิดแล้วจะกลับมาเล่าต่อในตอนหน้าค่ะ




Create Date : 26 มกราคม 2555
Last Update : 1 กันยายน 2555 5:41:07 น.
Counter : 3184 Pageviews.

1 comment
ล่องเรือทัวร์เนเธอร์แลนด์ Staande Mastroute: Markermeer - IJsselmeer
มาท่องเนเธอร์แลนด์กันต่อกับเส้นทาง Staande Mastroute ที่ใช้เป็นเส้นทางแล่นเรือมาจากตอนใต้ของประเทศเพื่อออกไปยังทะเลเหนือ สำหรับชาวเรือใบที่ต้องการสัมผัสกับวีถีชีวิตของชาวดัชต์ หรือต้องการเลี่ยงความบ้าคลั่นของคลื่นลมในทะเลเหนือ



จากอัมสเตอร์ดัม เรามุ่งหน้าสู่ Markermeer เและ IJsselmeer สวรรค์ของนักแล่นใบชาวดัตช์กัน ทะเลสาบทั้งสองมีเขื่อนกั้นจากแถบเมือง Enkhuizen ถึงเมือง Lelystad สำหรับผู้ที่อยากมาสัมผัสดูวิถีชีวิตชาวประมงดั้งเดิมของชาวดัตช์ก็ไม่ควรพลาดเมืองรอบๆ ทะเลสาบทั้งสองนี้

วันนั้นเราแล่นเรือหวานเย็นถึงเมือง Lelystad ในช่วงค่ำๆ ที่นี่เป็นเมืองใหม่ แผ่นดินใหม่ที่ชาวดัชต์สร้างขึ้นมา ทุกอย่างดูใหม่และทันสมัย การวางผังเมืองให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในสิงคโปร์มากกว่ายุโรป อาจเป็นเพราะไม่ไกลจากอัมสเตอร์ดัมและการเดินทางที่สะดวกทั้งทางรถไฟและรถยนต์จึงมีคนวัยทำงานอยู่ที่นี่กันมาก นอกจากนี้ธุรกิจและอุตสาหกรรมเกี่ยวกับเรือยอร์ชยังจัดว่ามีความสำคัญกับเมือง Lelystad นี้พอสมควร เห็นได้จากจำนวนท่าเรือและขนาดความใหญ่ ความหรูหราของเรือที่จอดอยุ่มากมาย



ที่นี่เราจำต้องส่งลูกเรือสูงวัยหรือช่างเครื่องกิติมศักดิ์กลับบ้านไปก่อน หลังจากร่ำลากันเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาเดินหน้าต่อไป จาก Lelystad ขึ้นเหนือไปยัง Friesland จังหวัดทางตอนเหนือของเนเธอร์แลนด์ มีวัฒนธรรมและภาษาท้องถิ่นที่แตกต่างจากภาคอื่นๆ นอกจากนี้เขายังรักษาความสวยงามตามธรรมชาติได้อย่างดี นับว่าเป็นไฮไลท์ของทริปนี้เลยทีเดียวค่ะ

ในการเดินทางครั้งนั้น ไอบินหลาเลือกที่จะตรงไปยังเมือง Lemmer และต่อไป Friesland เลย จากนั้นจึงกลับมาเยี่ยมชมเมืองรอบๆ Ijsselsmeer ในเที่ยวกลับ ยังไงก็ขอรวบยอดเล่าให้ฟังกันในตอนนี้ทีเดียวเลยนะคะ ส่วน Friesland ขอแปะไวก่อน

ที่ Lemmer ถึงเราจะไม่ได้เข้าไปเที่ยวในเมืองแต่ไอบินก็มีภาพบริเวณท่าเรือมาฝากกันค่ะ



ขอตัดฉากมาเป็นช่วงก่อนจบ Staande Mastroute ของไอบินหลากันเลย กลับจาก Friesland และ Germany (ติดตามกันได้ในตอนต่อไปค่ะ) เราแวะเที่ยวรอบๆ IJsselmeer กันต่อ

ในบรรดาเมืองต่างๆ โดยรอบ ไอบินหลาประทับใจหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ อย่าง Hindeloopen, Makkum และ Stavoren มากกว่าที่อื่น เพราะยังคงความเรียบง่าย เงียบสงบ จนดูเหมือนว่าบางมุมของที่นี่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปจากร้อยกว่าปีก่อนนี้เลย





เราอยู่ใน Hindeloopen และ Makkum หลายวัน มีโอกาสพูดคุยกับนักเดินเรือท่องถิ่นและไปเที่ยวบ้านคนต่อเรือที่ไม่ธรรมดาคนนึง ตอนแรกไอบินหลาก็แปลกใจว่าทำไมเขาแน่ใจนักว่าบ้านเขาหาไม่ยาก ถามใครใน Makkum ก็ได้ มาถึงบ้างอ้อก็ตอนที่เดินมาถึงโบสถ์ประจำหมู่บ้าน อ๋อ! เดี๋ยวนี้คนดัตช์เขาซื้อโบสถ์มาเป็นที่อยู่อาศัยกันเหรอ… ส่วนจะเป็นที่นิยมกันขนาดไหนนั้นไอบินหลาไม่ได้ถามไถ่





ถึงแม้ Wadden Sea จะอยู่ใกล้ Makkum เพียงกำแพงเขื่อนกั้น แต่พวกเราก็ไม่ได้ไปเยี่ยมชมธรรมชาติที่นั่น ..เสียดาย !! ไม่เข้าใจว่าทำไมตอนนั้นไอบินหลากลับเลือกที่จะฝ่าพายุข้ามไป Urk หมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ อีกแห่งนึง ที่ยังมีวิถีชีวิตไม่ต่างจากปู่ย่าตาทวดเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ถึงแม้จะมีหลายร้อยชีวิตสูญหายไปใน IJsselsmeer แห่งนี้ ชื่อพวกเขาที่จารึก เรียงรายลงบนหินอ่อนที่อนุสรณ์สถานแห่งนี้เป็นเครื่องยืนยันว่าเขาเหล่านั้นยังอยู่ในความทรงจำของใครหลายๆ คนอยู่เสมอ





หลายคนที่มาเยือน IJsselmeer คงสงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร ทะเลสาบเงียบสงบออกอย่างนี้ อันนี้ไอบินหลารู้ซึ้งแก่ใจเป็นอย่างดีเพราะประสบกับตัวเองมาแล้วตอนฝ่าพายุลมฝนมายัง Urk วันนั้นแทบไม่มีเรือเลย ใกล้ๆ เรามี Die Hard จากเยอรมนีหนึ่งลำ และมีเรือโบราณแล่นใบอยู่ลิบๆ อีก 2-3 ลำ ลมฝนส่งผลให้กระแสน้ำแรงมาก หากเราไม่ใช้เครื่องยนต์ช่วยเรือคงโดนกระแสน้ำพัดไปชนสันเขื่อนด้านหลังอย่างแน่นอน ปัญหายังไม่จบแค่นั้น ระดับน้ำโดยเฉลี่ยของทะเลสาบแห่งนี้อยู่ที่ประมาณ 5 เมตร แต่วันนั้นกระแสลมสร้างคลื่นสูงกว่า 2 เมตร ทำให้ Asalei เกยตื้นไม่สามารถแล่นไปได้ในบางจุด เราสองคนต้องรีบยก Keel ยกหางเสือกันจ้าละหวั่น สุดท้ายน็อตที่ปิดวาล์วเครื่องยนต์ดีเซลหลุด ทำให้น้ำมันกระฉอกออกมาเต็มใต้ท้องเรือ กว่าจะถึงฝั่งก็เล่นเอาลุ้นระทึก กลัวจะเป็นเรื่องใหญ่ต้องวิทยุ Mayday Mayday ขอความช่วยเหลือเสียแล้ว



หลังจากซ่อมเครื่องยนต์เรียบร้อย เราแล่นใบข้ามไปเมือง Enkhuizen และ Hoorn ซึ่งเป็นจุดหมายหลักของนักแล่นใบแถบนี้ที่ยังคงบรรยากาศเมืองท่าสมัยโบราณได้เป็นอย่างดี





เราเลือกจอดในท่าเรือกลางเมือง ที่คับคั่งไปด้วยเรือนักท่องเที่ยว นอกจากบรรยกาศโดยรอบและการบริการจะดีแล้วทางเมืองไม่ได้คิดค่าจอดแพงเหมือนท่าเรือทั่วไป แถมบางลำยังมาใช้บริการฟรีอีกต่างหาก ประเภทมาถึงกลางดึกและรีบออกเรือไปเช้ามืด พฤติกรรมนี้ของคนดัตช์ค่อนข้างขึ้นชื่อโดยเฉพาะในประเทศเพื่อนบ้านท้ั้งเบลเยียม ฝรั่งเศสและอังกฤษ

เมนูปลาเป็นอาหารขึ้นชื่อแถบนี้ หากมีโอกาสควรลองปลาไหลรมควัน ปลาแฮริ่งดอง หอยแมลงภู่ดอง และปลาชุบแป้งทอด





ไม่ไกลกันนักเป็นจุดจอดเรือโบราณนำเที่ยวที่ไอบินหลาเคยแนะนำไว้เมื่อตอนที่แล้ว นอกจากทริปสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไปแล้ว ยังมีเรือที่พาเราไปไกลถึงนอร์เวย์และไอร์แลนด์เกือบทั้งปี ใครที่ชอบ Adventure หรือต้องการประสบการณ์ใหม่ๆ พลาดไม่ได้ค่ะ





ที่นี่เข้มงวดเรื่องความปลอดภัยและสุขลักษณะบนเรือมาก ส่วนเรื่องความสะดวกสบาย หรูหรา ไฮโซนั้นขึ้นอยู่กับกระเป๋าและความพอใจของนักท่องเที่ยวมากกว่า เรือหลายลำอาจเป็นที่คุ้นตาของหลายๆ คน อย่างเช่น Astrid ลำนี้ ทุกปีเจ้าของเรือจะนำไปออกบูธ แสดงโชว์ในงานตามท่าเรือต่างๆ ในยุโรปตอนเหนือ


จาก Hoorn เราจอดแวะกันที่หมู่บ้านชาวประมงอีกแห่งนึง อืมม...น่าจะเป็น Volendam อันนี้ไอบินหลาไม่แม่น ตอนกลางวันที่นี่จะเต็มไปด้วยกลุ่มนักท่องเที่ยวจากอัมสเตอร์ดัม มีร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกมากมาย หากใครเคยเห็นรูปปั้นผู้หญิงด้านล่างและจำได้ก็ช่วยไอบินหลาด้วยนะคะ ^^





วันรุ่งขึ้นปั่นจักรยานไปเที่ยวกันที่เมืองขึ้นชื่อสำหรับนักท่องเที่ยวและคงเป็นที่คุ้นชื่อกันสำหรับหลายๆ คน อย่าง Edam และ Monnickendam ช่วงนั้นหมดหน้าท่องเที่ยวพอดี อดดูการแสดงของเมือง Edam ก็เลยได้แต่เดินชิมชีส ดูร้านค้าไปเรื่อยเปื่อย






ตอนหน้าไอบินหลาจะพาขึ้นเหนือไป Friesland ค่ะ นอกจากจะได้สัมผัสธรรมชาติสวยๆ แล้วเราจะไปดูกันว่าคนที่นั้นเค้าใส่ใจอนุรักษ์ผืนน้ำกันได้ดีขนาดไหน ลองติดตามกันดูะคะ

ก่อนไปขอแนะนำกัปตันปีเตอร์กับลูกเรือ สว.ให้รู้จักกันอีกครั้งค่ะ :]






Create Date : 08 มกราคม 2555
Last Update : 1 กันยายน 2555 5:39:49 น.
Counter : 1934 Pageviews.

0 comment
ล่องเรือทัวร์เนเธอร์แลนด์ Staande Mastroute: Zeeland - Amsterdam


ถึงแม้จะไม่ได้แล่นใบในทะเลเหนือดังที่ตั้งใจ แต่การล่องเรือตามเส้นทาง Staande Mastroute กลับน่าประทับใจกว่าที่คิด ได้พบได้เห็นในสิ่งที่ไม่คิดหรือไม่ควร เช่น หนุ่มอาบน้ำกลางหาว นี่คงคิดสิว่าเช้าป่านนี้ หมอกหนาขนาดนี้จะมีมาสนใจ หุหุหุ ไอบินหลาไม่ได้ตั้งใจจะเป็นถ้ำมองจริงๆ นะเออ ...เสียดายที่ไม่สามารถลงรูปแบบจะจะกว่านี้ได้ :]



ตลอดเส้นทาง Staande Mastroute สะพานและประตูน้ำจะมีเวลาทำการที่แตกต่างกัน และมีที่ให้จอดเรือค้างคืนฟรี ซึ่งส่วนใหญ่จะเงียบสงบ ห่างไกลจากชุมชน อย่างที่รู้ๆ กันว่าของฟรีและดีมีน้อย เราจึงต้องวางแผนกันล่วงหน้าว่าจะใช้ความเร็วเท่าไหร่ พักกินข้าวกันยังไง จะค้างคืนที่ไหน อย่างไร
เรือส่วนใหญ่จะนิยมหยุดจอดตามท่าเรือในเมืองและอยู่กันทีละหลายๆ วัน แต่พวกเราไม่มีเวลามากนัก จึงเลือกเฉพาะเมืองสวยๆ Must see



จาก Roompot ไป Willemstad เป็นคลองสายเศรษฐกิจที่พลุกพล่านไปด้วย inland ship เรือขนสินค้าที่รีบเร่งไปเมืองท่าสำคัญอย่าง Rotterdam

ก่อนเข้าอัมสเตอร์ดัม เราหยุดพักกันที่เมือง Dordrecht แต่กว่าจะไปถึงท่าเรือยอร์ชขึ้นชื่อของเมืองนี่สิ ต้องโชว์ความอดทนพยายามกันหน่อย ด่านแรกต้องผ่านสะพานรถไฟที่มีกำหนดเวลาเปิดเพียงวันละ 2 รอบ พลาดรอบแรกยังพอจะจอดเรือหุงข้าวกิน-รอกันได้ หากพลาดรอบที่สอง ไอบินหลาแนะนำให้หันหัวเรือไปหาที่พักแถวอื่นได้เลย ที่นี่พลุกพล่านด้วยเรือสินค้า เรือเฟอร์รี่ เรือยนต์ทุกชนิด นอกจะไม่ได้นอนแล้ว ดีไม่ดีอาจจะโดนไล่ที่ตอนกลางคืนอีกต่างหาก



ด่านต่อมาคือ ต้องมีดวง มีเส้น ถึงจะได้ที่จอด เพราะเป็นท่าเรือเก่าแก่จึงมีขนาดเล็ก จุเรือได้ไม่มาก ยังดีที่ช่วงนั้นเป็นขาขึ้นของไอบิหลา
และด่านสุดท้ายคือทางเข้าท่าเรือ ที่ต้องรอกันนานสักประมาณนึงกว่า จนท.ท่าเรือมาเปิดประตูน้ำ ผ่านประตูน้ำไปมีทางเลี้ยวหักศอกเข้าเข้าคลองเล็กๆ (เน้นว่าต้องเลี้ยวเรือหักศอก) ผ่านบททดสอบเรือไม่มีรอยถลอกไปได้ ก็จะรู้ทันทีว่าคุ้ม ท่าเรือขึ้นชื่อของ Dordrecht เป็นท่าเรือเล็กๆ เก่าแก่ กลางเมือง วิวสวย มีเสียงระฆังกล่อมนอนตลอดคืน






เสียดายที่เรารีบกันจนไม่มีเวลาไปเที่ยวเมืองใกล้ๆ รวมถึงสวนกังหันลมที่อยู่ไม่ไกลกันนัก ในใจคิดว่าแปะไว้ก่อน ค่อยขับรถกลับมาเที่ยวก็ได้เพราะไม่ไกลจากเบลเยียม... จนถึงตอนนี้ลูกอีช่างแปะก็ยังไม่มีโอกาสกลับไปสักที :[

จาก Dordrecht เราออกเดินทางกันต่อตามลำคลองเล็กๆ ไม่ไกลจาก Schipol ที่ดูสงบเงียบ แตกต่างจากทางด่วนไป Roterdam โดยสิ้นเชิง








แถวนี้มีเครื่องบินร่อนผ่านเป็นระยะ บางครั้งเครื่องลดระดับลงต่ำถึงขนาดให้เราเสียวเสากระโดงกันถ้วนหน้า จนอดนึกถึงสมัยประถมไม่ได้ กับคำถามกวนๆ "เครื่องบินชนกับเรืจะเหลืออะไร??" ไม่รู้คนที่อื่นเขาแบบนี้กันรึเปล่านิ




และตรงทะเลสาบเล็กๆ ชื่อ Braassemermeer เรามีอยู่ 2 ทางเลือกคือ เดินเรืออ้อมไปเมือง Haarlem หรือยิงตรงเข้าอัมสเตอร์ดัม ซึ่งมีข้อจำกัดว่าเราต้องเดินเรือกันในเวลากลางคืน ...ว่าไปก็น่าลองไม่ใช่เล่น





ด้วยเหตุผลจากการท่องเที่ยวและการจราจรที่คับคั่งในอัมสเตอร์ดัม จึงมีกฎให้เรือ Sailing yacht ทุกลำที่ต้องการเแล่นผ่านเมืองต้องเสียค่าธรรมเนียมและเดินเรือในช่วงกลางคืนที่เรียกกันในภาษาดัตช์ว่า het nachtkonvooi โดยเรือแต่ละลำต้องไปดำเนินเรื่องก่อนเวลา 23.00 น. มีการแบ่งเวลาเดินเรือออกเป็น 2 รอบ เที่ยวแรกคือขบวนเรือเที่ยวล่องจากทิศเหนือของเมืองอัมสเตอร์ดัม และต่อมาคือขบวนเรือจากด้านใต้ของเมืองซี่งเป็นรอบของไอบินหลา

Asalei มาถึงจุดพักรอเป็นลำสุดท้าย เรือเกือบทั้งหมดจะเป็นของเจ้าถิ่นคือเนเธอร์แลนด์ มีเป็นเรือเบลเยียมเพียงลำเดียว ส่วนอีกลำคือสัญชาติเยอรมัน เราจึงรักกันเป็นพิเศษ ช่วยเหลือกันเกือบตลอดเส้นทาง ตอนไปยื่นเรื่องผ่านทาง จนท.บอกว่าเวลา 00.30 น.จะเปิดประตูกั้นน้ำให้เราเข้า ส่วนอีกฝั่งนึงที่ต้องผ่านออกมาทางนี้จะเป็นเวลา 02.30 น. เราก็นั่งรอ นอนรอ ใกล้เวลาก็สตาร์ทเครื่องยนต์ ออกไปลอยลำรอแต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีวี่แวว สัญญาณไฟยังเป็นสีแดง 2 ดวง (หมายถึงไม่มีกำหนดเปิด) เอาล่ะทำไงดี จะเข้าไปจอดอีกก็กลัวว่าจะไม่ทันเวลา สามีสั่งมาว่าไม่อยากอยู่ตำแหน่งสุดท้ายของขบวน ดิฉันก็พยายามรักษาตำแหน่งรั้งท้ายเรือสัญชาติเยอรมันอย่างเหนียวแน่น วนเรือไปมาจนถึงเวลา 01.30 น. สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นแดง-เขียว (หมายถึงกำลังเปิดสะพาน/ประตูน้ำ) เรือเจ้าถิ่นมาจากไหนกันก็ไม่รู้เต็มพรึ่บไปหมด สุดท้าย Asalei ก็เข้าเป็นตำแหน่งบ๊วยจนได้

ขบวนเรือคืนนั้นมีด้วยกัน 11 ลำ แบ่งออกเป็นสองแถวเต็มลำคลอง เส้นทางสั้นๆ เราต้องผ่านสะพานทั้งหมด 12 แห่ง ประตูน้ำอีก 2 ดังนั้นช่องระหว่างสะพานแต่ละที่จึงบรรจุเรือได้เต็มพอดี บางแห่งแทบจะต้องจอดเกยกัน แถมบางจังหวะยังมีเรือยนต์เล็กๆ ไม่มีไฟของนักท่องเที่ยวที่ชอบลองของ แอบตอดซ้ายแซงขวาให้เราต้องระวังเหมือนรถมอเตอร์ไซค์ในกรุงเทพฯ ยังไงอย่างนั้น



ระหว่างทางก็ชื่นชมบรรยากาศยามดึกของ Amsterdam ที่ไม่เคยหลับ กว่าจะผ่านด่านอรหันต์มาได้ก็ประมาณตี 3 ขบวนเรือก็แยกย้ายกันไปหาที่หลับนอน ท่าเรือใน Amsterdam มีน้อยกว่าควรจะเป็น บริเวณนั้นมีเพียง 2 แห่งเท่านั้น Asalei มุ่งหน้าไปยังท่าเรือที่เราโทร.ติดต่อไว้ก่อนหน้านี้ แต่กว่าจะหาเจอก็ใช้ความพยายามกันพอสมควรเพราะเป็นกลางคืนดูหมายเลขทุ่นแต่ละทีต้องเพ่งแล้วเพ่งอีก เมื่อไปถึงกลับหาที่จอดเรือไม่ได้อีกเพราะ Asalei มีความกว้างมากกว่าเรือรุ่น 40 ฟุตทั่วไป ส่วนเรือลำอื่นๆ ซึ่งตามมาทีหลังจอดกับพรึ่บพรั่บ ยุ่งละซิ..... กลับลำออกไปหาท่าเรืออีกแห่งนึงก็เจอปัญหาเดิม แถมยังแย่กว่าด้วยซ้ำ จะไปตายดาบหน้าก็จะไม่ไหว ล้ากันเต็มที เลยต้องจำใจกลับไปท่าเรือที่หมายมั่นไว้แต่เดิมอีกรอบเพราะถึงจะไม่มีบล็อคให้เราจอดแต่ยังมีเนื้อที่ว่างมากกว่า แล้วเราก็ตัดสินใจจอดเรือแบบขวางลำชาวบ้าน ตอนเช้าถ้าโดนเค้าด่าก็ค่อยว่ากันอีกที



เที่ยวนี้ไอบินหลาไม่ได้เข้าไปเท่ียวในเมืองอัมสเตอร์ดัม แบบว่า ปื้อ!! กระหายอยากแล่นใบมากกว่า รีบออกเรือกันก่อนเที่ยงต่อไปยัง IJsselmeer และโชคก็เข้าข้างเราซะด้วย อากาศดี ลมดี มีเรือมาแล่นใบกันมากมาย




ขอเอารูปเรือโบราณมาฝากกันค่ะ เผื่อมีใครสนใจมาเที่ยว แถว IJsselmeer มีบริการกันหลาย package ทั้ง DayTrip นอนบนเรือ หรือหรูหราไฮโซพร้อมอ่างจากุซชี่ก็มีให้เลือกกันตามความชอบ หากชอบธรรมชาติหน่อยก็ออกไปเดินดูธรรมชาติและสิงโตทะเลที่ Wadden Sea รับรองว่าน่าประทับใจสุดๆ ^^






ตอนต่อไปไอบินหลาจะพาไปเที่ยวเมืองและหมู่บ้านชาวประมงรอบๆ เขื่อนหรือทะสาบคนทำ IJsselmeer แห่งนี้ค่ะ



Create Date : 07 มกราคม 2555
Last Update : 1 กันยายน 2555 5:40:28 น.
Counter : 1188 Pageviews.

2 comment
ล่องเรือทัวร์เนเธอร์แลนด์ Staande Mastroute
ทริปนี้ถือเป็นการเดินทางกับเรือ Asalei ครั้งแรกของไอบินหลา เรามีเวลาเตรียมพร้อมกันเพียงไม่กี่สัปดาห์ แต่ประสบการณ์ที่ได้รับนั้นมากมายเหลือเกิน

ก่อนอื่นขอพูดถึงยานพาหนะสำคัญในการเดินทางครั้งนี้คือเรือใบ Asalei มีความยาว 12 เมตร น้ำหนัก 12 ตัน ตัวเรือเป็นเหล็ก มีความพิเศษต่างจาก sailing yacht ทั่วไปตรงที่สามารถยก keel และหางเสือขึ้นได้ กินน้ำลึกประมาณ 1 เมตรได้สบายๆ เหมือนเรือยนต์ทั่วไป หรือแม้กระทั่งจอดเกยตื้นตอนน้ำลดในอ่าวหรือแม่น้ำหลายๆ แห่ง



เมื่อเรือพร้อม เราจึงออกเดินทางกันช่วงกลางเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงปลายฤดูสำหรับการแล่นใบแถบนี้ ลม ฝน พายุ จึงเป็นเรื่องปกติ จากเมือง Antwerp เแล่นผ่านแม่น้ำ Schelde แวะพักที่เมือง Vlissingen ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ของ Zeeland ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำ เราแวะที่นี่ 2-3 วันเพื่อรอให้คลื่นลมสงบแล้วจึงออกทะเลขึ้นเหนือต่อไปจนถึงน่านน้ำเยอรมนี








แต่แล้วเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นระหว่างนำเรือออกจากบล็อค เกียร์เครื่องยนต์ค้าง ทำให้เรือเสียการควบคุมไปชนกับเรืออีกลำซึ่งจอดอยู่ใกล้เคียง เล่นเอาเสียขวัญกันตั้งแต่ไก่โห่
แม้เครื่องยนต์จะไม่พร้อม 100% เราก็เลือกที่จะเดินหน้าต่อไป จาก Vlissingen สู่ทะเลเหนือ วันนั้นยังคงมีอิทธิพลของหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมอยู่ Asalei เป็นเรือลำเดียวที่ออกจากท่าออกทะเล ส่วนเรือลำอื่นเลือกที่จะใช้อีกเส้นทางหนึ่ง เรือใบอีกลำบนท้องทะเลสีเทาห่างออกไปสุดเส้นขอบฟ้า แป๊บเดียว พี่แกก็ชิงตกขอบ หนีหายไปเสียแล้ว



หลังโต้คลื่นลมแรงอยู่หลายชั่วโมง ผู้สูงวัยที่ร่วมทริปไปด้วยเริ่มแสดงอาการกลัวมากขึ้น ไม่ยอมให้เราแล่นออกทะเลลึก ซึ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก ด้วยสภาพภูมิศาสตร์พื้นที่แถบนั้นเป็นแหลมยื่นสู่ทะเล ส่งผลให้คลื่นลมช่วง coastline แรงและมี race ในบางจุด โดยเฉพาะ Hoek van Holland ซึ่งเป็นเส้นทางเดินที่พลุกพล่านที่สุดในโลก เรือสินค้าทั้งหลายผ่านทางนี้เพื่อตรงไปยัง Rotterdam ซึ่งเป็นจุดที่เราต้องการจะเลี่ยง



เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย เราตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางจากเดิมมาเป็น Plan B และหันหัวเรือสู่ Oosterschelde ที่นี่เป็นหนึ่งในอีกหลายๆ จุดตลอดแนวชายฝั่ง ที่ชาวดัตช์ทำเขื่อนกั้นระหว่างทะเลเหนือและพื้นน้ำด้านใน เพื่อป้องกันน้ำท่วม และการบริหารจัดการน้ำอย่างมีระบบ

หลังข้ามกำแพงเขื่อนเข้าสู่ด้านใน บรรยากาศเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ฟ้าสวย ทะเลใส ไม่มีคลื่นหัวแตกให้เป็นกังวล และแน่นอนมีเรือน้อยใหญ่ให้เห็นจน สว. ของเราเริ่มใจชื้นขึ้นมาบ้าง ที่ไม่ต้องเสี่ยงกับคลื่นลมแรงจากทะเลเหนือมาใช้เส้นทาง Inland เดินทางขึ้นสู่ด้านเหนือของเนเธอร์แลนด์แทน



ความพิเศษของ Staande Mastroute หรือ Mast-up route ในภาษาอังกฤษ คือ คุณสามารถเดินทางผ่านห้วย หนอง คลอง บึง เหมือนเรือยนต์ทั่วไปโดยไม่ต้องถอดเสากระโดงออก บางช่วงก็สามารถแล่นใบได้อย่างอิสระ ที่สำคัญ “ฟรี” ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ยกเว้นคุณเลือกที่จะผ่านเมือง Amsterdam ซึ่งไอบินหลาจะเล่าให้ฟังอีกที นับเป็นที่เดียวในยุโรป หรืออาจจะเป็นประเทศเดียวในโลกที่เราแล่นเรือใบผ่านประเทศทั้งประเทศได้ หากไม่นับคลองปานามาและคลองสุเอซที่สร้างเพื่อการพาณิชย์



Staande Mastroute อาจเริ่มจาก Vlissingen หรือ Willemstad ทางตอนใต้ของ Holland ผ่าน IJsselmeer จนถึง Delfzijl ของ Friesland ทางตอนเหนือของประเทศ ผ่านเมืองน้อยใหญ่มากมาย เช่น Dordrecht, Harlem, Amsterdam, Leeuwarden, Groningen รวมถึงหมู่บ้านชาวประมงรอบๆ ทะเลสาบ Ijsselmeer




จากนี้ไปเราต้องลอดสะพาน ผ่านประตูกั้นน้ำอีกนับไม่ถ้วน โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 2 อาทิตย์จาก Vlissingen - Delfzijl แต่คราวนั้นไอบินหลาเกือบๆ 3 เดือนเพราะติดใจบรรยากาศแถบ Frisland จนเกือบจะย้ายสำมะโนครัวไปอยู่ที่ Groeningen เสียแล้ว
ตอนหน้าจะเริ่มจาก Zeeland – Amsterdam - IJsselmeer เป็นรับรองว่าน่าประทับใจและมีภาพสวยๆ มาฝากกันอย่างแน่นอนค่ะ








Create Date : 06 มกราคม 2555
Last Update : 1 กันยายน 2555 5:39:14 น.
Counter : 1212 Pageviews.

4 comment

barby
Location :
Cascias  Portugal

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



New Comments