ชนะตัวเองให้ได้ เย้!
ตอนที่ 2

"อ๊ากกกก!!!"
ผมลุกพรวดขึ้นมาจากที่นอนพร้อมกับรีบลูบๆ คลำๆ ไปตามร่างกาย ไม่สนใจเหงื่อกาฬที่ไหลท่วมตัวจนเปียกแฉะ เมื่อพบว่าเสื้อผ้ายังอยู่ติดตัวครบก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
"โอย.... ค่อยยังชั่วที่เป็นแค่ฝัน นึกว่าจะถูกทำประตูหลังก่อนได้ประตูหน้าซะแล้ว"
ผมบ่นหงุงหงิงเพราะเพิ่งตื่นจากฝันร้ายมาหมาดๆ อย่าให้ผมสาธยายเลยว่าฝันเรื่องอะไร กรุณาไปจินตนาการกันเอาเองเถอะครับ เพราะมันสยองขวัญยิ่งกว่าหนังเรื่อง ซอว์ ปะทะ ล่อมาชำแหละ เสียอีก
ผมมองนาฬิกาปลุกที่วางไว้ข้างหมอน เกือบหนึ่งทุ่มแล้ว ผมจึงลุกขึ้นจากที่นอนเพื่อจะไปอาบน้ำ แต่ก็ต้องชะงักหน้าประตูตู้เสื้อผ้าและเหลียวมองไปรอบห้อง
....เจ้าปิศาจนั่นไม่อยู่....
ผมกระพริบตาปริบๆ เริ่มไม่แน่ใจว่าปิศาจตนนั้นเป็นความจริงหรือว่าเป็นความฝันของผมกันแน่ มองข้างตู้ก็ไม่เห็นกระเป๋าเสื้อผ้าที่เจ้านั่นถือตอนลากผมขึ้นมาบนห้อง
"ตกลงว่าเรื่องทั้งหมดนี่ เราฝันไปเองหรือไงวะ..." บ่นกับตัวเองเสร็จก็ถอดเสื้อผ้าและนุ่งผ้าเช็ดตัว หยิบเสื้อยืดสีขาวเนื้อบางออกมาตัวหนึ่งแล้วเดินลงไปชั้นล่าง เห็นแม่ยืนหันหลังให้ผม คงกำลังตักน้ำแกงอยู่เพราะบนโต๊ะมีกับข้าวที่ทำง่ายๆสองอย่างวางไว้แล้ว ผมตรงเข้าไปหยิบลูกชิ้นทอดใส่ปากก่อนเดินเข้าห้องน้ำทั้งที่ยังไม่กลืนลูกชิ้นลงคอ
ห้องน้ำบ้านผมไม่มีกลอนประตู เราใช้ตะปูตัวเดียวยึดประตูไว้กับวงกบด้วยวิธีหมุน แต่เพราะบ้านนี้มีแค่ผมกับแม่และประตูก็ค่อนข้างฝืดจึงมักไม่ค่อยใช้บริการเจ้าตะปูน้อยเท่าไหร่นัก ดังนั้นตามความเคยชิน หลังจากปิดประตูผมก็มักถอดผ้าขนหนูออกและพาดไว้กับราวตากผ้า แต่พอหันไปจะหยิบขันตักน้ำ ตาของผมก็ได้เห็น....
"อ๊อก!!"
ภาพตรงหน้าทำให้ลูกชิ้นที่ยังไม่หมดดีในปากหลุดลงคอไปเกือบทั้งหมด โชคร้ายที่มันดันลงไปในหลอดลมแทนที่จะเป็นหลอดอาหาร ผมจึงทรุดตัวลงสำลักพลางทุบอกด้วยความทรมาน ตัวต้นเหตุรีบปราดเข้ามาหา และใช้ปลายนิ้วเย็นของหมอนั่นสัมผัสที่ลำคอผมและลากไล่ขึ้นมาจนถึงปลายคาง ไล้เรื่อยต่อจนหยุดที่ริมฝีปาก ความรู้สึกตอนนี้ทั้งทรมานทั้งจั๊กจี้ไปพร้อมๆ กัน
"โอ๊ก!!"
ลูกชิ้นที่ยังย่อยไม่หมดหลุดออกมาจากหลอดลมจนได้ ผมไอค่อกแค่กพลางนึกไปว่าโชคดีที่มีเจ้านี่อยู่ไม่งั้นผมคงตายไปแล้ว....
ไม่สิ! เพราะว่ามีเจ้านี่อยู่ต่างหากผมถึงเกือบตาย!!
"แกขะ......." เสียงหลุดจากคอหอยผมแค่นั้นแหละครับ เพราะเพิ่งสำนึกได้ว่าตัวเองอยู่ในสภาพไหน กับคน(?)ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นตัวอันตราย แถมเจ้านั่นก็อยู่ในสภาพเดียวกับผมเหมือนกัน
"จ๊ากกกก!!"
ร้องเสร็จปุ๊บก็โกยอ้าวออกมาจากห้องน้ำวิ่งขึ้นชั้นสอง ไม่สนใจเลยว่าตัวเองจะอยู่ในสภาพไหนในสายตาแม่ รู้แต่ว่าตอนนี้ผมต้องหนีไปให้ไกลจากไอ้ตัวที่อยู่ด้วยกันกับผมในห้องน้ำ แล้วยังโป๊เหมือนกันอีก
"โอ๊ย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ช่วยลูกช้างด้วย"
ผมภาวนาขณะหยิบเสื้อผ้าในตู้มาสวม เหตุผลคือเพื่อพยายามสลัดภาพล่อแหลมที่ได้เห็นเมื่อกี้ให้หลุดจากสมองโดยเร็ว แต่จนแล้วจนรอดผมก็อดเปรียบเทียบหุ่นผอมแห้งของตัวเองกับหุ่นที่เหมือนนายแบบหลุดออกมาจากนิตยสารของเจ้านั่นไม่ได้
"แล้วจะคิดทำไมล่ะโว้ย ฮือ...." คิดแล้วก็ต้องตีอกชกหัวตัวเอง ขยี้ผมจนยุ่งเหยิง จนกระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามด้วยเสียงร้อนรนของแม่
"เต้ เป็นอะไรหรือเปล่าลูก เมฆบอกว่าลูกสำลักลูกชิ้น"
"ไม่เป็นไรครับแม่" ผมตะโกนออกไป นอกจากไม่อยากเสียฟอร์มแล้วยังไม่อยากเห็นเจ้าปิศาจเมฆนั่นอีกพักใหญ่ๆ ด้วย
หลังจากนั้นผมได้ยินเสียงแม่ถอนหายใจอยู่หน้าประตูห้อง ก่อนประโยคถัดมาจะดังขึ้น
"ถ้าไม่เป็นอะไรแล้วก็ลงไปกินข้าว... เอ... หรือจะอาบน้ำก่อน ห้องน้ำว่างแล้วนะ"
"สักพักนึงครับแม่ เดี๋ยวลงไป"
ที่จริงแล้วอยากลงไปใจจะขาดเพราะท้องของผมมันส่งเสียงประท้วงแล้ว แต่จะทำไงดีล่ะ ยังไม่อยากเห็นเจ้าปิศาจตอนนี้นี่นา...
ในขณะที่ผมกำลังสับสนอยู่นั้นเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง
"แม่ เดี๋ยวผมลงไปฮะ"
"นายต้องออกมาเดี๋ยวนี้ หรือจะให้ฉันเข้าไปลากนายออกมา"
เสียงเจ้าปิศาจเมฆนั่นเอง ผมเกือบหลุดเสียงจ๊ากออกไปแล้วดีว่าตะครุบปากตัวเองได้ทัน ก่อนจะรีบปรับเสียงให้เป็นปกติ
"มะ... มีอะไร" โธ่... เสียงยังสั่นจนได้สิน่า
"ฉันมาตามนายให้ลงไปกินข้าว นายกำลังทำให้แม่ของนายเป็นห่วงอยู่นะ"
หนอยแน่... กล้าดียังไงเอาแม่มาขู่ฉัน ถ้าแกไม่ทำแบบนั้นกับฉันก่อน ฉันจะสติแตกอย่างนี้เรอะ!
ได้แต่คิด ไม่กล้าพูดออกไป ผมนิ่งเงียบเพื่อทำใจก่อนลุกขึ้นยืนและเอื้อมมือไปเปิดประตูห้อง ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าเจ้านั่นยังยืนอยู่แต่ผมก็ไม่อาจควบคุมตัวเองไม่ให้สะดุ้งได้ เจ้าปิศาจร้ายจ้องผมเขม็ง
"อย่าทำพิรุธให้แม่นายจับได้ล่ะ คราวหน้าฉันไม่ปรานีนายอีกแน่"
ปรานีเรอะ! แกจะมาปรานีฉันเรื่องอะไรวะ หา!!
ไม่กล้าตะโกนด่าอีกแล้ว ได้แต่ถลึงตาจ้องเงียบๆ ก่อนเดินตามหลังเจ้านั่นลงไปข้างล่าง แม่นั่งเอามือก่ายหน้าผากบนโต๊ะญี่ปุ่นที่มีอาหารเตรียมไว้อยู่แล้ว เห็นท่าทางแบบนั้นของแม่ผมก็เริ่มเสียใจ
"แม่ ผมขอกินข้าวก่อนแล้วค่อยอาบน้ำนะ"
แม่เงยหน้าขึ้นมองผมแล้วยิ้ม หันไปตักข้าวใส่จานโดยที่ไม่ได้พูดอะไร แต่คนสอดกลับเป็นเจ้าปิศาจที่รีบถลาไปนั่งลงตรงโต๊ะเพื่อเตรียมตัวกินข้าว
"น่ากินจังครับ คุณน้า" ว่าจบเจ้านั่นก็หยิบลูกชิ้นทอดเข้าปาก... เออแฮะ... เพิ่งรู้ว่าปิศาจกินลูกชิ้นทอดได้
ผมนั่งลงข้างแม่ บอกขอบคุณขณะรับจานข้าวจากแม่ก่อนปรายตามองเจ้าปิศาจรูปหล่อ ไม่อยากเชื่อว่านอกจากลูกชิ้นทอด เจ้านั่นก็กินข้าวอย่างมนุษย์เป็น แถมกินได้อย่างน่าเอร็ดอร่อยเสียด้วย ทั้งที่กับข้าวก็พื้นบ้านขนาดนั้น แถมพอกินข้าวเสร็จเมฆยังอาสาเป็นคนเก็บถ้วยชามไปล้างซะอีก ส่วนผมเก็บกับข้าวที่เหลือและเช็ดโต๊ะ ส่วนแม่เอางานฝีมือที่รับจ้างไว้ขึ้นมาทำ
ก่อนตายพ่อผมได้ทำประกันชีวิตไว้จำนวนหนึ่งครับ ถ้าพวกผมกระเหม็ดกระแหม่ก็จะยังมีใช้ไปจนกว่าผมจะเรียนจบและหางานทำได้ ถึงอย่างนั้นแม่ก็ชอบหางานฝีมือเล็กๆ น้อยๆ มาทำที่บ้าน ดังนั้นผมจึงรู้สึกผิดทุกทีที่เอาเงินไปหยอดตู้เกม แต่นั่นก็เป็นความสุขที่คนเพื่อนน้อยอย่างผมจะหาได้นี่นา
"รู้สึกยังไงที่ต้องเห็นแม่ทำงานหาเงิน แล้วนายก็เอาเงินนั่นไปเล่นเกม" เสียงนุ่มที่กระซิบอยู่ข้างหูทำให้ผมสะดุ้งและรีบหันไปมอง เห็นรอยยิ้มเยาะบนใบหน้าหล่อของเจ้าปิศาจร้าย
"อย่ามาพูดดี ไอ้กาฝาก แกนั่นแหละทำไมไม่ไปหาเกาะคนรวยๆ กินวะ เข้ามาอยู่ในบ้านคนจนอย่างฉันต้องการอะ...." อยู่ๆ เสียงของผมก็หายไปอีกแล้ว แต่ครั้งนี้ผมพอจะรู้สาเหตุ
"มีอะไรหรือจ๊ะ" แม่ผมหันมาถาม
"ไม่มีมากครับ เต้เขาอยากให้ผมช่วยสอนการบ้านให้" เจ้าปิศาจนั่นโอบไหล่ผมอีกแล้วก่อนพูดต่อ "ไป เต้... ทำการบ้าน"
ผมถูกลากขึ้นไปบนห้องอีกครั้ง เมื่อเข้าไปในห้องผมรีบหันไปคว้าไม้บรรทัดไว้ป้องกันตัวเผื่อเจ้านั่นจู่โจมเข้ามาอีก แต่พอลงกลอนประตูเสร็จ เจ้านั่นก็เดินไปนั่งบนที่นอนโดยไม่สนใจผมเลย
เกือบสองทุ่มแล้ว และเจ้าปิศาจก็คืนรูปลักษณ์เดิมของมันอีกครั้ง จะว่าไปก็ไม่ได้น่ากลัวเท่าไหร่ แค่มีเขางอกออกมาเท่านั้น อาจเป็นเพราะผมเริ่มชินแล้วก็ได้ เอาล่ะ... ในเมื่อไม่กลัวมากแล้วก็ได้เวลารีดข้อมูลสักที
"นายต้องการอะไร" ผมเริ่มคำถามเดิมอีกครั้ง
"ฉันว่าฉันตอบไปแล้วนะ"
เออ.. จริงแฮะ...
"แล้วนายจะเกาะเป็นกาฝากที่บ้านฉันไปจนถึงเมื่อไหร่"
"นี่ก็ตอบไปแล้ว"
เอ๊ะ! ไอ้บ้านี่... "นายมาเกาะคนจนอย่างฉันกินนะเฟ้ย จะมาบอกว่าไม่รู้ไม่ได้ ข้าวแต่ละมื้อแม่ฉันก็ต้องจ่ายเงินเหมือนกัน ทำไมนายไม่ไปหาพวกคนรวยๆ ล่ะ อย่าง...." ผมกลืนน้ำลายลงคงเมื่อคิดถึงคู่อริ ทันใดนั้น ความคิดชั่วร้ายก็พลันวาบขึ้นมาในหัว
"ฉันจะแนะนำคนรวยให้ รับรองว่านายจะได้ความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้หลายขุม" ผมมองร่างสูงใหญ่กว่าอย่างมีความหมาย
"นายจะได้นอนเตียงนุ่มๆ ไม่ใช่ฟูกเก่าๆ เหม็นหืนแบบนี้ แล้วนายก็จะได้กินข้าวในร้านอาหารฟาสฟู้ดส์ทุกมื้อ หรือบางที เขาอาจพานายไปกินข้าวตามโรงแรมหรือภัตตาคารหรูๆ ก็ได้ หรือ..."
ผมชะงักคำพูดไว้แค่นั้น ไม่ใช่เพราะโดนเวทย์มนตร์อะไรหรอก แต่เพราะดวงตาเรียวยาวสีม่วงเข้มนั่นกำลังจ้องหน้าผมอยู่ น่าแปลกที่ผมรู้สึกเหมือนกำลังถูกอ่านใจยังไงพิกล
"ฉันมีเหตุผลที่มาอยู่ที่นี่ และจะบอกอะไรให้ ไอ้คนที่นายกำลังจะยัดเยียดให้ฉันน่ะ มันไม่น่ากินเท่านายหรอก"
น่ากิน... ไม่นะ.... อย่าบอกนะว่า....
"ที่แกมานั่งอยู่ตรงนี้เพราะเห็นฉันเป็นอาหารหรือไงวะ!!"
เจ้านั่นแย้มรอยยิ้มขึ้น ถึงจะดูดีมากแต่ผมก็ไม่นึกชื่นชมเลยสักนิด มันเหมือนกับจะให้หนูบ้านชื่นชมความสวยของแมวพันธุ์เปอร์เซียที่เห็นตัวเองเป็นเมนูเด็ดลงได้ยังไง
"ก็ใช่น่ะสิ นายนึกว่าฉันกินข้าวเป็นอาหารหรือไง ไร้เดียงสาจังนะไอ้หนู" ดวงตาเรียวของเจ้าปิศาจหรี่ลงเล็กน้อยก่อนส่งเสียงกระซิบขู่
“สักวัน...ฉันจะกินนายทั้งตัว ไม่ให้เหลือเลยคอยดูสิ”

เช้าวันเสาร์อากาศแจ่มใสดีทีเดียว แต่กว่าที่ผมจะตระหนักถึงเรื่องนี้ได้ก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยง เพราะคำขู่ของเจ้าปิศาจโรคจิตเมื่อคืนวานนั่นแหละที่ทำให้ผมนอนไม่หลับ
ผมไม่อาจแสร้งทำไร้เดียงสาแปลความหมายที่มันพูดไว้ไปเป็นอย่างอื่น ก็การกระทำมันชัดเจนขนาดนั้นนี่นะ ดังนั้น ผมจึงต้องขวัญผวาแทบทั้งคืนเพราะกลัวว่ามันจะ ‘กิน’ ผมอย่างที่ปากพูด ที่ไหนได้... พอหัวถึงหมอน มันก็นอนกรนคร่อก ไม่สนใจผมที่นั่งตัวสั่นหวาดระแวงอยู่ข้างๆ เลย
คิดแล้วก็เริ่มโมโห ผมจึงออกจากบ้านในช่วงบ่ายแก่ๆ ตั้งใจว่าจะไปเล่นเกมที่เกมเซนเตอร์คลายเครียดสักหน่อย แต่พอเดินมาถึงประตูบ้าน เจ้าปิศาจร้ายที่ยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ก็หันมาส่งยิ้มให้ ยิ้มหวานจ๋อยแต่คำพูดของมันนี่สิ…
“ยังคิดจะเอาหยาดเหงื่อของแม่ไปหยอดตู้เกมอีกหรือไง”
“ไม่ใช่กงการอะไรของแก” ผมตัดบทแล้วรีบฉีกตัวออกไป แม้อยากจะเดินเข้าไปบีบคอไอ้คุณเมฆให้หายแค้น แต่อย่าลืมสิครับ ว่ามันเป็นปิศาจนะ
ทว่าในตอนที่ผมเดินสวนมัน เจ้าเมฆกลับทิ้งสายยางแล้วดึงแขนผมให้เข้าไปใกล้ ถึงผมจะสะดุ้งและออกแรงผลักโดยสัญชาติญาณ แต่ผมตัวเล็กกว่ามันตั้งเยอะแถมแรงก็น้อยกว่า ช่วยไม่ได้ที่ความพยายามนั้นจะสูญเปล่า
“ปล่อยนะเฟ้ย!”
ถึงสู้แรงไม่ได้แต่อย่างน้อยใช้ฝีปากสู้ก็ยังดี ยังไงซะมันก็คงไม่กล้าทำอะไรผมที่ตรงประตูหน้าบ้านหรอก แต่มันก็เป็นอีกครั้งที่ผมคิดผิด เจ้านั่นรวบตัวผมไปกอดดื้อๆ ก่อนจะอุ้มผมตัวลอยเดินเข้าไปในบริเวณบ้าน
“เหวออออ!!”
เมฆเหวี่ยงผมไปชนกำแพงแล้วพุ่งเข้ายึดแขนผมไว้เพื่อไม่ให้ดิ้น ความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นสักนิด เพราะแค่เห็นหน้าหล่อๆ นั่นลอยห่างจากหน้าไม่ถึงสองเซนติเมตรผมก็ไม่กล้าขยับแล้ว
“วันนี้นายต้องอยู่บ้าน”
เสียงสั่งนุ่มเบาแต่สำหรับผมยังไงก็ฟังแล้วชวนขนหัวลุกอยู่ดี ผมรีบพยักหน้าถี่ๆ รับปากเมื่อเห็นประกายระยิบระยับในดวงตาสีม่วงนั่น เจ้าปิศาจเมฆยิ้มก่อนปล่อยผมให้เป็นอิสระ
ผมยืนลูบอกเรียกขวัญตัวเองพักใหญ่แล้วเดินคอตกเข้าไปในบ้าน แต่ยังไม่ทันเอื้อมมือเปิดประตู แม่ผมก็เปิดออกมาจากทางข้างในเสียก่อน
“โชคดีจังที่เต้อยู่ ไปซื้อกับข้าวให้แม่หน่อยได้ไหมจ๊ะ แม่จะรีบทำงานให้เสร็จ”
แม่บอกพลางยัดตะกร้าสานใบเล็กและแบงก์ร้อยใส่มือผม
“ซื้อกับข้าวสำเร็จสักสามสี่อย่างก็ได้ แม่ไม่มีเวลาเข้าครัวเลย”
“ครับ... แม่” ผมยิ้มให้แม่ก่อนหันหลังเดินออกจากบ้าน ไม่ลืมส่งสายตาเยาะเย้ยไปให้เจ้าปิศาจที่ยืนมองตาปริบๆ รดน้ำต้นไม้อยู่ไม่ได้ ทว่าอาการลิงโลดของผมมีได้แค่พักเดียว เมื่อเมฆบอกแม่ผมขณะเดินไปปิดก๊อกน้ำว่า...
“เดี๋ยวผมไปเป็นเพื่อนเต้นะครับ คุณน้า”
“เอาสิ... แม่ฝากน้องหน่อยนะเมฆ” แม่ผมยิ้มแล้วเดินเข้าบ้าน ปล่อยผมให้อ้าปากค้างกับอิสรภาพที่เพิ่งโบยบินจากไป
“แกคิดจะจองล้างจองผลาญฉันไปอีกนานแค่ไหน หา!”
ผมตะคอกใส่นายปิศาจเมฆในระหว่างทางที่พวกเราไปตลาด ตอนนี้ผู้คนค่อนข้างพลุกพล่านผมเลยไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม ผมพยายามเดินห่างจากเจ้านั่นพอสมควร เผื่อเกิดปัญหาขึ้นมาจะได้เผ่นทัน แต่ดูเหมือนเจ้านั่นจะรู้ดี มันเลยเดินกระแซะเข้ามาทั้งที่ผมเร่งฝีเท้าแทบตาย โธ่โว้ย! ขาสั้นกว่ามันเสียเปรียบอย่างนี้นี่เอง
“ฉันบอกนายแล้วไงว่าฉันมีเหตุผล ถ้าเสร็จธุระแล้วฉันก็จะไม่โผล่มาให้นายเห็นหน้าอีก”
“เออ... ฉันจะภาวนาให้นายหมดธุระเร็วๆ ก็แล้วกัน”
ว่าแล้วก็แป้วลงไปเยอะ เจ้าหมอนั่นทำหน้าสลดหดหู่อย่างเห็นได้ชัดจนผมเริ่มใจฝ่อ ไม่รู้จะทำอะไรดีผมเลยชะลอฝีเท้าลงทั้งที่ไม่จำเป็นเลยสักนิด หลังจากนั้นปิศาจเมฆก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลยจนกระทั่งถึงตลาด
ตลาดสดแถวบ้านผมเริ่มตั้งแผงกันตั้งแต่ยังไม่เที่ยง และพอถึงช่วงบ่ายแก่ๆ อย่างนี้คนก็จะเริ่มหนาตาแล้ว ดังนั้นเวลาเดินผ่านแผงก็ต้องทำตัวลีบตัวห่อเข้าไว้ ผมหันไปมองคนที่มาด้วยอย่างเป็นห่วงเพราะรูปร่างสูงใหญ่ขนาดนั้นอาจเดินได้ลำบาก แต่ปรากฏว่าพวกผู้หญิงต่างหลบให้มันกันเป็นแถว ขนาดแม่ค้ายังทำหน้าเพ้อฝันได้กลางวันแสกๆ
เออ... ไม่เกิดมาหล่อมั่งก็ให้มันรู้ไป
ผมทำหน้าหงิก กัดฟันเดินก้มหน้าตรงไปที่ร้านขายกับข้าวสำเร็จรูป เพราะไม่ได้ดูจึงเกือบชนใครคนหนึ่งที่เดินสวนทางมาพอดี
“ขอโท...” ผมเงยหน้าและเหลือกตาขึ้นเพดานทันทีที่เห็นว่าเกือบชนใคร
เจ้าหมอนี่ชื่อ หนึ่ง เป็นลูกคุณนายกิมลั้งเจ้าของตลาดสดแห่งนี้ มันเรียนชั้นเดียวกับผมและอยู่ห้องเดียวกันด้วย คงพอนึกออกใช่ไหมครับว่า ‘เจ้าหนึ่ง’ นี่แหละ คือคนที่ผมพยายามยัดเยียดให้นายปีศาจเมฆ
“ไง... วันนี้มีเงินออกมาซื้อข้าวนอกบ้านหรือไง เต้ กระถินที่บ้านออกยอดไม่ทันเหรอ หรือน้ำพริกหมด?” เห็นหน้าขาวตี๋ที่แสยะยิ้มมุมปากแบบดูถูกคนเหมือนตัวโกงในละครน้ำเน่าหลังข่าวแล้ว ผมรู้สึกคันมือคันเท้าอย่างบอกไม่ถูก แต่วันนี้หนึ่งมันควงแขนมากับสาวน้อยหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มด้วย จำเป็นจริงๆ ที่ผมต้องสวมบทพระเอกผู้แสนดี สงบปากสงบคำและเดินเลี่ยงไปอีกทาง
“เดี๋ยวสิ จะรีบไปไหนเล่า?”
หนึ่งปราดมาดักหน้าผมไว้ ฉีกยิ้มเยาะแบบที่ทำให้ตบะของผมเริ่มแตกดังเปรี๊ยะ
“มีเรื่องอะไรกัน” เมฆเดินเข้ามายืนข้างผมและมองไอ้หนึ่งด้วยสายตาเย็นชา
แม้รูปร่างของไอ้หนึ่งจะจัดได้ว่าสูงใหญ่แต่เมื่อเทียบกับเมฆแล้ว มันตัวเล็กไปเลย และที่สะใจยิ่งกว่าก็คือผมแอบเห็นสาวน้อยที่มากับมันหน้าแดงไปถึงใบหูแล้ว
“นายเป็นใคร?” เสียงของหนึ่งออกแนวหาเรื่องมากจนไม่อาจฟังไปเป็นอย่างอื่น แน่ล่ะสิ! มันคงเสียหน้าที่ผู้หญิงของมันหลงเสน่ห์คนที่หล่อกว่าสูงกว่าไปเรียบร้อยแล้ว แต่ยังครับ... ยังไม่จบ ผมกำลังลุ้นต่อว่าเจ้าปิศาจเมฆจะจัดการยังไงกับศัตรูคู่อาฆาตของผม
“ฉันเป็นญาติของเจ้านี่ เพิ่งมาจากต่างจังหวัดเมื่อวาน” เมฆตอบเสียงเย็นพลางหันมองผม ผมสะดุ้งทันทีที่เห็นว่าดวงตาคู่นั้นมีแววตำหนิอย่างชัดเจน
บ้าชิบ! นี่หมายความว่าเจ้าปิศาจนี่มันอ่านใจได้จริงๆ ใช่ไหมเนี่ย
“อ้อ พวกบ้านนอก” หนึ่งทำเสียงขึ้นจมูกแล้วปรายหางตาเยาะเย้ยมาทางผม “มิน่า กระถินบ้านนายถึงหมดเร็ว มีคนมาช่วยกินนี่เอง”
“บ้านเต้ไม่มีกระถินเพราะคุณน้าทานไม่ได้” เมฆตอบแค่นั้นพลางโอบไหล่รุนตัวผมให้เดินไปอีกทาง ตอนนั้นเองที่หางตาของผมได้เห็นเปลวไฟกำลังลุกพรึบพรับในดวงตาของหนึ่ง
แค่เมฆบอกความจริงว่าแม่ผมกินกระถินไม่ได้นี่เสียหน้าอย่างแรงเลยหรือไงนะ... ผมขมวดคิ้วและกำลังจะหันไปมองคู่ปรับอีกครั้ง แต่เมฆกลับใช้ลำตัวบังผมเอาไว้ก่อนเอ่ยเสียงกระซิบที่ทำให้ผมต้องเปลี่ยนเป็นมองหน้าเขาแทน
“อย่าใส่ใจเจ้านั่นนักเลย”
…คิดไปเองหรือเปล่านะที่เห็นสีหน้าเจ้าเมฆดูตึงๆ พิกล



Create Date : 24 กันยายน 2549
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2553 18:00:36 น. 1 comments
Counter : 236 Pageviews.

 
หนุกดีฮะปี้


โดย: โดโอะจัง IP: 118.175.182.162 วันที่: 4 พฤศจิกายน 2551 เวลา:17:19:17 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รักเฉพาะชายสูงวัย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add รักเฉพาะชายสูงวัย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.