ประเทศลาว
หวัดดีครับ
ได้ไปไปเที่ยว เมือง เวียงจันทน์ , ลาว มาเป็นครั้งแรก ก็เลยอยากจะลองเขียนเล่าสักหน่อย ผมไปกับคณะธรรมทัศน์ , วัดนาคปรก โดยแวะเที่ยว โคราช , ขอนแก่น , หนองคาย , เวียงจันทน์ ขากลับ ก็เที่ยว หนองคาย , อุดรธานี ระหว่างวันที่ 30 ต.ค. - 1 พ.ย. 2552 กลับถึงบ้านประมาณ ตี 3.20 น. ของวันที่ 2/11/52
เริ่มออกสตารท์จากวัดนาคปรกโดยรถบัส 2 ชั้น ในเวลาประมาณ ตี 5 น่าจะได้ ทางวัดนาคปรก แจกหนังสือ ธรรมะให้ 2 เล่ม พร้อมกับ พระอีก 1 องค์ , หนังสือสวดมนต์อีก 1 เล่ม มีแปลก ๆ ไม่เหมือนใคร มีทำเป็นหนังสือโปรแกรมการท่องเที่ยว พร้อมกับรายชื่อ คนที่ไปเที่ยวด้วยกันทั้ง 50 คน พร้อมกับเบอร์โทรศัพท์ ( แต่บางคนก็ไม่มีเบอร์ลงไว้ บางคนก็มีรูปลง บางคนก็ไม่มีรูป ) ได้นั่งข้างกับคุณลุงอายุ 68 ปี จากตลาดพูล , มาพร้อมกับภรรยาและก็ลูกสาว แกเล่าว่าลูกสาวชอบทำบุญ ก่อนมาลูกสาวถามว่า พ่อจะไปด้วยกันหรือเปล่า ? ก็เลยได้มาด้วยกัน รถบัสพาคณะเดินทางไปขึ้นทางด่วนแถวถนนสาธร ตอนรถอยู่ที่ทางด่วนพระได้นำญาติโยมสวดมนต์ทำวัตรเช้า รถบัสจะต้องไปแวะรับญาติโยมที่รังสิตอีกนิดหน่อยแล้วถึงจะมุ่งหน้าสู่ ร้านอาหารครัวอีสาน อยู่ริมเขื่อนลำตะคอง รถไม่ค่อยติดรู้สึกว่าประมาณ 6.45 น. น่าจะได้รถบัสก็ถึงจุดสระบุรีเลี้ยวขวาแล้ว ( ค่ายอดิศร ) รถบัสแวะกินข้าวเช้าที่ร้านครัวอีสาน มีอาหารแบบบุฟเฟต์ให้ตักกิน ก็มีพวกข้าวผัด , ข้าวต้ม , กับข้าว , กาแฟ , ขนมปัง มื้อนี้ไม่ต้องจ่ายมันรวมอยู่ในค่าทัวร์ 3,700 บาท นั่งกินข้าวกับคุณลุงจากตลาดพูล ( ลุงนั้ม ) แผล็บนึง ตอนแรกก็นึกว่าแกมาคนเดียว คุณลุงมาเที่ยวคนเดียวเหรอ ? คุณลุงก็บอกว่า มากับเมียแล้วก็ลูกสาว ( แต่แกบอกขำ ๆ ที่บอกว่ามากับใคร ) พอกินข้าวเสร็จก็แวะถ่ายรูปวิวเขื่อนลำตะคองนิดหน่อย ตอนกินข้าวมีรถไฟแวะจอดตรงฝั่งตรงข้ามกับร้านเลย

พอกินเช้าเสร็จก็ออกเดินทางไปยัง มูลนิธิสมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต พรมรังสี ) ตั้งอยู่ที่ บ้านโนนกุ่ม ต.มิตรภาพ อ.สีคิ้ว จ.โคราช สรพงศ์ ชาตรี เป็นประธานมูลนิธิ จุดเด่น ๆ ของที่นี่ก็คือ รูปหล่อของสมเด็จพระพุฒาจารย์ขนาดใหญ่มาก สีเข้ม ๆ ตั้งอยู่ในมหาวิหารขนาดใหญ่ด้านในยังตกแต่งไม่เสร็จ พระจากวัดนาคปรกนำญาติโยมสวดมนต์กันที่มหาวิหารนี้ รูปหล่อดูขรึมสวยงามดี ก่อนจะถึงมหาวิหารก็มีศาลาให้ญาติโยมแวะทำบุญเช่าพระ , ทำบุญกระเบื้องมุงหลังคา ผมทำบุญกระเบื้องไป 2 แผ่น เขาบอกว่าที่นี่มีโรงทานให้กินฟรีด้วย แต่ไม่ได้เข้าไปดูว่าเป็นยังไง เพราะว่าเวลาจำกัดเดินเที่ยวนานไม่ค่อยได้ ด้านหน้าศาลาที่ว่ามันจะมีน้ำพุให้คนโยนเหรียญให้เข้าไปอยู่ในพานเล็ก ๆ กลางน้ำพุ เป็นการโยนเกี่ยวกับการขอพรอะไรทำนองนี้มั๊ง มีคนไปโยนเยอะเหมือนกัน ลองโยนดูแล้วไม่เข้า ยากเหมือนกันน๊า , มีสาว ๆ นักศึกษามาเที่ยวที่นี่เยอะเลยตอนเช้าวันนั้น ที่เด่นๆ ก็อีกอันก็คือ มีวิหารใหญ่ ๆ อยู่ใกล้ ๆ กับมหาวิหารมันอยู่ทางด้านขวา ข้างในรู้สึกว่าจะมีพระพุทธรูป องค์สีขาว ๆ หลวงพ่อทันใจหรือเปล่าไม่แน่ใจ แล้วก็มีรูปเหมือนของสมเด็จพระพุฒาจารย์โตองค์เล็กอยู่ทางด้านซ้ายมือ ข้างในวิหารยังก่อสร้างไม่เสร็จ แวะทำบุญกระเบื้องที่วิหารนี้อีกหน่อย อ้อข้างในวิหารนี้มันจะมีลูกกลมๆ น่าจะเป็นลูกนิมิตร วางเรียงกันประมาณ 10 ลูก ปิดทองเรียบร้อยอยู่ทางด้านซ้ายมือ พอเที่ยววิหารนี้เสร็จแล้วสักพักก็ได้ยินเสียงประกาศจากลำโพง ผู้ที่มากับคณะธรรมทัศน์ วัดนาคปรก จาก ก.ท.ม. ให้ไปขึ้นรถได้แล้วจ๊ะ ก็ต้องบ๊าย บ๊ายจากที่นี่ออกเดินทางไปกินข้าวเที่ยงที่ ร้านกันตาไก่ย่าง อ.เมืองพล จ.ขอนแก่น มื้อนี้ต้องออกเงินเอง ตัวใครตัวเผือก อ้อลืมเล่าอีกอย่าง ที่ด้านหน้าของรูปเหมือนของสมเด็จพระพุฒาจารย์องค์ใหญ่ที่อยู่ในมหาวิหาร ถ้าใครบริจาคเงินประมาณ 100 กว่าบาทเขาจะให้ล็อตเตอร์รี่ 1 คู่ด้วย

ออกเดินทางจากมูลนิธิสมเด็จพระพุฒาจารย์ไปกินข้าวเที่ยวที่ร้านกันตาไก่ยาง ที่ร้านกันตาไก่ย่าง ก็จะมีลักษณะเป็นร้านโล่ง ๆ ชั้นเดียว เมนูเด่นก็ต้องเป็นไก่แน่นอนอยู่แล้ว ไก่ตัวละ 110 บาท แล้วมันก็จะมีพวกข้าวราดแกง แต่ผมไม่ได้กินไก่หรอก กินคอหมูย่างกับข้าวเหนียว , แล้วก็ข้าวราดแกง กินข้าวกันไม่นานก็ออกเดินทางต่อ จุดหมายปลายทางต่อไปก็คือ วัดหนองแวง ต.ในเมือง อ.เมืองขอนแก่น วัดนี้มีทีเด็ด นั้นก็คือ พระมหาธาตุแก่นนคร มีลักษณะเป็นอาคารสี่เหลี่ยมผืนผ้า 9 ชั้น ทรงปิรามิด ชั้น 9 มีพระบรมสารีริกธาตุประดิษฐานอยู่แล้วก็มีประดิษฐานอยู่ที่ชั้น 1 ด้วย มาถึงวัดนี้แดดร้อนอย่างแรงเลยครับ พระจากวัดนาคปรกนำญาติโยมสวดมนต์และก็ถวายของให้พระที่วัดนี้ และพระจากวัดนี้ก็พรมน้ำมนต์ให้ตอนท้าย พระจากวัดนี้ท่านแจกพระผงหลวงพ่อคูณให้ทุกคนฟรี , ที่พระมหาธาตุแก่นนครจะมีไกด์เด็กผู้หญิงชั้นประถมคอยให้ความรู้แก่นักท่องเที่ยวจะคอยตามขึ้นไปทุก ๆ ชั้น , ชั้นที่ 1 มีเซียมซี่ให้เสี่ยงทาย ผมถ่ายรูปเป็นที่ระลึกเก็บไว้ทุกชั้น ชั้นบน ๆ จะเห็นวิวบึงแก่นนครและก็ตัวเมืองข่อนแก่นอย่างสวยงาม และก็จะมีหลังคากุฏิแดง ๆ อยู่บนกลุ่ม ๆ ไม่รู้ของวัดเดียวกันหรือเปล่า ? มีวิวภูเขาให้ดูนิดหน่อย ตามชั้นต่าง ๆ จะมีของโบราณต่าง ๆ , รูปภาพเก่า ๆ , ภาพสีฝาผนังอยู่ชั้นล่าง ๆ , มีระฆังอยู่ชั้นด้านบน , มีโลงศพสีดำอยู่โลงนึง ชั้น 9 จะแคบ ๆ ประมาณ 3 เมตรน่าจะได้ ชั้น 1 - ชั้น 9 มีระเบียงให้ดูวิวรอบด้านเลย รู้สึกว่าที่วัดนี้ไม่มีทำบุญกระเบื้อง ที่วัดนี้ใช้เวลาเที่ยวนานหน่อย กว่าจะลงมาก็เป็นคนหลัง ๆ , มีห้องน้ำให้บริการอยู่ข้าง ๆ พระมหาธาตุแก่นนคร เข้าห้องน้ำเสร็จแล้ว คุณโจ้ หนุ่มใส่แว่นหน้าตาดูคล้าย บ. บู๊ ( พิธีกรรายการกีฬา คู่หูแจ๊คกี๊ ) มาถามผมว่า มีคนจากคณะเราอยู่ด้านนั้นหรือเปล่า ? ไม่มีแล้วนี่ครับ นั่งอยู่บนรถสักพักก็เดินทางออกจากวัดหนองแวง คราวนี้ยิงยาวเลยครับ จุดหมายปลายอยู่ที่หนองคาย

อ้อ ที่พระธุาตแก่นนครยังมีไดโนเสาร์ตัวใหญ่อยู่ที่ชั้นล่าง 1 ตัว ให้ลองไปถ่ายรูปกัน ออกเดินทางจากวัดหนองแวงจุดหมายปลายทางแห่งต่อไปก็คือ วัดโพธิ์ชัย อ.เมือง จ.หนองคาย เส้นทางที่ผ่านไปยัง จ.หนองคาย นั้นจะต้องผ่าน จ.อุดรธานี รถวิ่งผ่านเข้าไป จ. อุดร ลักษณะวิวดูน่าสนใจ ดูเหมือนมันจะเป็นที่สูงขึ้นไป วิวข้างทางวันนั้นช่วงมูลนิธิสมเด็จพุฒาจารย์ ไป ยัง จ. หนองคาย รู้สึกว่า ที่เด่น ๆ ก็คือ ทุ่งนา บางช่วงเป็นทุ่งนาสวยมาก วิว จ.อุดรข้างทางมีลักษณะเป็นกั๊ก ๆ ดูมันเหมือนเป็นที่ราบสูง แต่ไม่ถึงกับเป็นภูเขา ตามกำหนดการเราจะต้องมาเที่ยวทึ่วัดโพธิ์ชัยในวันนี้ แต่ว่า เกิดเหตุขัดข้องจากการเดินทาง เราเดินทางมาถึง อ.เมือง จ.หนองคาย เย็นเกินไป ประมาณ 6 โมงเย็นน่าจะได้ พระจากวัดนาคปรกก็ได้ประกาศผ่านไมค์บนรถบัสว่า เราจะไปที่วัดโพธิ์ชัยกันในช่วงเช้าของวันพรุ่งนี้ , และจะไปกินข้าวเย็นกันที่ ร้านอาหารริมแม่น้ำโขง แถว ๆ พระธุาต ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าพระธุาตชื่ออะไร มาที่หลังถึงรู้ว่าเป็นพระธุาตหล้าหนอง พระธุาตเก่าแก่ริมแม่น้ำโขงที่เคยพังไปครั้งหนึ่งแล้วต่อมาได้มีการสร้างขึ้นมาใหม่ รถบัสแล่นผ่านเข้าไปยังพระธุาตหล้าหนองไปตามถนนแคบ ๆ ไปถึงพระธุาตวิวมันก็มืดแล้ว เดินลงจากรถไม่กี่ก้าวก็เห็นวิวแม่น้ำโขงดูสงบเงียบ ลงจากรถไปแผล็บนึงลองถ่ายรูปพระธุาตหล้าหนองก่อนเลยสัก 1 รูป ภาพแรกในชีวิตที่ได้ถ่ายรูปจังหวัดหนองคาย ( ยังไม่เคยมาเที่ยวหนองคาย แถวนั้นเคยไปแต่ จ.เลย ภูกระดึง ) มื้อเย็นของวันนั้นคณะญาติโยมจากวัดนาคปรกกินข้าวกันที่ ร้านครัวคุณดี้ ผมกินโต๊ะอยู่ด้านหน้าร้าน กินข้าวไปดูวิวพระธุาตไป มื้อเย็นวันนั้นก็สั่งเมนูไข่เยี่ยวม้าผัดกระเพรา มื้อนี้ต้องจ่ายเงินเอง ทางร้านเปิดเพลง แจ๋วใจร้ายกับคุณชายเทวดา “ เธอทำให้ฉันรักเธอก่อน ไม่อาจถอน หัวใจมันคอย แอบ ๆ มองอย่างซึ้ง ๆ “ พอกินข้าวเสร็จก็ไปไหว้พระธุาต ครอบครัวของคุณลุงนั้มก็มาไห้วพร้อม ๆ กัน ทดลองใช้โปรแกรมถ่ายภาพตอนกลางคืนของกล้อง nikon p 5100 ถ่ายรูปพระธุาต ก็โอเคนะ โปรแกรมอัตโนมัตไม่ใช้แฟลช วันนั้นมีพระจันทร์อยู่ใกล้ ๆ พระธุาตด้วย ด้านล่างของพระธุาตมีลักษณะเป็นโถงมีพระพุทธรูปตั้งอยู่หลายองค์ด้วยกัน มีเชี่ยมซี่ให้เสี่ยงทายด้วย คณะญาติโยมไหว้พระธุาตกันเสร็จแล้ว ก็ออกเดินทางต่อ ไปพักค้างคืนกันที่ โรงแรมทิพย์หนองคาย เป็นโรงแรมขนาดใหญ่หลายชั้น ตอนแรกพระจากวัดนาคปรกจองโรงแรมอีกแห่งหนึ่งเป็นโรงแรมอยู่ริมแม่น้ำโขง ไม่รู้โรงแรมอะไร แต่ว่าเกิดเหตุขัดข้องห้องพักมันเต็ม จึงได้มาพักที่นี่แทน ผมได้พักอยู่ที่ห้อง 411 นอนกับลุงนั้ม บ้านที่กรุงเทพอยู่ชอยเทอดไท 41/1 เลขเเหมือนกันเลย ที่เคาน์เตอร์โรงแรมตอนที่รับกุญแจห้องเขาจะแจกคูปองให้เราเอาไปใช้กินข้าวเช้ากันที่ห้องอาหารของโรงแรม มื้อเช้าของวันพรุ่งนี้ไม่ต้องจ่ายเงิน ดูจากห้องพักแล้วน่าจะอยู่ที่ราคา 350 – 500 บาท ก็โอเคนะ มีช่องภาษาเวียดนามให้ดูด้วย วันถัดไปพระจากวัดนาคปรก เล่าว่า คุณโจ้ เดินมาเคาะประตูห้องที่พระนอนพักอยู่ จะขอเข้าไปนอนด้วย คล้าย ๆ กับว่าไม่อยากนอนคนเดียว อันนี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันฟังพระเล่าไม่ทัน 55555 แต่คืนที่สองรู้สึกว่าคุณโจ้จะนอนอยู่คนเดียว คืนแรกที่พักนั้นพระได้นัดให้มากินข้าวตอน 6 โมงเช้า ทางโรงแรมเขาจะโทรมาปลุกให้ตื่นตอนตี 5 พอเรารับสายเขาจะไม่พูดเป็นการปลุกให้ตื่น


ตื่นเช้ามาต้องรอสักพัก ห้องอาหารเปิดให้กิน late นิดหน่อย เห็นครอบครัวลุงนั้มกำลังเลือกช็อปพวกผ้าอะไรสักอย่างอยู่ด้านหน้าโรงแรม เดินไปถ่ายรูปด้านหน้าโรงแรม 2 รูป อาหารเช้าในวันนั้นก็คือ ข้าวผัด , ข้าวต้ม , ข้าวราดแกง , น้ำส้ม , โอวัลติน , กาแฟ , ขนมปังปิ้ง กินกันอิ่มหมีผลีมันก็ออกเดินทางจากโรงแรมทิพย์หนองคายไปยังวัดโพธิ์ชัย อ.เมืองหนองคาย นั่งรถไปแผล็บเดียวก็ถึงแล้ว วัดนี้เดินเข้าไปจะเห็นเด่นเลยเป็นคล้ายๆกับพระธาตุสีขาวมีรั้วเตี้ยๆ ล้อมรอบอยู่ตั้งอยู่ด้านหน้าโบสถ์ ตามความเห็นส่วนตัวพระธาตุที่ว่าดูเด่นกว่าโบสถ์อีก ด้านขวามือจะมีศาลาโล่งซึ่งมีพระพุทธรูปตั้งอยู่และก็มีเซี่ยมซี่ให้เขย่าด้วย ข้างในโบสถ์จะมีหลวงพ่อพระใสประดิษฐานอยู่ เป็นพระพุทธรูปขนาดพอประมาณไม่ใหญ่มาก พระจากวัดนาคปรกและญาติโยมสวดมนต์กันที่โบสถ์นี้และก็ถวายของให้ทางวัดโพธิ์ชัย แล้วก็มีการเขียนชื่อลงไปบนผ้าที่ใช้ห่มพระธาตุ ตอนญาติโยมกำลังเขียนผมถ่ายรูปเก็บเอาไว้ เขียนเสร็จแล้วก็จะเอาผ้าไปพันรอบพระธาตุที่อยู่หน้าโบสถ์ ลุงนั้มแกโชว์ออฟช่วยเขาห่มเต็มที่ อ้อก่อนจะเอาผ้าไปพันคณะญาติโยมก็จะต้องจับผ้าให้อยู่เหนือหัวแล้วก็เดินวนรอบพระธาตุ พิธีเกี่ยวกับการเอาผ้าห่มพระธาตุผมถ่ายรูปเก็บเอาไว้ ข้างในโบสถ์ของวัดนี้ตรงด้านบนเกือบ ๆ ถึงเพดานจะมีช่องระบายอากาศเอาตะแกรงครอบเอาไว้ มีอยู่หลายช่องเหมือนกัน มีนกบินอยู่ในโบสถ์ด้วย ผมเช่าพระผงของวัดนี้ 1 องค์ 20 บาทเอง ตอนขากลับเดินออกจากวัดมีคนขายล็อตเตอร์รี่อยู่ที่ประตูทางเข้าวัดหลายคนเลยประมาณ 10 คนน่าจะได้นั้งเรียงกัน เช้าวันนั้นมีรถบัสมาจอดที่วัดเยอะเลย บางคันก็มาจากกรุงเทพ แสดงว่าวัดนี้ฮิตมาก พระจากวัดนาคปรกเดาว่าน่าจะมีบางคันข้ามไปเที่ยวพระธาตุหลวงด้วยกัน ตอนกลับขึ้นไปบนรถบัสบางครั้งก็จะมีน้ำและก็ผ้าเย็นแจกให้ , ลูกอมมีมาเสริฟ์ให้เป็นบางครั้ง ออกเดินทางจากวัดโพธิ์ชัยตรงไปยังสะพานข้ามแม่น้ำโขง ก่อนไปถึงสะพานข้ามแม่น้ำโขงรู้สึกว่าจะต้องไปรับไกด์สาวคนไทยให้เดินทางไปกับเราด้วย ไกด์สาวก็จะคอยเล่าให้ฟังว่าลักษณะของประเทศลาวเป็นยังไง , ขับรถกันยังไง , รถชน เค้าเรียกว่า รถตำ เล่าคำศัพท์ลาวให้ฟังหลายคำ มีขำ ๆ อยู่หลายคำ พอข้ามไปฝั่งลาวแล้วไกด์สาวชาวไทยก็จะต้องลงที่ด่านของประเทศลาว แล้วทางพระจากวัดนาคปรกก็ให้ไกด์สาวที่เป็นคนลาวให้ตามคณะเราไปหนึ่งคน พอรถบัสข้ามแม่น้ำโขง ตื่นเต้นดี ไม่เคยนั้งรถข้าม วิวก็สวยดีนะ แม่น้ำโขงตรงนั้นน่าจะกว้างกว่าแม่น้ำเจ้าพระยาในเขต ก.ท.ม. ของเรานิดหน่อย พอข้ามไปฝั่งโน้นรถบัสของคณะเราก็จะต้องจอดอยู่บริเวณด่าน คณะญาติโยมทยอยเดินผ่านโต๊ะเจ้าหน้าที่ ไม่ต้องยื่นหลักฐานให้วุ่นวายมีคนทำให้หมด อ้อลืมบอกไปตลอด 3 วันที่ไปเที่ยวทางวัดเขาให้ติดโบว์สีเหลืองที่เสื้อจะได้รู้ว่าเป็นคณะจากวัดนาคปรก เมื่อเดินผ่านด่านไปแล้วก็จะมีรถบัสอีกคันนึงมารับคณะญาติโยมและก็พระ ( ชั้นเดียว พวงมาลัยซ้าย ) แล้วก็จะมีรถตู้อีกคันมารับญาติโยมและก็พระ รู้สึกว่าคุณโจ้จะไปกับรถตู้ จุดหมายแรกในประเทศลาวก็คือ พระธาตุหลวง รถวิ่งตรงไปยังเมืองเวียงจันทน์ สภาพบ้านเรือนก็ดูคล้าย ๆ ทางฝั่งไทย อ้อก่อนถึงพระธาตุหลวงเห็นหน่วยงานทางด้านอุตุนิยมของประเทศลาวด้วย ที่มันเป็นลูกบอลลูกใหญ่ ๆ ( ไกด์สาวลาวเล่าให้ฟัง ชื่ออะไรจำไม่ได้แล้ว เขาบอกว่าเกิดที่เมืองเวียงจันทน์ ) รถบัสมาจอดอยู่ใกล้ ๆ ลานด้านหน้าพระธาตุหลวง เป็นลานกว้าง ๆ มีของขายเยอะพอสมควร คำศัพท์ลาว ซื้อของ ให้เรียก ซื้อเครื่อง ก่อนเข้าชมพระธาตุหลวง ผู้หญิงจะต้องใส่ผ้าซิ่นเข้าชม รู้สึกว่าจะมีให้เช่าอยู่ทางด้านขวาด้านนอกของพระธาตุหลวง ไม่น่าจะเกิน 50 บาทนะ ใกล้ ๆ กันจะมีเต็นท์ขายเขาเรียกอะไรไม่รู้เหมือนกัน เป็นพุ่ม ๆ มีดอกไม้นิ่ม ๆ สีเหลือง ๆ อยู่หลายดอก น่าจะทำมาจากเทียนนะ อันนี้ไม่รู้เหมือนกัน พระธาตุหลวงจะมีลักษณะเป็นกำแพงล้อมรอบ 4 ด้าน ด้านในกำแพงก็จะเป็นทางเดินให้เดินไปรอบ ๆ มีสนามหญ้าล้อมรอบพระธาตุหลวงอีกที่นึง ตรงประตูทางเข้าพระธาตุหลวงใกล้ ๆ กันก็จะมีพระพุทธรูปให้ไหว้กัน พระธาตุหลวงจะมีกำแพงล้อมรอบ 4 ด้านอีกชั้นนึง ไม่อนุญาติให้นักท่องเที่ยวเลยเข้าไปในกำแพงนี้ ด้านในกำแพงที่ว่าก็จะมีลักษณะเป็นเจดีย์สีทองขนาดเล็กเป็นจำนวนมากล้อมรอบพระธาตุขนาดใหญ่สีทองที่อยู่ตรงกลาง เจอคนจากคณะอื่นขอให้ผมช่วยถ่ายรูปให้ มาจาก ก.ท.ม. เหมือนกัน


หลังจากถ่ายรูปให้เค้าแล้วสักพักก็ไปเขียนชื่อลงไปในผ้าที่จะนำไปถวายให้พระที่มาที่พระธาตุหลวง นั่งเขียนอยู่ใกล้ ๆ ไกด์สาวชาวลาว ลองถามเขาดูว่า ภูเขาที่สูงที่สุดของประเทศลาว ชื่ออะไร ? เขาตอบว่า ภูเบี้ย พอคณะญาติโยมเขียนชื่อเสร็จแล้ว ก็ทำการเดินวนรอบพระธาตุหลวง โดยจับผ้าให้อยู่เหนือศรีษะ ไม่รู้เดินวนกี่รอบไม่ทันได้นับ รู้สึกว่าจะมีคนจากคณะอื่นมาแจมรวมกับคณะจากวัดนาคปรก ตอนเดินวนรอบพระธาตุหลวง ผมถ่ายรูปเก็บเอาไว้ด้วย ช่วงที่ไปเยือนพระธาตุหลวงเขากำลังจะมีงานประจำปีครั้งใหญ่พอดี เห็นมีตั้งเต็นท์รับบริจาค มีการจัดเรียงที่นั่งให้พระ , มีเซี่ยมซี่ภาษาลาวให้เสี่ยงด้วย พอเดินวนรอบพระธาตุหลวงเสร็จแล้ว พระจากวัดนาคปรกก็นำคณะญาติโยมสวดมนต์แล้วก็ถวายผ้าที่เขียนชื่อ , ถวายของให้กับพระที่มาที่พระธาตุหลวง หลังจากนั้นก็เตรียมตัวเดินทางต่อไปยังประตูชัย ก่อนอำลาพระธาตุหลวงได้ถ่ายรูปพระบรมรูปสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช ที่อยู่ทางด้านหน้าพระธาตุหลวง มีห้องน้ำให้บริการอยู่ด้านนอกพระธาตุหลวงทางด้านขวา ค่าบริการ 10 บาท ( 10 บาท พิมพ์ไม่ผิด ฮี่ ฮี่ ) มีร้านขายของอยู่ใกล้ ๆ กับห้องน้ำ ผมซื้อมูลี่รูปพระธาตุหลวงเก็บไว้เป็นที่ระลึก อันละ 100 บาท เอาติดไว้ที่ห้องนอน กลิ่นสีหึ่งเลยครับ
คณะญาติโยมจะต้องเดินออกจากพระธาตุหลวงไปขึ้นรถคันเดิมแต่ว่าเขาจอดอยู่อีกที่หนึ่งเดินไกลนิดหน่อย ไม่รู้เดินไปตรงไหนเดินตาม ๆ เขาไป ผ่านร้านขายรองเท้าข้างถนน เปิดเพลง ไผ่พงศธร สังเกตได้เลยว่า ที่เวียงจันทน์ชอบฟังเพลงจากประเทศไทย รถบัสจอดอยู่ที่สี่แยก ออกเดินทางกันต่อไปที่ประตูชัย อ้อลืมเล่าไปก่อนที่คณะญาติโยมจะเดินทางไปทำบุญที่วัดต่าง ๆ จะต้องมีการรวบรวมเงินทำบุญจากญาติโยมบนรถบัสเตรียมเอาไว้ให้เรียบร้อยก่อนนำไปถวายพระที่วัดต่าง ๆ
มีเสียงประกาศบนรถบัสว่าจะมีการถ่ายรูปหมู่กันหน้าประตู ให้เวลาเดินชมที่ประตูชัยน่าจะประมาณ 15 นาทีน่าจะได้ คงขึ้นไปชมวิวข้างบนประตูชัยไม่ทัน สาเหตุที่เร่งทำเวลาที่ประตูชัย ก็เพราะว่า มันใกล้เวลาฉันเพลของพระจากวัดนาคปรก ( ไม่ต้องห่วงฉัน แซวเล่น ) ต้องรีบเดินทางไปกินข้าวเที่ยงกันที่โรงแรมอีกแห่งหนึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับสนามบิน ที่ประตูชัยก็จะมีลักษณะเป็นลานกว้าง ๆ ขนาบทางด้านหน้าและก็ทางด้านหลัง ทางด้านขวารู้สึกว่าจะมีหน่วยงานราชการกำลังก่อสร้างอยู่ยังไม่เสร็จ ไกด์เล่าให้ฟังเป็นหน่วยงานสำคัญจำชื่อไม่ได้แล้ว เดินเข้าไปถ่ายรูปน้ำพุที่อยู่ด้านหน้าประตูชัยเขาเปิดน้ำพุให้ถ่ายรูปแผล็บนึงแล้วก็ปิด คณะญาติโยมไม่มีใครเดินมาถึงประตูชัยเลยมีผมเดินมาคนเดียว เดินลอดประตูชัยเข้าไป เห็นมีเคาน์เตอร์ขายตั๋วอยู่ทางด้านขวาแล้วก็มีบันไดขึ้นไปยังด้านบนของประตูชัย ผมไม่ได้ขึ้นไปชมข้างบนต้องรีบทำเวลา เดินทะลุลอดไปทางด้านหลังประตูชัย ถ่ายรูปด้านหลังประตูชัยเสร็จแล้วก็อำลาประตูชัย อยากกลับอีกทียังไม่ได้ขึ้นไปชมวิวข้างบนเลย อยากไปแขวงพงสาลี ดินแดนเป้าหมายตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ
ออกเดินทางกันต่อไปกินข้าวเที่ยงที่โรงแรมฝั่งตรงข้ามสนามบิน ด้านหน้าโรงแรมมองเห็นเครื่องบินจอดอยู่ จำไม่ได้ว่าชื่อโรงแรมอะไร รู้สึกว่าจะขึ้นต้นด้วยตัว s ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บเอาไว้เสียด้วย ต้องขึ้นไปกินข้าวเที่ยงที่ชั้น 2 เป็นห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ตอนที่ขึ้นไปคล้าย ๆ กับว่ากำลังมีงานกินเลี้ยงงานแต่งงานหรือเปล่าไม่แน่ใจ เห็นมีเปิดเพลง มีคนกำลังกินอยู่ใกล้ ๆ กับโต๊ะของคณะเราอยู่หลายโต๊ะ แต่เขากินกันไม่นานออกไปก่อนที่พวกเราจะกินเสร็จ อาหารที่นำมาเลี้ยงมือนั้นมีอยู่หลายอย่างน่าจะประมาณ 6-7 อย่าง ที่เด่น ๆ ก็ต้องเป็น ไข่ตุ๋น อร่อยเนื้อไข่เนียน เค็มหน่อย ๆ , ปลาทอด , ลาบ ( มาลาวต้องกินลาบ ) มื้อนั้นนั่งกินอยู่กับ ลุงนั้ม , แฟนลุงนั้ม , ลูกสาว ชื่อ ส้ม , คุณตาวัย 73 ปี จาก ชอย สุขสวัสดิ์ 14 มากับหลานเรียน ม. 2 วัดราชบพิตร , คุณลุง กับ คุณป้าอีก 2 ท่าน จำชื่อไม่ได้
จุดหมายปลายทางต่อไปในภาคบ่ายก็คือ วัดองค์ตื้อมหาวิหาร เข้าไปในวัดที่เด่น ๆ ก็คือ โบสถ์ของวัดนี้ หลังคามีลักษณะเป็นศิลปะของลาวชัดเจนมียอดแหลม ๆ อยู่ตรงกลางหลังคาโบสถ์ ข้างในโบสถ์มีหลวงพ่อองค์ตื้อ เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่สีเข้ม สวยดี ด้านหลังหลวงพ่อองค์ตื้อ มีอะไรกลม ๆ หลากสีสันขนาดใหญ่อยู่หลายอัน ไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร หรือว่าจะเป็นไฟประดับ ? ไม่มีเซียมซี่ให้เขย่าในโบสถ์ พระจากวัดนาคปรกนำคณะญาติโยมสวดมนต์และก็ถวายของให้ทางวัดเหมือนเดิม พอเสร็จจากพิธีในโบสถ์แล้วแฟนคุณลุงนั้มก็มาช่วยถ่ายรูปผมหน้าโบสถ์ให้นิดหน่อย คณะญาติโยมอยู่ที่วัดนี้ไม่นานเท่าไร แล้วก็เตรียมออกเดินทางกันต่อไปที่ วัดทีเด็ดประจำวันนี้ นั้นก็คือ วัดสีสะเกด วัดเด็ดมาเวียงจันทน์ควรจะมาเที่ยวที่นี่
รถบัสพาเรามาจอดอยู่ฝั่งตรงข้ามของวัดสีสะเกด ตอนแรกผมไม่รู้นึกว่าเขาจะให้เที่ยวที่วัดนี้แล้วก็จะไปที่อื่นต่อ แต่ที่ไหนได้ฝั่งเดียวกันใกล้ ๆ กับที่รถจอดเป็นหอพระแก้ว มัวแต่ไปถ่ายรูปอยู่ในวัดสีสะเกด คณะญาติโยมเขาข้ามไปเที่ยวหอพระแก้วกันแล้ว เดินเข้าประตูทางเข้าวัดเข้าไปจะเจอกับแนวกำแพงล้อมรอบโบสถ์ของวัดนี้ เป็นแนวกำแพงล้อมรอบโบสถ์ 4 ด้าน เดินผ่านแนวกำแพงนี้จะเห็นเป็นระเบียงล้อมรอบโบสถ์ 4 ด้าน มีพระพุทธรูปตั้งอยู่ตามระเบียง ตรงกำแพงที่อยู่ตามแนวระเบียงจะทำเป็นช่อง ๆ ใส่พระพุทธรูปขนาดเล็ก ๆ ช่องละ 2 องค์ เจาะเป็นช่อง ๆ ตลอดแนวระเบียง ไฮไลท์ของวัดนี้ก็ต้องเป็นโบสถ์ เก่าแก่สวยสุดยอด ให้ 5 ดาวเลย โบสถ์นี้ข้างในเขาไม่ให้ถ่ายรูป เอาไว้แค่นี้ก่อนวัดนี้ต้องไปดูรูปในกล้อง เล่าไม่ถูก


เดินเข้าไปในโบสถ์ จุดเด่นก็คือ ตรงกำแพงด้านในด้านบน ๆ หน่อย จะเจาะเป็นช่องเล็ก ๆ คล้าย ๆ กับที่ระเบียงใส่พระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ เอาไว้ มีพระประธานขนาดใหญ่ตรงกลาง ข้างในโบสถ์ก็ไม่ค่อยกว้างเท่าไรนัก มีพระพุทธรูปองค์เล็กอยู่ด้านหน้าพระประธานอีก 5 องค์ มีโคมไฟอยู่ในโบสถ์ 3 พวง พระจากวัดนาคปรกพาญาติโยมสวดมนต์กันที่โบสถ์และก็ถวายของให้ทางวัด โบสถ์ของวัดนี้ดูเก่าแก่ ข้างในโบสถ์ดูขลัง ๆ ตรงระเบียงวัดทางด้านซ้ายเขาจะเอาพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ หัก ๆ เอามาเรียงไว้อยู่ในห้องเล็ก ๆ ด้านหน้าเป็นลูกกรงไม้ เห็นมีฝรั้งเอากล้องถ่ายลอดเข้าไปในลูกกรงไม้ ลองถ่ายตามมั๊ง 1 รูป ระเบียงรอบโบสถ์เป็นไม้ดูเก่าแก่ โบสถ์ด้านนอกสีลอกโทรมพอสมควร มีเวลาอยู่ที่โบสถ์ได้ไม่นานนักก็ออกมาที่ประตูด้านหน้าระเบียงเขาจะมีหนังสือเกี่ยวกับประเทศลาววางขายอยู่เป็นภาษาอังกฤษ หนังสือเกี่ยวกับวัดสีสะเกดแล้วก็ซีดีเพลงลาวเดิมก็มีขาย ( สไตล์คล้าย ๆ เพลงไทยเดิม ผมซื้อเก็บไว้แผ่นนึง เพลงสุดท้ายเสียงกระตุกไม่ค่อยดี ) พอซื้อชีดีเสร็จออกมาที่รถ คณะญาติโยมไม่รู้ไปไหนกัน เลยลองถ่ายรูปต้นไม้ที่อยู่แถว ๆ รถบัส เค้าจะเอาสีขาว ทาไว้ที่โค่นต้นไม้เรียงกันหลายต้นเลย ไกด์ลาวเล่าให้ฟังเรื่องสีที่ทาแต่ไม่ได้สนใจฟัง ใครไปเที่ยวที่เวียงจันทน์ก็ลองถามเขาดูเด้อ

เดินหาญาติโยมไม่เจอ ( ไม่ได้ถาม ถ้าถามก็คงรู้แล้ว ว่าเขาไปหอพระแก้ว ) ก็เลยกลับไปที่วัดสีสะเกดอีก แค่เดินข้ามถนนไป ลองไปถ่ายรูป ทางด้านซ้ายด้านนอกของระเบียงมันจะเป็นคล้าย ๆ กับ มณฑปไม้ขนาดไม่ใหญ่นัก มีต้นมะพร้าวบังอยู่ด้านหน้า เจอนักท่องเที่ยวเอเชียคนนึง น่าจะมากับไกด์อีก 1 คน คุยกันเป็นภาษาอังกฤษ ด้านหน้ามณฑปมันจะมีคล้าย ๆ กับเป็นสถูปรูปทรงป้อม ๆ เล็กไม่ค่อยใหญ่เท่าไร ทรงสวยดี ทางด้านขวาของระเบียงที่อยู่ด้านนอกจะมีพระพุทธรูปสีทองตั้งอยู่หลายองค์ เดินออกไปที่รถถึงได้รู้ว่าเขาเดินออกมาจากหอพระแก้ว อยู่ฝั่งเดียวกันกับที่รถบัสจอด เดินเข้าไปชมอยู่ที่หอพระแก้วน่าจะประมาณ 5 - 10 นาทีเอง หอพระแก้วเคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตที่อยู่ในประเทศไทย ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์เอาไว้เก็บพระพุทธรูป

หอพระแก้วมีลักษณะเป็นคล้าย ๆ กับโบสถ์ มีขนาดใหญ่ ต้องเดินขึ้นบันไดไปนิดหน่อย ออกแนวหรู ๆ ประดับลวดลายอย่างดี เห็นในหนังสือเขาบอกมีไหจากแขวงเชียงขวางอยู่ด้านหน้าหอพระแก้ว 1 ใบ เสียดายไม่ได้ไปถ่ายรูปเก็บเอาไว้ ถ่ายรูปไกด์ลาวคุยกับพระจากวัดนาคปรกด้านหน้าหอพระแก้วเอาไว้รูปนึง เร่งทำเวลาดูที่นี่เร็วมากเเลยไม่รู้จะเล่าอะไร มีคนมาเที่ยวเยอะพอสมควรคงจะเป็นจุดหมายซูปเปอร์ฮิตอีกแห่งหนึ่งของเวียงจันทน์ หอพระแก้วอยู่ใกล้กับวัดสีสะเกดเหมาะสำหรับเที่ยวจับคู่เป็นปาท่องโก้ หลังจากชมหอพระแก้วเสร็จแล้ว ก็ออกเดินทางโดยรถบัสไปต่อที่วัดศรีขุนเมือง วัดนี้ไม่มีอยู่ในโปรแกรมเที่ยวเวียงจันทน์ในครั้งนี้แต่พระจากวัดนาคปรกแถมให้ตามคำเรียกร้องของญาติโยม

เดินทางมาถึงหน้าวัดศรีขุนเมืองก็จะเห็นเขาขายดอกไม้พุ่ม ๆ เป็นสีเหลืองนิ่ม ๆ แบบที่เห็นขายอยู่ที่หน้าพระธาตุหลวง แต่ที่นี่ขายกันเยอะเลย ฝั่งตรงข้ามวัดขายอยู่หลายร้าน หน้าประตูทางเข้าวัดก็ขาย วัดที่แถมมาให้นี่แหละ วัดที่เด็ดเลย บรรยากาศคึกคัก เข้าไปวัดก็เจอทีเด็ดเลย มีการเล่นดนตรีเป็นวง ไม่รู้เค้าเรียกสไตล์เพลงอะไรแบบนี้ แต่คุ้น ๆ อยู่เหมือนกันเคยได้ยินสไตล์เพลงแบบนี้มาก่อน เล่นเพลงแบบไม่มีการร้อง วงดนตรีมันจะนั้งเล่นบนพื้นที่ยกสูงขึ้นไปประมาณ 2 เมตรน่าจะได้ เล่นกันอยู่ด้านหน้าโบสถ์ เข้าไปในโบสถ์เจอคนเพียบเลย วัดซูปเปอร์ฮิตแน่นอนเลยวัดนี้ ก่อนมาถึงวัดนี้พระจากวัดนาคปรกบอกไว้บนรถบัส วัดนี้เขาไม่ให้ขอพรเรื่องความรัก ก็เลยต้องอธิษฐานเรื่องอื่นแทน โบสถ์ของวัดจะมีลักษณะเด่นคือ มันจะเป็นโถงชั้นแรกก่อน แล้วก็จะเป็นห้องต้องเดินเข้าไปอีก 1 ชั้น แค่โถงชั้นแรกคนก็เพียบเลย เข้าไปห้องอีกชั้นนึงคนแน่นเป็นหนอนเลย โถงชั้นแรกเขาจะเอาเงินแบงค์มาทำเป็นพุ่ม ๆ คล้ายต้นไม้ แล้วก็จะมีพระมานั้งทำพิธีให้ชาวบ้าน แล้วก็จะมีพุ่มแบงค์ต้นใหญ่อีก 1 ต้น

ที่โถงชั้นนอกจะมีพุ่มเหลือง ๆ ประดับอยู่ด้านหลังพระที่มาให้ศีลให้พรญาติโยมอยู่หลายพุ่ม แล้วก็มีรูปหล่อสีเข้ม ๆ ไม่ใช่พระพุทธรูปอยู่ด้านหน้าประตูทางเข้าไปห้องด้านใน ห้องที่อยู่ด้านในมันจะไม่ค่อยกว้างเท่าไร ตรงกลางจะมีหลักสีทอง ๆ ไม่รู้เขาเรียกว่าอะไร มีพระพุทธรูปยืนอยู่ด้านหน้าหลัก ประดับแผงไฟกลมอยู่ด้านหลังหลักตามสไตล์โบสถ์ของลาว มีไม้แกะสลักสีดำ ๆ อีกหนึ่งอันอยู่ด้านหน้าหลัก บรรยายตามรูปที่ถ่ายเลย คนแน่นมากน่าจะเป็นคนจากประเทศลาวประมาณ 80 – 90 % มีผู้หญิงแต่งชุดสไบสีฉูดฉาดนั้งเรียงกันเป็นแถว เดินออกมาที่โถงด้านนอกกำลังมีชาวบ้านนำเอาพุ่มแบงค์สายยาวมาถวายให้พระ อย่าลืมชมยอดแหลม ๆ ที่อยู่ตรงกลางหลังคาโบสถ์ด้วยหล่ะ มาที่วัดก็เดินชมแต่โบสถ์แค่นั้นเองไม่ได้เดินไปไกลนัก หลังจากเที่ยววัดนี้เสร็จแล้วต่อไปก็เป็นโปรแกรมเนิบ ๆ เซ็งไม่ค่อยมันส์ เป็นโปรแกรมซ็อปสินค้าพวกเครื่องเงินและก็พวกผ้าไหม , สินค้าที่ระลึก แล้วก็ต่อด้วยญาติโยมอยากซื้อโทรศัพท์มือถือ หลวงพี่จากวัดนาคปรกก็จัดให้พาไปซ็อปกันถึงที่เลย

หลังจากเที่ยวชมวัดศรีขุนเมืองเสร็จแล้ว ก็ออกเดินทางต่อไปยังร้านขายผลิตภัณฑ์เครื่องเงิน , ผ้าไหม , ของที่ระลึกต่าง ๆ เป็นร้านขนาดประมาณ 3 คูหา สินค้าเครื่องเงินก็มีพวกเครื่องประดับ , พวกภาชนะเครื่องเงินก็เด่นสวยดีเหมือนกัน ของที่ระลึกพวงกุญแจซีเกมส์ที่เป็นรูปพระธาตุหลวง 50 บาท อันนี้ก็สวย ด้านขวาของร้านเป็นพวกผ้าทอ , มู่ลี่ไม้ไผ่แบบที่ขายแถวพระธาตุหลวง ด้านหลังร้านจะเป็นห้องที่ให้คนงานผลิตเครื่องเงิน โดยเป็นโต๊ะเล็ก ๆ แบบใช้ในห้องเรียน เรียงกัน 4 ตัวน่าจะได้หันหน้าเข้าหากัน 2 แถว ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก คนงานผลิตเครื่องเงินมีแต่ผู้ชายล้วน ๆ ก่อนออกเดินทางออกจากร้านขายเครื่องเงิน ลองถ่ายรูปคลองเลี้ยวโค้งแถว ๆ ร้านแล้วก็ขึ้นไปนั่งรอบนรถเตรียมออกเดินทางต่อ มีคนจากคณะญาติโยมช็อปกันพอสมควร น่าจะเป็นพวกกระเป๋านะที่ซ็อปกัน


หลังจากชมร้านผลิตภัณฑ์เครื่องเงินกันแล้ว หลวงพี่จากวัดนาคปรกก็พาไปซ็อปโทรศัพท์มือถือนั่งรถไปไม่ไกลเท่าไร น้องผู้หญิงใส่แว่นเลือกซื้ออยู่นานพอสมควร พอซื้อเสร็จแล้วรู้สึกว่าจะลืมอุปกรณ์ซิมอะไรสักอย่างคนขายรีบเอามาให้ที่รถบัส ที่เขาพาไปซื้อมือถือมันเป็นร้านไม่ค่อยใหญ่ น่าจะไม่เกิน 3 คูหาน่าจะได้ แต่ที่น่าสังเกตการจราจรดูเงียบ ๆ ไม่ค่อยมีรถวิ่งพลุกพล่าน ทั้งที่ร้านเครื่องเงินและก็ที่ร้านนี่
หลังจากซื้อมือถือกันเสร็จแล้วก็ต้องเดินทางกลับข้ามแม่น้ำโขง โดยรถบัสจะต้องไปจอดอยู่บริวณด่านแล้วก็ต้องเดินผ่านด่าน ตรงบริเวณด่านจะมีร้านค้าปลอดภาษีขนาดใหญ่ แล้วก็ร้านเล็ก ๆ เรียงเป็นห้องแถว มีพวกเหล้าเยอะอยู่เหมือนกัน , ของแห้ง ร้านซีดีก็มี แดดร้อนดูพลุกพล่าน ไม่ได้แวะดูอะไรเลยตรงดิ่งขึ้นรถบัสเลย ที่รีบขึ้นรถบัสเพราะกลัวจะหลงหารถไม่เจอ ตรงด่านนี้ไกด์ลาวจะต้องลาพวกเรา แล้วรู้สึกว่าจะต้องพาไกด์ไทยข้ามกลับไปส่งทางฝั่งไทย ส่งถึงหน้าบริษัท มีการรวบรวมเงินให้ไกด์ไทย -ลาวเป็นสินน้ำใจ เอาเงินใส่ลงไปในขัน หลังจากข้ามแม่น้ำโขงกลับมาฝั่งไทย โปรแกรมต่อไปก็คือ เที่ยวชมตลาดท่าเสด็จ โดยรถบัสมันจะมาจอดอยู่ที่วัดฝั่งตรงข้ามกับตลาด เดินไปนิดหน่อย จะมีคนคอยถ่ายรูปคณะญาติโยมตอนที่ลงมาจากรถ เอารูปไปใส่กรอบแล้วมาขายต่ออีกทีนึง ตลาดท่าเส็ดจ ผมว่าเดินเพลินดีเหมือนกันนะ ไม่มีฝุ่น สะอาดดี ของขายเยอะเลย มันจะมีลักษณะเป็นตลาดวางตัวขนานไปกับแม่น้ำโขง เดินออกไปชมแม่น้ำโขงได้สะดวก มื้อเย็นก็กินร้านที่ตลาดนี่แหล่ะ



Create Date : 07 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 14 ธันวาคม 2552 12:10:20 น.
Counter : 969 Pageviews.

2 comment
หลากหลายกับประเทศจีน
หวัดดีครับ
ขอนำเสนอบทความการปีนยอดเขา manamcho ปี 2007 โดยทีมอังกฤษ ทีมแรกของโลกที่พิชิตยอดเขานี้ได้ ยอดเขานี้อยู่ในเทือกเขา nyainqentaglha ยอดที่สูงทีสุดของเทือกเขานี้จะอยู่ที่ประมาณ 7,000 กว่าเมตร summitclimb.com ก็มีโปรแกรมปีนยอดเขา 7000 กว่าเมตรของเทือกเขานี้ เชิญอ่านได้เลยครับ
ทีมปีนยอดเขา manamcho ปี 2007 จากประเทศอังกฤษ
ในเดือน เมษายน ปี 2007 mick fowler , paul ramsden , steve burns และ ian Cartwright ได้พิชิตยอดเขา manamcho ( 6,264 เมตร ) และจุดระดับความสูง 5,935 เมตร ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นยอดเขาที่อยู่ในเทือกเขา nyainqentaglha ตะวันออก ในเขตธิเบต
ในเดือนเมษายน ปี 2007 ทีมปีนเขาเล็ก ๆ 4 คนจากประเทศอังกฤษ ซึ่งประกอบไปด้วย mick fowler , paul ramsden , steve burns และ ian Cartwright ได้ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยัง เทือกเขา nyainqentaglha ตะวันออก อันห่างไกลในเขตธิเบต ซึ่งเป็นเทือกเขาที่พวกเขาได้เดินทางมุ่งหน้ามาเพื่อที่จะทำการพิชิตยอดเขาที่เป็นรางวัลล้ำค่า manamcho ( 6,264 เมตร ) และจุดระดับความสูง 5,935 เมตร ให้สำเร็จเปนครั้งแรก
ผู้อ่านที่เคยติดตามข่าวมาก่อนหน้านี้แล้ว , อาจจะจำได้ว่า fowler ได้เดินทางเข้าไปยังบริเวณพื้นที่นี้ได้อย่างถูกต้องในปี 2005 , ในปีนั้นเขาได้เดินทางไปกับ chris watts , เขาได้ทำการปีนยอดเขา kajaqiao ( 6,447 เมตร ) ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก แต่แรกนั้นคู่หูทั้ง 2 ได้ถูกล่อใจให้เดินทางมาโดยแนวความคิดเกี่ยวกับการปีนยอดเขาที่ถูกเรียกกันว่า “matterhorn แห่งเทือกเขา nyainqentanghla” แต่จากการรวมกันของแผนที่ต่าง ๆ ที่ไม่มีคุณภาพและการออกใบอนุญาติปีนเขาที่ผิดพลาด ผลที่เกิดขึ้นก็คือคู่หูทั้ง 2 ได้ทำการปีนยอดเขา kajaqiao แทนที่จะได้ปีนยอดเขา manamcho ตามที่ได้ตั้งใจไว้
โดยไม่มีอะไรมาขัดขวาง , fowler ได้เดินทางกลับมายังธิเบตในปี 2007 เพื่อที่จัดการปีนยอดเขานี้ให้สำเร็จเรียบร้อย และก็เป็นอีกครั้งนึงที่ทีมปีนเขาทั้ง 4 คนได้รับใบอนุญาติพิเศษสำหรับการปีนเขาเพื่อที่จะเข้าไปยังบริเวณพื้นที่ ๆ ยังคงมีการปิดอย่างเป็นทางการต่อชาวต่างชาติและก็แบ่งทีมปีนเขาออกเป็น 2 ทีม ๆ ละ 2 คน เพื่อที่จะทำการปีนเขาในแบบ alpine mick fowler และ paul ramsden ปีนยอดเขา manamcho ทั้งไปและกลับจากแคมป์ฐานใช้เวลา 8 วัน ( หลังจากนั้นแล้วก็ได้ใช้เวลาในการค้นหาเพื่อที่จะทำการสำรวจบริเวณพื้นที่หุบเขา manam ที่อยู่ในบริเวณติดกันกับยอดเขา ) และจัดระดับความยากในการปีนเป็น TD และเป็นหนึ่งในการปีนเขาที่อยู่ในความทรงจำมากที่สุดของพวกเขาอันเนื่องมาจากการปรากฏตัวขึ้นมาของยอดเขาอย่างสะดุดตา , ตำแหน่งที่ตั้งของยอดเขาที่อยู่ห่างไกล และวิวทิวทัศน์อันน่าตื่นตาตื่นใจ
Steve burns และ ian Cartwright ได้ทำการปีนขึ้นไปถึงจุดระดับความสูง 5,935 เมตรที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกันซึ่งเป็นการพยายามครั้งที่ 2 ของพวกเขาหลังจากที่ burns ได้ล้มป่วยลงจากการพยายามในครั้งแรก ต้องขอบคุณในการวางตัวของยอดเขานี้ การทำการปีนของพวกเขาได้ให้ข้อมูลที่ประเมินค่าไม่ได้เกี่ยวกับบริเวณพื้นที่ ๆ อยู่รอบ ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ยังไม่ได้รับการสำรวจ การปีนเขา 3 วันของพวกเขาเกี่ยวข้องกับการปีนเขาในสภาพพื้นที่ ๆ มีลักษณะผสม ( น้ำแข็ง , หิมะ ผสมกับหิน ) ซึ่งมีระดับความยากในการปีน AD
Mick fowler และ paul ramsden มักจะร่วมทีมปีนเขาด้วยกันอยู่บ่อย ๆ และในปี 2002 พวกเขาก็ได้รับรางวัล piolet d’ or สำหรับการพิชิตยอดเขา siguniang ด้านเหนือ , ประเทศจีน โดยใช้เส้นทาง central couloir สำเร็จได้เป็นครั้งแรก
ทีมปีนยอดเขา manamcho ปี 2007 จากประเทศอังกฤษ
ระหว่างวันที่ 6 เมษายน 2007 – 5 พฤษภาคม 2007
ยอดเขา manamcho
Mick fowler และ paul ramsden ได้ทำการพิชิตยอดเขา manamcho ( 6,264 เมตร ) ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก โดยใช้เวลาไปกลับจากแคมป์ฐานเป็นเวลา 7 วัน ( จริง ๆ แล้วพวกเขาใช้เวลาในการเดินทางถึง 8 วัน แต่ว่าอีก 1 วันนั้นพวกเขาใช้ไปในการออกสำรวจบริเวณพื้นที่ ๆอยู่ด้านข้างของเส้นทางที่พวกเขาออกเดินทางไป )
ยอดเขา manamcho เป็นภูเขาที่สะดุดตาที่นาย tom nakamura แต่ดั้งเดิมนั้นได้ตั้งชื่อเอาไว้ว่า “matterhorn ของเทือกเขา nyainkentanghla ” รูปถ่ายของยอดเขานี้ปรากฏขึ้นบนปกหนังสือ the Japanese alpine news ในปี 2002 แต่ว่าแผนที่ในบริเวณพื้นที่นั้นไม่มีคุณภาพและรูปถ่ายที่อยู่หน้าปกก็เป็นการจับภาพมาอย่างเข้าใจผิดซึ่งมันเป็นภาพถ่ายของยอดเขา kajaqiao นาย mick fowler และ chris watts ได้เดินทางไปปีนยอดเขานี้ในปี 2005 และได้ค้นพบว่ามันเป็นการเข้าใจผิดซึ่งแน่นอนอยู่แล้ว , มันก็หมายความว่าพวกเขามีใบอนุญาติสำหรับการปีนภูเขาที่ผิดยอด ยอดเขา kajaqiao สร้างความตื่นเต้นให้พวกเขาถึงขนาด และระยะเวลาการปีนเขาก็มาถึงเวลาที่ครบกำหนดตามใบอนุญาติ แต่ว่าการโต้เถียงกันถึงการปีนยอดเขา manamcho ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ที่มีมาแต่ดั้งเดิมนั้นจึงเกิดขึ้นมา ซึ่งนาย mick fowler จึงได้เดินทางกลับไปอีกครั้งนึงในปี 2007 กับนาย paul ramsden
หลังจากที่ได้ทำการปรับตัวให้เข้ากับอากาศบนที่สูงแล้ว , ซึ่งนาย paul ก็เกือบจะยุติการปีนเขาโดยเกิดความเสียหายขึ้นกับรองเท้าของเขาในขณะที่เขากำลังเดินทางกลับ , พวกเขาได้ออกเดินทางจากแคมป์ฐานในวันที่ 19 เมษายน การเดินทางเข้าไปยังเชิงเขาของสันเขาด้านตะวันตกเฉียงเหนือนั้นจะต้องข้ามที่ราบสูงธารน้ำแข็งอันกว้างใหญ่และหลังจากนั้นก็จะไต่ระดับขึ้นไปตามภูเขาสูงที่มีทิวทัศน์ที่ดีเยี่ยมซึ่งเป็นลักษณะพื้นที่ทางด้านเหนือของยอดเขา ตัวของสันเขาเองนั้นโดยส่วนใหญ่แล้วมีลักษณะเป็นหินมีหิมะปกคลุมมีมาตรฐานระดับความยากในการปีนอยู่ที่เกรด IV ถึงแม้ว่าบางที่เส้นทางการปีนนั้นไม่สามารถที่จะหาบริเวณที่เป็นจุดที่ใช้ในการเคลื่อนที่ แบบ skyhook ที่จำเป็นที่จะต้องใช้ในการปีนเคลื่อนไปอีกจุดหนึ่ง ในการปีนนั้นจำเป็นที่จะต้องใช้แคมป์พักแรม 3 แคมป์เหนือ bergschrund และก็มีหิมะตกลงมาอย่างหนักในแต่ละคืนช่วยเพิ่มความน่าสนใจ ตรงจุดหนึ่งซึ่งเป็นช่วงเส้นทางที่มีลักษณะเป็นหิมะที่เพิ่งตกลงมาใหม่ๆยาวถึง 20 เมตร ซึ่งลักษณะเส้นทางแบบนี้ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับนาย ramsden มาก่อนก็ได้เข้ามาเกี่ยวพันเป็นเส้นทางที่จะต้องผ่านไป แคมป์พักแรมแคมป์ที่ 3 , ตั้งอยู่ 75 เมตรใต้ยอดสูงสุด , เป็นแคมป์ที่หันหน้าไปทางยอดสูงสุดและก็มีหิมะตกลงมาถึง 2 ฟุตในตอนกลางคืน สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดการกลัวในการตั้งแคมป์ค้างคืน , สถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้นอันเนื่องมาจากกระแสลมที่ไม่อาจที่จะลืมเลือนได้ตอนรุ่งเช้าของวันลุยยอดสูงสุด สิ่งเหล่านี้มันดีสำหรับสีผิวแต่ว่ามันแย่มากสำหรับการมองเห็น ทัศนวิสัยบนยอดสูงสุดได้ถูกตั้งความหวังเอาไว้ว่าจะได้เห็นภาพมุมกว้างของภูเขาที่ยังไม่ได้พิชิตอันน่าตื่นตะลึงนั้นมลายหายไปหมดแล้ว รูปถ่ายยอดสูงสุดอันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ได้ไปถ่ายมานั้นมันเหมือนกับว่าได้ไปถ่ายมาตรงที่ไหน ๆ ก็ได้ในโลกนี้ที่มีหิมะ , หมอก , พายุที่มีกระแสลมแรง
หิมะยังคงตกลงมาตลอดช่วงเส้นทางการปีนลงทั้งหมดและมันก็มีความลึกถึงเอวเมื่อถึงตอนที่พวกเขาได้เดินทางมาถึงบริเวณธารน้ำแข็งที่อยู่เบื้องล่างยอดเขา เมื่อเดินทางถึงแคมป์ฐานหิมะก็ยังคงตกหนักซึ่งมีความลึกถึงหัวเข่าในขณะที่ยังใส่รองเท้าลุยหิมะอยู่ตรงหลาย ๆ จุดด้วยกัน , เมื่อวันที่ 26 เมษายน
มาตรฐานความยากในการปีนตลอดทั้งเส้นทางการปีนนั้นประมาณ TD , แต่ว่าการปรากฏขึ้นมาอย่างสะดุดตา , ตำแหน่งของยอดเขาที่ห่างไกลและก็วิวอันน่าตื่นตาตื่นใจเช่นนั้นนักปีนเขาทั้งสองคนนี้จึงได้จัดให้ยอดเขานี้เป็นหนึ่งในการปีนที่มิอาจจะลืมได้มากที่สุดของพวกเขา ยังไม่จบเด้อ
รูปประกอบยอดเขา manamcho 6264 เมตร ดูท่าทางจะยากพอสมควรนะเนี่ย


//www.planetmountain.com/english/News/shownews.lasso?l=2&keyid=35627#


วันที่ 25/11/52 นิตยสาร สองภาษารายเดือน เล่มใหม่ หน้าปกเป็นเมืองปีศาจ , มณฑลซินเกียงส่งเข้าประกวด แจ่มเลย



Create Date : 13 กรกฎาคม 2550
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2552 10:57:59 น.
Counter : 488 Pageviews.

1 comment
ประเทศญี่ปุ่น แดนปลาดิบ , สาวน่ารัก , 4 เกาะใหญ่ , ประภาคารเยอะแยะ
วันที่ 7/7/07 เลขสวย วันนี้ตั้งสัก 3 บล็อคไปเลยดีกว่า ตั้งบล็อคประเทศญี่ปุ่น , ประเทศ algeria , และก็ยานอวกาศ new horizon
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา วันนี้ไปเจอเว็บรายชื่อประภาคารของเกาะฮอกไกโดของญี่ปุ่น มีประภาคารเพียบเลย ประเดิมด้วยเบอร์ 0001 sirakami mizaki อยู่ตอนใต้ของเกาะ เป็นประภาคารแบบหอคอยแถบสีแดง-ขาว ใครสนใจลองคลิกไปดูได้


//yamatae.sakura.ne.jp/Lh1/sirakami.html

หวัดดีครับ
กลับมาเจอกันอีกแล้วสำหรับบล็อคนี้ วันนี้ขอนำเสนอภาพจากประภาคาร kamui mizaki อยู่ตรงชายฝั่งด้านตะวันตกของเกาะฮอกไกโด เป็นประภาคารสร้างอยู่ปลายแหลมที่ยื่นไปในทะเล เขาทำทางเดินเป็นรั้ววางแนวไปตามสันเขาเดินไปเรื่อย ๆ ก็จะถึงประภาคาร วิวสวยใช้ได้เลย เห็นครั้งแรกก็ปิ๊งเลย
ช่อง titv วันอาทิตย์ที่ 15/7/50 ชั่วโมงโลกตะลึง แผ่นดินไหวที่เมืองโกเบ ปี 1995 เวลา 22.10 น. เอาไว้เจอกันใหม่โอกาสหน้าเด้อ ภาพประกอบอันแรกทางเดินสู่ประภาคาร kamui mizaki


ภาพประกอบประภาคาร kamui mizaki อยู่สุดปลายทางเดิน วิวทะลเต็ม ๆ

//yamatae.sakura.ne.jp/Lh1/kamui.html
หวัดดีครับ
วันที่ 13/7/07 วันนี้ ศุกร์ที่ 13 ข่าวเด็ดจากไทยรัฐฉบับศุกร์ 13 เศรษฐีนิรนาม นำเอาธนบัตรใบละ 10000 เยน หรือประมาณ 2700 บาท ใส่ซองแล้วก็นำไปวางไว้ตามห้องน้ำของสถานที่ราชการ 18 จังหวัด จากทั้งหมด 47 จังหวัดของประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่เกาะฮอกไกโดด้านเหนือ ลงไปถึงเกาะโอกินาวาด้านใต้ แจกมาตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2550 สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นผู้ชายอายุประมาณ 50-60 แล้วก็เขียนข้อความกำกับไว้บนซอง "สินน้ำใจ" คนที่เก็บได้ส่วนใหญ่นำไปส่งคืนตำรวจรวมเป็นเงินที่คืนตำรวจ 1,080,000 บาท สร้างความฮือฮาทั่วแดนปลาดิบ ผมว่าน่าจะเอามาแจกแถวห้องน้ำที่นี่บ้างก็ดีนะ ประภาคาร wakkanai อยู่เกือบเหนือสุดของเกาะฮอกไกโด ( ยังมีประภาคารที่อยู่ด้านเหนือกว่านี้อีก 1 อัน ) ฝั่งตรงข้ามก็เป็นเกาะ sakhalin , รัสเซีย น่าจะแจกต่อไปเรื่อย ๆ อีกสัก 1-2 เดือนนะ ให้คนที่นั้นหัวหมุนงงเล่น ๆ หรือว่าจะบินมาแจกแถวห้องน้ำที่ ก.ท.ม. ก็ได้นะ 55555 ภาพประกอบประภาคาร wakkanai ระยะไกล งามหลายแถบขาวแดง นั่งเรือจากเมือง wakkanai ไปเมืองท่า korsakov ของเกาะ sakhalin ใช้เวลาประมาณ 8 ช.ม.



ภาพประกอบ ประภาคาร wakkanai ถ่ายระยะใกล้ แถว ๆ กลางหอคอยมีเฉลียงดูวิวแถมอีก

//yamatae.sakura.ne.jp/Lh1/wakkanai.html



Create Date : 07 กรกฎาคม 2550
Last Update : 16 กรกฎาคม 2550 12:08:50 น.
Counter : 1637 Pageviews.

3 comment
รวมมิตรประเทศไทย แสนสบาย

วันที่ 16/2/51 ขอลงบทความไปเที่ยวดอยม่อนจอง 1929 เมตร อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ช่วงปลายเดือน 12/50 ขอเชิญอ่านได้เลยครับ
ปีนดอยม่อนจองปี 2007
เริ่มต้นออกเดินทางโดยนัดกับทาง nakderntang.com ที่บิ๊กซีสะพานควาย นั่ง bts ไปลงสถานีสะพานควาย สะดวกสบาย ไปถึงก็ไปที่ food park ไปถึงแล้วก็ไม่รู้จะไปพบใคร ก็เลยโทรไปที่เบอร์ของนักเดินทางก็มีเจ้าหน้าที่ออกมารับ ( เจ้าหน้าที่คนนี้เขาออกทริปไปเวียดนาม ไม่ได้ไปดอยม่อนจองด้วยกัน ) เจ้าหน้าที่คนนี้ก็พาไปรู้จักกับสต๊าฟที่จะพาไปดอยม่อนจองชื่อ ตูน แล้วตูนก็จะแนะนำให้รู้จักกับสต๊าฟอีกคนชื่อบุษ ผมมาถึงบิ๊กซีสะพานควายประมาณ 1 ทุ่มกว่า รู้สึกว่าจะมีคนร่วมทริปอีก 3 คนมาถึงก่อนผม ได้แก่ อึ่ง , นก x , นก l สามคนนี้เคยเรียนหนังสือที่เดียวกันแต่โดนคนชื่ออึ่งหลอกให้มาเที่ยวที่ดอยม่อนจอง นกเอ๊กซ์กับนกแอลเขาชอบเที่ยวแบบสบาย ๆ ไม่ลำบาก พอนั่งรอสมาชิกคนอื่น ๆ ไปอีกสักพัก ( สมาชิกมีทั้งหมด 8 คน ) ก็ได้เจอกับโหน่ง หนุ่มร่างผอมผมยาว พอนั่งรออีกสักพักก็มีมาอีก 2 คน ได้แก่ ชาญ กับ จี ( ใส่แว่นทั้งคู่ ) คนชื่อชาญใช้กล้อง canon eos 350 d แต่ยังขาดอยู่อีก 1 คน ชื่อมะลิ ต้องไปรับที่ ร.พ. เซ็นต์คาร์ลอส ก่อนออกเดินทางจากบิ๊กซีโหน่งรีบกินข้าวเย็นเป็นการด่วน ส่วนผมกินข้าวหมกไก่ แล้วก็ออกเดินไปที่ลานจอดรถบิ๊กซี วันนั้นมีรถตู้ของนักเดินทางต้องออกทริปไปทั้งหมด 5 คัน ได้แก่ ดอยผ้าห่มปก , ดอยม่อนจอง , ขุนแม่ยะ จ.แม่ฮ่องสอน , เวียดนามอีก 2 ทริป แล้วเหล่าสมาชิกก็ออกเดินทางไปรับคุณ มะลิ คนนี้ก็ใส่แว่นรู้จักกันกับชาญและจี แล้วรถตู้ก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปทางสุพรรณ แล้วก็ไปออกที่นครสวรรค์ ประมาณสักเที่ยงคืนครึ่งก็เกิดแจ๊กพ็อต รถตู้ได้เกิดเสียขึ้นมา หม้อน้ำแตก ที่บริเวณหลัก ก.ม. ที่ 221 ทางหลวงหมายเลข 1 ตรงด้านหน้า นครสวรรค์ tsd แวร์เฮาส์ ทางนักเดินทางจึงหาทางแก้ปัญหาโดยให้รถตู้อีกคันมารับเหล่าสมาชิกพร้อมสัมภาระที่ปั๊ม ปตท. ไม่ไกลจากจุดรถเสีย หลังจากนั้นก็ออกเดินทางจากปั๊มปตท. ไปพร้อมกับคนขับคนใหม่ รถตู้คันใหม่กว่า , แอร์เย็นกว่า ออกไปตอนประมาณตีสี ประมาณ 7 โมงเช้าก็ไปแวะที่ปั๊มแก๊สแห่งหนึ่งไม่รู้จังหวัดอะไร มีละอองฝนลงมานิดหน่อย แล้วก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยัง อ.ลี้ เพื่อแวะกินข้าวกันที่ร้านริมถนนสาย 106 เป็นร้านอาหารตามสั่ง ฝั่งตรงข้ามเป็นโรงเรียน รู้สึกว่าจะชื่อแม่เทย ทิ้งระเบิดที่ห้องน้ำร้านนี้ก่อนกินข้าว
เนื่องจากเกิดเหตุการณ์รถเสียที่จ. นครสวรรค์ ทำให้เวลาล่าช้าไม่เป็นไปตามกำหนดการ ทางนักเดินทางจึงเปลี่ยนโปรแกรมให้เดินทางไปยังหน่วยจัดการต้นน้ำห้วยจิโนแทนในวันเสาร์ที่ 29 ธ.ค. แล้วค่อยไปดอยม่อนจองในวันที่ 30 ธ.ค. ( ตามกำหนดการเดิมจะต้องไปที่หน่วยจัดการต้นน้ำห้วยจิโนในวันที่ 29 และไปดอยม่อนจองในวันที่ 30 ธ.ค. ) แล้วก็ออกเดินทางจาก อ.ลี้ ยิงยาวไปยัง อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ผ่าน อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ แล้วก็ใช้ทางสาย 108 ไปทางอ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน แล้วก็เลี้ยวซ้ายเปลี่ยนไปใช้ทางหลวงสาย 1099 มุ่งไปยังอ. อมก๋อย ทางหลวงสาย 1099 เป็นทาง 2 เลน มีต้นสนอยู่ข้างทางเยอะมาก เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นทางหลวงสายนี้ ข้างถนนสายนี้เขาจะปักป้ายคำขวัญของ อ.อมก๋อย เรียงกันไว้ พูดถึงภูเขากับป่าไม้และก็อากาศที่บริสุทธิ์ ถนนสายนี้ไม่ค่อยมีรถวิ่งกันเท่าไร ดูเงียบสงบดูเป็นคนละสไตล์กับอำเภอทางด้านเหนือของ จ.เชียงใหม่ และแล้วรถตู้ก็เดินทางมาถึง อ.อมก๋อย โดยได้มาส่งที่ร้านอาหารใกล้ ๆ กับอมก๋อยเภสัช โดยจะแวะกินข้าวกันก่อนที่ร้านนี้ ตั้งแต่มื้อเช้าของวันที่ 29 ไปจนถึงมื้อเย็นของวันที่ 31 ธ.ค. ทางนักเดินทางจะเป็นออกเงินให้ มื้อเช้าวันนี้ผมกินข้าวมันไก่ ข้าวมันไก่ที่ร้านนี้อร่อยดี โทรทัศน์ที่ร้านใช้ ubc สัญญาณชัดแจ๋ว รถตู้จะไม่เดินทางไปกับเรานับจากนี้ไป แต่ในวันนี้จะมีรถกระบะ 4 คูณ 4 ที่ได้ติดต่อล่วงหน้าเอาไว้มารับพวกเราพร้อมสัมภาระออกเดินทางไปยังหน่วยจัดการต้นน้ำจิโน จากสี่แยกบริเวณร้านอาหารที่กินมื้อเช้ารถกระบะก็ออกเดินทางไปโดยใช้ทางแยกด้านขวามือมุ่งไปตามทางเรื่อย ๆ ไปจนถึงจุดที่เค้าเรียกกันว่าคริสต์จักร จำชื่อไม่ได้แล้ว น่าจะเป็นคริสต์จักรยางเปา แล้วก็เลี้ยวซ้ายอีกที่นึง รถกระบะมุ่งไปตามทางเรื่อย ๆ ทางจะเริ่มเป็นลักษณะภูเขามากขึ้น ผ่านโรงเรียนผาปูน , บ้านสงินเหนือ แล้วก็จะเจอป้ายบอกหน่วยจัดการต้นน้ำแม่จ๊าง กับป้ายจิโน แล้วก็เลี้ยวซ้ายไปตามป้าย , ขับไปตามทางที่ป้ายบอกไปเรื่อย ๆ ก็จะมาถึงบริเวณลานจอดรถของหน่วยจัดการต้นน้ำห้วยจิโน มีตัวอักษรคำว่า jino ประดับอยู่ แล้วก็มีสถานีตรวจอากาศอยู่ใกล้ ๆ กับตัวอักษรที่ว่า วิวตรงแถว ๆ ลานจอดรถคุณจะได้พบกับภูเขาต้นสน ที่นี่จะมีห้องน้ำให้คุณได้อาบน้ำและก็ห้องส้วมไว้บริการแต่ว่าจะไม่มีไฟฟ้าให้ใช้แต่ถ้ามีน้ำมันก็เอาไปให้เจ้าหน้าที่ปั้นไฟให้ใช้ก็ได้ มีบ้านพักให้พักด้วย หรือว่าจะเลือกกางเต้นท็ก็ได้ มีลานกางเต็นท์อยู่ตรงเสาธงและก็ตรงหน้าห้องน้ำ ส่วนเย็น ๆ วันนั้นเหล่าสมาชิกก็เตรียมตัวกางเต็นท์กัน แก๊งค์ 3 สาว นก x , นก l , อึ่ง นอนเต็นท์เดียวกัน , ส่วนผมนอนเดี่ยวเต็นท์ข้าง ๆ กัน, เต็นท์ถัดมาจะเป็นเต็นท์ของบุษกับตูน , แล้วก็เป็นเต็นท์ของโหน่ง , เต็นท์สุดท้ายเป็นเต็นท์ของชาญ , จี , มะลิ ส่วนคืนที่ค้างที่ดอยม่อนจองก็จะมีการจัดกลุ่มนอนเต็นท์กันเหมือนอย่างนี้แต่จะกระจายกันไม่เรียงกันเหมือนอย่างนี้เพราะว่าจะมีเต็นท์ของคณะอื่น ๆ เข้ามาแจมด้วย ช่วงเย็น ๆ วันนั้นผมก็ตะลุยถ่ายรูปแถว ๆ ห้วยจิโน ลุยถ่ายตั้งแต่ตรงทางเข้าที่มีสถานีตรวจวัดอากาศเรื่อยไปจนถึงเสาธง อุณหภมิจากสถานีตรวจวัดอากาศตอนเย็นวันนั้นประมาณ 19 องศาเซลเซียส ช่วงก่อนมื้อเย็นวันนั้นมีบางคนไปอาบน้ำที่ห้องน้ำส่วนผมอาบตอนหลังหม่ำมื้อเย็นน้ำเย็นมาก ห้องน้ำมีฝักบัว อาบน้ำจนตัวชา การเดินจากเต็นท์ไปห้องอาบน้ำทางซูปเปอร์มืด ไม่มีแสงไฟจากบริเวณหน่วยเลย ผลที่ได้จากความมืดในบริเวณนั้นก็คือ มองขึ้นไปบนท้องฟ้าเห็นทางช้างเผือกสวยงามมาก ดาวแน่นเต็มท้องฟ้า ใครจะมาพักค้างคืนที่ห้วยจิโนของสำคัญที่ต้องเตรียมมาก็คือ ไฟฉายนะจ๊ะ มือเย็นของวันนั้นทางนักเดินทางจัดอาหารให้กินเป็นหมูกะทะ 2 ชุด เป็นการกินหมูกะทะบนความสูงประมาณ 1700 เมตร ( ตัวเลขความสูงได้จากเครื่องวัดของคุณชาญ ) กินกันตั้งแต่ช่วงเย็น ๆ ไปจนมืดท่ามกลางแสงเทียน ทางนักเดินทางใช้เชื้อเพลิงกระป๋องสำหรับย่างหมูกะทะ มีข้าวสวยกินกับหมูกะทะด้วย กินไปกินมาจนหมูกะทะจวนจะหมดอยู่แล้ว วงหมูกะทะของโหน่ง , บุษ , กับแก๊งค์ 3 สาว เกิดไฟลุกท่วมเตาหมูกะทะลามไปไหม้พลาสติกรองพื้น วงแตกช่วยกันดับไฟกันอยู่ครู่หนึ่งจนสุดท้ายก็ได้ชาญมาปิดที่เตา เป็นผลให้วงหมูกะทะของโหน่งเกิดหมดอารมณ์ไม่กินต่อแล้ว ส่วนวงของผมยังกินต่อไปอีกแป็บนึง ก่อนนอนคืนนั้นได้ถ่ายรูปเต็นท์ของบุษกับตูนเก็บไว้ด้วย
ช่วงเช้าของวันที่ 30 ธ.ค. 2551 ตื่นขึ้นมามัวแต่วุ่น ๆ อยู่กับการแปรงฟันเลยไม่ได้ชมวิวพระอาทิตย์เริ่มโผล่ขึ้นมา แต่เช้าวันนั้นผมไม่ได้อาบน้ำอากาศมันหนาวนะเลยขี้เกียจอาบ พอแปรงฟันเสร็จก็เริ่มเก็บสัมภาระลงเป้ให้เรียบร้อยและก็ตะลุยถ่ายรูปกับคลิปวีดีโอกันอีกพักใหญ่จนถึงเวลาอาหารเช้า มือเช้าในวันนั้นก็ทำอาหารกันตรงเสาธงเลย โดยมีแก๊งค์ 3 สาวช่วยทำกับข้าว , นก x เป็นคนผัดผักบุ้งน้ำมันหอย มือเช้าในวันนั้นก็มีผัดผักบุ้งน้ำมันหอย , ไข่ดาว , เต้าหู้ทอด ( เหลือจากหมูกะทะเมื่อคืน ) , และก็ผัดผักรวมมิตร โดยย้ายที่กินไปกินกันที่ด้านนอกของห้องพักที่อยู่ใกล้ ๆ กับเสาธง พอฟาดมื้อเช้ากันเสร็จแล้วเหล่าสมาชิกก็นั่งรถกระบะออกเดินทางจากห้วยจิโนมุ่งกลับไปยังตัวอำเภอ อมก๋อย ไปจอดแวะพักเตรียมตัวเดินทางไปยังดอยม่อนจองกันที่หน้าร้านอาหารบัวผัน หน้าร้านอาหารบัวผันถือเป็นจุดสำคัญในการเตรียมความพร้อมในการเดินทางเข้าไปเที่ยวในเขต อ.อมก๋อยและก็เดินทางออกไปจากเขต อ. อมก๋อย ในช่วงบ่ายทางนักเดินทางได้ให้ทุกคนสั่งอาหารตามสั่งกันตามใจชอบคนละ 1 กล่องเอาไปกินกันที่หน่วยพิทักษ์ป่ามูเซอ เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าอมก๋อย มื้อนั้นผมสั่งหมูกระเทียมไข่ดาว หลังจากเตรียมตัวกันที่อ.อมก๋อยเสร็จแล้วเหล่าสมาชิก็ออกเดินทางไปพร้อมกับสัมภาระ ,รถกระบะคันเดิมและก็คนขับรถกระบะคนเดิม คนขับรถกระบะที่พาเราไปยังเชิงดอยม่อนจองเขาเล่าให้ผมฟังว่าเขาเคยขับรถกระบะจาก อ.อมก๋อย ไปยังบ้านแม่ตื่น ( บ้านแม่ตื่นอยู่สุดทางหลวงด้านใต้ของ อ.อมก๋อย ) แล้วก็ขับจากบ้านแม่ตื่นไปยัง อ.ท่าสองยาง จ.ตาก แล้วก็ขับต่อไปยัง อ.แม่สอด เป็นการขับไปทำธุระ เขาบอกว่าไปเส้นทางนี้มันช่วยย่นระยะทาง เส้นทางจากบ้านแม่ตื่น อ.อมก๋อยไปยัง อ.ท่าสองยาง จ.ตาก เป็นเส้นทางแบบ 4 x 4 ขับผ่านได้เฉพาะช่วงหน้าแล้ง เป็นเส้นทางลักษณะเป็นภูเขาสูงชัน เรากลับมาเข้าเรื่องกันต่อ หลังจากที่ออกเดินทางไปจาก อ.อมก๋อยแล้วพวกเราก็ไปรับเจ้าหน้าที่นำทางที่จะพาเราปีนขึ้นไปด้านบนของดอยม่อนจอง ซึ่งก็จะต้องไปรับเขาที่หน่วยพิทักษ์ป่ามูเซอ เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าอมก๋อย เมื่อมาถึงหน่วยพิทักษ์ป่ามูเซอก็รีบกินข้าวกล่องที่ได้ซื้อมาจากร้านอาหารบัวผันกันก่อนเลย กินข้าวเสร็จแล้วก็ถ่ายรูปกันพอหอมปากหอมคอ เจ้าหน้าที่ ๆ พวกเรารับมามีคนเดียว เสร็จแล้วก็ออกเดินทางกันต่อไป โดยขั้นตอนต่อไปเราจะต้องไปรับลูกหาบที่หมู่บ้านชาวเขาเผ่ามูเซอ ซึ่งลูกหาบที่เราไปรับมามีประมาณ 3-4 คน เป็นชาวเขาเผ่ามูเซอ วิวหมู่บ้านมูเซอสวยมากเป็นหมู่บ้านตั้งอยู่บนภูเขามีบ้านเรือนตั้งอยู่ลดหลั่นกันอยู่เป็นกลุ่มไม่รอช้าที่จะถ่ายรูปเลยครับ ก่อนออกเดินทางไปจากหมู่บ้านนี้พวกเราก็แวะไปดูศูนย์ขายสินค้า otop ประจำหมู่บ้านนี้กันก่อน สินค้าที่ขายก็มีพวกน้ำผึ้ง , เหล้าพื้นเมือง ( เขาจะเรียกว่าน้ำอะไรไม่รู้ฟังไม่ค่อยชัด ) , พวกผ้าพื้นเมือง , ย่าม หลังจากที่ชมสินค้ากันแล้วก็ได้เวลาออกเดินทางไปยังจุดเริ่มต้นเดินขึ้นดอยม่อนจอง ถือเป็นความมันส์อีกอย่างนึงครับในการเดินทางจากหมู่บ้านมูเซอไปยังจุดเริ่มต้นเดิน เพราะว่าเส้นทางที่รถกระบะพาพวกเราไปนั้นเป็นเส้นทางภูเขาที่สูงชันสองข้างทางมีป่าไม้ที่หนาแน่น บางช่วงของเส้นทางรถจะต้องไต่ระดับทางที่ชันประมาณ 45 องศาเป็นระยะทาง 100 – 200 เมตร และบางครั้งก็จะเจอต้นไม้ขนาดใหญ่มากประมาณ 3-4 คนโอบขึ้นกระจายอยู่ตามข้างทาง ในที่สุดรถก็พาพวกเรามาถึงจุดเริ่มต้นเดินขึ้นดอยม่อนจอง เมื่อลงจากรถแล้วเราจะเห็นพระพุทธรูปยืนสีทองอยู่ทางด้านซ้ายมือ และก็จะมีป้ายบอกภูหินช่อ 3 ก.ม. , ลานกอลฟ์ช้าง 4 ก.ม. , ดอยม่อนจอง 5 ก.ม. เราจะต้องเดินไปตามเส้นทางเดินเขาไปเรื่อย ๆ แต่ก่อนที่จะเดินเราจะต้องจัดสัมภาระให้ลูกหาบแบกเสียก่อน เส้นทางช่วงแรกจะผ่านป่าไม้เดินขึ้นเขาไปเรื่อย ๆ อาการเจจะเริ่มปรากฏให้เห็น จนกระทั้งเรามาเจอกับหุบเขาสูงอยู่ทางด้านซ้ายมือ วิวหุบเขาสวยมาก เส้นทางจะเริ่มเข้าสู่ช่วงที่ 2 เดินไปตามทางเรื่อย ๆ เราก็จะเจอภูหินช่ออยู่ทางซ้ายมือมีลักษณะเป็นกลุ่มก้อนหินขนาดใหญ่อยู่สูงจากพื้นดินประมาณ 4-5 เมตร ตอนแรกก็ไม่ได้กะจะไปบนภูหินช่อหรอก แต่ผมเข้าใจผมิดคิดว่ามันเป็นเส้นทางที่จะไปยังดอยม่อนจอง ( เห็นนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นอยู่บนนั้น ) ก็เลยหลงปีนขึ้นไปถ่ายรูปข้างบนภูหินช่อมาได้ 2 รูป พอเลยภูหินช่อไปแล้วเส้นทางเดินเขาก็จะต้องผ่านป่าไม้ เส้นทางช่วงนี้จะขึ้นเขาไปเรื่อย ๆ เป็นช่วงเส้นทางที่เหนื่อยที่สุดในการปีนดอยม่อนจอง พอผ่านช่วงเส้นทางป่าไม้มาแล้ว เราก็จะเจอสันเขาโล่ง ๆ ที่เป็นทุ่งหญ้า หลังจากนั้นก็เดินตามเส้นทางไปเรื่อย ๆ เส้นทางจะไม่ค่อยเหนื่อยแล้ว จะเหนื่อยอีกทีก็ช่วงสันเขาที่เป็นขั้นบันได เดินไปเรื่อย ๆ ก็จะเจอลานกอล์ฟช้าง มีลักษณะเป็นโป่งดินยุบตัวลงไป เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4-5 เมตร เมื่อมาถึงลานกอล์ฟช้างแล้ว ก็จะต้องเดินแยกไปทางซ้ายมือลงไปตั้งแคมป์กันในหุบเขาที่เป็นป่าไม้หนาทึบ ตรงบริเวณหุบเขานี้มีแหล่งน้ำเหมาะสำหรับการตั้งแคมป์ พอเอาของสัมภาระมาฝากไว้กับคุณตูนที่หุบเขาข้างล่างแล้วผมก็ปีนขึ้นไปออกจากหุบเขาไปชมวิวยามเย็น บริเวณใกล้ ๆ กับลานกอล์ฟช้างเราจะพบกับป้ายบอกทางไปยังยอดดอยหัวสิงห์ไม่รอช้าผมลองเดินไปชมวิวยามเย็นตามเส้นทางไปเรื่อย ๆ เจอโหน่งอยู่ตรงเส้นทางไปยังยอดดอยหัวสิงห์ โหน่งบอกว่า ยังไม่มีใครเดินไปยอดดอยหัวสิงห์ตอนนี้ ผมก็กะจะลองเดินชมวิวตามเส้นทางไปยังยอดดอยหัวสิงห์ไปเรื่อย ๆ ตอนนั้นเดินไปคนเดียวเส้นทางเดินสวยงามมากเป็นแนวหน้าผาอยู่ทางด้านขวามือส่วนด้านซ้ายมีลักษณะเป็นหุบเขาป่าไม้หนาแน่น เส้นทางเดินสบาย ๆ ไม่ลำบากเท่าไร ถือได้ว่าดอยม่อนจองเป็นยอดเขาที่มีรูปทรงสันฐานที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของเมืองไทย ผมเดินมาถึงจุดที่เป็นหน้าผาหินขนาดใหญ่ ด้านขวามือเป็นดอยหัวเสือ เป็นยอดแหลม ๆ ( รู้จักชื่อดอยนี้จากคนนำทางในตอนเช้าวันถัดไป ) มองขึ้นไปยังยอดดอยหัวสิงห์ตอนนั้นประมาณ 17.55 น. ยังมีคนอยู่บนนั้น ผมตัดสินใจเดินกลับไปยังจุดตั้งแคมป์เพื่อเตรียมตัวหม่ำมื้อเย็น บริเวณที่ตั้งแคมป์ในวันนั้นมีเต็นท์จากคณะนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น ๆ มากมายหลายเต็นท์ ห้องน้ำที่นี่ไม่มีหรอกนะครับ ถ้าปวดเบาก็ริมทางเลยครับ โชคดีวันนั้นไม่ปวดหนัก ฮี่ฮี่ สภาพแคมป์ตอนกลางคืนมีเพียงแสงจากกองไฟหุงต้มอาหารกับแสงเทียนเท่านั้น มื้อเย็นมีคุณนก x มาช่วยทำยำมาม่าให้กิน แล้วก็มีพ่อครัวจากคณะเดินทางกลุ่มอื่นมาช่วยทำผิดพริกแกงถั่วฝักยาว กับข้าวมีอีก 1 อย่างก็คือแกงจืดไข่น้ำ ปิดท้ายด้วยของหวาน เงาะ , ลิ้นจี่กระป๋อง ผมไม่กล้ากินเข้าไปเยอะ กลัวปวดท้องเพราะว่าที่นี่มันไม่มีห้องน้ำ ก่อนนอนในคืนนั้นบุษได้ชวนคุยแซวลูกหาบที่เป็นมูเซอ พวกลูกหาบก็ดูเฮฮาดีนะ อุณหภูมิก่อนนอนในคืนนั้น 12.6 องศา
เช้าวันที่ 31 ธ.ค. 2551 ตื่นนอนประมาณตี 5 ครึ่งเพื่อที่จะเดินขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ยอดดอยหัวสิงห์ 1,929 เมตร เดินขึ้นมาจากหุบเขาป่าด้านล่างมายังสันเขาทุ่งหญ้าก่อนถึงลานกอลฟ์ช้างก็เหนื่อยแฮ่กแล้ว เช้าวันนั้นเดินไปกับโหน่ง , ชาญ , จี ,มะลิ มาถึงลานกอลฟ์ช้างยังมองไม่เห็นวิวเพราะว่ายังมืดอยู่ต้องใช้ไฟฉาย เดินไปตามทางเรื่อย ๆ แสงอาทิตย์ก็เริ่มมากขึ้น ตอนช่วงเริ่มมีแสงหน่อย ๆ หมอกตอนนั้นหนามาก บรรยากาศดีมาก เดินไปเรื่อย ๆ กลุ่มของ ชาญ , จี, มะลิ แวะถ่ายรูป ส่วนผมกับโหน่งเดินต่อไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางสายหมอก โหน่งเดินนำหน้าไปก่อน ช่วงสุดท้ายก่อนถึงยอดดอยหัวสิงห์มีลักษณะเป็นสันเขาดิน ด้านซ้ายยังมีต้นไม้ขนาดใหญ่ขึ้นให้เห็น ส่วนด้านขวาไม่มีต้นไม้ขนาดใหญ่ โหน่งเดินพรวด ๆ ไม่รอช้าขึ้นไปถึงยอดหัวสิงห์เลย ส่วนผมหอบแฮ่ก ๆ เดินอืดกว่าจะไปถึง ถ่ายรูปยอดดอยหัวสิงห์ตอนที่กำลังเดินเข้าไปหากองหินบนยอดสูงสุด หมอกเต็มไปหมด บนยอดสูงสุด 1929 เมตร มีนักท่องเที่ยวขึ้นไปถ่ายรูปอยู่ก่อนหน้า 1 กลุ่ม รู้สึกว่าจะเป็นสาว ๆ ทั้งหมดเลยมั๊ง บนยอดสูงสุดมีป้ายบอกว่าเป็นจุดสูงสุดดอยม่อนจอง ผมถ่ายรูปบนยอดสูงสุดโดยเอาขาตั้งกล้องไปด้วย ถ่ายไปถ่ายมาขาตั้งกล้องที่มีกล้องติดอยู่เกิดล้มลงไปทางด้านขวาทำให้เลนส์ที่ยืนออกมากระแทกเข้ากับพื้นดิน ทำให้เลนส์ยุบลงไปกล้องเลยเสียปิดกล้องและถ่ายภาพต่อไปไม่ได้ เซ็งเลยอดถ่ายต่อ แต่สายหมอกบนยอดสูงสุดก็ยังพัดมาจากด้านซ้ายมือบรรยากาศดีมาก ทิ้งห่างไปสักพักนึงกลุ่มของชาญ , จี , มะลิ ก็ตามมาถึง แล้วกลุ่มของชาญ , จี , มะลิก็ลงไปถ่ายรูปกันต่อด้านล่าง พอสักพักนึงกลุ่มของ นก เอ็กซ์ , นกแอล , บุศ , อึ่ง , คนนำทางก็ตามมา บุษบอกว่าเขาเคยเดินเลยจากยอดสูงสุดไปอีก ไปนั่งกินข้าวข้างล่าง ผมลองลองเดินสำรวจสันเขาเลยยอดสูงสุดไปอีกหน่อยประมาณ 50 เมตร จนไปสุดสันเขาโล่ง ๆ มองกลับไปยังยอดสูงสุดหมอกเต็มไปหมดมองไม่เห็นยอดสูงสุด ตอนหลังสอบถามคนนำทางที่มาด้วยกันได้ความว่ามีสันเขาทอดยาวต่อจากยอดสูงสุดไปอีกหลาย ก.ม. แล้วบุศก็เรียกให้ขึ้นไปรวมกันที่ยอดสูงสุดแล้วก็อำลายอดดอยหัวสิงห์ ตอนลงจากยอดสูงสุดคนนำทางชี้ให้ดูดอกไม้สีแดงที่อยู่บนต้นไม้ใหญ่ไม่รู้ชื่อดอกอะไรอยู่ใกล้ ๆ ยอดสูงสุด แต่ผมมองไม่เห็น ( ตาถั่ว ) ต้องเข้าไปดูใกล้ ๆ คงจะมองเห็น แต่พอเดินกลับไปได้สักพักคนนำทางชี้ให้ดูดอกไม้สีแดงอีกอยู่ทางด้านซ้ายมือคราวนี้เห็นจะจะมีอยู่ 1 ช่อ แล้วพวกเราทั้งหมดก็กลับมารวมตัวกันที่แคมป์ที่อยู่ในหุบเขาเพื่อมากินข้าวกัน เช้าวันนั้นผมไม่ได้แปรงฟันกินข้าวเลย กับข้าวมื้อนั้นเป็นหมูยอ อร่อยมาก กินกันเสร็จแล้วทีมของนักเดินทางก็เตรียมเก็บของกัน ลูกหาบก็เดินทางกลับไปพร้อมกับพวกเรา ผมเดินเหนื่อยขึ้นไปจากหุบเขาไปยังบลานกอลฟ์ช้างพร้อมกับสัมภาระเหมือนเดิมกับตอนขาขึ้น ช่วงขากลับผมกับโหน่งเดินเกาะกลุ่มล่วงหน้ากันไปก่อน ขากลับใช้กิ่งไม้ที่เก็บได้ที่แคมป์หุบเขาช่วยพยุงสำหรับเดินเขาช่วยผ่อนแรงได้นิดหน่อย ตอนขากลับมานึกดูไม่น่าเชื่อเดินขึ้นไปยอดดอยหัวสิงห์ได้อย่างไร ส่วนใหญ่มันมีแต่ทางลงเกือบทั้งนั้น เส้นทางเดินกลับลงไปใช้เส้นทางเดียวกัน เจอกลุ่มนักท่องเที่ยวเดินสวนขึ้นไปเยอะพอสมควรประมาณ 20 คนน่าจะได้ ขากลับช่วงที่เดินผ่านภูหินช่อเจอกับกลุ่มนักท่องเที่ยวกำลังถ่ายภาพอยู่แถว ๆนั้น เขาบอกว่าได้มาพักอยู่ทีดอยม่อนจอง 3-4 วันแล้ว ตระเวนถ่ายรูปอยู่บนดอย พอเลยช่วงภูหินช่อผมกับโหน่งก็เดินทิ้งห่างนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น ๆ ที่เดินลงมาห่างออกไปเยอะเลย เดินกลับลงมาเรื่อย ๆ เกือบจะถึงปลายทางอยู่แล้ว เห็นตูนตามมาอยู่ห่าง ๆ รู้สึกว่าตูนเขาจะเดินแซงกลุ่มของชาญกับกลุ่มของนก x จนเกือบทันผม ส่วนผมก็หอบแฮ่ก ๆ อยู่บนเนินแล้วก็เดินต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงปลายทาง มีโหน่งนั่งรออยู่บนโต๊ะแล้ว ไม่รอช้าผมกินน้ำในขวดจนหมดเลย ก่อนถึงปลายทางก็สวนกับนักท่องเที่ยวที่เดินขึ้นไปอีกกลุ่มใหญ่ หลังจากสมาชิกของนักเดินทางกลับลงมาหมดแล้วต่อไปก็เป็นการนั่งรถกระบะกลับไปยังหมู่บ้านมูเซอเพื่อไปส่งบรรดาลูกหาบกลับบ้าน ทีมปีนดอยม่อนจองแวะกินข้าวเที่ยงที่หมู่บ้านนี้ มื้อเที่ยงในวันนั้นผมกินเส้นเล็กน้ำใส่กระหล่ำปลี คนนำทางก็มาแจมกับพวกเราด้วย พอกินมื้อเที่ยงเสร็จแล้วก็พาเจ้าหน้าที่นำทางมาส่งที่หน่วยพิทักษ์ป่ามูเซอ ผมแวะซื้อเสื้อที่ระลึกดอยม่อนจองสีเทาราคา 180 บาท เหล่าสมาชิกนักเดินทางต่างก็ช็อปกันไปพอสมควร แล้วก็ออกเดินทางอำลาหน่วยพิทักษ์ป่ามูเซอกลับไปยังตัวอำเภออมก๋อย เมื่อไปถึงร้านอาหารบัวผันที่อมก๋อยเหล่าสมาชิกนักเดินทางก็ทยอยกันอาบน้ำที่ร้านหลังจากอาบครั้งสุดท้ายที่ห้วยจิโนตอนกลางคืน รถตู้คันเดิมพร้อมคนขับคนเดิมก็พาเราเดินทางออกจาก อ.อมก๋อย ซิ่งผ่านอำเภอลี้ จ.ลำพูน แล้วก็มาหยุดแวะพักกินข้าวเย็นที่ไหนก็ไม่รู้ มันเป็นจุดขายตั๋วรถทัวร์อยู่ใกล้ ๆ ร้านอาหาร มีอาหารแห้งขายอยู่หลายร้าน เหล่าสมาชิกช็อปกันไปค่อนข้างเยอะส่งท้ายก่อนกลับ รถตู้กลับเข้าถึงกรุงเทพประมาณ ตี 1 – 2 ทะยอยส่งเหล่าสมาชิกไปเรื่อยจนถึง โหน่ง ซึ่งลงเป็นคนรองโหล่ ส่วนผมลงเป็นคนสุดท้ายแถวอนุสาวรีย์ชัย แล้วก็ต่อแท็กซี่กลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ

หวัดดีครับ
วันที่ 5/2/51 ขอลงภาพชุดจากการนั่งรถไฟจากหัวลำโพง ไปลงที่สถานีรถไฟ อ.เมือง ปราจีนบุรี โดยตั้งใจจะไปเที่ยว ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ แล้วก็ปิดท้ายด้วย วัดแก้วพิจิตร ทั้งสองแห่งตั้งอยู่ใน อ.เมืองปราจีนบุรี พอเที่ยวเสร็จแล้วก็นั่งรถไฟกลับ ก.ท.ม.
ภาพแรกออกเดินทางไปกับขบวนรถไฟ ก.ท.ม. - กบินทร์บุรี ลงที่ อ.เมืองปราจีนบุรี ราคาตั๋ว 26 บาท รถไฟขบวนนี้แหล่ะที่ออกเดินทางไปในตอนประมาณ 8 โมงเช้ากว่า ๆ วันที่ 3/2/51

ภาพนี้กำลังนั่งรอรถไฟออกจากหัวลำโพง ลองถ่ายไปที่ขบวนรถไฟที่จอดอยู่ข้าง ๆ ฝนกำลังตกลงมาไม่แรงมากนัก ภาพมืดไปหน่อยนะ ถ่ายไม่ค่อยเก่ง ผมนั่งอยู่ตู้สุดท้าย

พอรถไฟจอดที่สถานีฉะเชิงเทรา คนก็แห่ลงมาเกือบหมดโบกี้ มีเรื่องจะเล่าให้ฟัง ขาไปมีผู้หญิงนั่งกับเพื่อนอีก 2 คน นั่งอยู่ที่นั่งด้านซ้ายข้างผม 3 คนนี้เค้าลงที่ฉะเชิงเทรา พอขากลับผมนั่งรถไฟกลับจากปราจีนบุรี ( ขบวนอรัญประเทศ - กรุงเทพ ) ก็เจอผู้หญิง 3 คนนี้กลับมานั่งที่นั่งข้าง ๆ ผม ด้านขวา ว๊าวโลกทำไมมันกลมอย่างนี้บังเอิญจริง ๆ

สถานีรถไฟ โพรงอากาศ ต.โพรงอากาศ อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา ชื่อแปลกดี จ๊าบ ๆ

มีมัสยิดสูง ๆ อยู่ทางด้านหลังภาพ ภาพนี้เป็นการทดสอบการซูมของกล้อง sumsung nv 10 ด้านหลังก็ชัดดีนะ แต่ด้านริมทางรถไฟยังไม่ค่อยชัดเท่าไร

สถานีรถไฟชุมทางคลองสิบเก้า ตำบลโยธะกา อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา รูปนี้ถ่ายทางด้านขวาของขบวน รถกำลังจะออก

สถานีรถไฟ โยทะกา ตำบล บางเตย อ.บ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรี อ้อลืมบอกไป ตามข้างทางรถไฟ มันจะมีพวกนกตัวใหญ่อยู่เพียบเลย เช่น นกสีขาวขายาว , นกสีดำหางยาวเกาะอยู่ที่สายไฟ

จุดที่เห็นภูเขาครั้งแรก ตามเส้นทางรถไฟสายตะวันออก รถไฟกำลังวิ่งอยู่ ถ่ายชูมเข้าไป มองด้วยตาเปล่า สวยกว่าภาพที่เห็น

สถานีรถไฟ บ้านปากพลี ต.ปากพลี อ.ปากพลี จ.นครนายก

อ้อลืมบอกไป ขบวนรถไฟสายตะวันออก เขาให้ชื้อตั๋วกันวันที่ออกเดินทางเลย ไม่มีการจองตั๋วล่วงหน้าหลายวัน แล้วก็มาถึงจุดสำคัญ พอถึงสถานีรถไฟ ปราจีนบุรี ผมก็หารถสามล้อ ให้มาส่งที่ ร.พ. เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ เขาคิด 50 ปี นั่งมาประมาณไม่เกิน 10 นาที น่าจะได้ ก็มาถึง ร.พ. ก่อนจะถึง ร.พ. เราจะเห็นวิวแม่น้ำบางประกงอยู่ด้านหน้า ร.พ. เข้าประตู ร.พ. ไป จะเห็นตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์อยู่ทางด้านขวามือ ตึกสีส้ม ๆ มองเห็นเด่นเลย เอาไว้เจอกันใหม่โอกาสหน้าครับ

มีคนเอาไก่มาปล่อยไว้หน้าตึก แล้วก็มีไก่เป็นรูปปั้นอยู่เยอะเลย ซ้ายขวาหน้าตึก ปล่อยเสร็จแล้วไม่รู้ทำยังงัยกับไก่ต่อ

ภาพนี้เป็นรูปปั้นของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ ตั้งอยู่ที่ห้องโถงกลางชั้นล่าง มีลักษณะเป็นห้องโถงโล่ง ๆ จัดแสดงรูปภาพหลายรูป


ตราประทับทำจากงาช้างของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร รูปนี้ถ่ายจากตู้โชว์ แจ่มเลย

รูปนี้เป็นรูปสำคัญ ตั้งโชว์ที่ห้องโถงกลางชั้นล่าง เป็นรูป รัชกาลที่ 6 ถ่ายรูปคู่กับเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ( เจ้าพระยาอภัยภูเบศรใส่เสื้อสีขาวยืนอยู่ข้าง ๆ รัชกาลที่ 6 ) รูปนี้ห้องโถงกลางข้างบนชั้น 2 ก็มีให้ดู

รูปปั้นเจ้าพระยาอภัยภูเบศรตั้งอยู่ที่ห้องด้านซ้ายชั้นล่าง

กระเบื้องมุงหลังคาตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จัดโชว์ไว้ในตู้โชว์ ห้องด้านซ้าย ชั้น 1

อุปกรณ์เกี่ยวกับการกลั่นไม้กฤษณา อยู่ที่ห้องเล็กด้านหลังชั้นที่ 1 แปลกตาดีเลยถ่ายเก็บไว้ ห้องที่อยู่ทางด้านขวาของชั้น 1 มีอุปกรณ์การผลิตยาแบบโบราณให้ชมอีกเยอะเลยครับ

ภาพนี้ทีเด็ดสุดยอด ไฟล์ต้นฉบับถ้าเอาไปดูกับจอคอม ฯ บางจอที่ปรับภาพสีอิ่มๆ คม ๆ ภาพจะออกมาสวยมาก ภาพนี้ถ่ายด้านหลังตึก ชั้น 1 ด้านหลังตึกรู้สึกว่าจะเป็นสวนสมุนไพร


วันที่ 24/11/50 ขอต้อนรับวันลอยกระทง ได้กล้องถ่ายรูป sumsung nv 10 มาใช้ เลยเอาไปลองถ่ายวันที่ทีมฟุตบอลทีมชาติไทยแข่งคัดเลือกฟุตบอลโลก ปี 2010 กับทีมชาติเยเมน ที่ สนามศุภ ฯ ในวันที่ 18/11/50
ก่อนไปที่สนามศุภ ฯ แวะกินข้าวที่ร้านขายข้าวมันไก่แถวหัวลำโพง เลยลองถ่ายภาพที่สถานีหัวลำโพงเก็บไว้ 1 ภาพ เค้าเพิ่งทาสีทองเสร็จไปไม่นานเท่าไร ลองคลิกไปที่รูป แล้วมันจะเข้าไปอีกหน้านึง แล้วก็คลิกขยายบวกอีกครั้งนึงก็จะได้ภาพต้นฉบับที่ rezize มาอีกที่นึง

ภาพต่อไปเป็นภาพด้านหน้าสนามศุภ ฯ ก่อนแข่ง คนมาดูกันเกือบเต็มสนาม มีของที่ระลึกขายเยอะพอสมควร ผมไปนั่งด้านตรงข้ามสกอร์บอรด์ ผมคัดเอารูปที่ชัด ๆ มาลงให้ดู บางรูปมันไม่ค่อยชัด ผมนั่งเกือบสุดขอบด้านบนของที่นั่ง ขึ้นไปอีก 2 ขั้นก็สุดขอบ

ภาพต่อไป เป็นบรรยากาศภายในสนามศุภฯ มีป้ายการแข่งขันฟุตบอลจตุรมิตรสามัคคี อยู่ด้านบน แต่ในภาพเห็นแค่ 3 โรงเรียน


วันที่ 14/9/50 ขอเล่าเรื่องการล่องเรือ จาก ท่าเรือสะพานพุทธไปยัง อ.บางไทร จ.อยุธยา ในวันที่ 9/9/50 เลขสวย วันที่ 9 เดือน 9 ไหว้พระ 9 วัด และก็เป็นวันอาทิตย์วันหยุดด้วย
ตื่นสาย ตื่นมาตอนตีห้าห้าสิบนาที ต้องรีบนั้งแท็กซี่ไปท่าเรือสะพานพุทธ โชคดีที่เรือยังไม่ออก นั่งรอเรือออกอยู่ประมาณ 7 โมงกว่าเรือก็ออกจากท่ามุ่งไปทำบุญถวายของที่วัดอรุณ ถ่ายรูปต้นสาละ , และก็พระปรางค์วัดอรุณมาด้วย เรือที่นั่งไปเป็นเรือไม้ 2 ชั้น , ชั้นบนให้ผู้โดยสารนั่ง พระก็ขึ้นไปพูดบนชั้น 2 ด้วย ส่วนชั้นล่างก็จะเป็นที่เตรียมกับข้าว ระหว่างชั้น 1 กับ ชั้น 2 ก็จะเป็นห้องน้ำชาย , หญิง หลังจากถวายของที่วัดอรุณเสร็จแล้ว ก็ออกเดินทางยาวไปวัดโพธิ์แตงใต้ อ.บางไทร จ.อยุธยา กว่าจะไปถึงก็ประมาณเที่ยงได้มั๊ง
ระหว่างทางที่เดินทางไปวัดโพธิ์แตงใต้ พระจะให้ผู้โดยสารสวดมนต์พร้อมไปกับพระ ก็สวดไปเรื่อย ๆ นานเหมือนกันกว่าจะเสร็จ พอสวดเสร็จแล้วก็เป็นการเสริฟ์ข้าวต้มหมู ผมกินไป 1 ชาม อร่อยดีเหมือนกัน อยากจะขอเบิ้ลแต่เขิน ๆ ไม่กล้าขอ พอกินข้าวเสร็จก็ชมวิวไปเรื่อย ๆ
เท่าที่จำได้เรือจะผ่านสะพานพระรามเจ็ด , สะพานพระรามห้า , วัดเฉลิมพระเกรียติ วิวสวยดี นั่งไปเรื่อย ๆ จุดสำคัญจะอยู่ที่เมื่อเรือมาถึงวัดเชิงเลนเรือจะค่อย ๆ เบี่ยงไปทางด้านขวาเข้าไปยังคลองลัดเกร็ด ( ถ้าแล่นตรงไปจะเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา ) ตรงปากทางเข้าคลองลัดเกร็ดจะมีบ้านเกร็ดตระการตั้งอยู่ทางด้านซ้าย คลองลัดเกร็ดมีลักษณะแคบกว่าแม่น้ำเจ้าพระยา เรือแล่นไปเรื่อย ๆ ผ่านวัดฉิมพลี และก็ผ่านจุดไฮไลท์อีกจุดหนึ่งของการเดินทางเป็นจุดที่ตั้งของเจดีย์เอียงของวัดปรมัยยิกาวาส เจดีย์เอียงสวยดี ผมถ่ายรูปเก็บไว้ 1 ภาพ ตอนขากลับตอนเย็น ๆ จะมีวัยรุ่นหนุ่มสาวมานั้งเล่นที่เจดีย์นี้ เมื่อมาถึงเจดีย์เอียงก็เป็นการอำลาคลองลัดเกร็ดเข้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยา
ผ่านวัดปรมัยยิกาวาสมาแล้วเรือก็จะมาจะเอ๋กับสะพานรามสี่ สะพานนี้ก็ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ , ผ่านโรงเรียนวัดโพธิ์บ้านอ้อย และก็ผ่านสะพานอีกอันหนึ่งไม่รู้สะพานอะไร รายละเอียดชักจำไม่ได้แล้ว จุดไฮไลท์อีก 2 จุดที่น่าสนใจอยู่ที่วัดโบสถ์มีรูปปั้นเหมือนของสมเด็จพระพุฒาจารย์โตขนาดใหญ่สีดำตั้งอยู่ริมแม่น้ำ และก็มีการสร้างตอม่อสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาอีกแห่งหนึ่งด้วย
พอเรือแล่นผ่านมาที่ถึงวัดไก่เตี้ยแม่น้ำเจ้าพระยาเลยวัดนี้ไปนิดหน่อยจะมีความกว้างเป็นพิเศษ กว้างกว่าช่วงอื่น ๆ ที่ผ่านมา พอมาถึงช่วงนี้ก็เริ่มมีเรือ river sun ตามมา มีสาว ๆ นักท่องเที่ยว หมวยๆ ขาว ๆ อยู่ด้านหน้าเรือด้วย ไปสักพักนึงเรือ river sun ก็แล่นแซงไป เรือลำนี้ก็มาจอดที่ท่าเรือวัดโพธิ์แตงเหนือด้วย มีอยู่ช่วงนึงก่อนหน้านี้มีเรือสมบัติเจริญรุ่งเรืองเป็นเรือจัดให้นักท่องเที่ยวกินข้าวบนชั้นสองคอยแซวมายังเรือที่ผมนั่งอยู่ พอเรือ river sun แซงไปแล้วแล่นมาสักพักนึงเรือก็เข้าเทียบท่าที่วัดโพธิ์แตงใต้ อ.บางไทร
พอถวายของที่วัดโพธิ์แตงใต้เสร็จแล้วก็เสี่ยงเซียมซี ที่วัดโพธิ์แตงใต้มีพระที่มรณภาพแล้วนอนอยู่ในโลงแก้วให้ดูด้วย หลังจากนั้นก็เดินทางมาที่วัดโพธิ์แตงเหนือ รั้ววัดอยู่ติดกันเดินมานิดเดียว การเดินทางมาที่วัดทุกครั้งจะต้องมีการถวายสังฆทานพอถวายเสร็จแล้วก็มีการแจกจตุคามรามเทพที่เพิ่งปลุกเสกเสร็จไม่นานแจกให้ฟรีคนละองค์ ที่วัดนี้มีเจดีย์องค์เล็กๆ สไตล์มอญและก็มีอนุเสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ผมถ่ายรูปแม่น้ำด้านหน้าอนุเสาวรีย์เก็บไว้เป็นที่ระลึก เป็นจุดที่ได้เห็นแม่น้ำเจ้าพระยาไกลที่สุดของการล่องเรือในวันนั้น หลังจากนั้นเรือก็ล่องตามน้ำมุ่งไปทางกรุงเทพ ไปถวายของตามวัดริมแมน้ำเจ้าพระยาอีก 6 วัด
อ้อลืมบอกไปพอถวายของที่วัดโพธิ์แตงเหนือเสร็จแล้วก็ถึงเวลากินข้าวเที่ยงบนชั้น 2 ของเรือ ต้องไปเอากับข้าวจากชั้น 1 ของเรือขึ้นไปกินข้างบน มื้อเที่ยงวันนั้นมี ส้มตำไทย , ลาว , ขนมจีน , ข้าวหมูทอด , ข้าวเหนียวหมูทอด ส่วนผมกินส้มตำไทย , ขนมจีน , ข้าวหมูทอดและก็ข้าวเหนียวหมูทอด ส่วนพระฉันเพลบนเรือชั้น 2 ก่อนถึงวัดโพธิ์แตงใต้ พอกินข้าวเที่ยงเสร็จแล้วสักพักนึงเรือก็มาถึงวัดสามัคคิยาราม ที่วัดนี้มีจุดเด่นที่เขาจะทำรูปปั้นพวกสัตว์สีสันสดใสขนาดใหญ่ไว้ มีพวกยีราฟ , เสืออะไรทำนองนี้ แล้วก็มีสนามเปตอง ผมถ่ายยีราฟเก็บไว้รูปหนึ่ง และก็ซื้อล็อตเตอร์รี่เก็บไว้ใบหนึ่ง มีเจดีย์สไตล์มอญอยู่ริมน้ำด้วย แล้วก็เดินข้ามไปวัดสุราษฎร์รังสรรค์ ( วัดดอน ) รั้ววัดมันติดกัน วัดนี้ไม่มีอะไรเด่น ๆ เลย มีเด่น ๆ ก็ลานปูนริมแม่น้ำเจ้าพระยาขนาดใหญ่ และก็ด้านข้างวัดเห็นถนนอยู่ไกล ๆ
เรือออกเดินทางมุ่งหน้าต่อไปยังวัดหงษ์ปทุมาวาส จุดเด่นของวัดนี้มีวังมัจฉาที่ยาวเหยียดเลยสามารถให้อาหารปลาริมน้ำได้ ผมถ่ายรูปวังมัจฉาเก็บไว้ด้วย แล้วก็มีก๋วยเตี๋ยวน้ำตกขายคนที่มากินต้องนั่งกินบนโต๊ะเตี้ย ๆ ไม่มีเก้าอี้ต้องนั้งกับพื้น ที่บริเวณวัดมีของกินขายเยอะแยะ ไอติมกะทิที่วัดนี้อร่อยดี มีเสี่ยงเซียมซีด้วย ถ้าใครชอบให้อาหารปลาน่าจะมาเที่ยวที่วัดนี้นะ แล้วก็อำลาวัดนี้เดินทางกันต่อไป
หลังจากเรือออกเดินทางจากวัดหงษ์ปทุมาวาสก็ล่องไปถวายของต่อที่วัดโพธิ์ทองบน ก่อนที่จะเดินทางไปถึงวัดใด ๆ ที่จะไปถวายของกัน พระจะให้ผู้โดยสารทำบุญกับทางวัดที่เราจะไปถวายของ โดยที่ทางวัดจะเตรียมซื้อของที่จะไปถวายเอาไว้ก่อนแล้ว จะมีเด็กนักเรียนเอาขันเก็บรวบรวมเงินทำบุญจากผู้โดยสาร ถ้าเงินทำบุญที่รวบรวมได้จากผู้โดยสารที่จะรวมทำบุญถวายของในแต่ละวัดน้อยกว่าเงินที่ทางวัดนาคปรกซื้อของเตรียมถวายในแต่ละวัด พระวัดนาคปรกก็จะกระตุ้นยอดทำบุญจากผู้โดยสารให้เพิ่มมากยิ่งขึ้นไม่อยากให้ขาดทุน ฮี่ ฮี่ และแล้วเรือก็เดินทางมาถึงวัดโพธิ์ทองบน ที่วัดนี้ด้านหน้าวัดจะมีพระพุทธรูปยืนองค์สีทองอยู่ริมน้ำ บรรยากาศในวัดนี้ดูเงียบสงบไม่ค่อยมีคน จุดเด่นของวัดนี้ก็คือเรือนไทยไม้สักยังสร้างไม่เสร็จ เป็นเรือนไทยปลูกรวมกลุ่มกันอยู่หลายหลังราคาหลายล้าน ยังไม่ได้ทาสีเลย อาคารที่อยู่ใกล้ ๆ ที่เขาขายขนมปังมีการเอาตะเกียงไปแขวนเยอะมากหลายสิบอัน ไฮไลท์ของวัดนี้อยู่ที่เจ้าอาวาส ตอนที่เดินทางมาถึงเจ้าอาวาสยังทำงานวุ่น ๆ อยู่เลย เจ้าอาวาสวัดนี้เวลาสวดสำเนียงฟังดูดี ตอนจะเดินทางไปถวายของที่วัดอื่นต่อเจ้าอาวาสยังมาส่งที่ทำน้ำ เกือบจะถ่ายรูปเก็บไว้แล้ว
เรือออกเดินทางมุ่งหน้าไปถวายของต่อที่วัดปรมัยยิกาวาส เป็นวัดสำคัญในการเดินทางมาไหว้พระ 9 วัดในครั้งนี้ ถ้าจำไม่ผิดก่อนจะถึงวัดนี้ทางด้านซ้ายมือจะเห็นคลองประปาไหลมาเชื่อมเข้ากับแม่น้ำเจ้าพระยา , และก็จะมีต้นไม้ไม่มีใบเป็นต้นสูง ๆ เกาะกลุ่มอยู่ประมาณ 10 กว่าต้นดูสวยดี ถ่ายรูปคลองประปากับกลุ่มต้นไม้นี้เก็บไว้ เรือแล่นมาจอดที่ท่าน้ำหน้าวัดปรมัยยิกาวาสแต่ไม่ได้จอดเทียบด้านคลองลัดเกร็ดแต่จะไปจอดเทียบด้านแม่น้ำเจ้าพระยา เรือจะส่งผู้โดยสารให้ลงที่วัดนี้แล้วเรือก็จะบ๊าย บ๊ายผู้โดยสารไปรอรับผู้โดยสารที่ท่าเรือวัดไผ่ล้อมตั้งอยู่บนเกาะเกร็ดเหมือนกันไม่ไกลจากวัดปรมัยยิกาวาส ก่อนที่จะเข้าตัววัดปรมัยยิกาวาสจะต้องผ่านทางเดินเล็ก ๆ ขายของกิน มีขายใบพืชอะไรไม่รู้เหมือนกันเอามาทอด ร้านขายของกินมีอยู่ไม่กี่ร้านเอง ตลาดวายแล้ว เข้ามาที่วัดไม่รอช้าเข้าไปถ่ายรูปเจดีย์สไตล์รามัญองค์ใหญ่อยู่ข้างโบสถ์ รูปทรงสวยดี เป็นเจดีย์องค์เดียวกับที่ลงในหนังสือ trip ฉบับจังหวัดติดกับ ก.ท.ม. วัดปรมัยยิกาวาสเป็นวัดมีสไตล์ค่อนข้างเนี๊ยบ เดาว่าคงมีคนมาทำบุญบูรณะกันเป็นจำนวนมาก ลวดลายหน้าต่างโบสถ์ข้างเจดีย์องค์ใหญ่ที่ถ่ายรูปเอาไว้วาดไว้อย่างหรูเนี๊ยบ ภายในวัดมีต้นไม้ต้นสูง ๆ เป็นพุ่มเล็ก ๆ ดูแปลก ๆ กะจะถ่ายรูปอยู่แล้วแต่ฟิลม์มันจะหมดแล้วเลยยังไม่ถ่าย เข้าไปถวายของข้าง ๆ พระนอนขนาดใหญ่ มองไปบนเพดานลวดลายก็ยังเนี๊ยบ แล้วก็มาถึงไฮไลท์อีกอย่างหนึ่งพระของวัดปรมัยยิกาวาสสวดเป็นภาษามอญ สำเนียงฟังแล้วเพราะดี อ้อลืมบอกไปมีวัดอยู่หลายแห่งริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ได้ไปเห็นจากการล่องเรือในวันนั้นมีเจดีย์สไตล์รามัญอยู่หลายแห่ง เป็นร่องรอยให้เห็นว่ามีการตั้งถิ่นฐานของคนมอญในสมัยก่อน พอพระสวดเสร็จก็ขอลองเสี่ยงเซียมซีดูสักหน่อย ผลเสี่ยงเซียมซีออกมาดี , ที่วัดโพธิ์แตงใต้ผลเสี่ยงเซียมซีก็ออกมาดี แต่ที่วัดหงษ์ปทุมาวาสผลเสี่ยงเซียมซีออกมาไม่ดี ฮี่ ฮี่
เดินทางไปถวายของที่วัดไผ่ล้อมซึ่งเป็นวัดที่ 9 ในวันนั้นกันต่อไป จากวัดปรมัยยิกาวาสถ้าจะไปวัดไผ่ล้อมจะต้องเดินไปตามทางเดินแคบ ๆ ไปไม่กี่ร้อยเอง ทางเดินแคบ ๆ นี้มันค่อนข้างแคบนะ รถยนต์ผ่านไม่ได้ผ่านได้แต่พวกจักรยานอะไรทำนองนี้ สองข้างทางเราจะเห็นร้านขายของของชาวบ้านอยู่เยอะแยะ แต่ไปถึงตอนนั้นมันเย็นมากแล้วตลาดวายแล้ว แต่ก็ยังพอมีให้เห็นอยู่หลายร้าน ของที่ขายก็หลากหลาย เช่น เครื่องปั้นดินเผา , ขนม ฯลฯ ขนมฝอยทองที่นี่ก็อร่อยนะ เดินตามทางมาเรื่อย ๆ ก็จะถึงด้านหน้าวัดไผ่ล้อม วัดนี้ก็จะค่อนข้างเนี๊ยบเหมือนกัน แต่มันจะดูเป็นคนละสไตล์กับวัดปรมัยยิกาวาส มีเจดีย์สไตล์รามัญองค์ใหญ่สีทองอยู่ด้านหน้าศาลาที่เราไปถวายของ บนศาลามีพระพุทธรูปที่เป็นพระประธานอยู่ในกรอบกระจก พระที่วัดนี้ก็สวดเป็นภาษามอญเหมือนกัน แต่รู้สึกว่าพระที่วัดปรมัยยิกาวาสจะสวดสำเนียงเพราะกว่านิดหน่อยนะ ตอนถวายของฝนทำท่าจะตกอากาศที่วัดไผ่ล้อมเย็นสบาย พอถวายเสร็จก็อำลาวัดที่ 9 ไปขึ้นเรือที่ท่าน้ำหน้าวัดไผ่ล้อม ถ่ายรูปที่ท่าน้ำเก็บไว้ด้วย เรือแล่นไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านปากคลองลัดเกร็ดยามค่ำคืน ( ถ่ายรูปปากคลองเก็บไว้ด้วยไม่แน่ใจว่าเดาตำแหน่งถูกหรือเปล่ามันมืดแต่คิดว่าน่าจะใช่ ) วิวตอนกลางคืนจะเห็นไม่ค่อยชัดเท่าไร บรรยากาศริมแม่น้ำดูเงียบสงบ อ้อลืมเล่าอีกอันนึงตอนขาไปล่องเรือผ่านบริษัทปทุมธานีบริเวอรี่ด้วย ผู้ผลิตเบียร์สิงห์ ตอนล่องเรือกลับยามค่ำคืนพระวัดนาคปรกจัดให้มีการจับสลากผู้โชคดีแจกรางวัลจตุคามรามเทพของทางวัดนาคปรกด้วย เรือมุ่งหน้าสู่กรุงเทพ มีบางคนขอลงที่ท่าเรือหน้าสถานึตำรวจ อ.เมือง จ.นนทบุรี เสาไฟฟ้าแถวท่าเรือนี้เขาทำเป็นรูปลูกทุเรียนห้อยเอาไว้ด้วย และแล้วเรือก็พามาส่งที่ท่าเรือฝั่งตรงข้ามสะพานพุทธตอนเวลาประมาณ 3 ทุ่มกว่า ๆ เป็นอ้นเสร็จสิ้นการล่องเรือไหว้พระ 9 วัด ไป จ.อยุธยา ราคา 399 บาท เอาไว้เจอกันใหม่โอกาสหน้ากับการเดินทางครั้งต่อไป หวัดดีครับ
วันนี้ 28/8/50
ข่าวประชาสัมพันธ์ วัดนาคปรก ก.ท.ม. จัดล่องเรือไหว้พระ 9 วัน จากท่าเรือสะพานพุทธ 6 โมงเช้า ล่องเรือไป จ.อยุธยา วันที่ 9 ก.ย. 50 ราคา 399 บาท รวมอาหารมื้อเช้า , มื้อกลางวัน สนใจ โทรติดต่อ 02-467-1501 จ๊าบ ๆ ท่าทางจะมันส์ดี
วันนี้ 22/8/50 ขอแนะนำเว็บกรมทางหลวงชนบท dor.go.th มีข้อมูลเส้นทางถนนในความดูแลของกรมทางหลวงชนบท ลองคลิกไปที่ แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวบนสายทางทช. มีวีดีโอเส้นทาง ชร. 4044 ให้ดูด้วย ริมแม่น้ำกก จ.เชียงราย จ๊าบดี
ต่อด้วยเว็บของกรมทางหลวง doh.go.th เว็บนี้ก็ใช้ประกอบข้อมูลคู่กับเว็บกรมทางหลวงชนบท
แถมข้อมูลท่องเที่ยวเขื่อนคีรีธาร อ.มะขาม จ.จ้นทบุรี เขื่อนนี้จ๊าบไม่เลว เที่ยวเขื่อนเสร็จแล้วออกไปลุยต่อจังหวัดสระแก้วก็สะดวก
เขื่อนคีรีธาร ตั้งอยู่ในเขตอำเภอมะขาม ห่างจากตัวเมืองจันทบุรีประมาณ 40 กิโลเมตร จากจันทบุรีเดินทางไปตามทางหลวงหมายเลข 317 ประมาณ 20 กิโลเมตร จะมีทางแยกขวาไปเขื่อนคีรีธารอีกประมาณ 14 กิโลเมตร สร้างโดยกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม เป็นเขื่อนกั้นน้ำเอนกประสงค์ ทั้งการผลิตกระแสไฟฟ้า การชลประทาน การประมง และการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยในฤดูฝน มีความจุสูงสุดที่ระดับความสูง 205 เมตร จากระดับน้ำทะเล เก็บกักน้ำได้ประมาณ 76 ล้านลูกบาศก์เมตร บริเวณอ่างเก็บน้ำมีธรรมชาติสวยงามเหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจ แต่บริเวณริมเขื่อนไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ ข้อมูลจาก //www.ezytrip.com รูปภาพจาก siamfishing.com


วันนี้ 15/8/50 ขอลงรายชื่อสถานที่ท่องเที่ยวในนิตยสาร trip ฉบับเที่ยวใกล้กรุงหน่อยนะ
เริ่มต้นด้วย จ.สมุทรปราการ
พิพิธภัณฑ์ ช้างเอราวัณ ช้างตัวใหญ่ มีทั้งหมด 3 ชั้น
ฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ จระเข้ 6000 กว่าตัว, แสดงช้าง , พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ , และก็สวนสัตว์
เมืองโบราณ แบ่งเป็นเป็น 6 โชน สถานที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ จ๊าบ ๆ
สถานตากอากาศ บางปู ช่วงหน้าหนาวจะมีนกนางนวลอพยพมาที่นี่
วัดบางพลีใหญ่กลาง มีพระนอนขนาดใหญ่ ข้างในแบ่งเป็นหลาย ๆ ชั้น
พระสมุทรเจดีย์ อยู่ตรงข้ามศาลากลางจังหวัด เป็นเจดีย์ขนาดใหญ่เกือบ 40 เมตร งามหลายเด้อ
พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ อยู่ตรงข้ามโรงเรียนนายเรือ มี 2 อาคาร มีทางเดินเชื่อมกันสองอาคาร
วัดกลางวรวิหาร หรือวัดตะโกทอง มีโบสถ์หน้าบันสีขาวลวดลายสวยงาม
วัดทรงธรรมวรวิหาร มีเจดีย์แบบรามัญองค์ใหญ่ , สวยดี
วัดพิชัยสงคราม วัดนี้มีเจดีย์ทรงระฆังฐานกลีบดอกบัว สวยสุดยอด
ป้อมพระจุลจอมเกล้า ป้อมขนาดใหญ่สวยงาม อันนี้ก็น่าไปเที่ยว

วันนี้เปิดประเดิมบล็อคใหม่ของผม ประเทศไทย แสนสบาย รวมมิตรจิปาถะ เริ่มกันเลยดีกว่า
หนังสือ 20 เส้นทางขับรถเที่ยว ออกวางขายแล้ว ราคา 180 บาท เป็นหนังสือรวมเส้นทางขับรถเที่ยวทั่วทุกภาคของเมืองไทย ( เที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวตามเส้นทาง ) ยกตัวอย่างเส้นทางเช่น จาก อ.อุ้มผาง จ. ตาก ทะลุไป จ. แม่ฮ่องสอน โดยไม่ต้องผ่าน จ.เชียงใหม่ หรือว่าจะเป็นเส้นทาง จาก จ. มุกตาหารเลาะแม่น้ำโขง ไป จ.นครพนม ทะลุไปออก จ. หนองคาย แล้วก็อีก 18 เส้นทาง ลองไปหาดูกันตามแผงเอาไว้เด้อ
แถมอีกหน่อย นิตยสาร off road ฉบับล่าสุด เส้นทางอ๊อฟโรด ในเขต อ.แม่สะเรียง มันเป็นเส้นทางป้วนเปี้ยนอยู่แถว ๆ ใกล้ ๆ กับแม่น้ำสาละวิน จ.แม่ฮ่องสอน เส้นทางน่าสนใจ หวัดดีครับ


หวัดดีครับ
พบกันอีกแล้ว สำหรับบล็อคนี้ บล็อคนี้จะเป็นรวมมิตร สบาย ๆ เริ่มกันเลยดีกว่า
น.ส.พ. ไทยรัฐจะปรับราคาเป็น 10 บาทในวันที่ 1 ก.ค. 50 เป็นต้นไป

ขอแนะนำเว็บ thaitambon.com เป็นเว็บเกี่ยวกับตำบลของไทยทั่วทุกภาค ยกตัวอย่างเช่น ตำบลตะนาวศรี ( ชื่อเทห์ดี ) อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี เป็นตำบลติดชายแดนพม่า ตัวจริงเสียงจริง ทิศตะวันตกติดกับเทือกเขาตะนาวศรี และประเทศพม่า มีการปลูกมะละกอแขกดำ อยู่แถว ๆ อ่างเก็บน้ำบ้านโป่งแห้ง สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ยกตัวอย่างเช่น
น้ำตกผาชลแดน
น้ำตกผาชลแดน ตั้งอยู่ที่บ้านห้วยม่วง หมู่ที่ 3 ต.ตะนาวศรี เป็นแหล่งท่องเที่ยวสวยงามอีกที่หนึ่ง และยังคงสภาพธรรมชาติอยู่มาก อยู่ห่างจากหมู่บ้านไปประมาณ 5 กม. แต่ละชั้นสวยงามไม่เหมือนกัน เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบเดินป่าชมธรรมชาติ เพราะมีหลายชั้น
เว็บนี้ก็ดีเหมือนกันข้อมูลละเอียดดี ลองคลิกเข้าไปที่ จ.แม่ฮ่องสอน เห็นมีชื่อ กิ่งอำเภอห้วยโป่ง สงสัยจะเป็นกิ่งอำเภอน้องใหม่ จ. แม่ฮ่องสอน แล้วมันตั้งอยู่ด้านไหนของจังหวัดกันเนี่ย ? ข้อมูลในเว็บยังไม่มีเลย สงสัยจะเป็นกิ่งอำเภอน้องใหม่เอ๊าะ ๆ ของแม่ฮ่องสอน
แถมอีกหน่อย ยอดเขาน่าสนใจในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ยอดเขางะงันนิยวกตองระดับความสูง 1515 เมตร ภาพประกอบยอดเขางะงันนิยวกตอง 1515 เมตร ข้อมูลและภาพจาก trekkingthai.com

ไกลออกไปในหุบเขาสุดลูกหูลูกตา แนวทิวเขายาวเหยียดมองเห็นเส้นสีครามจากทิศเหนือจดใต้ มีเทือกเขาสูงเป็นดั่งสันปันน้ำกั้นเขตแดนระหว่างไทยกับสหภาพพม่า มียอดเขางะงันนิยวกตอง สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 1,513 เมตร เป็นจุดสูงสุด

การจะไปให้ถึงยอดเขางะงันนิยวกตองนั้น ต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 วันและจัดเป็นเส้นทางที่ยากลำบากและเสี่ยงอันตรายอยู่ไม่น้อยทีเดียว จึงมีผู้ไปถึงไม่กี่คณะในรอบหลายๆปี
ท่าทางมันส์ดียอดเขานี้ , ได้เห็นรูปแบบจะจะสักหน่อยก็คงจะดีนะ เอาไว้เจอกันใหม่โอกาสหน้าครับ



หวัดดี
พบกันอีกแล้วกับบล๊อคนี้ ข่าวแจ้งหนังสือ ชัยนาท-อุทัยธานี ออกวางขายแล้ว ( นายรอบรู้ ) เล่มละ 100 กว่าบาท ตัวอย่างสถานที่ท่องเที่ยวจากหนังสือ เขาปลาร้า อ.ลานสัก มีภาพเขียนโบราณอยู่ที่นี่ อ่านรายละเอียด เขาปลาร้าได้ตามลิงค์ แล้วก็ยังมีน้ำตกไซเบอร์ อุทัยธานี( ชื่อแปลก ) ในเล่มอีก
ไอทีวี ชั่วโมงโลกตะลึง วันอาทิตย์ที่ 8/7/50 22.10 น. พายุทอร์นาโด เอาไว้เจอกันใหม่โอกาสหน้าเด้อ


//www.era.su.ac.th/Rockpainting/central/Khao-plara/index.html



Create Date : 23 มิถุนายน 2550
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2551 15:19:13 น.
Counter : 2966 Pageviews.

0 comment
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศเยเมน
หวัดดีครับ
บล็อคใหม่ล่าสุดของผม ประเทศเยเมนสุดลึกลับ ประเดิมบล็อคด้วย เกาะขนาดใหญ่ของประเทศเยเมน เกาะ socratra ข้อมูลจาก wildandhigh.co.uk , เว็บนี้จะพาคุณออกไปลุยเกาะลึกลับของประเทศเยเมน วิวออกสไตล์แบบลุย ๆ พื้นที่ส่วนใหญ่ของเกาะไม่มีไฟฟ้าและน้ำประปา ต้นไม้บนเกาะก็ดูจ๊าบดี วิวภูเขาก็สวย ไปเดินเขาดูท่าทางจะมันส์ดี ภาพประกอบจากเกาะนี้ จาก britanica.com

Hadiboh, principal settlement of Socotra island, at the foot of the Hajhir Mountains, Yemen

เกาะที่เวลาได้ถูกปล่อยลืมไป
มันเป็นการดีเยี่ยมมากเลยสำหรับนักเดินทางที่เคยออกไปลุยมาแล้วทุกหนทุกแห่ง , โปรแกรมทัวร์เกาะ socotra อันใหม่ของ high & wild นั้นจะแนะนำเกาะขนาดใหญ่ที่ถูกลืมไปแล้วซึ่งมันตั้งอยู่ระหว่างประเทศเยเมนและประเทศโซมาเลีย , ตัวเกาะเองนั้นแทบจะไม่ได้เป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญของการเดินทางในโลกนี้เลย
โปรแกรมทัวร์ 18 วัน เริ่มต้นขึ้นที่เมือง sana ’ a , เมืองหลวงของประเทศเยเมน เมืองนี้โดยตัวของมันเองแล้วเป็นสถานที่ ๆ มีเสนห์ด้วยกำแพงโบราณที่อยู่ในเมืองนี้และก็สุเหร่าที่ถูกตกแต่งอย่างประณีต จากเมืองนี้เราก็จะนั่งรถขับเคลื่อนสี่ล้อไปยัง marib , เมืองหลวงตามตำนานของอาณาจักร sheba , หลังจากนั้นก็จะทำการนัดพบกันกับทางไกด์ทะเลทรายซึ่งเป็นผู้ที่จะนำคุณออกเดินทางไปตามถนน incense ( ถนนเครื่องหอม ) มุ่งไปยัง shibham ซึ่งที่นี่ก็จะมีตึกระฟ้าที่สร้างขึ้นด้วยโคลนให้คุณได้ชม เมื่อมาถึงวันสุดท้ายของการทัวร์ไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ ที่อยู่บนยอดเนินเขาแล้วมันก็จะเป็นการนำพาคุณเข้าไปใกล้ช่วงของโปรแกรมทัวร์หลัก
เมื่อได้ชมสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศเยเมนไปบ้างแล้ว หลังจากนั้นคุณก็จะออกเดินทางไปยังเมือง socotran ซึ่งเป็นเมืองหลวงของ hadibo เพื่อที่จะเริ่มต้นการออกเดินทางเฝ้าชมชีวิตสัตว์ป่าและก็ออกเดินเขาไปท่ามกลางลักษณะภูมิประเทศที่เป็นภูเขาอันน่าตื่นตาตื่นใจ
รู้จักกันในหมู่ชาวเรือมาเป็นเวลาหลายศตวรรษแล้วสำหรับกำยานที่ได้จากเกาะนี้ , ยางไม้หอมเมอ ( ทำจากไม้หลายชนิด ) และก็ dragon ’ s blood , เกาะนั้นเป็นบ้านเกิดของชนเผ่า Bedouin เช่นเดียวกันกับพืชพรรณและก็สัตว์ป่าที่มีลักษณะเฉพาะของเกาะนี้ สิ่งเหล่านี้เป็นผลผลิตที่ได้จากสถานะของเกาะซึ่งเกาะนี้เป็นหนึ่งในบริเวณพื้นที่ ๆ มีความห่างไกลมากที่สุดของเปลือกโลกทวีปที่เป็นหินที่เกิดขึ้นมาในทุก ๆ แห่งบนโลกนี้ และก็ทำให้บางคนเรียกเกาะนี้ว่า “เกาะ Galapagos อีกแห่งหนึ่ง” มันมีอะไรบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายกันนั้นก็คือเศษหนึ่งส่วนสามของนกที่อาศัยอยู่บนเกาะ 800 ชนิดนั้นเป็นนกที่อาศัยอยู่ในถิ่นเฉพาะ และก็สัตว์ทะเลที่อาศัยอยู่ในทะเลรอบ ๆ เกาะนี้ก็ยังคงมีแนวความคิดว่ามันมีความหลากหลายเป็นพิเศษ
การเฝ้าชมปลาโลมาที่อาศัยกระจายอยู่เป็นจุด ๆ และก็พวกนกต่าง ๆ นั้นเป็นหมายกำหนดการท่องเที่ยวเฝ้าชมชีวิตสัตว์ป่า 2 อย่าง , พร้อมด้วยการออกเดินทางไปทำการสำรวจการก่อตัวขึ้นมาของแนวชายฝั่งที่ทำให้รู้สึกอัศจรรย์ใจ
การเดินทางในครั้งนี้ต้องการระดับความฟิตทางกายภาพอยู่ในระดับดีสำหรับการเดินเขาและก็ต้องมีสไตล์การดำรงชีวิตโดยทั่วไปอย่างง่าย ๆ เมื่ออยู่บนเกาะ มีบริเวณพื้นที่บนเกาะอยู่เพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่มีไฟฟ้าหรือน้ำประปาให้ใช้ , และถนนสายต่าง ๆ ที่ราบเรียบสม่ำเสมอก็หายากไม่ค่อยจะมี
ราคาของโปรแกรมทัวร์นี้อยู่ที่ 1,425 ปอนด์อังกฤษต่อ 1 คน ยกเว้นค่าตั๋วเครื่องบินระหว่างประเทศและภายในประเทศ แต่รวมค่าที่พักในห้องแบบมาตรฐานที่พักรวมกันสองคน , ค่าเช่าอุปกรณ์แคมป์ปิ้งและค่าธรรมเนียมไกด์นำทาง
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ //www.highandwild.co.uk
เอาไว้เจอกันใหม่โอกาสหน้า กับเมือง tiksi เชียงรายของทวีปเอเชีย ( อ่านแล้วงงหรือเปล่าเนี่ย อยู่ในเขต yakutia ประเทศรัสเซีย ) หรือไม่แน่อาจจะเจอกันในบทความพิชิตยอดเขา manamcho , ธิเบต 6200 กว่าเมตร เทือกเขาวิวสวยสุดยอด หรืออาจจะเป็นอะไรก็ยังไม่แน่เหมือนกัน หวัดดีครับ





Create Date : 11 มิถุนายน 2550
Last Update : 11 มิถุนายน 2550 19:18:22 น.
Counter : 1203 Pageviews.

1 comment
1  2  

kangchenjunga
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]