Happy Morning : ยิ้มกว้างรับยามเช้า
space
space
space
space

China ณ. วันที่หนาวยิ่งกว่าจุดเยือกแข็ง #1 : ปักกิ่ง วันแรก สถานีรถไฟ วัดลามะ


ทริปนี้เป็นทริปที่ดองไว้นานมากกว่าจะมารีวิว ด้วยความขี้เกียจของเรา เป็นทริปที่ท้าทายเพราะเราพูดจีนได้แค่นิดหน่อย แถมไปกันแค่ 2 คน สงสัยจะต้องคุยกันจนเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวกันหละ เราทยอยหาข้อมูลที่พัก ที่เที่ยว ตั้งหน้าตั้งตาอ่านแต่รีวิวด้วยความตื่นเต้น โดยสรุปได้ว่าไหนๆ ก็ไปแล้วไปยาวเลยแล้วกัน 7 วันเต็ม ปักกิ่ง - ฮาร์บิ้น - กวางโจว แผนของเราก็คือ นั่งเครื่องไปปักกิ่ง ต่อรถไฟไปฮาร์บิ้น แล้วนั่งเครื่องกลับไทย แต่แอบมีทรานสิทที่กวางโจว 1 วันเพื่อเก็บที่กวางโจวด้วย



การเดินทางไปสุวรรณภูมิก็ละไว้ในฐานที่ใช้บริการ Airport Link เริ่มที่เมืองจีนเลยละกัน...
Credit : Jern & Ning




7 Jan 2016 , 00:20 AM ,-11 °c
ไฟในเครื่องถูกเปิดขึ้นพร้อมเสียงประกาศเพื่อแจ้งผู้โดยสารว่าอีกประมาณ สิบนาทีเครื่องจะทำการลงจอดที่สนามบินปักกิ่ง เราลองมองออกไปข้างนอก โอ้โห ปักกิ่งไฟวิบวับๆ กว้างๆเลย ใหญ่กว่ากรุงเทพเยอเลยอ่ะ สวยมากกก เอาละจะถึงแล้ว ยังไม่รู้เลยอุณหภูมิเป็นไงบ้าง แต่ทำไม คนจีนจัดกันเต็มเลยล่ะ คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง ถ้าหนาวค่อยไปเพิ่มที่สนามบินละกัน ไหนๆ ก็เหลือเวลาอีกเยอะเลยกว่าจะได้เข้าเมือง

พอเครื่องจอดสนิท และคนก็ทยอยลง เราก็เดินตามๆ เค้าไป แต่พอถึงแค่งวงช้างที่ต่อเครื่องเข้ากับสนามบินเท่านั้นหละ สะท้านคร้าบ สะท้าน ต้องรีบไปเพิ่มอุปกรณ์เสริมกันด่วน หนาวมากเลย และเมื่อเราได้เดินเข้าสู่สนามบินเพื่อไปเอากระเป๋าและทำพิธีการผ่านเข้าเมือง ก็อุ่นขึ้นมาหน่อย เอาน่ะ อยู่ได้ๆ เดี๋ยวค่อยแต่งเพิ่ม

ออกมาก็เจอขันยักษ์


หลังจากเอากระเป๋าออกมาแล้ว เราก็ไปหาที่นั่งรอ นั่งพักเพราะยังไม่ถึงเวลาทำการของ รถไฟฟ้า airport express ที่เป็นรถไฟฟ้าที่เชื่อมต่อระหว่างสนามบินกับระบบรถไฟฟ้าที่วิ่งในเมือง


ทางไปรถไฟฟ้า

อันที่จริง ชั้นล่างก็มีรถประจำทางนะ ดูๆ ก็มีหลายสายเลย แต่เราก็ไม่ไปเพราะถึงแม้ว่าจะออกจากตรงนี้ไปได้แล้วเราก็ไม่รู้ว่าพอเข้าเมืองแล้วเราจะไปยังไงต่อ รอไปตามแผนที่ของที่พักที่แนะนำให้ไปโดยรถไฟฟ้าดีกว่า พอหาที่นั่งพักได้ เราก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร เพื่อนเราก็เลยใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์โดยการนอนเพราะตอนนี้ก็เพิ่งตี 1 กว่าๆ อีกนานเลยกว่าจะหกโมง แต่เรานอนไม่หลับก็เลยไปเดินเที่ยว ลองเดินไปดูให้ทั่วๆ สนามบิน









หลังจากที่สำรวจสนามบินปักกิ่งที่กว้างขวางพอๆ กับสุวรรณภูมิ ก็ลองเดินออกไปสัมผัสอากาศด้านนอก ไปลองสัมผัสอุณหภูมิที่แท้จริง ก้าวแรกที่เปิดประตูออกไป(โดยทิ้งเพื่อนให้เฝ้าของไว้) แทบจะกลับเข้ามาไม่ทัน หายใจออกมาเป็นไอทุกครั้งเลย หนาวยิ่งกว่าตอนอยู่ตรงงวงช้างอีก ขนาดที่ว่าเข้าไปแต่งตัวเต็มยศแล้วเสื้อผ้าที่เตรียมมากะใส่ทั้งทริปถูกประเคนลงมาบนร่างจนเกือบหมด ที่ใส่ไม่หมดเพราะมันใส่จนคับแล้ว พร้อมทั้งหน้ากากและถุงเท้าถุงมือ จัดซะขนาดนี้ เอาไม่อยู่คร้าบท่านผู้ชม หนาวสะท้านมาก ก้าวขาแทบไม่ออก อย่างนี้จะเที่ยวไหวมั๊ยเนี่ย เดี๋ยวรอเข้าเมืองแล้วต้องไปหาอุปกรณ์เพิ่มซะแล้ว ไม่งั้นไม่รอดแน่




ตอนตี 2 ก็มีรถเข้าเมือง แต่เราไม่รู้ว่าถ้าขึ้นไปแล้วจะลงตรงไหนนี่ดิ




ที่นั่งรอรถ แต่ไม่มีใครนั่งเพราะมันหนาวมากกกก ตรงนี้ มีแผนที่ฟรีแจกนะจ๊ะ


โบร์ชัวร์แจกฟรี แนะนำที่ท่องเที่ยว สายรถและแผนที่


มีแผนที่ของรถใต้ดิน แต่อ่านไม่ออก 555


พอ 6 โมง เราก็เดินไปขึ้นรถไฟฟ้าตั้งใจว่าจะซื้อตั๋วอี้ข่าท่ง ที่เป็นบัตรเติมเงินรถไฟฟ้าเพื่อความสะดวกในการเที่ยวในเมืองแต่ปรากฏว่ายังไม่ขาย เราก็เลยต้องซื้อตั๋วเที่ยวเดียวกันก่อน

หลังจากนั่งมาได้ประมาณครึ่งชั่วโมง ก็มาถึงสถานี ตงจื่อเหมิน (DongZhiMen)ที่เป็นสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสายในเมือง (ต่อไปเราจะเรียกทับศัพท์ว่า “ตี้เถียะ”) ที่เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสนามบิน เราต้องเปลี่ยนรถไปลงที่สถานีจางจื้อจงลู่ (ZhangZhiZhongLu)เพื่อไปที่พัก เอาของไปเก็บและมาตั้งหลักว่าจะเอายังไงกันต่อ

หลังจากพักพอหายหนาว เราก็มาคิดกันว่าเราควรเปลี่ยนแผนจากการไปเที่ยวกู้กงวันนี้เป็นไปช๊อปปิ้งกันก่อนมิฉะนั้นจะไปไหนไม่ได้เลย เพราะมันหนาวมาก แต่ก่อนอื่นเราต้องหาตั๋วไปกำแพงเมืองจีนกันในวันพรุ่งนี้ก่อน เพราะจากรีวิว ตั๋วรถไฟถ้าไม่จองก่อนจะไม่มีที่นั่ง ตามแผนถ้าเราได้ตั๋ว พรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวกำแพงเมืองจีนด่านซานไห่กวนและด่านเหล่าหลงโถวกัน




เมื่อขึ้นมาถึงข้างบน เจอสถานีรถไฟอันใหญ่โต คนเยอะมาก ยืนต่อคิวตรงเคาเตอร์ทั้งหลายที่อยู่หน้าสถานี เคาเตอร์เยอะเหมือนหมอชิต 2 แต่ไม่รู้เค้าทำอะไรกัน เราเลยเดินไปด้านข้าง เพราะเห็นคนเดินเข้าไปตรงประตูนั้น ปรากฏว่าห้ามเข้าเพราะตรงนั้นเป็นประตูทางออกของคนที่เดินทางออกมาจากรถไฟ เอาแล้วไงทำไงดี ไงๆก็ต้องได้ไปนะ ตั้งใจว่าจะไปถามตำรวจที่อยู่ข้างหน้า ตาก็ดันเหลือบไปเห็น ป้าย Ticket Office ตัวโตๆ แปะไว้ที่ต้องตะแคงคออ่านถึงจะอ่านได้


เหมือนในหัวลำโพงเลย


หลังจากนั้น เราก็เดินเข้าไปตรงส่วนนั้นทันที แวบแรกที่เข้ามา เหมือนมาในสถานีหัวลำโพง แต่มีเคาท์เตอร์อยู่หลายเคาท์เตอร์ คนมากมายกำลังต่อคิวซื้อตั๋ว เอาละเพื่อความชัวร์เดินไปถามที่ Information ซะหน่อยว่าจะขึ้นไปฮาร์บิ้นและซื้อตั๋วไปซานไห่กวนยังไง เจ้าหน้าที่บอกให้เราไปต่อแถวที่เคาท์เตอร์ 16 สำหรับเอาตั๋วออนไลน์ไปขึ้น เราก็เลยไปต่อแถวที่ยาวๆแถวนั้น ต่อมาได้พักใหญ่ อยู่ดีๆ เจ้าหน้าที่ก็บอกให้ทั้งแถวย้ายไปต่อแถวอื่น แถวนี้ปิดแหล่ว อ้าวแล้วเคาเตอร์อื่นจะขึ้นตั๋วได้ป่าวเนี่ย ก็ลองดูเถอะ พอถึงคิวเราก็ขึ้นตั๋วและซื้อตั๋วไปซานไห่กวน ก็ทำได้นินา แต่ต้องพูดซาวน์แทรกไม่มีซับไทยเท่านั้นหละ การซื้อตั๋วที่นี่ ทุกคนต้องแสดงบัตรประจำตัวประชาชน แต่เราเป็นนักท่องเที่ยวก็เลยแสดงพาสปอร์ต แล้วเจ้าหน้าที่ก็จะคีย์ข้อมูลเข้าไปในเครื่องแล้วค่อยออกตั๋วที่มีชื่อผู้โดยสารออกมาเลย เราได้ตั๋วไปซานไห่กวน พรุ่งนี้เที่ยว 7.37 น. ปักกิ่ง-ต้าเหลียนเป่ย


ในที่สุดก็จะได้ไปปีนกำแพงกันแล้ว


ได้ตั๋วมาแล้วจ้า


หลังจากนั้น เราก็ไปหาซื้ออุปกรณ์กันหนาวกันที่ห้างหน้าสวนสัตว์ ตามที่อ่านรีวิว ลงตี้เถียะสถานี สวนสัตว์ (Beijing Zoo) ห้างที่ไป เป็นห้างที่คล้ายๆ แพลตินั่มบ้านเราแต่เล็กกว่ามาก เป็นห้างสำหรับขายเสื้อผ้าโดยเฉพาะ แล้วเราก็ได้อุปกรณ์ช่วยชีวิตตลอดทริป เป็นเสื้อกันหนาวกับเลกกิ้งที่ไม่เหมือนที่ขายที่ไทย แต่เอาอยู่เลย จริงๆ ไปคราวนี้ก็อยากเห็นหมีแพนด้าตัวจริงของเมืองจีนนะว่าเลี้ยงเหมือนช่วงช่วง หลินฮุ่ยบ้านเราป่ะ แต่เวลาก็ไม่เหลือแล้ว ทั้งวันยังไม่ได้ไปไหนเลย

เมื่อช๊อปเสร็จแล้วก็ได้เวลาไปเที่ยวซักที ดูเวลาแล้วคงจะพอไปวัดลามะกันได้ เราก็เลยนั่งตี้เถียะลงสถานียงเหอกง (YongHeGong)

ระหว่างทางเดินจากตี้เถียะไปวัดลามะ สองข้างทางเป็นหูถง บ้านเก่าที่ทางการจีนอนุรักษ์ไว้ ชาวบ้านขายของที่ระลึกและอาหารกันที่หูถง บรรยากาศเหมือนร้านขายของตรงข้ามวัดพระแก้ว เจอร้านที่ขายโยเกิร์ตแล้ว ขวดละ 5 หยวน เป็นขวดกระเบื้อง อ่านในรีวิวเค้าว่า อร่อยมาก ต้องลองซะหน่อย จากที่ลองกิน รสชาติเหมือนดัชชี่รสธรรมชาติเลย ที่นี่ตู้แช่น้ำไม่ได้เป็นตู้เย็น เหมือนบ้านเรา แต่เป็นตู้อุ่น เพราะที่นี่หนาวมาก






หลังจากเดินมาถึงวัดลามะ ก็ตกลงกันว่าจะเข้าไปดูแต่ต้องรีบหน่อย เพราะตอนมาถึงก็เกือบจะสี่โมงเย็นแล้ว วัดลามะปิดห้าโมง





วัดลามะเป็นวังขององค์ชายหย่งเหอมาก่อนพอขึ้นเป็นกษัตริย์หย่งเจิ้งก็ว่างไว้ พอกษัตริย์เฉียนหลงที่เป็นโอรสขึ้นครองราชย์ก็เลยให้เป็นวัดพระลามะอยู่



ป้ายมีตัวอักษร 2 ภาษา คือ ภาษาจีนกลาง กับ ภาษาแมนจู


นี่ก็ 2 ภาษา








มีประวัติแต่ละตำหนักจารึกอยู่บนแท่นหินด้านหน้า




เป็นเรือนต่อจากรูปบนนะจ๊ะ ถ่ายไม่หมดในรูปเดียว


จริงๆ แล้ว ด้านในแต่ละตำหนัก จะมีพระพุทธรูปแบบธิเบตปางต่างๆ เช่น พระอวโลกิเตศวร พระโพธิสัตว์ หลายๆ รูป และมีแท่นสักการะ แต่ห้ามถ่ายรูป เลยได้แค่เก็บบรรยากาศรอบนอก ก็เพิ่งจะรู้นะว่าเจเนอเรชั่นในหนังจีน คังซี> หย่งเจิ้ง>เฉียนหลง นี่มันของจริง

หลังจากออกมาจากวัดลามะเราก็กลับไปพักเอาแรง เพื่อหกโมงเย็นก็ได้เวลามาท่องราตรีที่หวังฟู่จิ่ง

หลังจากพักผ่อนเอาแรงกันพอแล้ว ก็ได้เวลาท่องราตรี 555 ด้วยอุปกรณ์ที่พร้อมกว่าเมื่อเช้า เราตกลงกันว่าเราจะเอาชุดที่ไปซื้อกันเมื่อบ่ายไปลองซะหน่อย เพื่อดูว่าพรุ่งนี้จะรอดหรือไม่รอดที่กำแพงเมืองจีน ชุดที่ใส่ก็มี เสื้อฮีทเทคกับเสื้อกันหนาวขนเป็ด ใส่ 2 ตัวเท่านั้น ส่วนกางเกง มี กางเกงเลกกิ้งอย่างหนา และ กางเกงผ้าร่ม น้อยกว่าเมื่อเช้าอย่างเห็นได้ชัด เอาผ้าพันคอไปกันเหนียวด้วย เมื่อชุดพร้อม เราก็ออกเดินทางกันตอนหกโมงเย็น โดยเริ่มที่ตี้เถียะสถานี จางจื้อจงลู่ อันเป็นสถานีหน้าบ้านของเรา (แหม อยู่ไม่ถึงวันเรียกหน้าบ้าน) เป็นสาย 5 นั่งไป ตงตาน Dongdan เพื่อเปลี่ยนเป็นสาย 1 ไปสถานีหวังฝูจิ่ง Wangfujing ที่เป็นจุดหมายปลายทางของเรา เมื่อถึงสถานีปลายทาง ทางออกจะอยู่ใต้ห้างหัวมุมถนนหวังฝูจิ่งเลย เราต้องเดินชิลล์ในห้างพื่อหาทางออกกันหน่อย อันที่จริงมันวนไปเวียนมาจนเราหาทางออกไม่เจอ 555 และหลงอีกทีตอนกลับ เมื่อออกมานอกห้างได้แล้ว เราจะพบกับถนนที่มีแต่ห้างสรรพสินค้า แต่เหมือนจะเป็นถนนคนเดิน เพราะปิดไม่ให้รถเข้า เอาละมาถึงแล้ว ไปหาจุดหมายของเรากันเลย ถนนอาหารนั่นเอง

ถนนอาหารของหวังฝูจิ่ง โด่งดังมากใครมาเที่ยวปักกิ่งถ้าไม่ได้มาก็เอาไปคุยได้ไม่เต็มปากว่ามาถึงปักกิ่งแล้ว เราเลยต้องมาซะหน่อย อันที่จริงเมื่อขึ้นมาถึงก็ยังนึกกังวลว่ามันจะไปหาเจอได้ไงฟระ มีตั้งหลายซอย แต่เอาเข้าจริง มันไม่ได้หายากขนาดนั้นเพราะหน้าถนนมีร้านอาหารตั้งเรียงราย และมีของแปลกๆ ขายตั้งแต่ทางเข้า ส่วนใหญ่ของที่ขายเป็นกิมมิกของที่นี่ก็จะเป็นของแปลกย่าง เช่น ดาวทะเลย่าง แมลงย่าง แต่ของอื่นๆ ที่มีเช่น เนื้อย่าง แพะย่าง โยเกิร์ต ติ่มซำ เต้าหู้เหม็นย่าง-ทอด ไข่ไส้หมูสับและที่ขาดไม่ได้คือถังหูลู่ และเราก็เริ่มทำงานเลยก็คือ ชิม
สิ่งแรกที่เราลองชิมเมื่อมาถึง คือ ถังหูลู่ เจ้าที่เราซื้อคือเจ้าแรกที่เจอเมื่ออกมาจากห้าง ยังไม่ได้เข้าถนนอาหารเลยนะเนี่ย ร้านนี้เป็นร้าน คีออส อยู่ริมถนน แต่เป็นคีออสใหญ่ มีถังหูลู่และน้ำขาย จากสายตานักท่องเที่ยวที่เพิ่งเคยเห็นร้านประเภทนี้เป็นครั้งแรก มันก็ต้องตื่นตาตื่นใจเป็นธรรมดา มีผลไม้หลากหลายเสียบไม้เคลือบน้ำตาล สตรอเบอรีลูกใหญ่มาก เสียบไม้ ก็ทำให้อดใจไม่ไหวต้องลองซื้อมาชิมกัน ถังหูลู่ที่เราซื้อมาชิมเป็นประเภทซานจาบดแล้วทำเป็นแผ่นๆ เหมือนปลาแผ่น (แบบดั้งเดิมเป็นลูกๆ เสียบไม้) เคลือบด้วยน้ำตาลบางๆ ไม่แข็งมาก กรอบๆ พอให้เคี้ยวกรุบกรับ หวานๆ ผสมกับรสเปรี้ยวของซานจาข้างใน เข้ากันดีเลย แต่ราคาสูงไปซักหน่อย ตั้ง 15 หยวน แต่เราก็คิดว่าสงสัยเป็นราคาแหล่งท่องเที่ยว และหลังจากนั้นเราก็เดินเข้าไปเที่ยวถนนอาหาร ที่ยาวประมาณ 500 เมตร มีร้านตั้งเรียงรายกันแน่นขนัด พ่อค้าแม่ค้าเรียกลูกค้ากันอื้ออึง อาหารในถนนอาหารนี้ถือว่าแพงใช้ได้ ไข่นึ่งไส้หมูสับ 4 ชิ้น ราคา 25 หยวน นึกว่าจะอร่อยขนาดไหน โธ่แค่ไข่ต้มไส้หมูสับใส่ซีอิ๊วปรุงรส แสดงว่าราคาในนี้เป็นราคาแหล่งท่องเที่ยวโดยแท้จริง หลังจากชิมกันจนพอใจ ทั้งที่ไม่ค่อยอิ่มท้องแต่กลัวกระเป๋าแฟ่บซะก่อนก็เราก็เลยตกลงกันว่ากลับกันเถอะ พรุ่งนี้จะได้ตื่นเช้าๆ เพราะเราต้องไปถึงสถานีรถไฟเช้ามากๆ กลัวตกรถไฟ และตกลงกันว่าจะซื้อมาม่าไปเป็นเสบียงสำหรับพรุ่งนี้เช้า และเดินหาร้านสะดวกซื้อแต่ก็ยังหาไม่ได้ เมื่อมาถึงทางเข้าที่พักเราก็เลยตัดสินใจเดินเข้าไปถามร้านเล็กๆ ย้ำเล็กมากๆ แต่มีทุกอย่างที่เราต้องการครบ เราก็เลยสอยมาม่ามา 2 ชามก่อนกลับที่พัก สรุปว่าอาหารที่อร่อยที่สุดในวันนี้คือ ถังหูลู่ ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ใหม่ในวันนี้ และสุดท้ายขอบคุณชุด ที่ช่วยชีวิตและทำให้การท่องเที่ยวครั้งนี้ไปได้สวย
ปล. สายรถไฟฟ้าตี้เถียะจะมีการพัฒนาตลอด แผนที่ที่ได้จากในเน็ตจึงอัพเดท ดังนั้นให้ไปเอาที่สนามบินชั้นล่างเกท 7 หน้าที่ขายตั๋วรถเข้าเมือง ไม่งั้นก็ไปดูในสถานีทุกสถานี เมื่อขึ้นรถไปแล้วก็จะมีประกาศและมีไฟบอกว่าตอนนี้เราอยู่ที่สถานีไหนแล้วตรงเหนือประตูด้วย



Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2560
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2560 21:14:41 น. 2 comments
Counter : 1045 Pageviews.

 
เอนทรี่ล่าสุด หากล่องคอมเมนท์ไม่เจอค่ะ (ภาพในบล็อกใหญ่มาก)

ขอบคุณที่แวะทักทายกันค่ะ



โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา:21:18:46 น.  

 
ขอบคุณที่บอกค่ะ จะรีบแก้โดยด่วน


โดย: HappyMorning วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา:19:14:00 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
space

HappyMorning
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






space
space
[Add HappyMorning's blog to your web]
space
space
space
space
space