ชนะตัวเองให้ได้ เย้!
ตอนที่ 5

‘ไอ้บ้าเมฆ จำไว้เลยนะ’
ผมคำรามอย่างเคียดแค้น (แน่นอนว่าแค่ในใจเท่านั้นแหละ) ขณะเดินไปตามถนนลูกรังและอีกไม่กี่เมตรข้างหน้าก็จะถึงโรงเรียนแล้ว ผมเขย่งก้าวและกระโดดหลบแอ่งน้ำขังเล็กๆ ที่กระจายอยู่ทั่ว ถึงมันจะดูตลกก็เถอะ แต่ถ้าแลกกับการที่ต้องให้น้ำจากดินแดงนั่นเลอะเสื้อหรือถุงเท้าเข้าล่ะก็ ผมยอมเป็นตัวตลกดีกว่า เพราะมันซักยากจะตายชัก!
ไม่ต้องห่วงครับ เช้าก่อนเข้าเรียนอย่างนี้ไม่ได้มีผมคนเดียวหรอก บรรดานักเรียนส่วนใหญ่ก็ทำแบบเดียวกับผมนั่นแหละ ยกเว้น...
รถฮอนด้า CRV สีดำแล่นมาด้วยความเร็วชนิดไม่กลัวล้อแม็กกระเด็นออกจากตัวถัง เพราะหลุมอุกาบาตหน้าโรงเรียนผมเยอะพอๆ กับดาวอังคาร ไม่ต้องหันหลังไปมองก็รู้ว่ารถใคร ลูกเจ้าแม่ตลาดสด ‘คุณชายหนึ่ง’ นั่นไง! แถมคนขับรถของมันยังปาดซ้ายป่ายขวา ทั้งที่ตอนนี้ทั้งซอยมีแต่เด็กนักเรียนเดินกันให้ขวั่ก
ได้ยินเสียงนักเรียนตะโกนด่าไล่หลังรถสวยนั่นกันขรม แต่ผมไม่มีเวลาหันไปดูและไม่คิดจะหันด้วย ถ้าพลาดแค่เสี้ยววินาที ผมอาจเป็นเหยื่อน้ำมฤตยูที่ทำให้กลายร่างเป็นไอ้ด่างจนกว่าจะขึ้นเทอมหน้าหรือจนกว่าแม่จะมีเงินซื้อเสื้อตัวใหม่ให้ ดังนั้นผมจึงเร่งฝีเท้าไปยังจุดที่ไม่มีน้ำขังและแน่นอนว่าต้องไกลเกินรัศมีล้อแม็กจะวิดน้ำมาโดนเสื้อด้วย
ทว่า...
“เฮ้ย เต้ ไปด้วยกันป่ะ!”
ชะงักเท้าทันใดพลางหันไปทางต้นเสียง ผิดคาดแฮะ! คนที่นั่งอยู่หลังหน้าต่างอัตโนมัติซึ่งเลื่อนลงมาจนสุดในวันนี้ไม่ใช่ไอ้หนึ่งอย่างที่เข้าใจ แต่เป็นทันกับแย้ สองลูกสมุนคุณชายจอมยโสคนนั้นต่างหาก
“ไม่” ผมกระชากเสียงและยืนนิ่งอยู่ เพราะห่างไปอีกหน่อยจะเป็นแอ่งน้ำขังแถมใหญ่เสียด้วย กะว่าจะรอให้ CRV ผ่านไปก่อน
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก วันนี้ไอ้หนึ่งไม่มา พวกข้าไปหามันตอนเช้าแต่แม่กิมลั้งบอกว่ามันไม่สบาย เลยให้คนขับรถมาส่งพวกข้านี่ไง”
แอร์เย็นฉ่ำจากรถหรูทำให้ผมเริ่มลังเล ไม่มีสักครั้งที่ผมจะมีโอกาสได้นั่งรถราคาแพงระยับอย่างนี้ และไม่แน่ว่าอนาคตก็คงไม่มีโอกาสอีกด้วย
“เร็วเว้ย! โรงเรียนจะเข้าแล้ว”
แย้ตะโกนเร่งจากด้านใน ผมรีบก้าวเท้าไปยืนใกล้รถ และในตอนที่กำลังจะเอื้อมมือไปเปิดประตูนั้นเอง...
“ไอ้ทันให้เอ็งขึ้น แต่ข้าไม่ให้ขึ้นเว้ย”
สิ้นคำพูดของแย้ ถุงพลาสติกบรรจุของเหลวสีแดงก็ลอยจากมือมันมาปะทะหัวผมอย่างจัง ทันทีที่ถุงแตก ของเหลวข้นหนืดที่ผมเพิ่งรู้ว่ามันคือน้ำหวานเฮลซ์บลูบอยก็เลอะเปรอะทั่วทั้งเส้นผมและใบหน้า ที่สำคัญ... เสื้อสีขาวของผมไปซะแล้ว
“ข้าบอกให้คนขับรถไปเร็วๆ ไม่ได้ให้เอ็งเสนอหน้าขึ้นมาบนนี้สักหน่อย อย่างแกน่ะนะไอ้เต้ ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะแตะรถคันนี้หรอกโว้ย”
คราวนี้ทั้งแย้และทันต่างหัวเราะประสานเสียง แถมคนขับรถก็รีบขับบึ่งออกไปอย่างกับนัดแนะกันไว้ คราวนี้ผมกลายเป็นตัวตลกจริงๆ เพราะไม่มีนักเรียนคนไหนหรอกที่ต้องเลอะเฮลซ์บลูบอยตั้งแต่เช้าเหมือนผม
“งี่เง่าชะมัด”
ผมด่าตัวเองด้วยความรู้สึกจากใจจริง

หนึ่งเดินเข้าห้องเรียนหลังจากที่ผมล้างเอาน้ำหวานออกจากตัวไปได้บางส่วนและนั่งประจำที่ตัวเองแล้ว มันมองผมด้วยหางตาแวบหนึ่งแล้วขมวดคิ้วก่อนเดินไปนั่งที่หลังห้อง ซึ่งเป็นทั้งที่นั่งประจำและแหล่งซ่องสุมของจอมวายร้ายทั้งสามนั่นแหละ สักพักพวกมันทั้งสามก็ออกไปจากห้องเรียนหน้าตาเฉย ไม่สนใจเลยว่าอีกไม่กี่นาทีก็จะเริ่มเรียนแล้ว หรือแม้แต่ตอนที่มันเดินออกไปนั้นแทบจะชนกับครูผู้สอนด้วยซ้ำ
“นั่นพวกเธอจะไปไหนน่ะ” ครูโฉมเฉลา สอนสังคมในตอนเช้าของวันนี้ถามด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจนัก
“ห้องน้ำคับ คุณคู” แย้ตอบกลับมาด้วยเสียงกวนประสาท
หลังจากนั้น พวกมันก็หายไปจนกระทั่งหมดชั่วโมงวิชาสังคม ทั้งสามโผล่หัวเข้ามาในห้องอีกครั้งด้วยสภาพเหมือนกับที่ตอนออกไป แต่น่าประหลาด... ผมกลับรู้สึกว่าพวกมันดูเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด หน้าตาหยิ่งยโสของหนึ่งเชิดขึ้นกว่าเดิม ขณะที่ทันกับแย้เอาแต่ขมวดคิ้ว พูดตรงๆ แบบไม่เข้าข้างลูกตาตัวเองเลยนะ ผมว่าพวกมันทะเลาะกันแหง
ช่างหัวมันปะไรเล่า…
คิดในใจทั้งที่อยากรู้จน... เอ่อ ไม่ถึงกับตัวสั่นหรอกครับ แค่อยากรู้เฉยๆ ก็พวกมันสนิทแถมเข้ากันดีจะตายไป (โดยเฉพาะตอนแกล้งผม) อย่างไรก็ตาม ความสงสัยมันอยู่ได้ไม่นานหรอกสำหรับผม พอวิชาใหม่เริ่มต้นผมก็แทบจะลืมไปสนิท และลืมถาวรไปเลยเมื่อขึ้นวิชาที่สามซึ่งเป็นวิชาสุดท้ายของภาคเช้า
ผมรีบวิ่งเข้าห้องน้ำทันทีหลังจากที่ทั้งชั้นกล่าวบอกลาครูผู้สอน เพราะอาการคันคะเยอจากฤทธิ์น้ำหวานเฮลซ์บลูบอยมันเล่นงานตั้งแต่ยังไม่หมดคาบสองด้วยซ้ำ พอเข้าไปก็เปิดก๊อกล้างหัวล้างหู ไม่สนใจเลยว่ามีใครเดินตามหลังมาแล้วปิดประตูห้องน้ำหลังจากผมเปิดก๊อกได้ไม่กี่นาที
“คันมากล่ะสิ”
ผมเงยหน้าทันทีที่ได้ยินเสียง อารมณ์ถึงจุดเดือดกะทันหันเมื่อเห็นหัวหน้าแก๊งค์ปีศาจ ณ ตลาดสดคุณนายกิมลั้งยืนเอาสองมือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง สีหน้าของหนึ่งตอนนี้ผมบอกไม่ถูกว่าเป็นแบบไหน รู้อยู่อย่างเดียวว่าแบบไหนก็ไม่ชอบทั้งนั้น ถ้าเป็นหน้าของไอ้คุณชายคนนี้
“ตามมาจับฉันยัดโถส้วมหรือไง” ผมประชด
“อยากให้ทำหรือไง” หนึ่งว่าแล้วเดินเข้ามาหา มันชำเลืองไปทางปอยผมที่เปียกน้ำของผมก่อนจ้องหน้า
“แกก็ลองดูสิ จะได้รู้ว่าใครกันแน่ที่ต้องลงไปอยู่ในโถส้วม” บอกพลางเอื้อมมือไปปิดก๊อกน้ำ จังหวะที่ละสายตาไปนั้นผมรู้สึกว่ามีอะไรเคลื่อนอยู่ตรงแก้ม สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอะไรที่ว่ามันคืออะไร
“อย่าจับโว้ย!” ผมตะคอกและปัดมือหนึ่งอย่างแรงก่อนพุ่งเข้าต่อยหน้าของมันอีกหนึ่งหมัด... มาเดี่ยวอย่างนี้ คิดว่าจะกลัวเรอะ!!!
ใบหน้าของหนึ่งหันไปตามแรงชกแต่ลำตัวไม่ได้ขยับสักนิด แน่ล่ะ... ถึงรูปร่างมันจะเล็กเมื่อเทียบกับเมฆแต่ถ้ากับผมแล้วก็เรียกได้ว่ามวยคนละรุ่น ยังงั้นก็เถอะ ถึงเชิงมวยยังอ่อนหัดแต่ผมเป็นลูกผู้ชายเต็มร้อย โอกาสล้างแค้นแบบทบต้นทบดอกมีไม่บ่อย ดังนั้นผมจึงเหวี่ยงหมัดอีกข้างหวังจะฮุคปลายคางให้มันลงไปนอนกอง
แต่หนึ่งมันรู้ทางผมแล้ว คราวนี้มันเบี่ยงตัวหลบและจับข้อมือที่ผ่านหน้าไปแบบฉิวเฉียดไว้ ก่อนรวบอีกข้างที่ตามมาติดๆ แล้วกระชากตัวผมให้เสียหลักทั้งที่ยังไม่ปล่อยข้อมือ ดังนั้นผมจึงถลาไปกระแทกกับแผ่นอกของมันเข้าอย่างจัง
ผมดิ้นรนจากพันธนาการอยู่ครู่ใหญ่ก่อนเงยหน้าขึ้นเพื่อเตรียมต่อว่า พลันนั้นกลับต้องชะงักเพราะใบหน้าของหนึ่งอยู่ใกล้... ใกล้มากซะจนเห็นกระทั่งไฝขนาดเล็กแทรกอยู่ในคิ้วเข้มดกของมัน
“ปล่อยโว้ย”
หนึ่งกระพริบตาแล้วทำตามที่ผมสั่ง อาการปล่อยของมันเหมือนคนตกใจมากกว่าอย่างอื่นเพราะไม่มีแรงเหวี่ยงหรือสะบัดอะไรเลย เป็นการปล่อยแบบแบมือออกจากกันแค่นั้น
ผมผลักหนึ่งให้พ้นทางก่อนเปิดประตูออกจากห้องน้ำ ด้วยความโมโหจัดจึงไม่ได้ยินเสียงปุ่มล๊อกที่ถูกคลายออกในช่วงหมุนลูกบิดประตู และผมก็เกลียดหนึ่งมากซะจนไม่คิดหันกลับไปมองแม้แต่น้อย ดังนั้นผมจึงไม่เห็นว่าตอนนี้มือทั้งสองข้างของหนึ่งกำลังประกบอยู่ที่ปากของมัน
มารู้ทีหลังก็ช่วงภาคบ่าย...
คนที่เข้าห้องน้ำหลังผมเป็นนักเรียนห้องเดียวกัน พวกนั้นเมาท์ (แน่นอนว่าลับหลัง) หนึ่งว่ามันดมกาวอยู่ ซึ่งเรื่องนี้ผมฟังแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว ความจริงผมรู้จักหนึ่งมาตั้งแต่สมัย ป. 5 คนอย่างเจ้านั่นถึงจะชอบรังแกคนอ่อนแอกว่าเช่นผม แถมเป็นคุณชายซ้ำชั้นที่คบหญิงไม่เลือกหน้า ออกไปซิ่งมอร์เตอร์ไซค์ยามดึกหาเด็กแว้นบ้างแต่มันก็ไม่เคยข้องแวะกับยาเสพติดเลยสักครั้ง จำได้ว่ากระทั่งบุหรี่มันก็ไม่สูบเพราะแพ้กลิ่นและควันบุหรี่
แล้วคนแพ้ควันแพ้กลิ่นนี่มันจะไปดมกาวได้ไงวะ?
ความสงสัยก็แค่ความสงสัย ที่จริงหนึ่งจะเป็นอะไรยังไงก็ไม่เกี่ยวกับผมสักนิด แต่ก็แอบไม่พอใจเล็กน้อยที่มันถูกกล่าวหาในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำหรือไม่มีวันทำได้ เออ... แล้วผมจะคิดอีกทำไมหว่า ในเมื่อหลังเลิกเรียนมีอะไรสนุกๆ รอผมอยู่
ผมยิ้มกริ่มพลางล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบธนบัตรสีเขียวค่อนข้างเก่าขึ้นมาดู... เงินยี่สิบบาทนี่คงพอจะทำให้ผมเล่นเกมตู้ได้สักสองชั่วโมงล่ะนะ ขอไประบายเครียดที่วันนี้โดนแกล้งหน่อยเถอะ… คิดแล้วก็พับแบงก์ใบเก่าครึ่งหนึ่งแล้วใส่ในกระเป๋าเสื้อ ตบเบาๆ สองสามทีเพื่อให้เนื้อผ้าหุบไปชนกับสาปด้านใน พลันนั้นผมได้ยินเสียงใครบางคนลอยมาเข้าหู
“ที่ไม่ยอมกินข้าวเพราะจะเอาเงินไปหยอดตู้เกมอีกแล้วใช่ไหม?”
“รำคาญน่า!! ไอ้เมะ...”
สะบัดหน้าไปตามเสียงเรียกแล้วต้องแปลกใจ เพราะคนที่ยืนทำหน้าบึ้งอยู่ข้างโต๊ะคือไอ้คุณชายซ้ำชั้นไม่ใช่เจ้าปิศาจบ้านั่น จะว่าไปนี่มันที่โรงเรียน... ถ้าเมฆมันมายืนอยู่ตรงนี้ได้ทันทีก็เป็นเรื่องสยองเกินไปหน่อยล่ะ ถึงความจริงมันจะทำได้ก็ตามเถอะ
“ตกลงนายรักแม่นายจริงหรือเปล่า หา! ไอ้เต้”
“อย่าใส่เกือก อยากโดนต่อยอีกหรือไง!!”
พูดขู่ทั้งที่ไม่มองหน้า... ให้ตายสิ! นี่หนึ่งมันโดนไอ้ปีศาจเมฆสิงใช่ไหมเนี่ย ถึงพูดอะไรได้คล้ายกันขนาดนี้!
แต่หนึ่งก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ มันยืนเฉยอยู่อย่างนั้น จนกระทั่ง...
สวบ!!
ถุงพลาสติกสีขาวพะโลโก้ร้านมินิมาร์ทยี่สิบสี่ชั่วโมงวางอยู่ตรงหน้า ผมขมวดคิ้วพลางเงยหน้าขึ้นมองศัตรูคู่อาฆาตอย่างสงสัย แต่หนึ่งกลับเบือนหนีไปอีกทางก่อนส่งเสียงเบาดุจเสียงกระซิบ ทว่าดังพอที่ผมจะได้ยิน...
“กินซะ” พูดจบมันก็เดินหนีไปเลย
ผมมองตามแผ่นหลังกว้างแล้วขมวดคิ้วอีกครั้ง... นี่หมัดผมแรงขนาดทำให้จิตชั่วในสมองคนกระเด็นหายไปได้เลยรึนี่!? ไม่สิ... มันต้องเป็นกับดัก ของนี่หมดอายุแล้วแน่ๆ
คิดแล้วก็หยิบขนมปังแซนวิชหมูหยองออกมาจากถุง...
‘อ้าว ก็ของใหม่นี่หว่า’ ผมคิดขณะตรวจสอบวันหมดอายุเรียบร้อยแล้ว
ชักจะยังไงๆ ซะแล้ว อยู่ๆ หนึ่งมันก็มาทำดีกับผมเนี่ยนะ โอ้ว จอร์จ!! สิ่งมหัศจรรย์ของโลก... ไม่สิ! หรือคราวนี้โลกจะถึงกาลพินาศแล้วจริงๆ
ประชดในใจไปอย่างนั้นแหละ เมื่อแน่ใจแล้วว่าขนมปังไม่ได้หมดอายุและหนึ่งก็ไม่ได้แกล้งชัวร์ ผมจึงแกะห่อขนมปังยัดเข้าปากด้วยความหิวโหย
***************

ทันมองเพื่อนผู้ยืนอมยิ้มอยู่ข้างๆ พลางหันไปหาเพื่อนสนิทอีกคน แย้สบตาแล้วยักไหล่ทำสีหน้าเหมือนจะบอกว่า ‘อย่าถาม... ไม่เข้าใจไอ้หนึ่งมันเหมือนกัน’ ก่อนเบือนหน้าไปทางอื่น
ช่วงเช้า หนึ่งเรียกพวกเขาสองคนออกไปตำหนิ ตอนแรกทั้งคู่คิดว่าหนึ่งจะด่าพวกเขาเรื่องที่ไม่ยอมรอให้หนึ่งทำธุระส่วนตัวเสร็จแถมขอแม่กิมลั้งให้เอา CRV ออกมาส่งพวกตนซะอีก แต่เรื่องกลับเป็นว่าหนึ่งอาละวาดใส่พวกเขาเพราะเรื่องน้ำหวานบนเสื้อของเต้ ทั้งที่เมื่อก่อนมันเป็นคนริเริ่มด้วยซ้ำ
เกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนของเขากันแน่?
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สงสัยก็เป็นได้แค่ความสงสัย ด้วยนิสัยและอิทธิพลของหนึ่ง เขาไม่มีทางจะถามมันตรงๆ กับเรื่องแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้แน่...
แค่ตอนนี้เท่านั้น...
***************

เสียงกริ่งสัญญาณโรงเรียนเลิกดังขึ้นพร้อมกับที่ผมหยิบหนังสือยัดใส่กระเป๋าด้วยท่าทางเร่งรีบและหลั่นล้า จะไม่ให้ดีใจได้ไง เกม House of evil สุดโปรดกำลังรอผมอยู่ที่ร้านเกมตู้เจ้าประจำ วันนี้แหละ ผมจะยิง ยิง ยิง และยิงให้สาแก่ใจ!
แต่เมื่อสาวเท้าไปจนถึงหน้าโรงเรียน สายตาผมพลันเหลือบไปเห็นเงาหัวคุ้นเคยของใครคนหนึ่งอยู่ด้านนอกของรั้ว... ทว่าสมองยังไม่ทันประมวลคำตอบ เจ้าของเงาที่ว่าก็โผล่หน้าออกมาให้เห็นแถมยังเหยียดยิ้มที่ดูเหมือนกับกำลังเยาะเย้ยผมอีกด้วยแน่ะ
“อะ... ไอ้เมฆ!!”
“แม่นายให้ฉันมาซื้อกับข้าว เลยแวะมารอนายกลับพร้อมกัน”
เมฆก้าวเข้ามาใกล้ผมที่ยืนตาค้างอ้าปากหวอเพราะถูกผีหลอกตอนกลางวันแสกๆ มันแสยะยิ้มเยาะอีกทีก่อนเหวี่ยงแขนมาล๊อกคอลากผมให้ไปด้วยกันกับมัน
“กลับบ้านได้แล้ว”
ไม่น้า~~~ เกมของโผมมมม
“อย่าร้องน่า วันนี้ฉันมีของจะให้แกด้วย เพิ่งซื้อมาเลยนะแต่อยู่ที่บ้าน”
“ฉันไม่ใช่เด็กนะโว้ย ถึงต้องเอาของมาล่อเพื่อให้กลับบ้านน่ะ”
ผมโวยวายทั้งน้ำตา (แกล้งทำหน้าเหยเกไปงั้นเองแหละ ไม่ได้ร้องไห้จริงๆ หรอก) แต่เมฆก็ยังไม่ยอมปล่อยคอผมอยู่ดี มันโน้มหน้าลงมาใกล้จนปากแทบจะชิดใบหูผมอยู่แล้ว ผมขยับตัวเล็กน้อยเพราะเกิดร้อนๆ หนาวๆ กะทันหันคิดว่ามันจะฉวยโอกาสอีก ทว่า...
“โมเดลกันดั้ม ไม่สนแน่นะ”
“เฮ้ย! จริงดิ แกเอาเงินจากไหนไปซื้อของแพงขนาดนั้นวะ!”
ผมร้องและเงยหน้าขึ้นทันที อารมณ์ตื่นเต้นจึงลืมไปสนิทว่าหน้าปิศาจมันอยู่ระดับประชิดแบบที่แค่ขยับหน้าสักนิดปากก็ชนกัน แต่เหมือนกับรู้ในข้อนี้ดี เมฆจึงเบี่ยงหน้าออกเล็กน้อย... แค่เล็กน้อยจริงๆ
“นายคิดว่าฉันเป็นอะไรล่ะ หือ”
ว่าแล้วก็ยิ้ม เป็นยิ้มที่สาวไหนมาเห็นล่ะก็ระทดระทวยได้ง่ายๆ เลยล่ะ ขนาดผมยังเผลอใจเต้นไปหน่อย เฮ้ย! ไม่ใช่!! เพราะโมเดลกันดั้มต่างหาก!
เมฆยกหัวขึ้นในระดับปกติและหัวเราะแม้ว่าจะยังไม่ปล่อยคอผมก็เถอะ ช่างมัน! จะล็อกคอจนไปถึงบ้านเลยก็ยอม จะให้อดเล่มเกมสักอาทิตย์ก็ได้ เพราะผมกำลังจะเป็นเจ้าของโมเดลกันดั้ม กันดั้มเชียวนะ!!
ผมตื่นเต้นจนแทบอยากวิ่งกลับบ้านซะเดี๋ยวนี้ แต่ไม่ได้! ผมต้องแสดงให้มันเห็นว่าผมไม่อยากได้ของของคนแปลกหน้า ถึงไอ้คนแปลกหน้ามันจะหน้าตาดีและเป็นปิศาจที่อาศัยอยู่ห้องเดียวกันมาสองวันแล้วก็ตาม
“ไม่ต้องตื่นเต้น โมเดลไม่หายไปไหนหรอก” เมฆว่าก่อนยิ้มอย่างรู้ทัน
“คะ... ใครตื่นเต้น ฉะ... ฉันไม่ชอบรับของจากคนไม่สนิท รู้ไว้ซะ”
“งั้น นายจะไม่เอา?”
“เอาสิ!! ว่าแต่นายเถอะ ให้แล้วให้เลยนะเฟ้ย”
เมฆทำหน้าตกตะลึงอยู่พักก่อนปล่อยคอผมทันทีแล้วนั่งหัวเราะจนตัวงอ ไอ้บ้านี่! โดนรู้ทันแบบนี้ คนเขาก็เขินเป็นนะโว้ย
“โอเคๆ เดี๋ยวรอให้ถนนปลอดคนก่อน ฉันจะพานายกลับบ้านแบบ ด่วนที่สุด เลยแล้วกัน”
“เหอ?” ผมมองซ้ายมองขวา ข้างหน้าและ... เออ ข้างหลังมีคนเดินอยู่จริงด้วย
“แล้วด่วนที่สุดที่นายว่า ยังไงเหรอ”
เมฆยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน ก้มลงมากระซิบข้างหูด้วยสองคำสั้นๆ แต่ทำให้ผมตื่นเต้นจนแทบลมใส่อีกรอบ
“หายตัว”
โอ้ว! สิ่งศักดิ์สิทธิ์ครับ! วันนี้เป็นวันดีที่สุดในชีวิตผมเลย



Create Date : 24 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2553 18:03:22 น. 0 comments
Counter : 245 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รักเฉพาะชายสูงวัย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add รักเฉพาะชายสูงวัย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.