Happy Morning : ยิ้มกว้างรับยามเช้า
space
space
space
space

China ณ. วันที่หนาวยิ่งกว่าจุดเยือกแข็ง #4 : วังฤดูร้อน เฉียนเหมิน
#ขออภัย รูปไม่ชัด


10 Jan 2016 , 06:20 AM,-7 ?c


วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะอยู่ปักกิ่ง แผนของวันนี้คือเราจะไปตลาดเช้าหน่อยกลับมาคืนห้อง เอาของไปฝากที่ล๊อบบี้ ไปเก็บตกแถวๆ ในเมือง เช่น พระราชวังฤดูร้อน อี้เหอหยวนของซูสีไทเฮา ถ้าเวลาเหลือก็ไปสวนเชียงซาน เฉียนเหมินแล้วกลับมาเอาของ หลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อย เราก็เดินไปตลาดอย่างมุ่งมั่น เป้าหมายหลักของวันนี้คือสตรอเบอรี่ยักษ์ แต่ปรากฏว่าวันนี้ราคาขึ้นมาอีก 2 หยวน เป็น 15 หยวน อุตส่าห์ต่อแล้วอาเฮียก็ยังไม่ยอมลด พอเสร็จภารกิจเราก็เดินกลับบ้าน (บอกแล้วภารกิจหลักคือมาซื้อสตรอเบอรีโดยเฉพาะ)

พอกลับมาถึง แล้วเราก็ขนกระเป๋ามาฝากที่ล๊อบบี้และทำการคืนห้อง เอาละ ได้เวลาไปอี้เหอหยวนแล้ว จากรีวิว เราต้องไปลงที่สถานีอี้เหอหยวน YiHeYuan ที่อยู่สาย 4 มุมๆ เกือบนอกเมือง แต่พอเอาเข้าจริงแล้ว พอไปดูแผนที่ที่อยู่ในสถานีปรากฏว่าไม่มีสถานีนี้ แต่กลับมีสถานีชื่อ ซีเยวี้ยน XiYuan มาแทน อ้าว เอาแล้วไง เราก็เลยตกลงกันว่าเดี๋ยวนั่งไปลงสถานีนี้ก่อนแล้วกันแล้วถามเจ้าหน้าที่เอาว่าต้องไปลงสถานีไหนกันแน่ และด้วยความมั่วของเราที่ขึ้นรถผิดฝั่งทำให้นั่งอ้อมโลก ในที่สุดเราก็มาถึงสถานีซีเยวี้ยนจนได้ ลงไปถามเจ้าหน้าที่เค้าก็บอกว่าลงที่สถานีนีก็ได้แต่ถ้าลงสถานีหน้าจะเดินใกล้กว่า อ้าวตอบงี้แล้วงั้นใครจะลงที่นี่ฟระ เราก็เลยขึ้นเที่ยวต่อไปไปลงสถานี เป่ยกงเหมิน BeiGongMen อันที่จริงที่สถานีนี้มีวงเล็บให้ด้วยนะว่าถ้าจะไปอี้เหอหยวนให้ลงที่นี่

พอขึ้นมาจากสถานี มองไปฝั่งตรงข้ามเห็นป้ายห้องสมุดอี้เหอหยวน เราก็เลยเดินข้ามไปด้วยความมั่นใจ อี้เหอหยวนต้องอยู่ทางนั้นแน่ๆ มีเก๋งจีนเยอะแยะเลย เดินๆ ไป เจอเด็กวัยรุ่นเลยถามเพื่อความแน่ใจว่าไอ้เก๋งจีนที่เห็นน่ะ อี้เหอหยวนใช่ม๊ายย ก็ได้คำตอบว่า ไม่รู้เหมือนกันจิ พวกหนูก็เพิ่งเคยมาเหมือนกัน แป่ว ถามผิดคน ยังดี มีคนแอบได้ยินแล้วเลยบอกว่า ไม่ใช่ แต่เป็นไอ้ข้างหลังที่เราเดินผ่านมาต่างหาก ให้ข้ามไปฝั่งตรงข้ามแล้วเดินตามทางไปเรื่อยๆ (ก็ตามปกติอ่ะนะ มั่วทางอีกแล้ว) เราก็เดินตามทางไปเรื่อยๆ ก็ตามไอ้น้องกลุ่มที่เราถามนั่นหละไป เดินไปตามทางก็เห็นรถเมล์เข้าไปเรื่อยๆ จากรีวิวบอกว่ารถนี่ไปเขาเซียงซานก็วางแผนกันแล้วหละว่าพออกมาก็จะขึ้นรถเมล์นี่หละไปเขาเซียงซาน ว่าแต่เมื่อไหร่จะถึงเนี่ย เดินมาจนถึงอู่รถเมล์แล้วยังไม่ถึงเลย ก็ต้องจำใจเดินต่อไป กลัวจะเหมือนตอนไปเทียนถานที่เดินไกลมากนี่สิ แล้วก็เห็นประตูอี้เหอหยวน ทำให้เราปรี่เข้าไปหา แต่พี่ยามสุดหล่อกลับบอกว่า ประตูนี่ไม่ให้เข้านะจ๊ะ ให้เดินไปเข้าประตูหน้า เอาวะอย่างน้อยก็ใกล้แล้ว ไปต่อเลยดีกว่า ในที่สุด ก็มาถึงอี้เหอหยวน รีบไปซื้อตั๋วกันเลยดีกว่า คราวนี้ไม่งกแบบไปเทียนถานแล้วหละ กลัวต้องซื้อตั๋วใหม่ แพงขึ้นอีก 555 คนพร้อม ตั๋วพร้อม ลุย!




เจอประตูนี้นึกว่าจะเหมือนมาดูวัดลามะ




มีวัดอยู่ด้านหน้า



คราวนี้ เข้าถูกทาง


นี่แค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น มันจะกว้างไปไหนเนี่ย

เมื่อก้าวเข้าไปปั๊บ สตั๊นท์ไปห้าวินาที เข้าไปเจอสระ จริงๆ มันน่าจะเป็นทะเลสาบมากกว่า สระนี้เป็นสระขุด ชื่อว่าสระคุณหมิง ซูสีไทเฮาสั่งสร้างไว้พักร้อน (ไม่รู้ว่าใช้แรงงานและเวลาเท่าไหร่เนอะ กว้างมากกกกก ) หันซ้าย เห็นศาลาชมวิว และลิบๆ ที่ต้องข้ามสะพาน ยาวมาก (มีรูๆ ให้น้ำผ่านลองนับดูได้ 17 ช่อง เลยเรียกว่าสะพาน 17 ช่องกันเล่นๆ ปรากฏว่าไปดูป้ายมันกลายเป็นชื่อสะพานเฉยเลย สงสัยคนตั้งก็คิดไม่ออกว่าจะตั้งชื่อให้ว่าอะไร) ข้ามไปบนเกาะเป็นตำหนักอะไรซักอย่าง หันขวา ก็ยาวเหมือนกัน ยาวกว่าอีก มีทางเดินไม่เห็นว่าสุดทางมีอะไรเพราะไกลลิบๆ แต่เห็นคนเดินไปเล่นลานน้ำแข็งทางนั้น และเห็นศาลา น่าจะเป็นวัดอยู่บนเขาสูงมาก ว่ากันว่าผลาญงบมหาศาล



ต้องแบ่งดูเป็นส่วน ๆ


นี่อยู่ตรงกลาง


นี่เห็นอยู่ลิบๆ (ซ้าย)




นี่ก็ลิบๆ (ขวา)




ซูมดูหน่อย



เราก็เลยตกลงกันว่าไปทางขวาก่อน พอเริ่มเดินไป จะมีคนเอาพู่กันอันใหญ่ๆ ชุบน้ำแล้วเขียนตัวจีนบนพื้น (เดี๋ยวนี้มีนวัตกรรมใหม่ใช้ขวดน้ำอัดลมสองลิตร ต่อกับสายน้ำเกลือเป็นระบบปล่อยน้ำ หัวเป็นฟองน้ำตัดแบบหัวพู่กันแทน คิดว่าคงจะเขียนโชว์เพื่อขายเครื่องนะ) ที่แรกที่เข้าเป็นตำหนักที่กั้นไว้ด้วยกะจก มีคำอธิบายว่าเป็นกำแพงโบราณ แต่พอไปดูก็ไม่เห็นอะไร มีต้นไม้ที่พันเชือกไว้ เพื่อกันหนาว ช่วงก่อนหน้านี้หิมะเพิ่งตกไป จึงมีน้ำแข็งเป็นแผ่นใหญ่เกาะอยู่บนพื้น เวลาเดินก็ต้องระวังลื่นกันหน่อย



เมื่อเดินออกมาจากตำหนัก ก็จะมีทางเดิน ระเบียงยาวมาก บนระเบียงก็มีภาพวาดต่างๆ จากหลายศิลปิน ทั้งด้านบน ด้านข้าง (เยอะถึงขั้นที่ว่ามีหนังสือรวมภาพวาดบนระเบียงรวมเล่มขายด้วย แต่แพงไม่ได้ซื้อมา) ระเบียงนี้ได้รับการบันทึกไว้ในกินเนสท์บุ๊กด้วยว่าเป็นระเบียงภาพที่ยาวที่สุดในโลก




ของระดับโลกทีเดียวเชียว


นี่อยู่ด้านบนระเบียง สวยและละเอียดมาก


มีมันอยู่ทุกที่ ทั้งข้างบน ข้างล่างและ ข้างๆ





ข้างนอกก็ยังมี




ระเบียงทอดตัวไปตามริมทะเลสาบ


ข้างทางเป็นสะพานข้ามไปตำหนักต่าง ๆ


เดินไปเรื่อยๆ มองเห็นวัดข้างบนก็เลยมองหาทางขึ้น และก็เจอบันไดหิน เอาละจะได้ขึ้นไปดูไอ้ที่อยู่สูงลิบๆ แล้ว แต่เพื่อนเราไม่ขึ้นเพราะจะไปหาเรือหินอ่อนที่อ่านมาจากรีวิว(อีกละ) ก็เลยตกลงกันว่าแยกกัน เราเดินขึ้นเขา เพื่อนเราดินไปตามทางต่อ เพราะเป้าหมายคือเรือที่ยังไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน แล้วค่อยกลับมาเจอกันที่หน้าร้านอาหาร (มีคนเข้าคิวลงไปเล่นเลื่อนในสระกันเยอะแยะเลย) ในอีก 1 ชั่วโมงข้างหน้า ตกลงกันได้ก็แยกย้าย เราเริ่มเดินขึ้นเขา มีบันไดหินให้เดินขึ้น ไม่ได้เดินลำบากมากนัก เดินได้ซักพักก็มาถึงยังไม่ทันเหนื่อยก็มาถึงประตูแล้ว แต่... มีกุญแจคล้องอยู่ เข้าไม่ได้ เลยเดินต่อไปข้างหน้าตามทางแล้วเจอเจ้าหน้าที่ เค้าบอกให้ไปเข้าอีกประตูนึง ก็เลยเดินลง ขาลงสวนกันอาเจ๊คนนึงเค้าถามว่าข้างบนมีอะไร สวยมั๊ย ก็เลยบอกว่าไม่เห็นเพราะมันล็อค ต้องลงแล้วไปขึ้นที่อีกประตูนึง เค้าเลยบอกว่างั้นไม่ไปละ ยอมแพ้ ฮุฮู (ที่สื่อสารมาจนถึงตอนนี้ เมื่อยมือมากมาย Smiley)แต่เรายังไม่ละความพยายาม ลงแล้วไปหาทางขึ้นต่อไป พอเดินไปถึงทางขึ้น ก็เห็นคนคุ้นๆ เพื่อนเรานั่นเอง เธอยังไปไม่ถึงไหน เดินเข้ามาถ่ายรูปทางขึ้นเลยถามว่าจะไปด้วยกันมั๊ย แต่เธอไม่ไป ยังเอาตามกำหนดเดิม อีกชั่วโมงเจอกัน พวกเราก็เลยเดินไปถามเจ้าหน้าที่ว่าเรือหยกอยู่ตรงไหน แต่เจ้าหน้าที่ไม่รู้จักว่าเรือหยกอะไร (มารู้ทีหลังว่าถามผิดไม่ใช่เรือหยก มันเป็นเรือหินอ่อนต่างหาก เจ้าหน้าที่เค้าเลยไม่รู้จัก มั่วได้อีกเนอะ) เราเลยเดินเข้าไปทางขึ้น คราวนี้ไม่ผิดแล้ว


จะไปขึ้นที่นี่



บันไดนี้ห้ามขึ้นนะจ๊ะ เป็นตัวหลอก




จุดนัดพบ ทางขึ้นอยู่ตรงข้ามซุ้มนี่แหละ

ทางขึ้นนี้มีเป็นชั้น 3 ชั้นเพื่อเป็นจุดพัก ข้างบนสุดเป็นวัด มีกวนอิมพันกร และทางเดินไปตำหนักอื่นๆ ซ้ายขวาได้ ทางขึ้นระหว่างชั้นสองและชั้นบนสุดเป็นบันได ชันๆ (ห้ามมองไปข้างล่างเพราะมันจะเสียวได้ ฮา) วิวข้างบนเป็นวิวมุมสูง เห็นได้ไกลไปทั่ว แต่ก็ยังไม่เห็นว่าเรือหินอ่อนอยู่ตรงไหน ตรงกลางสระมีคนเล่นสเก็ตน้ำแข็งและเลื่อนอยู่ทั่วไป พอเดินดูซักพักก็ลงเพราะกลัวเพื่อนมารอ



เราจะขึ้นนี่แหละ



ข้างๆ มีทางลาด จะขึ้นทางนี้ก็ได้แต่ไปได้แค่ชั้น 1 ไว้ตอนลงจะลงทางนี้ละกัน


อะไรไม่รู้ อยู่ตรงช่วงพักระหว่างแต่ละชั้น


หัวจั่วตำหนักจัดโชว์ไว้ที่ชั้น 2


ถึงแล้ว ชั้นบนสุด


ตำหนักด้านหลัง ไม่ให้ขึ้นแล้ว



มองไปได้ลิบๆ



ตำหนักข้างๆ ที่ไม่มีทางให้เดินไป



เดินมาไม่ได้ครึ่งทางเลย




ชันไม่ใช่เล่นแฮะ

เมื่อลงมาถึงข้างล่าง พอดีเพื่อนมาถึง ก็เลยเดินไปหาอะไรกินกันที่ร้านอาหารที่นัดกันไว้ เมนูอาหารภาษาจีนกับภาษาอังกฤษไม่ตรงกันดัวย ภาษาจีนมีชื่อเมนูมากกว่าภาษาอังกฤษ 1 ชื่อ เลยได้กับข้าวมาไม่ตรงกับที่อยากได้ เพื่อนบอกว่าเจอเรือแล้วอยู่สุดทางนั่นหละ ไปถ่ายรูปเรียบร้อย ดูภาพที่เหลือกันเลย




มีตำหนักต่างๆ ระหว่างทาง



เรือหินอ่อน



ขนาดท่อระบายน้ำยังสวย


คนเดินนอกระเบียง

กำแพงตำหนัก




มีทางออกจะระเบียงเป็นระยะ


เรือมังกร ไว้ให้เช่านั่งชมวิวในสระตอนไม่เป็นน้ำแข็ง


กินอิ่มแล้วเราตกลงกันว่าจะเดินกลับไปอีกทางดีกว่าเพราะยังไม่ได้ไปอีกทางเลย น่าจะเดินไกลเหมือนกัน เพราะเห็นสะพานยาวมาก แต่พอเดินมาถึงก็สี่โมงเย็นแล้ว เราก็เลยได้แต่ถ่ายรูปไว้แล้วออกมาเพราะกลัวจะไปเฉียนเหมินไม่ทัน เราต้องกลับไปถึงที่พักก่อนทุ่ม ฮึ่ม!คราวหน้าเจอกันแน่ ตำหนักบนเกาะ และสะพาน 17 ช่อง จากตอนแรกที่พวกเราไม่ค่อยสนใจและเกือบตัดที่นี่ออกถ้าไปที่อื่นๆ ไม่ทัน แต่พอได้มาแล้วพวกเราก็ลงความเห็นกันว่าที่นี่น่าสนใจที่สุด


เดินทะลุป้อมนี้ จะเป็นอีกฝั่งที่ยังไม่ได้ไป


ฝากไว้ก่อนเถอะ เจ้าสะพานลิบๆ


ขากลับเราใช้เวลาไม่มาเหมือนขามาเพราะไม่หลงแล้ว จุดหมายต่อไปของพวกเราคือเฉียนเหมิน จะไปดูถนนสายวัฒนธรรมที่มีบ้านโบราณและร้านขายของที่ระลึกแบบเก่า เราก็เลยต้องนั่งไปเปลี่ยนตี้เถียะเป็นสาย 1 ลงเฉียนเหมิน QienMen พอมาถึงงงกันซักพัก เดินตามๆ เค้าไปก็เจอประตูเมืองใหญ่ๆ คล้ายหอที่กำแพงเมืองจีนเลย แต่นี่หละเฉียนเหมิน อารมณ์คล้ายประตูเมืองเชียงใหม่แต่มีหลังคา มีประตูเปิดปิดใหญ่มาก เราเดินลอดผ่านประตูเมืองเข้าไป ก็มาถึง ถนนสายวัฒนธรรมเฉียนเหมิน มีรถรางให้นักท่องเที่ยวนั่งจากหัวถนนไปจนสุดสาย มีร้านอาหารและร้านช๊อปปิ้งมากมาย คล้ายๆ หวังฝูจิ่งผสม ฌองเซลิเซ่สไตล์เอเชีย สวยเลยทีเดียว สวยขนาดที่ว่ามาครั้งหน้าก็อยากจะมาอีกเพราะมีสร้างใหม่เรื่อยๆ ขายทั้งขนม อาหารสไตล์จีน จนถึง เคเอฟซี และแน่นอนที่นี่ต้องมีถังหูลู่ขายเราก็เลยสอยมาชิม เฉียนเหมินเป็นถนนที่เมื่อก่อนอาจจะเป็นถนนสายวัฒนธรรมแต่ปัจจุบันสร้างเมืองขึ้นใหม่เรื่อยๆ ให้เป็นสไตล์ท่องยุทธภพ แต่มองออกว่าเป็นของใหม่ ราคาสินค้าที่นี่ก็สูงเอาการตามราคาแหล่งท่องเที่ยวนั่นแหละ


เฉียนเหมิน









มีรถรางไว้นั่งชมวิวไปสุดถนน

6 โมงเย็นแล้วได้เวลากลับที่พักเพื่อไปเอาของเตรียมไปสถานีรถไฟเราเลยเดินกลับไปที่ประตูเมืองอีกครั้งเพื่อผ่านไปขึ้นตี้เถียะแต่ประตูปิด ทหารไม่ให้เข้าแล้ว เราก็เลยเดินอ้อมมาอีกนิดเพื่อเข้าสถานี แต่ดันมีคนจีนนี่แหละแอบเดินเข้าไปตอนพี่ทหารเผลอ ไม่รู้มันจะเข้าไปทำไม เดินอ้อมนิดเดียว เรามาถึงที่พักเวลา 18.15 น. เย็นแล้วและหิวแล้วก็เลยไปกินร้านฝั่งตรงข้ามที่พักเพราะวางแผนไว้ตั้งแต่วันแรก ว่าจะกินโอเด้งร้านนี้ เห็นจากข้างนอกคนเยอะทีเดียว แต่พอเข้าไปกลับกลายเป็นร้านขายของปิ้งๆ ย่างเป็นไม้ๆ และทางเด็กเสริฟเอามาใส่ในกระป๋องให้ตามโต๊ะ







กินกันเสร็จก็ไปเอากระเป๋าที่ห้องพัก แล้วแบกกระเป๋าไปสถานีรถไฟกัน แต่ก่อนหน้านั้นต้องไปคืนบัตรอี้ข่าท่งกันก่อน แต่หลังจากที่พยายามหาที่คืนอยู่หลายสถานี ก็เจอที่คืนแต่หมดเวลาทำการไปแล้ว ป้ายบอก open 08.00 – 19.00 ก็ฮากันไปอีกรอบ สรุปเก็บบัตรไว้เป็นที่ระลึกกัน หลังจากนั้นเราก็ได้นั่งรถไฟฟ้าไปยังสถานี Beijing Railway Station และถึงสถานีรถไฟตอนสองทุ่ม
หลังจากที่เรามีประสบการณ์ในการขึ้นรถไฟไปซานไห่กวนกันแล้ววันนี้เลยไม่ตื่นเต้นและรู้ลู่ทางเป็นอย่างดี แต่ถึงแม้ว่าเราจะเผื่อเวลาไว้เยอะแต่พอเดินไปถึงชานชลาเจ้าหน้าที่ก็เรียกไปเข้าแถวรอเข้าชานชาลาด้านในเลย ว่าก็ว่าเหอะ ถ้ามาครั้งแรกมีตกรถไฟแน่ๆ ไม่ว่าจะชานชาลา 1 หรือ 2







เข้าคิวรอพักใหญ่ๆ ก็ได้เดินเข้าไปขึ้นรถไฟจริงๆ ละ คราวนี้เราได้ที่นั่งเป็นโบกี้ 1 เลขที่ห้อง 38 เมื่อเราเดินเข้าไปแล้วปรากฏว่าโบกี้ของเราอยู่สุดปลายและถึงเวลาจะออกแล้ว ตายละ อยู่ไกลโพ้นเราเลยต้องใช้กำลังภายในวิ่งกันอีกรอบ เมื่อถึงโบกี้ ก็ถึงคราวเบียดผู้คนไปด้านในอีก ของเราอยู่ห้องหัวสุดของโบกี้โชคดีอยู่ใกล้ๆ ห้องน้ำพอดีเลยแต่ถ้ารถยังไม่ออกห้องน้ำก็จะไม่เปิดให้ใช้ ห้องเป็นห้อง 4 เตียงเรียงชั้นบนล่าง บันไดที่เหยียบขึ้นไปด้านบนถูกพับเก็บไว้ข้างประตูตอนแรกแอบหาไม่เจอ พอเดินไปแอบๆดูห้องอื่นเลยรู้ว่าอยู่ตรงไหน

จริงๆ จะมีน้ำร้อนให้เติมฟรีที่ท้ายโบกี้แต่ตอนเราไปกดน้ำก็หมดซะแล้ว มีระบบรักษาความปลอดภัยคือจะแยกห้องชายหญิง แม้จะอยู่ในโบกี้เดียวกัน ตอนแรกก็ยังงงๆกันว่าถ้ามาเดี่ยวแล้วจะทำไงถ้าอยู่รวมในห้องกะผู้ชายล้วน (ปู้จายพวกนั้นต้องเสร็จชั้นทั้งหมดแน่ 555) แต่ถ้ามาเป็นครอบครัวก็ให้เค้าอยู่เป็นครอบครัวไป (เดี๋ยวบาป ทำครอบครัวแตกแยก) เมื่อรถจะออกจะมีนายสถานีรถไฟมาแลกตั๋วกับบัตรทองของเค้า เมื่อใกล้ถึงฮาบิ้นจะมาแลกตั๋วรถไฟของเราคืนกะบัตรทองของเค้า โธ่ นึกว่าจะให้เป็นของขวัญวันตรุษจีน ไม่ทันได้ถ่ายรูปบัตรไว้เลย วิวระหว่างทางมืดมากมองไม่เห็น แต่พอเช้าใกล้จะถึงเห็นระหว่างทางมีแต่หิมะปกคลุม อย่างที่อยากจะเห็น แต่ยังไม่หนาวเพราะในห้องมีฮีทเตอร์ มองออกไปนอกหน้าต่าง มีดาวเยอะและเห็นชัดมาก พยายามมองหาดาวเต่า ดาวไถแบบบ้านเราแต่หาไม่เจอ พรุ่งนี้เจอกันนะฮาร์บิ้น..





 

Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2560   
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2560 6:42:53 น.   
Counter : 845 Pageviews.  
space
space
China ณ. วันที่หนาวยิ่งกว่าจุดเยือกแข็ง #3 : กู้กง สวนจิ่งซาน เทียนถาน ตลาดรัสเซีย

#ขออภัย รูปไม่ชัด


9 Jan 2016 , 06:20 AM ,-7 °c


พอหกโมงเราก็ตื่น เข้าห้องน้ำ และต้มมาม่ารองท้องกินไปก่อนเผื่อฉุกเฉินหาอะไรกินไม่ได้ เมื่อกินเสร็จ เจ็ดโมง พร้อมออกไปตะลุยตลาดแล้วหล่ะ

เจ็ดโมงเช้ายังมืดอยู่เลย จุดหมายวันนี้ไปตลาดหัวมุมถนน เราออกมาหน้าปากซอย เจอเฮียคนเดิมที่เดินตามเราเมื่อวานด้วย วันนี้ไม่วิ่งแล้ว 55 ถึงห้าปากซอยก็เจอร้านอาหารจี๊น จีน ที่คนจีนเค้ากินกัน เห็นหน้าร้านมีคนเข้าไปนั่งกิน เราก็เลยลองซะหน่อย (ได้ข่าวว่ากินมาม่ามาแล้วนะแก..) ของที่มีส่วนใหญ่เป็นแป้งทั้งนั้น จากที่อยู่มาสองสามวัน สังเกตได้อย่างนึงว่า คนที่นี่ชอบกินแป้ง เช่น ขนมปัง หมานโถว เบเกอรี่เป็นอย่างมาก ซื้อกันทีเป็นถุงใหญ่ เราก็เลยลองเป็นคนที่นี่ซะหน่อย หลังจากสั่งมั่วๆ ชี้ๆเอา ก็ได้มาละ จานนึงเหมือนโรตีผสมเครปผสมไข่เจียว สรุปคล้ายๆ ไข่เจียวแหละแต่รสเป็นแป้งๆ ทอดอมน้ำมัน มีซอสให้ตักเอง เป็นเต้าเจี้ยวกับจิ๊กโฉ่ และมีกระเทียมบดให้ตักด้วย อีกจานเป็นเหมือนเผือกทอด อีกด้านเห็นคนจีนเค้าสั่งกินกับข้าวต้มไม่งั้นก็โจ๊กที่เป็นเหมือนแป้งกวนเหลวๆ แต่เรากินแค่นี้ก็พอแล้ว เดี๋ยวอิ่มเกิน





ไม่ค่อยถูกปาก แต่ก็หมด

หลังจากกินเสร็จก็เดินต่อ จากที่คิดว่าที่ปักกิ่งนี้ไม่ค่อยมีร้านสะดวกซื้อให้เดินเลือกของ เราก็มากระจ่างว่าเราดันเดินไปไม่ถูกแหล่วเองนี่ เพราะถนนนี้ร้านสะดวกซื้อเยอะจริงๆ แล้วก็เจอ 7-11 ด้วย แต่ไม่แพร่หลายเท่าไร ส่วนใหญ่เป็นร้านสะดวกซื้อสัญชาติจีนยี่ห้อ Q ไคว่เค่อ และอีกยี่ห้อขึ้นต้นด้วย Wan อะไรเนี่ยหละเห็นเยอะเลย





พอเดินมาจนสุดถนนจะเจอตี้เถียะอีกสถานีนึง คือ สถานีตงซื่อ DongSi ก็เห็น คนเดินเลี้ยวขวาเข้าไปในซอยถนนฝั่งตรงข้ามกันเยอะเลยเดินตามเข้าไป เป็นซอยเข้าวัดหลงฝู (Long Fu Si st.) จะเห็นซุ้มประตูเข้าวัด พอเดินเข้าไปก็ถึงแล้ว ตลาดที่เราใฝ่หา..


เห็นซุ้มประตูนี้ เลี้ยวเข้าไปเลย

ตลาดที่นื่เป็นตลาดที่คึกคักทีเดียว มีคนเดินจับจ่ายพลุกพล่านพอสมควร ทางเข้าตลาดเริ่มด้วยร้านขายถุงเท้า ถุงมือและอุปกรณ์ให้ความอบอุ่นที่ราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อ ถัดมาเป็นเสื้อผ้าและบุหรี่ ถั่วเมล็ดแห้งที่มีราคาแสดงไว้อย่างชัดเจน และในทางแยกก็จะมีสินค้ามือสองมาวางขายเหมือนคลองถมเลย พอผ่านแยกไปก็จะเริ่มพบกับร้านขายของกินเช่นร้านขายขนมปัง ซาลาเปา หมั่นโถวที่ทำเป็นแบบต่างๆ ร้านขายอาหารทะเล ร้านขายเนื้อที่ไม่ต้องแช่แข็งเพราะที่เอามาวางขายเป็นน้ำแข็งอยู่แล้ว เมื่อผ่านไปอีกแยกก็เป็นโซนผักและผลไม้ ที่นี่เราได้เห็นสตรอเบอรีลูกโตมากๆ ยาวประมาณ 3 นิ้ว ขายในราคาแค่จิ้นละ 13 หยวน แม่เจ้า!ถูกแสนถูกอย่างนี้ก็เสร็จเราและเราก็วางแผนไว้ว่าพรุ่งนี้จะมาสอยอีก




















พอหมดโซนนี้แล้วก็เป็นอันสุดตลาด พอดีแปดโมง แล้วก็ได้เวลาไปเที่ยวต่อแล้ว จุดหมายต่อไปกู้กง พระราชวังต้องห้าม แล้วก็มารู้ทีหลังว่าเดินไปอีกนิดก็เป็นหวังฝูจิ่งแล้ว แต่ก็คงจะไม่มีอะไรเพราะเป็นตอนเช้า

เราไปกู้กงโดยขึ้นตี้เถียะสถานีตงซื่อ แล้วไปเปลี่ยนสายป็นสาย 1 เพื่อไปลงที่สถานี เทียนอันเหมินตะวันออก TianAnMen East ตามที่อ่านมาในรีวิว(นี่เป็นครั้งแรกที่ออกมาแล้วตรงตามรีวิวที่เค้าบอกเป๊ะ) จริงๆ เราสามารถออกได้ทั้งที่สถานีเทียนอันเหมินตะวันออกและเทียนอันเหมินตะวันตก แล้วแต่จะเลย พอออกมาจากสถานี งงกันซักแป๊บก็เดินไปทางที่คนเค้าไปๆ กัน

ข้างหน้าเห็นจัตุรัสเทียนอันเหมินแล้ว มีอนุสาวรีย์และอาคารที่ให้เข้าไปเคารพท่านประธานด้วย แต่เราไม่ไป เชอะ เพราะที่นั่นไม่ใช่ประเด็นของวันนี้ เราเดินตามเค้าไปเรื่อยๆ ก็เจอแถวยาวแสนยาวเพื่อสแกนคนและกระเป๋า ก่อนเข้ากู้กง หลุดจากแถวตรงนั้นมาได้ สิ่งแรกที่เราได้เจอและเป็นสิ่งที่ใฝ่หาเลยก็คือ ห้องน้ำ ห้องน้ำที่นี่เข้าไปเป็นห้องน้ำแบบนั่งยองๆ แต่โถเป็นพื้นระดับเดียวกับพื้นเลย เสี่ยงตกมากถ้าดูไม่ดีและเดินไม่มอง ไม่มีไฟและที่สำคัญ ไม่มีกลอนประตูอ่ะ ก่อนจะเข้าต้องเคาะดูก่อนว่ามีใครอยู่รึเปล่า เข้าแล้วก็ตุ้มๆ ต่อมๆ จะมีใครเปิดมั๊ย ห้องน้ำที่นี่ตื่นเต้นเร้าใจดีวุ้ย คนจีนมีกำลังภายในแกร่งกล้าเพราะได้ฝึกกำลังภายในท่านั่งยอง และอีกมือจับประตูได้ในชีวิตประจำวัน





เมื่อเสร็จธุระกันแล้วก็ไปถ่ายรูปกะสิงห์หน้าประตูซักนิด หนีห่าวท่านประธานหน้าประตูหน่อย แล้วก็เดินไปซื้อตั๋วกันเลย



ได้ตั๋วมาแล้ว สำหรับ 2 คน ถ้าใครเก็บตั๋วให้แยกกันซื้อนะจ๊ะ




ขอซักรูปเหอะ..


เมื่อได้ตั๋วแล้วเราก็เดินเข้าไปข้างใน ก่อนจะผ่านเข้าไปที่ตำหนัก จะต้องข้ามสะพานข้ามคลองประดิษฐ์ที่ตอนนี้ เป็นน้ำแข็งไปหมดแล้ว เมื่อข้ามสะพานมาแล้วก็เจอบันไดทางขึ้นที่มีที่กั้นไม่ให้ขึ้น (อ้าว) เพราะทางนี้สำหรับฮ่องเต้เท่านั้น เราก็เลยไปขึ้นบันไดข้างๆ เพื่อเที่ยวชมกู้กง ที่เป็นตำหนักต่างๆ มีพระที่นั่งที่เป็นแท่นตั้งอยู่ พื้นที่กว้างมากเลยทีเดียว




























กี่โมงแล้ว ดูเลย






ช้างนี่มาจากเมืองไทยนะจ๊ะ

เดินมาเรื่อยๆ จะทะลุสวนด้านหลัง ที่ชื่อ อวี้ฮัวหยวน สวนดอกไม้ในวัง ที่มีต้นไม้กลายเป็นหิน และต้นไม้ใหญ่ต่างๆ เหมือนสวนจีนในหนังจีน เมื่อทะลุสวนนี้ไปเราก็จะมาออกประตูด้านทิศตะวันตกของกู้กง ด้านหน้าสวนจิงซาน เห็นศาลาอยู่บนเขา ก็ไม่รอช้า จ่ายตังค่าเข้าแล้วเราไปเลย จุดหมายคือศาลาบนเขาเพื่อไปดูวิวรอบๆ และจะแอบมองลงไปในกู้กงว่าเห็นอะไรมั่งตามประสาพวกใฝ่สูง 55







พอขึ้นไปถึงก็จะเจอศาลา นี้และศาลาที่มีพระพุทธรูปอยู่ หันหน้าไปทางกู้กง แล้วเราก็จะสามารถเห็น กู้กงจากมุมสูง และ เจดีย์ขาวที่สวนเป่ยไห่ด้วย









เห็นเจดีย์ขาวอยู่ลิบๆ



เราขึ้นมาเพื่อสิ่งนี้..


ออกมาด้านนอกสวนจิงซานเราจะสวนเป่ยไห่เป็นจุดหมายต่อไปแต่ไม่รู้ว่าไปทางไหนก็เดินไปมั่วๆ ก่อนละกัน ตอนนี้บ่ายแล้ว เริ่มหิวก็เลยหาอะไรกินแถวหูถง บริเวณนั้นมีร้านอาหารเยอะ ขายของที่ระลึกก็เยอะ พอกินเสร็จแล้ว ก็ตกลงกันว่าจะไม่ไปเป่ยไห่แล้ว เดี๋ยวไม่ทันเวลาปิดเทียนถาน พอเดินออกมากำลังหาทางไปตี้เถียะก็เจอเลยคร้าบ ทางไปเป่ยไห่ (โอ้ย จะมาเจออะไรตอนนี้ฟระ ไม่ไปแล้ว) แต่ก็ไม่ได้ไป ไปหาตี้เถียะไปเทียนถานดีกว่า เราเดินตามทางมาซักพักจนถึงหัวมุมถนนใหญ่ ก็ถามคนที่ยืนคุยๆ แถวนั้นว่าแถวๆ นี้มีตี้เถียะมั๊ย เค้าบอกว่าไม่มี ตี้เถียะที่ใกล้ที่สุดเดินไปอีกไกล ให้นั่งรถเมล์ฝั่งตรงข้ามไปต่อ อั๊ยย่ะเอาแล้วไง เราเลยขอบคุณเค้าแล้วเดินจากมา เดินมาได้ซักพัก พี่เค้าขี่รถตามมาแล้วบอกว่าจะไปส่ง โอ้วว ซึ้งจนน้ำตาจิไหล แต่เกรงใจ บอกเค้าไปว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวเดินเที่ยวก่อน (จริงๆ บอกไม่ถูกว่าจะไปไหน อิอิ) แล้วเราก็เดินจากมา สุดท้ายตกลงกันว่าไปขึ้นตี้เถียะที่หน้ากู้กงกันดีกว่าอย่างน้อยมีตี้เถียะชัวร์ ไม่ต้องเดินมั่วๆไปอย่างงี้ ปัญหาต่อไปคือ จะไปยังไง เดินไปมีขาลากแน่ๆ เราเลยเสนอให้ขึ้นรถเมล์ไป อยากขึ้นมานานแล้ว ก็ไปป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้ามแล้วรอรถ


มีระเบียบจริงๆ


ระบบการเดินรถในปักกิ่งนี่ดีมากเลย ที่ป้ายรถเมล์จะมีบอกว่ามีรถสายไหนผ่าน แม้ว่าจะสายรถไม่มากเท่าที่กรุงเทพแต่มีบอกหมดเลยว่ารถสายนี้ผ่านจุดจอดที่ไหนบ้าง เราเริ่มหาดูและได้พบว่ารถเมล์สายที่ผ่านตรงนี้ส่วนใหญ่ผ่านกู้กง เราก็ใจชื้นขึ้นมาแล้ว เอาละเลือกมันซักสายแล้วขึ้นเลย ตรงป้ายรถเมล์จะมีช่องๆ ไว้ให้รอรถ มีสายรถเขียนไว้เพื่อว่าสายไหนๆ จะได้รอให้ตรงช่อง รถเมล์จะจอดได้พอดีมาก รถเมล์เมืองจีน เราต้องขึ้นประตูหน้าและลงที่ประตูหลัง ตรงทางขึ้นจะมีกล่องให้หยอดเงิน แต่เราไม่ใส่เพราะเราใช้บัตรอี้ข่าท่ง ซึ่งจะมีที่ติ๊ดบัตรทั้งข้างหน้าข้างหลัง ตอนแรกไม่รู้รีบติ๊ดซะตั้งแต่แรก แต่เหลือบไปเห็นคนลงเค้าติ๊ดตอนจะลง เราได้ขึ้นรถเมล์ก็วางแผนไว้ล่วงหน้าแล้วว่าไปเทียนถานจะไปยังไง แล้วก็ฉุกคิดได้ว่า ที่ว่าผ่านกู้กงน่ะ ผ่านส่วนไหน ไม่ใช่ผ่านไอ้ที่เราเดินผ่านมาแล้วนะ ตรงหน้าสวนจิงซานน่ะ ถ้าเป็นตรงนั้นก็เหมือนย้อนกลับไปที่เดิม งานก็เข้าน่ะสิ และฝันก็เป็นจริง ผ่านหลังกู้กง กลับไปที่เดิมจริงๆ ด้วย เอาแล้วไงจะไปยังไงล่ะทีนี้ แล้วเราก็เหลือบไปเห็นสัญลักษณ์ ตี้เถียะบนป้ายบอกจุดจอดในรถเมล์ ถ้าเราลงตรงสถานีตามป้ายก็จะเจอตี้เถียะ นับแล้วก็อีก 2 สถานี รอดแล้ว เตรียมลง เมื่อใกล้จะถึงจุดจอดรถต่างๆ จะมีประกาศในรถว่าสถานีต่อไปเป็นสถานีอะไร ก่อนลงเราติ๊ดบัตรอี้ข่าท่งเพื่อเป็นการจ่ายค่ารถ (เราต้องลงทางประตูหลังนะจ๊ะ ประตูหน้ามีไว้สำหรับคนขึ้น) และพยายามเบียดคนออกมาทางประตูหลังอย่างรีบด่วน เอาละลงได้แล้ว แต่ไหงไม่เห็นมีตี้เถียะเลย อยู่ตรงส่วนไหนของปักกิ่งก็ไม่รู้ ก็เลยไปดูป้ายที่บอกสายรถอีกที รู้แล้วทำไมไม่มีตี้เถียะ ก็ลงรถผิดไงครับท่านยังไม่ถึงเลย ต้องลงสถานีหน้า รู้อย่างนี้ก็ฮากันใหญ่ เอาหละถือว่าฝึกขึ้นรถเมล์ แล้วเราก็ขึ้นอีกคันไปลงสถานีต่อไป

หลังจากลงรถเมล์ สิ่งแรกที่มองหากันคือตี้เถียะ เห็นละๆ คราวนี้ไม่พลาด แต่ทำไมมันดูคุ้นๆ นี่มันสถานีตงซื่อที่ขึ้นเมื่อเช้านี่ งั้นกลับบ้านกันเลยละกัน เอ้ยไม่ใช่ ไปเทียนถานกันเลย การไปเทียนถานจากที่นี่ง่ายมากเพราะไม่ต้องเปลี่ยนสายรถเพียงแค่ไปลงสถานีเทียนถานตงเหมิน TianTanDongMen จากรีวิวเค้าก็บอกว่าถึงแล้ว
เมื่อออกมาจากตี้เถียะ กลับหลังหันไปก็จะเห็นกำแพงสูงๆ ด้านในมีต้นไม้เยอะแยะ เราก็รู้ได้ทันทีว่า มาถึงแล้ว เทียนถาน เราเลือกจะเดินไปทางซ้ายตามแนวกำแพงโค้งๆ เป็นวงกลม เพราะคิดว่าประตูทางเข้าอยู่ทางนั้นแน่ๆเลย เราเดินไปเรื่อยๆ ซักพักจะเจอสะพานลอยและเห็นฝั่งตรงข้ามเป็นห้างใหญ่ๆ เขียนว่า Perl Market อ๋อออ นี่คือแหล่งช๊อปอีกแหล่งที่ทัวร์ชอบพาคนมานี่เอง เราเดินขึ้นไปบนสะพานลอยเพื่อดูวิวมุมสูงเผื่อจะเห็นประตูทางเข้า ปรากฏว่า ไม่เห็นอะไรเลย เอาละ ลองเดินไปก่อนเจอคนแล้วค่อยถามเค้า พอเดินไปอีกประมาณ 5 นาทีก็เจออาอี๊คนนึงเดินผ่านมาก็เลยถามเค้าว่าเทียนถานไปทางไหน เค้าก็ทำเราใจหายใจคว่ำโดยการชี้ย้อนกลับไปทางที่เราเดินมา เอาละเหวย มาผิดทางอีกละ แต่เธอก็บอกว่าไปตามทางข้างหน้าที่เราเดินมาก็ได้ (โอย โล่งอก)

จะมีใครซึ้งถึงความใหญ่ของเทียนถานเหมือนเราอีกมั๊ย..



ในที่สุด ก็มาถึง

เดินตามทางไปเดี๋ยวถึง(คิดว่าแกบอกประมาณนี้ละมั๊ง) เอาละงั้นเราก็เดินต่อ เดินมาอีกครึ่งชั่วโมง ทำไมยังไม่ถึงซะที แต่เอ๊ะเห็นลิบๆ คนยืนทำไรกัน เราก็เดินไปดู อุแม่เจ้า ถึงซักที เทียนถาน เราก็ซื้อตั๋วเข้าไปเลย 10 หยวน เข้าประตู แล้วถ้าจะดูนิทรรศการและตึกทั้งหมด 28 หยวน ในรีวิวบอกเอา 10 หยวนพอ เราก็ตามนั้น เพราะจะหมดเวลาแล้วด้วย กว่าจะมาถึง สี่โมงเย็น ที่นี่ปิดหกโมง สงสัยจะดูไม่ทัน พอเดินเข้าไปบรรกาศร่มรื่นมาก มีอาม่าอากงกำลังออกกำลังกาย กึ่งแอโรบิกกึ่งท่าเต้นทางวัฒนธรรม สนุกมากจนนักท่องเที่ยวต้องเต้นตามกันเลยที่เดียว เดินไปซักพักก็เจอแล้ว หอเทียนถาน กำลังจะเดินขึ้นไป อ้าวเจอด่านอ่ะ พอถามเจ้าหน้าที่ คุณเธอก็บอกว่าต้องซื้อตั๋วอีก อ้าว ไอ้ที่จ่ายตังเข้ามานี่คือค่าเข้าเฉยๆ เพื่อมาสวนสาธารณะรอบๆ เนี่ยหรอกเหรอ หูยคนจีนนี่ก็รวยเกิ๊นน ยอมจ่าย 10 หยวน เพื่อเข้ามาเต้นแอโรบิกเนี่ยนะ เอาฟระ ไหนๆ ก็ไหนๆ เลยยอมจ่ายอีก 20 หยวนเพื่อเข้าไปดู เมื่อเข้าไปถึงหอเทียนถาน ใหญ่โตมากเลย แต่ไม่ให้เข้าเราก็เลยได้แต่ถ่ายวิวรอบๆ





วิวนี้เป็นอภิสิทธิ์ของคนที่เข้าด้านหลัง



คุ้มกับความเหนื่อยยาก



ช่างใหญ่โตเสียนี่กระไร


ข้างในมีแท่นบูชา



มีสัตว์บูชายัญด้วย





เดินไปอีกหน่อยเป็นลานโล่งๆ มีแท่นหินกลมๆ ที่เค้าบอกว่าฮ่องเต้จะมาขอพรที่นี่ โดยการยืนบนหินกลมๆ





ยืนบนแท่นหินนี้แหละ



ที่ระบายน้ำรูปหัวสัตว์ พอจะใช้ สัตว์ก็พ่นน้ำออกมา



คนอื่นเห็นป้ายนี้ก่อน แต่เราเห็นทีหลัง


จริงๆ ต้องได้เข้าไปในตำหนักที่มีกำแพงสะท้อนเสียงด้วย ถ้าไปยืนพูดตรงนั้นเบาๆ จะได้ยินเสียงดัง เพราะฮ่องเต้มีรับสั่งประชาชนจะต้องได้ยินกันทั่ว แต่เราหาไม่เจอแถมเราไปเย็นไป ตำหนักต่างๆ เริ่มปิดแล้วด้วย เมื่อเดินตามทางก็เจอสวนสาธารณะอีกพอดีหกโมงเย็น กลับกันเถอะเดินออกมาประตูหน้าพอดี (ฮา) งั้นเราออกประตูนี้ไปตี้เถียะเลยละกัน เราก็ตัดสินใจเดินไปตี้เถียะ คราวนี้มั่นใจไปถูกทางแน่เพราะหลงมาก่อนแล้ว แต่ขุ่นพระ ทำไมมันไกลงี้ฟระ ไกลกว่าเดินเข้าประตูหลังอีก ไกลกว่ามากด้วย(ใครรีวิวให้ลงตี้เถียะแล้วเดินมาทางประตูหน้าเนี่ย เค้าเดินจริงหรือป่าว มาคิดได้ทีหลังว่าหรือต้องเลี้ยวไปอีกทางหว่า..) เดินๆไป เจออู่รถเมล์ ทำให้เรารู้แล้วว่าคราวหน้าถ้ามาให้นั่งรถเมล์มาดีกว่า เดินใกล้กว่า ไม่งั้นก็ลงรถเมล์ที่ข้างหน้าเลย แต่สายอะไรต้องไปหาอีกทีนะ

การไปตลาดรัสเซียเราต้องขึ้นตี้เถียะมาลงที่สถานี ยงอันหลี่ YongAnLi สาย 1 ออกใต้ห้างเลย พอออกมาแล้วก็เดินตามทางออกมา มีป้ายบอกทางตลอด เอาละ เงินในกระเป๋ามันร้อน ดิ้นพราดๆ อยากจะออกเหลือเกินแล้ว พอมาถึงก็เดินไปในห้าง เห็นเค้าขายของกัน จัดร้านแบบร้านแถวๆ สยาม เอาวะสงสัยเค้าขายกันอย่างนี้แต่ทำไมมีป้ายเขียนว่า “ของอ่ะราคาถูกแล้ว ห้ามต่อ” หรือไม่ก็ “ร้านนี้รับแต่ลูกค้าประจำ” ไหงงั้นอ่ะ เราก็สงสัยกันว่ามาถูกที่หรือเปล่า พยายามเดินหาและได้คำตอบ เมื่อเจอป้ายนี้ “ที่นี่ Silk Street” อ้าวก็ถูกนี่หว่าไม่เห็นเหมือนที่เค้าว่าเลย ไอ้ที่ต้องต่อเยอะๆอ่ะทำม๊ายยยไม่เจอ ยังหาคนถามไม่ได้ ใครรู้ตอบหน่อย



หลังจากผิดหวังเพราะตังยังเหลือเยอะ เราก็เลยตัดสินใจไปลงสถานีตงซื่อละกัน ไหนๆ วันนี้ก็เจอแต่ตงซื่อแล้วนี่ แล้วเดินกลับไปบ้านเรา เดินดูวิวข้างทางไปด้วย พอออกจากตงซื่อ เดินกลับ วิวสองข้างทางไม่เหมือนเมื่อเช้าเลย เพราะร้านต่างๆ เปิดแล้ว เจอร้านสะดวกซื้อหลายร้านจนเลือกไม่ถูก (จากที่วันแรกหาไม่ได้) ร้านขายยา ขายชาเยอะแยะเลย ไม่รู้ซื้อง่ายแบบบ้านเรารึเปล่า ไม่ได้เข้าไปซื้อ ร้านเบเกอรีเพียบ หอมมาก คนมุงเยอะด้วยแต่ดูๆ แล้วไม่น่าจะอร่อยเท่าไหร่ เก็บพุงไว้กินอย่างอื่นดีกว่า แล้วก็เดินมาถึงซุปเปอร์เล็กๆ ขายผลไม้ข้างหน้า และขายขนมโบราณ เช่น ขนมเปี๊ยะ ขนมไข่ แต่ก็มีพวกเบเกอรีด้วย เราก็เลยลองเข้าไปซื้อขนมเปี๊ยะ ไส้ชาเขียว รสชาติใช้ได้แต่ที่ซานไห่กวนอร่อยกว่า ขนมนี่ก็ชั่งเอาเหมือนกันและเราก็ได้เหรียญ 1 เจี่ยว(ภาษาพูด จะมีค่าเท่ากับ 1เหมา) ทอนมาให้สะสม เดินสุดถนนพอดีถึงซอยที่พัก ก็พักแล้วเตรียมตัวไปวังฤดูร้อนในวันพรุ่งนี้




 

Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2560   
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2560 9:30:47 น.   
Counter : 1032 Pageviews.  
space
space
China ณ. วันที่หนาวยิ่งกว่าจุดเยือกแข็ง #2 : วันที่ 2 กำแพงเมืองจีน ด่าน ซานไห่กวน

#ขออภัย รูปไม่ชัด




8 Jan 2016 , 05:20 AM ,-7 °c

หลังจากตื่น พวกเราก็จัดการกับตัวเอง (ด้วยน้ำจากเครื่องทำน้ำร้อนที่มีเปิดอุณหภูมิให้ร้อนจนสุดแล้วได้น้ำเย็นที่เย็นน้อยกว่าอุณหภูมิโหมดปกตินิดนึง) แล้วก็กินมาม่าที่ซื้อมาเมื่อวาน



มีเครื่องด้วย อร่อย มากกก




มาม่าที่เมืองจีนส่วนใหญ่จะเป็นรสเนื้อแต่เราก็ยังอุตส่าห์หารสไก่ รสหมูมาจนได้ รสชาติอร่อยกว่ามาม่าบ้านเราเยอะ เครื่องที่ใส่ ถ้าเป็นรสไก่ก็จะมีผัก ข้าวโพด ไก่ สาหร่าย น้ำซอส น้ำมันใส่มาให้ ยิ่งถ้าเป็นรสหมูมีหมูแผ่นด้วย ถ้าหน้ากล่องมีไข่ก็ใส่ไข่มาให้ทั้งลูกเลย หลังจากที่เราจัดการมาม่ากันจนหมด ก็ตกลงกันว่าจะนั่งแท็กซื่ไปสถานีรถไฟกันดีกว่า เพราะถ้าไปโดยตี้เถียะก็กลัวว่าจะไม่ทันเวลา 6.30 น.ที่เรากะเผื่อเวลาไว้ (ตี้เถียะเปิด 6.20 น. )





ตกลงกันได้ก็ออกมาหน้าที่พัก หกโมงเช้ายังมืดมากจริงๆ เราเดินกันไปตามถนนมืดๆ ฝ่าความหนาวเย็น หลังจากเดินกันมาได้ซักพัก เราก็รู้สึกเหมือนมีใครเดินตาม เราเลยรีบวิ่งหน้าตั้งไปยังตี้เถียะ พอไปถึงแล้วก็หันกลับมาดูว่าใครเดินตาม คนเดินมาข้างหลังเค้าก็คงงงๆ ว่าไอ้สองคนนี้มันเป็นอะไรมาวิ่งหนีชั้น แล้วเราก็ข้ามถนนมาโบกแท็กซี่กันเลย



มืดขนาดนี้เลย


รถไม่ค่อยมีแต่ในที่สุดก็ได้ขึ้นรถ พอบอกเค้าว่าไปสถานีรถไฟเค้าถามกลับมาทันทีว่า สถานีปักกิ่งป่าว เราก็เลยรีบบอกเลยว่าใช่ (โชคยังดี ตอนนั้นไปสถานีปักกิ่ง เพราะที่ปักกิ่งมีหลายสถานีรถไฟ ถ้าเป็นสถานีรถไฟตะวันตกเราคงไม่ได้ไป 555)



มี 7 eleven ด้วย.. ไว้ต้องมาสำรวจซะหน่อย


การนั่งแท็กซี่ตอนเช้าๆ ในปักกิ่งคล้ายกับนั่งในกรุงเทพฯ คือถนนไม่ค่อยมีรถ แต่รู้สึกว่าอ้อมไปอ้อมมาพอสมควร เพราะดูจากแผนที่ตี้เถียะมันอยู่ไม่ไกลกันมาก(เหรอ??) หลังจากจ่ายค่ารถไฟ 17 หยวนตามมิเตอร์ เราก็มาถึง เค้าจอดส่งเราตรงฝั่งตรงข้ามของสถานี เราต้องเดินขึ้นสะพานลอยไปเพื่อขึ้นรถไฟ คราวนี้ไปกันอย่างมั่นใจเพราะเราได้สำรวจลู่ทางกันไว้หมดแล้ว



ก่อนเข้าสถานี เราต้องไปเช็คอินก่อน โดยไปต่อแถวตรงเคาท์เตอร์ที่มีเยอะๆ หน้าสถานีที่เห็นเมื่อวาน เราต้องแสดงตั๋วโดยสารและพาสปอร์ต (ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันเนาะว่าถ้าเป็นคนจีนแสดงบัตรประชาชน ) หลังจากที่ผ่านเคาท์เตอร์ที่มีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบตั๋วครั้งที่ 1 นี้เข้าไป ต้องไปผ่านเครื่องสแกนกระเป๋า และตรวจร่างกายก่อนเข้าสถานี เหมือนในสนามบินเลย ไอ้ตรงส่วนนี้ถ้าเราไม่ได้เดินทางโดยรถไฟ เราก็จะไม่รู้เพราะคนที่ไม่มีตั๋วห้ามเข้า ไม่เหมือนหัวลำโพงบ้านเราที่เข้าถึงได้ตลอดๆ



เมื่อเข้าไปแล้วก็จะเป็นห้องโถงใหญ่ๆ เหมือนหัวลำโพง เราต้องเดินขึ้นไปชั้นสอง เพื่อรอขึ้นรถที่ห้องรอ




มีป้ายไฟแสดงเที่ยวรถ


ห้องสำหรับรอขึ้นรถ


คนรอเต็มเลย รอจนไม่มีที่นั่งต้องมานั่งหน้าห้องน้ำ


เมื่อถึงเวลาก็จะมีเจ้าหน้าที่เรียกให้ไปเข้าแถวรอตรวจตั๋ว(อีกละ) เพื่อเข้าไปที่ชานชลา เมื่อได้เวลาก็ไปเข้าแถว


ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะแย่งกันทำม๊ายยย เค้าเรียกก่อนตั้งครึ่งชั่วโมง


เมื่อผ่านเกทเข้าไปแล้วเหมือนขึ้นบิน จะต้องเดินผ่านเลยลงไปชานชลา


รถไปซานไห่กวนมารอแล้ว อย่างหรู เพราะเป็นรถหัวกระสุน ขึ้นรถและนั่งตามที่นั่ง 7.37 น. ตรงเวลาเป๊ะ รถก็ออกจากชานชลา



ขึ้นขบวนนี้ D45 ปักกิ่ง - ต้าเหลียนเป่ย โบกี้ที่ 7



รถไฟที่นั่งนี้เป็นรถไฟหัวกระสุนเที่ยวเช้าสุดที่จะไปซานไห่กวนได้ ใช้เวลา 3 ชั่วโมง จากที่อ่านมา (บอกว่า 1.30-2 ชั่วโมงเอง ) เป็นรถไฟสายปักกิ่ง-ต้าเหลียนเป่ย ซานไห่กวนเป็นสถานีระหว่างทาง ในรถมีที่นั่งเหมือนในเครื่องบิน แถวละ 6 ที่นั่ง แบ่งเป็นข้างละ 3 เอนนอนได้ในระดับนึง มีโต๊ะวางอาหาร มีป้ายไฟบอกสายรถ อุณหภูมิภายใน-ภายนอกรถ ระดับความเร็ว ทั้งภาษาจีนและภาษาอังกฤษ ช่องวางสัมภาระอยู่เหนือหัว หน้าต่างที่ใสกิ๊งมีที่บังตาแบบดึงลงได้ ที่ยอดเยี่ยมสุดเห็นจะเป็นห้องน้ำที่มีฮีทเตอร์ ประตูปิดเปิดแบบอัตโนมัติเพียงกดปุ่มและโถนั่งชักโครกแบบใช้เซ็นเซอร์พร้อมอ่างล้างมือและกระดาษทิชชู่ หรูกว่าห้องน้ำรถไฟที่คิดไว้มากมาย





ระหว่างทาง รถไฟหยุดตามสถานีกลางทาง มีคนขึ้น-ลงเรื่อยๆ พนักงานรถไฟก็จะเข็นผลไม้และเครื่องดื่มมาขายแต่ราคาสูงเอาการ เพราะแพงกว่าในร้านที่ซื้อเอง 2-3 เท่าตัว และเพราะต้องนั่งนานเราก็เลยซื้อส้มกินกัน


ราคาแอบแพงตามมาตรฐานของขายบนรถไฟ


เราสามารถดูข้อมูลของบริษัทรถได้เลยแค่สแกนคิวอาร์โค้ดนี้




ทิวทัศน์สองข้างทางส่วนใหญ่เป็นเหมือนนาโล่งๆ (ไม่รู้ใช่ต้นข้าวหรือเปล่า) สีเหลืองทอง ไม่ค่อยมีบ้านเรือนเท่าไหร่ จะมีเมืองก็ใกล้ๆ สถานีรายทางที่ต้องจอด ซึ่งจะมีโรงงานอยู่ด้วย พอผ่านช่วงนั้นไปก็เป็นนาโล่งๆ เหมือนเดิม และมีวิวเขาอยู่ลิบๆไกลๆ ตลอดซ้ายมือระหว่างทางไป



มีหนังสือข้อปฏิบัติและแนะนำการท่องเที่ยวให้อ่านเพลินๆ เราก็ได้แค่ดูรูป



ผ่านไปสามชั่วโมง ในที่สุดเราก็ได้ยินเสียงประกาศว่าสถานีต่อไปเป็นสถานีซานไห่กวน เราก็รีบแต่งตัวเตรียมรับความหนาว หลังจากที่เข้ารถแล้วร้อนจนต้องถอดอุปกรณ์ทั้งหมดจนเหลือแต่เสื้อยืดตัวเดียว จากป้ายไฟบอกว่า อุณหภูมิภายใน 23 องศา อุณหภูมิภายนอก 0 องศา ขอย้ำ เกือบเที่ยงแล้ว 0 องศา จะทนได้มั๊ยน๊อ..



ออกมาก็เจอ ขนาดว่านี่เป็นสถานีระหว่างทาง ยังใหญ่ไม่ใช่เล่น



ออกทางนี้จ้ะ อ่านไม่ออก ได้แต่เดินตามๆ เค้าไป


ลงรถมาแล้วคร้าบ แดดแรงๆแต่ไม่ร้อนแฮะ ไม่หนาวสะท้านด้วย ชุดเอาอยู่เลยหละ และเราก็เดินเข้าสถานีตรงทางออก 555 แต่ขอโทษเถอะ ขอตรวจตั๋วอีกละ จะตรวจทำไมฟระ จะออกแล้ว เมื่ออกไปแล้วเราก็ยืนงงกันพักนึง ไปทางไหนต่อดี สรุป กลับไปหาตั๋วกลับกันก่อน แล้วก็ย้อนเดินกลับไปซื้อตั๋วกลับ

เราได้ตั๋วกลับในวันนั้นเวลา บ่ายสามโมง ไม่งั้นก็มีรอบดึกเลยจะกลับไปถึงปักกิ่งดึกมากเพราะนั่งรถสามชั่วโมง เอาละเหลือเวลาไม่มาก สิบเอ็ดโมงละรีบเที่ยวเลย



เราเดินข้ามถนนมาอีกฝั่งเพื่อไปกำแพงด่านซานไห่กวน แล้วเจอรถเมล์สาย 25 รอคิวจอดอยู่ รถเมลสายนี้เป็นรถไปเหล่าหลงโถว ที่เป็นจุดหมายอีกแหล่งของเรา ไหงในรีวิวบอกว่าหายาก ไม่ค่อยมีรถฟระ เรามองตามหลังรถตาละห้อยเพราะเราต้องตัดใจไม่ไปเพราะกลัวว่าจะกลับมาไม่ทันขึ้นรถ เอาละเดินไปกำแพงกัน เห็นด่านอยู่ลิบๆ โน่นแน่ะ และมีคนมาเดินขายทัวร์ไปเหล่าหลงโถวและซานไห่กวนเป็นระยะๆ แต่ไม่ไปหรอก (ไม่ใช่ไม่อยากไป แต่ไปไม่ทัน ฮืออ)


ระหว่างทางเดินเราเห็นสระน้ำใหญ่มีสะพานและศาลา ที่นี่คงเป็นสวนสาธารณะให้คงแถวนี้มาเดินเล่นและออกกำลังกายกันรอบๆ สระน้ำ เห็นป้อมบนกำแพงอยู่ลิบๆ


แต่เอ๊ะ เห็นอะไรแว๊บๆ คนจีนนี่มีกำลังภายในกันตั้งแต่เด็กๆ เลยเหรอ วิชาตัวเบาสูงส่ง เดินบนน้ำกันได้ด้วย เมื่อเห็นดังนั้น เราก็เดินไปใกล้ๆ น้ำในสระเป็นน้ำแข็งหมดเลย โอ้ววว มันน่าตื่นตาตื่นใจมาก ลองลงไปเดิน ไม่แตกด้วย แต่เราจะมาเสียเวลาตรงนี้มากไม่ได้ ไปกำแพงแล้วขากลับค่อยมาเล่นก็ได้ เห็นเลื่อนอยู่ลิบๆ ฮี่ๆๆ



เดินมาอีกหน่อย จะมีอนุสาวรีย์ (น่าจะ) เกี่ยวกับการสร้างกำแพงแล้วก็การป้องกันประเทศที่ด่านนี้ บริเวณนี้เป็นลานกว้าง จะมีคนมาทำกิจกรรมหลายๆ อย่าง ก็ยังเห็นป้อมบนกำแพงอยู่ลิบๆ


ซ้อมระบำโชว์ ชุดจัดเต็ม


จับกลุ่มเล่นว่าวกันอย่างจริงจัง อุปกรณ์พร้อมอย่างกับเป็นมืออาชีพ


พอข้ามถนนตรงนี้ก็จะเข้าเขตของกำแพงเมืองจีนแล้ว



เดินมาจนถึงทางเข้า เห็นป้าย เทียนเซี่ยตี้อีกวน เย้ มาถึงแล้ว แต่ทำไม่มันมีแค่ป้อมอ่ะ งั้นเดินไปอีกหน่อยดีกว่า อ้ออ ป้อมนี้แค่ลูกกระจ๊อก ของจริงต้องเดินขึ้น เราก็ไปซื้อตั๋วกันเลย


พี่พวกนี้ยืนอยู่ระหว่างทาง



ทางเข้าเมืองโบราณที่เป็นส่วนหนึ่งของด่านแต่เราจะไปปีนกำแพงก่อน เห็นป้อมอยู่ไกลๆ





ด่านซานไห่กวน หรือเรียกอีกชื่อคือ เทียนเซี่ยตี้อีกวน เป็นด่านแรกของกำแพงเมืองจีน อยู่ติดทั้งภูเขาและทะเล อู๋ซานกุ้ยเปิดด่านให้พวกแมนจูเข้ามาตีเมือง ด่านนี้เป็นด่านที่ไม่สูงมากเดินได้ไม่เหนื่อย และไม่มีทางเดินต่อไปยังด่านอื่นๆ ที่เราอยากไปเพราะมีส่วนของกำแพงที่ยื่นลงไปในทะเล เรียกว่า เหล่าหลงโถว หรือส่วนหัวมังกร ซึ่งต้องนั่งรถต่อไปอีก แต่ก็ไม่ได้ไป เพราะกลัวตกรถ Smiley



อยากจะไปดูอย่างนี้ที่เหล่าหลงโถว



ทางขึ้นไม่ชันมาก เดินสบาย





มาดูวิวด้านบนกันซักหน่อย

เห็นป้อมอยู่ลิบๆ




เขียนว่าอะไรไม่รู้ อ่านไม่ออก แต่เหมือนว่าคนสำคัญมาเขียนจารึกไว้


อย่างนี้ต้องโพสต์ซะหน่อย เดี๋ยวเค้าจะหาว่ามาไม่ถึง ตอนนี้ก็ยัง 0 องศา แต่เดินขึ้นมาเลยไม่หนาว







มาถึงป้อมแล้วจ้า


ดูกันชัดๆ


ป้อมถูกสร้างใหม่ เพราะของเก่าไม่เหลือแล้ว


ข้างในมีป้ายไว้ประกาศศักดา "ใต้ฟ้านี้ฉันเป็นที่ 1" นะจ๊ะ

ชะโงกดูวิวหน่อย.....



วิวเมืองเมื่อมองลงมาจากกำแพง

เราว่าด่านนี้มันเล็กไปจริงๆ เมื่อเทียบกับด่านอื่นที่อ่านจากในรีวิว(แหม ทำเหมือนเคยไปหลายด่าน) เดินแป๊บเดียวก็หมดแล้ว งั้นเดินเมืองโบราณข้างล่างก็แล้วกันให้คุ้มกับค่าตั๋ว 30 หยวน



นี่คือซุ้มประตูเมือง จริงๆแล้วคนอื่นๆ เค้าเดินเที่ยวในเมืองก่อนแล้วค่อยไปขึ้นกำแพง แต่เราเดินย้อนศร 555 พอมองย้อนขึ้นไปจะเห็นป้อม


ดูป้อมกันชัดๆ จากข้างล่าง ช่างน่าเกรงขาม

หลังจากเดินลงมาจากกำแพงเมืองจีน เดินเข้าไปในเมือง ผ่านร้านขายขนมโบราณ สองสามร้าน ข้างหน้าก็เจอร้านอาหารแล้ว ร้านแถวๆนี้ไม่ค่อยเปิด สงสัยเพราะเราไม่ได้มาเวลาเที่ยวของเค้า



แต่ไงๆ ก็เจอนักท่องเที่ยวเข้าไปกินเอาก็เอาฟระ หิวแล้ว เราก็สั่งบะหมี่ 2 ชามเกี๊ยว 1 หลังจากเสี่ยวเอ้อร์รับออเดอร์ก็เข้าไปหลังร้าน สักพักเจ้าของร้านก็ออกมาถามว่าเราเอาเกี๊ยวแล้วเอาบะหมี่ด้วยมั๊ย เราก็ตอบไปว่าเอาจิ แล้วก็คิดกันในใจว่าจะถามทำไม ก็กินหมดนั่นล่ะ แต่เมื่อเห็นอาหาร อุแม่เจ้า บะหมี่ชามใหญ่มากเกี๊ยวมาเป็นกะละมัง รู้แล้วว่าออกมาขอคำยืนยันทำไม..


ประทับใจมาก บะหมี่ที่นี่เป็นบะหมี่เส้นใหญ่เหมือนเส้นอุด้ง มากับซอสสีน้ำตาลแค่นั้นแต่อร่อยเกินคาด




เกี๊ยวเป็นกาละมัง เป็นเกี๊ยวไส้หมู ก็รสชาติปกติไม่ได้ขี้เหร่เกิน


เมนู เผื่อใครอยากจะสั่ง แต่เราใช้วิธีชี้ไปโต๊ะข้างๆ

หลังจากจบมื้อนั้นอย่างจุกเราก็เดินเที่ยวเมืองกันต่อ เมืองนี้เป็นเมืองโบราณ เดินๆ ไปก็จินตนาการไปด้วยว่ากำลังมาท่องยุทธภพ มีพี่ทหารยืนเฝ้ายามอยู่ทุกที่


มีศาล มีวัด เสียอย่างเดียวโล่งมาก เหมือนเมืองร้างเลย ไม่ได้บรรยากาศเพราะไม่มีเหล่าจอมยุทธมาเดินด้วยนี่หละ


นี่ศาลเจ้า


นี่วัด


พระประธาน



รูปพระในนิกายจีน มีชื่อแต่ละองค์พร้อม สูงสุดน่าจะเป็นพระพุทธเจ้า แสดงว่าเป็นวัดพุทธ


อีกฝั่งนึง มีการนำพระองค์เล็กๆ มาไว้ น่าจะเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิม



ถ้าเป็นตอนกลางคืน เปิดโคมไฟน่าจะสวยนะ


ร้านค้าทั้งหลายพร้อมใจกันไม่เปิด

เมื่อเดินจนทั่ว ถ่ายรูปจนหนำใจไม่ต้องขุ่นใจกับคนเยอะๆ เที่ยวเมืองและวัดในเมืองก็ถึงเวลาเดินกลับไปสถานีรถไฟกันแล้ว ขากลับซื้อขนมจากร้านในเมืองโบราณนั่นหละกิน อร่อยมากเลย ถั่วกวนรสชาเขียว กลับเข้าไปในปักกิ่ง หาแบบเดียวกันมากินก็ไม่ชอบเท่า
ก่อนจะรีบเดินไปรอรถไฟ เมื่อเปิดให้เข้าไปในชานชาลา แล้วข้างในใหญ่มากมีหลายชานชาลา คนรอในสถานีเต็มเลย ไม่น่าเชื่อเพราะตอนมาซื้อตั๋วคนน้อยมาก รถไฟของเราไม่ได้เป็นรถที่มาจากต้าเหลียนเป่ย(大连北)เหมือนตอนขามาแต่เป็นรถมาจากจี๋หลิน(吉林)ต้องขึ้นที่ชานชาลาที่ 2


ตอนเค้าเปิดให้ขึ้นรถ เห็นน้องๆ จับกลุ่มคุยเล่นเป็นกลุ่มใหญ่ หล่อๆ ทั้งนั้น เห็นป้ายบนกระเป๋าเดินทาง เป็นตราโอลิมปิก สงสัยโค้ชคงพานักกีฬาโอลิมปิกมาเก็บตัว แต่เค้าก็แยกไปขึ้นรถไฟอีกขบวน แหม นักกีฬาโอลิมปิกจีนเนี่ยหน้าตาดีๆ ทั้งนั้นเลย เดินหากันกลัวไม่ทันเลยเดินเข้าไปในโบกี้แล้วเดินด้านในเอา ซึ่งขากลับเข้าเมืองคนเยอะมาก โชคดีไหวตัวทันซื้อตั๋วไว้ก่อนไม่งั้นมีตกรถแน่ เมื่อมาถึงสถานีรถไฟเราก็ไปต่อกันที่สนามกีฬารังนกเลย ไปถ่ายรูปกับสนามกีฬาและมาสคอตของกีฬาโอลิมปิก ปี 2008



หนีห่าวจ้า




หนาวสะท้านขนาดไหน เราก็บ่ยั่น ขยันโพสต์ท่า


เราแวะซื้อถังหูลู่กินกันที่ร้านสะดวกซื้อแถวๆ นั้น แต่ของที่นี้อร่อยสู้ที่หวังฝูจิ่งไม่ได้ เป็นผลไม้รวม มีมะเขือเทศ ส้ม สรอเบอรีและปิดท้ายด้วยซานจา สนนราคาของถังหูลู่ที่นี่ 10 หยวน แต่น้ำตาลแข็งและหนา ไม่อร่อยเท่าที่หวังฝูจิ่งที่น้ำตาลบางกรอบ เข้ากับผลไม้มากกว่า เราว่าประเภทผลไม้ที่ใช้ก็มีส่วนเหมือนกัน อ่า !! ของแพงมันอร่อยกว่าอย่างนี้นี่เอง



ถ่ายรูปกันจนเป็นที่พอใจแล้วเราก็ไปกลับไปที่พักกัน เนื่องจากเราไม่อยากกลับที่พักดึกมาก แวะร้านสะดวกซื้อแถวๆ นั้นซื้อมาม่ากินเป็นมื้อเย็น และของวันพรุ่งนี้ คนละ2 ห่อ ก็ไอ้ร้านสะดวกซื้อร้านเดิมนั่นหล่ะ ระหว่างทางกลับบ้านสังเกตร้านอาหารรอบๆ และเล็งว่าจะมากินกัน รวมถึงร้านอาหารที่อยู่ฝั่งตรงข้ามที่พัก เลยจะมากินกันวันกลับ

กลับถึงที่พัก แอบไปถามที่ล๊อบบี้ว่าแถวๆ นี้มีตลาดสดแถวๆ ไหนบ้างพรุ่งนี้จะไปเดินเที่ยว ก็ได้คำตอบว่าเดินไปตามถนนตงซื่อ ถนนหลักหน้าปากซอยไปหัวถนนอีกด้านจะมีตลาด เอาละพรุ่งนี้เจอกันนะตลาดจ๋า..




 

Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2560   
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2560 19:29:25 น.   
Counter : 1857 Pageviews.  
space
space
China ณ. วันที่หนาวยิ่งกว่าจุดเยือกแข็ง #1 : ปักกิ่ง วันแรก สถานีรถไฟ วัดลามะ


ทริปนี้เป็นทริปที่ดองไว้นานมากกว่าจะมารีวิว ด้วยความขี้เกียจของเรา เป็นทริปที่ท้าทายเพราะเราพูดจีนได้แค่นิดหน่อย แถมไปกันแค่ 2 คน สงสัยจะต้องคุยกันจนเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวกันหละ เราทยอยหาข้อมูลที่พัก ที่เที่ยว ตั้งหน้าตั้งตาอ่านแต่รีวิวด้วยความตื่นเต้น โดยสรุปได้ว่าไหนๆ ก็ไปแล้วไปยาวเลยแล้วกัน 7 วันเต็ม ปักกิ่ง - ฮาร์บิ้น - กวางโจว แผนของเราก็คือ นั่งเครื่องไปปักกิ่ง ต่อรถไฟไปฮาร์บิ้น แล้วนั่งเครื่องกลับไทย แต่แอบมีทรานสิทที่กวางโจว 1 วันเพื่อเก็บที่กวางโจวด้วย



การเดินทางไปสุวรรณภูมิก็ละไว้ในฐานที่ใช้บริการ Airport Link เริ่มที่เมืองจีนเลยละกัน...
Credit : Jern & Ning




7 Jan 2016 , 00:20 AM ,-11 °c
ไฟในเครื่องถูกเปิดขึ้นพร้อมเสียงประกาศเพื่อแจ้งผู้โดยสารว่าอีกประมาณ สิบนาทีเครื่องจะทำการลงจอดที่สนามบินปักกิ่ง เราลองมองออกไปข้างนอก โอ้โห ปักกิ่งไฟวิบวับๆ กว้างๆเลย ใหญ่กว่ากรุงเทพเยอเลยอ่ะ สวยมากกก เอาละจะถึงแล้ว ยังไม่รู้เลยอุณหภูมิเป็นไงบ้าง แต่ทำไม คนจีนจัดกันเต็มเลยล่ะ คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง ถ้าหนาวค่อยไปเพิ่มที่สนามบินละกัน ไหนๆ ก็เหลือเวลาอีกเยอะเลยกว่าจะได้เข้าเมือง

พอเครื่องจอดสนิท และคนก็ทยอยลง เราก็เดินตามๆ เค้าไป แต่พอถึงแค่งวงช้างที่ต่อเครื่องเข้ากับสนามบินเท่านั้นหละ สะท้านคร้าบ สะท้าน ต้องรีบไปเพิ่มอุปกรณ์เสริมกันด่วน หนาวมากเลย และเมื่อเราได้เดินเข้าสู่สนามบินเพื่อไปเอากระเป๋าและทำพิธีการผ่านเข้าเมือง ก็อุ่นขึ้นมาหน่อย เอาน่ะ อยู่ได้ๆ เดี๋ยวค่อยแต่งเพิ่ม

ออกมาก็เจอขันยักษ์


หลังจากเอากระเป๋าออกมาแล้ว เราก็ไปหาที่นั่งรอ นั่งพักเพราะยังไม่ถึงเวลาทำการของ รถไฟฟ้า airport express ที่เป็นรถไฟฟ้าที่เชื่อมต่อระหว่างสนามบินกับระบบรถไฟฟ้าที่วิ่งในเมือง


ทางไปรถไฟฟ้า

อันที่จริง ชั้นล่างก็มีรถประจำทางนะ ดูๆ ก็มีหลายสายเลย แต่เราก็ไม่ไปเพราะถึงแม้ว่าจะออกจากตรงนี้ไปได้แล้วเราก็ไม่รู้ว่าพอเข้าเมืองแล้วเราจะไปยังไงต่อ รอไปตามแผนที่ของที่พักที่แนะนำให้ไปโดยรถไฟฟ้าดีกว่า พอหาที่นั่งพักได้ เราก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร เพื่อนเราก็เลยใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์โดยการนอนเพราะตอนนี้ก็เพิ่งตี 1 กว่าๆ อีกนานเลยกว่าจะหกโมง แต่เรานอนไม่หลับก็เลยไปเดินเที่ยว ลองเดินไปดูให้ทั่วๆ สนามบิน









หลังจากที่สำรวจสนามบินปักกิ่งที่กว้างขวางพอๆ กับสุวรรณภูมิ ก็ลองเดินออกไปสัมผัสอากาศด้านนอก ไปลองสัมผัสอุณหภูมิที่แท้จริง ก้าวแรกที่เปิดประตูออกไป(โดยทิ้งเพื่อนให้เฝ้าของไว้) แทบจะกลับเข้ามาไม่ทัน หายใจออกมาเป็นไอทุกครั้งเลย หนาวยิ่งกว่าตอนอยู่ตรงงวงช้างอีก ขนาดที่ว่าเข้าไปแต่งตัวเต็มยศแล้วเสื้อผ้าที่เตรียมมากะใส่ทั้งทริปถูกประเคนลงมาบนร่างจนเกือบหมด ที่ใส่ไม่หมดเพราะมันใส่จนคับแล้ว พร้อมทั้งหน้ากากและถุงเท้าถุงมือ จัดซะขนาดนี้ เอาไม่อยู่คร้าบท่านผู้ชม หนาวสะท้านมาก ก้าวขาแทบไม่ออก อย่างนี้จะเที่ยวไหวมั๊ยเนี่ย เดี๋ยวรอเข้าเมืองแล้วต้องไปหาอุปกรณ์เพิ่มซะแล้ว ไม่งั้นไม่รอดแน่




ตอนตี 2 ก็มีรถเข้าเมือง แต่เราไม่รู้ว่าถ้าขึ้นไปแล้วจะลงตรงไหนนี่ดิ




ที่นั่งรอรถ แต่ไม่มีใครนั่งเพราะมันหนาวมากกกก ตรงนี้ มีแผนที่ฟรีแจกนะจ๊ะ


โบร์ชัวร์แจกฟรี แนะนำที่ท่องเที่ยว สายรถและแผนที่


มีแผนที่ของรถใต้ดิน แต่อ่านไม่ออก 555


พอ 6 โมง เราก็เดินไปขึ้นรถไฟฟ้าตั้งใจว่าจะซื้อตั๋วอี้ข่าท่ง ที่เป็นบัตรเติมเงินรถไฟฟ้าเพื่อความสะดวกในการเที่ยวในเมืองแต่ปรากฏว่ายังไม่ขาย เราก็เลยต้องซื้อตั๋วเที่ยวเดียวกันก่อน

หลังจากนั่งมาได้ประมาณครึ่งชั่วโมง ก็มาถึงสถานี ตงจื่อเหมิน (DongZhiMen)ที่เป็นสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสายในเมือง (ต่อไปเราจะเรียกทับศัพท์ว่า “ตี้เถียะ”) ที่เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสนามบิน เราต้องเปลี่ยนรถไปลงที่สถานีจางจื้อจงลู่ (ZhangZhiZhongLu)เพื่อไปที่พัก เอาของไปเก็บและมาตั้งหลักว่าจะเอายังไงกันต่อ

หลังจากพักพอหายหนาว เราก็มาคิดกันว่าเราควรเปลี่ยนแผนจากการไปเที่ยวกู้กงวันนี้เป็นไปช๊อปปิ้งกันก่อนมิฉะนั้นจะไปไหนไม่ได้เลย เพราะมันหนาวมาก แต่ก่อนอื่นเราต้องหาตั๋วไปกำแพงเมืองจีนกันในวันพรุ่งนี้ก่อน เพราะจากรีวิว ตั๋วรถไฟถ้าไม่จองก่อนจะไม่มีที่นั่ง ตามแผนถ้าเราได้ตั๋ว พรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวกำแพงเมืองจีนด่านซานไห่กวนและด่านเหล่าหลงโถวกัน




เมื่อขึ้นมาถึงข้างบน เจอสถานีรถไฟอันใหญ่โต คนเยอะมาก ยืนต่อคิวตรงเคาเตอร์ทั้งหลายที่อยู่หน้าสถานี เคาเตอร์เยอะเหมือนหมอชิต 2 แต่ไม่รู้เค้าทำอะไรกัน เราเลยเดินไปด้านข้าง เพราะเห็นคนเดินเข้าไปตรงประตูนั้น ปรากฏว่าห้ามเข้าเพราะตรงนั้นเป็นประตูทางออกของคนที่เดินทางออกมาจากรถไฟ เอาแล้วไงทำไงดี ไงๆก็ต้องได้ไปนะ ตั้งใจว่าจะไปถามตำรวจที่อยู่ข้างหน้า ตาก็ดันเหลือบไปเห็น ป้าย Ticket Office ตัวโตๆ แปะไว้ที่ต้องตะแคงคออ่านถึงจะอ่านได้


เหมือนในหัวลำโพงเลย


หลังจากนั้น เราก็เดินเข้าไปตรงส่วนนั้นทันที แวบแรกที่เข้ามา เหมือนมาในสถานีหัวลำโพง แต่มีเคาท์เตอร์อยู่หลายเคาท์เตอร์ คนมากมายกำลังต่อคิวซื้อตั๋ว เอาละเพื่อความชัวร์เดินไปถามที่ Information ซะหน่อยว่าจะขึ้นไปฮาร์บิ้นและซื้อตั๋วไปซานไห่กวนยังไง เจ้าหน้าที่บอกให้เราไปต่อแถวที่เคาท์เตอร์ 16 สำหรับเอาตั๋วออนไลน์ไปขึ้น เราก็เลยไปต่อแถวที่ยาวๆแถวนั้น ต่อมาได้พักใหญ่ อยู่ดีๆ เจ้าหน้าที่ก็บอกให้ทั้งแถวย้ายไปต่อแถวอื่น แถวนี้ปิดแหล่ว อ้าวแล้วเคาเตอร์อื่นจะขึ้นตั๋วได้ป่าวเนี่ย ก็ลองดูเถอะ พอถึงคิวเราก็ขึ้นตั๋วและซื้อตั๋วไปซานไห่กวน ก็ทำได้นินา แต่ต้องพูดซาวน์แทรกไม่มีซับไทยเท่านั้นหละ การซื้อตั๋วที่นี่ ทุกคนต้องแสดงบัตรประจำตัวประชาชน แต่เราเป็นนักท่องเที่ยวก็เลยแสดงพาสปอร์ต แล้วเจ้าหน้าที่ก็จะคีย์ข้อมูลเข้าไปในเครื่องแล้วค่อยออกตั๋วที่มีชื่อผู้โดยสารออกมาเลย เราได้ตั๋วไปซานไห่กวน พรุ่งนี้เที่ยว 7.37 น. ปักกิ่ง-ต้าเหลียนเป่ย


ในที่สุดก็จะได้ไปปีนกำแพงกันแล้ว


ได้ตั๋วมาแล้วจ้า


หลังจากนั้น เราก็ไปหาซื้ออุปกรณ์กันหนาวกันที่ห้างหน้าสวนสัตว์ ตามที่อ่านรีวิว ลงตี้เถียะสถานี สวนสัตว์ (Beijing Zoo) ห้างที่ไป เป็นห้างที่คล้ายๆ แพลตินั่มบ้านเราแต่เล็กกว่ามาก เป็นห้างสำหรับขายเสื้อผ้าโดยเฉพาะ แล้วเราก็ได้อุปกรณ์ช่วยชีวิตตลอดทริป เป็นเสื้อกันหนาวกับเลกกิ้งที่ไม่เหมือนที่ขายที่ไทย แต่เอาอยู่เลย จริงๆ ไปคราวนี้ก็อยากเห็นหมีแพนด้าตัวจริงของเมืองจีนนะว่าเลี้ยงเหมือนช่วงช่วง หลินฮุ่ยบ้านเราป่ะ แต่เวลาก็ไม่เหลือแล้ว ทั้งวันยังไม่ได้ไปไหนเลย

เมื่อช๊อปเสร็จแล้วก็ได้เวลาไปเที่ยวซักที ดูเวลาแล้วคงจะพอไปวัดลามะกันได้ เราก็เลยนั่งตี้เถียะลงสถานียงเหอกง (YongHeGong)

ระหว่างทางเดินจากตี้เถียะไปวัดลามะ สองข้างทางเป็นหูถง บ้านเก่าที่ทางการจีนอนุรักษ์ไว้ ชาวบ้านขายของที่ระลึกและอาหารกันที่หูถง บรรยากาศเหมือนร้านขายของตรงข้ามวัดพระแก้ว เจอร้านที่ขายโยเกิร์ตแล้ว ขวดละ 5 หยวน เป็นขวดกระเบื้อง อ่านในรีวิวเค้าว่า อร่อยมาก ต้องลองซะหน่อย จากที่ลองกิน รสชาติเหมือนดัชชี่รสธรรมชาติเลย ที่นี่ตู้แช่น้ำไม่ได้เป็นตู้เย็น เหมือนบ้านเรา แต่เป็นตู้อุ่น เพราะที่นี่หนาวมาก






หลังจากเดินมาถึงวัดลามะ ก็ตกลงกันว่าจะเข้าไปดูแต่ต้องรีบหน่อย เพราะตอนมาถึงก็เกือบจะสี่โมงเย็นแล้ว วัดลามะปิดห้าโมง





วัดลามะเป็นวังขององค์ชายหย่งเหอมาก่อนพอขึ้นเป็นกษัตริย์หย่งเจิ้งก็ว่างไว้ พอกษัตริย์เฉียนหลงที่เป็นโอรสขึ้นครองราชย์ก็เลยให้เป็นวัดพระลามะอยู่



ป้ายมีตัวอักษร 2 ภาษา คือ ภาษาจีนกลาง กับ ภาษาแมนจู


นี่ก็ 2 ภาษา








มีประวัติแต่ละตำหนักจารึกอยู่บนแท่นหินด้านหน้า




เป็นเรือนต่อจากรูปบนนะจ๊ะ ถ่ายไม่หมดในรูปเดียว


จริงๆ แล้ว ด้านในแต่ละตำหนัก จะมีพระพุทธรูปแบบธิเบตปางต่างๆ เช่น พระอวโลกิเตศวร พระโพธิสัตว์ หลายๆ รูป และมีแท่นสักการะ แต่ห้ามถ่ายรูป เลยได้แค่เก็บบรรยากาศรอบนอก ก็เพิ่งจะรู้นะว่าเจเนอเรชั่นในหนังจีน คังซี> หย่งเจิ้ง>เฉียนหลง นี่มันของจริง

หลังจากออกมาจากวัดลามะเราก็กลับไปพักเอาแรง เพื่อหกโมงเย็นก็ได้เวลามาท่องราตรีที่หวังฟู่จิ่ง

หลังจากพักผ่อนเอาแรงกันพอแล้ว ก็ได้เวลาท่องราตรี 555 ด้วยอุปกรณ์ที่พร้อมกว่าเมื่อเช้า เราตกลงกันว่าเราจะเอาชุดที่ไปซื้อกันเมื่อบ่ายไปลองซะหน่อย เพื่อดูว่าพรุ่งนี้จะรอดหรือไม่รอดที่กำแพงเมืองจีน ชุดที่ใส่ก็มี เสื้อฮีทเทคกับเสื้อกันหนาวขนเป็ด ใส่ 2 ตัวเท่านั้น ส่วนกางเกง มี กางเกงเลกกิ้งอย่างหนา และ กางเกงผ้าร่ม น้อยกว่าเมื่อเช้าอย่างเห็นได้ชัด เอาผ้าพันคอไปกันเหนียวด้วย เมื่อชุดพร้อม เราก็ออกเดินทางกันตอนหกโมงเย็น โดยเริ่มที่ตี้เถียะสถานี จางจื้อจงลู่ อันเป็นสถานีหน้าบ้านของเรา (แหม อยู่ไม่ถึงวันเรียกหน้าบ้าน) เป็นสาย 5 นั่งไป ตงตาน Dongdan เพื่อเปลี่ยนเป็นสาย 1 ไปสถานีหวังฝูจิ่ง Wangfujing ที่เป็นจุดหมายปลายทางของเรา เมื่อถึงสถานีปลายทาง ทางออกจะอยู่ใต้ห้างหัวมุมถนนหวังฝูจิ่งเลย เราต้องเดินชิลล์ในห้างพื่อหาทางออกกันหน่อย อันที่จริงมันวนไปเวียนมาจนเราหาทางออกไม่เจอ 555 และหลงอีกทีตอนกลับ เมื่อออกมานอกห้างได้แล้ว เราจะพบกับถนนที่มีแต่ห้างสรรพสินค้า แต่เหมือนจะเป็นถนนคนเดิน เพราะปิดไม่ให้รถเข้า เอาละมาถึงแล้ว ไปหาจุดหมายของเรากันเลย ถนนอาหารนั่นเอง

ถนนอาหารของหวังฝูจิ่ง โด่งดังมากใครมาเที่ยวปักกิ่งถ้าไม่ได้มาก็เอาไปคุยได้ไม่เต็มปากว่ามาถึงปักกิ่งแล้ว เราเลยต้องมาซะหน่อย อันที่จริงเมื่อขึ้นมาถึงก็ยังนึกกังวลว่ามันจะไปหาเจอได้ไงฟระ มีตั้งหลายซอย แต่เอาเข้าจริง มันไม่ได้หายากขนาดนั้นเพราะหน้าถนนมีร้านอาหารตั้งเรียงราย และมีของแปลกๆ ขายตั้งแต่ทางเข้า ส่วนใหญ่ของที่ขายเป็นกิมมิกของที่นี่ก็จะเป็นของแปลกย่าง เช่น ดาวทะเลย่าง แมลงย่าง แต่ของอื่นๆ ที่มีเช่น เนื้อย่าง แพะย่าง โยเกิร์ต ติ่มซำ เต้าหู้เหม็นย่าง-ทอด ไข่ไส้หมูสับและที่ขาดไม่ได้คือถังหูลู่ และเราก็เริ่มทำงานเลยก็คือ ชิม
สิ่งแรกที่เราลองชิมเมื่อมาถึง คือ ถังหูลู่ เจ้าที่เราซื้อคือเจ้าแรกที่เจอเมื่ออกมาจากห้าง ยังไม่ได้เข้าถนนอาหารเลยนะเนี่ย ร้านนี้เป็นร้าน คีออส อยู่ริมถนน แต่เป็นคีออสใหญ่ มีถังหูลู่และน้ำขาย จากสายตานักท่องเที่ยวที่เพิ่งเคยเห็นร้านประเภทนี้เป็นครั้งแรก มันก็ต้องตื่นตาตื่นใจเป็นธรรมดา มีผลไม้หลากหลายเสียบไม้เคลือบน้ำตาล สตรอเบอรีลูกใหญ่มาก เสียบไม้ ก็ทำให้อดใจไม่ไหวต้องลองซื้อมาชิมกัน ถังหูลู่ที่เราซื้อมาชิมเป็นประเภทซานจาบดแล้วทำเป็นแผ่นๆ เหมือนปลาแผ่น (แบบดั้งเดิมเป็นลูกๆ เสียบไม้) เคลือบด้วยน้ำตาลบางๆ ไม่แข็งมาก กรอบๆ พอให้เคี้ยวกรุบกรับ หวานๆ ผสมกับรสเปรี้ยวของซานจาข้างใน เข้ากันดีเลย แต่ราคาสูงไปซักหน่อย ตั้ง 15 หยวน แต่เราก็คิดว่าสงสัยเป็นราคาแหล่งท่องเที่ยว และหลังจากนั้นเราก็เดินเข้าไปเที่ยวถนนอาหาร ที่ยาวประมาณ 500 เมตร มีร้านตั้งเรียงรายกันแน่นขนัด พ่อค้าแม่ค้าเรียกลูกค้ากันอื้ออึง อาหารในถนนอาหารนี้ถือว่าแพงใช้ได้ ไข่นึ่งไส้หมูสับ 4 ชิ้น ราคา 25 หยวน นึกว่าจะอร่อยขนาดไหน โธ่แค่ไข่ต้มไส้หมูสับใส่ซีอิ๊วปรุงรส แสดงว่าราคาในนี้เป็นราคาแหล่งท่องเที่ยวโดยแท้จริง หลังจากชิมกันจนพอใจ ทั้งที่ไม่ค่อยอิ่มท้องแต่กลัวกระเป๋าแฟ่บซะก่อนก็เราก็เลยตกลงกันว่ากลับกันเถอะ พรุ่งนี้จะได้ตื่นเช้าๆ เพราะเราต้องไปถึงสถานีรถไฟเช้ามากๆ กลัวตกรถไฟ และตกลงกันว่าจะซื้อมาม่าไปเป็นเสบียงสำหรับพรุ่งนี้เช้า และเดินหาร้านสะดวกซื้อแต่ก็ยังหาไม่ได้ เมื่อมาถึงทางเข้าที่พักเราก็เลยตัดสินใจเดินเข้าไปถามร้านเล็กๆ ย้ำเล็กมากๆ แต่มีทุกอย่างที่เราต้องการครบ เราก็เลยสอยมาม่ามา 2 ชามก่อนกลับที่พัก สรุปว่าอาหารที่อร่อยที่สุดในวันนี้คือ ถังหูลู่ ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ใหม่ในวันนี้ และสุดท้ายขอบคุณชุด ที่ช่วยชีวิตและทำให้การท่องเที่ยวครั้งนี้ไปได้สวย
ปล. สายรถไฟฟ้าตี้เถียะจะมีการพัฒนาตลอด แผนที่ที่ได้จากในเน็ตจึงอัพเดท ดังนั้นให้ไปเอาที่สนามบินชั้นล่างเกท 7 หน้าที่ขายตั๋วรถเข้าเมือง ไม่งั้นก็ไปดูในสถานีทุกสถานี เมื่อขึ้นรถไปแล้วก็จะมีประกาศและมีไฟบอกว่าตอนนี้เราอยู่ที่สถานีไหนแล้วตรงเหนือประตูด้วย




 

Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2560   
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2560 21:14:41 น.   
Counter : 1147 Pageviews.  
space
space
1  2  

HappyMorning
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






space
space
[Add HappyMorning's blog to your web]
space
space
space
space
space