|
1. Atkin 's Diet คืออะไร
Atkin 's Diet หรือวิถีชีวิตพร่องแป้ง คิดค้นจากคุณหมอชาวอเมริกัน ชื่อว่า คุณหมอ Atkins เขาได้ศึกษาถึงกระบวนการสะสมไขมันของมนุษย์ ด้วยวิธีการต่างๆ เป็นหลักง่ายๆ เป็นความจริง ที่เราอาจเคยเรียนกันมาบ้างในวิชาชีววิทยา เขาได้พบวิธีการของร่างกายที่จะเปลี่ยนแป้งเป็นไขมัน แต่พบว่าไขมันที่กินเข้าไป ไม่ได้ไปสะสมเสมอไป การเปลี่ยนแป้งเป็นไขมันนั้น มีกลไกทางร่างกาย อย่างชัดเจน สามารถดูได้ในหัวข้อย่อย ในเรื่อง วัฐจักรความหิว
หลักการของเขาก็คือ กินแป้งได้ไม่เกิน 20-100g ต่อวัน และสามารถกินไขมัน เนื้อสัตว์ ได้อย่างไม่จำกัด โดยน้ำหนักจะไม่เพิ่ม แต่กลับลดลงไป โดยได้ทดลองกับคนไม่ใช่แค่ 1 คน แต่หลายพันคน พบว่า สำเร็จเกือบทั้งหมด
หมอแอดกินส์ได้ประสบความสำเร็จในการคิดสูตรลดน้ำหนักนี้ จนเขียนหนังสือขึ้นมา และมีผลิตภัณฑ์ low carb เป็นธุรกิจให้ครอบครัวสืบต่อมาจนวันนี้ ซึ่งได้รับความนิยมจากคนอเมริกัน จนเกิดร้านอาหารสูตร Low carb มากมาย
อย่างไรก็ตาม ความคิดของหมอแอดกินส์ได้ถูกคัดค้าน จากพวกที่ค้าขายแป้งก็ตาม หรือจากนักวิชาการ ว่าไม่ดีต่อหัวใจ แต่คนที่กินมา 10 ปี ก็ยังไม่เสียชีวิตจากโรคหัวใจเลย แต่กลับสุขภาพดีขึ้น ไม่มีปัญหาไขมันในหลอดเลือด หรือคอเรสเตอรอลสูงแต่อย่างใด ปัจจุบันนี้ หมอแอดกินส์ได้เสียชีวิตไปแล้ว หลายคนคงอยากรู้ว่าเจ้าพ่อสูตรแปลกประหลาดนี้ เสียชีวิตอย่างไร มีข่าวโจมตีจากพวกค้าแป้งมากมาย ว่าเขาเสียชีวิตจากโรคอ้วน ไขมันในหลอดเลือดหัวใจ แต่ความจริงแล้ว เขาประสบอุบัติเหตุหัวฟาดพื้น ด้วยวัย 70 ปี
หมายเหตุ** ข้อมูลนี้เรียบเรียงด้วยความเข้าใจของกระผมเอง อันได้ศึกษามาแล้วทางอินเทอร์เน็ต และได้เรียบเรียงมาให้อ่านกัน โปรดใช้วิจารณญาณ | | |
Create Date : 13 มีนาคม 2551 | | |
Last Update : 14 มีนาคม 2551 0:04:40 น. |
Counter : 3478 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
2. วัฐจักรความหิวและการสะสมไขมัน
วัฐจักรความหิว คือการที่เราหิวอยู่เรื่อยๆ กินเข้าไปก็หิวอีก เกิดจาก เมื่อเรากินสารอาหารพวกคาร์โบไฮเดรตเข้าไป ไม่ว่าจะแป้ง น้ำตาล เมื่อกินไปแล้ว สุดท้ายที่เราเรียนกันมา มันจะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลเชิงโมเลกุลเดี่ยวหรือกลูโคส และน้ำตาลจะไปเร่งการหลั่ง อินซูลิน ก็คือตัวที่จะเปลี่ยนน้ำตาลนี้เป็นไขมันนั่นเอง
เมื่อเราใช้พลังงาน กลูโคสจะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานไปส่วนหนึ่ง หากเราใช้พลังงานอย่างสมดุลยื น้ำตาลจะถูกเอาไปใช้หมด แต่ถ้าเราใช้พลังงานไปน้อยล่ะ อินซูลิน สารควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด จะเปลี่ยนเจ้าน้ำตาลนี้ เป็นไขมัน ไปสะสมในร่างกายอีกจนได้ ซึ่งในความเป็นจริง เราไม่มีทางที่จะจัดการน้ำตาลที่กินไปให้หมด ได้โดยง่าย อาหารจานเดียวทั่วไป 1 จาน คุณต้องวิ่ง 2 ชั่วโมงเพื่อเผาผลาญมันให้หมด ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้เลย สุดท้ายหากเรากินแบบเลี่ยงไขมัน แต่ยังคงกินข้าว กินผลไม้ สุดท้ายน้ำตาลก็กลายเป็น ไขมันอยู่ดีนั่นเอง นี่แหละสาเหตุของส่วนเกิน
ซึ่งต่างจากการกินไขมัน ที่เราเรียนกันมา ไขมันที่กินนั้นหากเป็นแบบอิ่มตัว คือมันหมูเนี่ยล่ะ เฉื่อยต่อเคมีในร่างกาย ถ้าไม่ถูกนำไปใช้ จะไปสะสมในกระแสเลือด แต่วิธีแบบแอดกินส์นี่ไง ที่ใช้พลังงานไขมันแทนแป้ง เรียกว่า ภาวะKetosis (ดูรายละเอียดได้ในหัวข้อต่อไป) ดังนั้นไขมันพวกนี้ ได้นำไปใช้แน่นอน ต่างจากการกินแป้ง ดังนี้
กินแป้ง----เปลี่ยนเป็นน้ำตาล----ใช้ส่วนหนึ่ง----กลายเป็นไขมันส่วนหนึ่ง
วนไปซ้ำมาอยู่อย่างนี้ โดยไม่มีการสลายไขมัน มีแต่เพิ่มพูน แล้วคุณก็จะได้ไขมันสะสมเรื่อยๆนั่นเอง มาพูดถึงวัฐจักรความหิว กันบ้าง หลังรับประทานอาหารประเภทแป้งใหม่ๆ จะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ทำให้เรารู้สึกสดชื่น มีพลัง แต่ไม่นานนัก เมื่อเราประกอบกิจกรรมต่างๆ น้ำตาลก็จะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงาน และไขมันเพื่อสะสมไว้ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลง เราจะเริ่มรู้สึกอ่อนเพลีย และ หิว เมื่อหิวเราก็รับประทานอาหารอีก ซึ่งถ้าเป็นประเภทแป้งหรือน้ำตาลเป็นส่วนใหญ่ซึ่งเป็นแบบวิธีการบริโภคของคนทั่วๆไป เราก็จะรู้สึกดีขึ้น แต่ไม่นานนักเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดลงจากการถูกใช้เป็นพลังงานและการเปลี่ยนเป็นไขมัน ระดับน้ำตาลที่ลดลงหลังจากรับประทานอาหารพวกแป้งไปสักระยะหนึ่งนี่เองที่เป็นตัวส่งสัญญาณให้เราเติมน้ำตาลให้กับเลือด นั่นคือ ความหิว เราก็จะกลับเข้าสู่วัฏวักรของความหิวใหม่ ซึ่งต่างจากภาวะ คีโตซิส เอาไขมันส่วนเกินไปใช้ ซึ่งมีมากพอทำให้ไม่ต้องการอีก จึงไม่หิว
*ที่มา //www.lowcarb-thailand.com/ รวมกับความคิดเห็น ของกระผมเองที่ได้ศึกษาและเรียนมา | | |
Create Date : 13 มีนาคม 2551 | | |
Last Update : 14 มีนาคม 2551 0:10:48 น. |
Counter : 940 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
3. ภาวะ Ketosis กลไกสำรองสลายไขมัน
ภาวะ Ketosis คือภาวะที่ร่างกายขาดน้ำตาลที่จะนำไปใช้พลังงาน ดังกล่าวไว้ในหัวข้อ วัฐจักรความหิว ภาวะนี้ร่างกายไม่สามารถหาน้ำตาลไปใช้พลังงานได้ ระบบสำรองของร่างกายซึ่งหลับไหลในตัวท่านมากี่ปีกันเล่า จะตื่นขึ้นมา นั่นคือ ดึงไขมันมาใช้พลังงานแทน ตอนนี้ร่างกายของท่านจะรู้จักการนำไขมันไปใช้พลังงาน และเปลี่ยนเป็น ketone ใครเคยเรียนเคมี คีโตนคือน้ำมันหืน มีกลิ่นเหม็น เป็นกรด กลิ่นนี้ จะออกมาทางเหงื่อ ทางปาก ไม่น่าชม มีวิธีแก้ง่ายๆเพียงดื่มน้ำมากๆ ลดความเป็นกรดในเลือด ก็จะไม่มีปัญหาใดๆ และไขมันจากส่วนเกินที่สะสมมานานนัก ได้นำไปใช้ก็คราวนี้แล้ว....เป็นสาเหตุให้ พุงยุบ น้ำหนักลด และคุณจะไม่หิว เพราะ ร่างกายนำพลังงานจากไขมันที่สะสมไว้มากไปใช้ ซึ่งไม่ได้ต้องการเพิ่มเติมอีก
ทำอย่างไรจึงจะเกิดภาวะนี้ การเกิดภาวะนี้ถ้าต้องการลดน้ำหนัก ควรให้ภาวะนี้เกิดอย่างต่อเนื่อง เพราะถ้าคุณกินแป้งปริมาณมาก ร่างกายก็จะกลับไปเผาผลาญมันเป็นน้ำตาล และกลายเป็นไขมันอีก ภาวะนี้จะเกิดขึ้นได้หลังจากคุณงดแป้ง 48 ชั่วโมง แน่นอนถ้ากลับไปกินแป้งอีก ระบบจะเสีย ต้องใช้เวลาอีก 48 ชม. ในการกลับเข้าสู่ภาวะนี้อีก เมื่อคุณเกิดภาวะนี้แล้ว คุรจะสังเกตได้ทันที คือ ฉี่เหม็นหืน ปากเหม็น กลิ่นตัวเหม็น ซึ่งคุณต้องรีบดื่มน้ำมากๆ เป็นประจำ ปัญหานี้จะหมดไปอย่างง่ายดาย (สามารดูหลักปฏิบัติในหัวข้อต่อไป) | | |
Create Date : 13 มีนาคม 2551 | | |
Last Update : 14 มีนาคม 2551 0:12:26 น. |
Counter : 5164 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
4. ขั้นตอนลดน้ำหนักอย่างยั่งยืนด้วย Atkin"s Diet
วิธีการลดน้ำหนักแบบ Atkins มี 4 ระยะ ทำ ครบ 4 ระยะ จะไม่เกิดโยโย่เอฟเฟกแน่นอนครับ และผู้ที่น้ำหนักเกินมาก จะลดได้ทีละมากๆกว่าคนที่น้ำหนักเกินน้อยครับ
* ระยะที่ 1 ขั้นเหนี่ยวนำ (induction)
กินคาร์โบไฮเดรตต่ำ ซึ่งจะทำให้น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็วภายใน 2 สัปดาห์ ทำได้โดย o กินคาร์โบไฮเดรตไม่เกินวันละ 20 กรัม (ดูได้ในหัวข้ออาหารพร่องแป้งมีอะไรบ้าง) o ห้ามกิน น้ำตาล แป้ง ขนมปัง ก๋วยเตี๋ยว ผลไม้ ธัญพืช นม และคาเฟอีน และให้ระมัดระวังการบริโภคน้ำจิ้ม ซอส น้ำสลัด เนื่องจากมักมีแป้งและน้ำตาลปริมาณมากแอบผสมอยู่ o ดื่มน้ำมากๆ สิ่งเหล่านี้ สามารถกินได้อย่างไม่จำกัด จนกว่าจะอิ่ม โดยไม่สนใจแคลลอรี่ครับ ลองชั่งน้ำหนักดูก็ได้จะไม่ขึ้นครับ
*** ข้อควรระวัง***
1. ทำอย่างน้อย 14วัน น้ำหนักจะต้องลด ถ้าไม่ลด แสดงว่ายังกินแป้งอยู่ หรือสามารถทำได้นานจนกว่าน้ำหนักของท่านอยู่ในเกณฑ์ปกติ โดย สัมพันธ์กับส่วนสูง และต้องทำต่อเนื่องห้ามทำๆหยุดเป็นอันขาด ถ้าใจไม่แข็งจงล้มเลิกเสีย ไม่เช่นนั้น ระบบเผาผลาญท่านจะเสียสมดุล
2. ระยะนี้ห้ามออกกำลังกาย เนื่องจากการออกกำลังกาย จะใช้ไกลโคเจน ที่ได้จากแป้ง เมื่อร่างกายมีไม่เพียงพอ จะเกิดอาการมึน หรือเป็นลมได้
3. ในระยะ 3-5 วันแรกจะเกิดอาการ ตึงๆหัว หรือแสบท้อง แก้ได้โดยกินระหว่างมื้อได้ โดยของว่าง ยังคงเป็นสูตรไม่มีคาร์โบไฮเดรต ที่แนะนำคือ หมูทอดสัก 2 ชิ้น ตามด้วยน้ำ
4. ดื่มน้ำมากๆ ลดความเป็นกรดในเลือดจาก ketone และจะทำให้ไม่เกิดกลิ่นหืนออกมา
* ระยะที่ 2 ขั้นลดน้ำหนักต่อเนื่อง (on-going weight loss)
เพื่อหาค่า CCLL ของแต่ละบุคคล ซึ่งจะทำให้น้ำหนักตัวลดลงอีกแต่จะช้ากว่าระยะแรก ทำได้โดย ค่อยๆเพิ่มการบริโภคคาร์โบไฮเดรต สัปดาห์ละ 5 กรัม ต่อวัน ( อณุญาตให้เริ่มกินผลไม้ หรือ ธัญพืชได้ ) เมื่อน้ำหนักตัวเริ่มคงที่ แสดงว่าได้ค่า CCLL ของตนเองแล้ว ให้เข้าสู่ระยะที่ 3 ต่อไป
* ระยะที่ 3 ขั้นก่อนรักษาระดับ (pre maintenance)
เพื่อหาค่า CCLM ของแต่ละบุคคล ทำได้โดย ค่อยๆเพิ่มการบริโภคคาร์โบไฮเดรต สัปดาห์ละ 5 - 10 กรัม ต่อวัน เมื่อน้ำหนักตัวเริ่มเพิ่มขึ้น แสดงว่าได้ค่า CCLM ของตนเองแล้ว ให้เข้าสู่ระยะที่ 4 ต่อไป
* ระยะที่ 4 รักษาระดับ (maintenance)
กินคาร์โบไฮเดรต ไม่เกินค่า CCLM ไปตลอดชีวิต เพื่อรักษาน้ำหนักตัวให้คงที่ตลอดไป | | |
Create Date : 13 มีนาคม 2551 | | |
Last Update : 14 มีนาคม 2551 8:46:32 น. |
Counter : 1355 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
Lonelyboy and Empty House
|
|
|
|
|
|