รวมมิตรประเทศไทย แสนสบาย

วันที่ 16/2/51 ขอลงบทความไปเที่ยวดอยม่อนจอง 1929 เมตร อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ช่วงปลายเดือน 12/50 ขอเชิญอ่านได้เลยครับ
ปีนดอยม่อนจองปี 2007
เริ่มต้นออกเดินทางโดยนัดกับทาง nakderntang.com ที่บิ๊กซีสะพานควาย นั่ง bts ไปลงสถานีสะพานควาย สะดวกสบาย ไปถึงก็ไปที่ food park ไปถึงแล้วก็ไม่รู้จะไปพบใคร ก็เลยโทรไปที่เบอร์ของนักเดินทางก็มีเจ้าหน้าที่ออกมารับ ( เจ้าหน้าที่คนนี้เขาออกทริปไปเวียดนาม ไม่ได้ไปดอยม่อนจองด้วยกัน ) เจ้าหน้าที่คนนี้ก็พาไปรู้จักกับสต๊าฟที่จะพาไปดอยม่อนจองชื่อ ตูน แล้วตูนก็จะแนะนำให้รู้จักกับสต๊าฟอีกคนชื่อบุษ ผมมาถึงบิ๊กซีสะพานควายประมาณ 1 ทุ่มกว่า รู้สึกว่าจะมีคนร่วมทริปอีก 3 คนมาถึงก่อนผม ได้แก่ อึ่ง , นก x , นก l สามคนนี้เคยเรียนหนังสือที่เดียวกันแต่โดนคนชื่ออึ่งหลอกให้มาเที่ยวที่ดอยม่อนจอง นกเอ๊กซ์กับนกแอลเขาชอบเที่ยวแบบสบาย ๆ ไม่ลำบาก พอนั่งรอสมาชิกคนอื่น ๆ ไปอีกสักพัก ( สมาชิกมีทั้งหมด 8 คน ) ก็ได้เจอกับโหน่ง หนุ่มร่างผอมผมยาว พอนั่งรออีกสักพักก็มีมาอีก 2 คน ได้แก่ ชาญ กับ จี ( ใส่แว่นทั้งคู่ ) คนชื่อชาญใช้กล้อง canon eos 350 d แต่ยังขาดอยู่อีก 1 คน ชื่อมะลิ ต้องไปรับที่ ร.พ. เซ็นต์คาร์ลอส ก่อนออกเดินทางจากบิ๊กซีโหน่งรีบกินข้าวเย็นเป็นการด่วน ส่วนผมกินข้าวหมกไก่ แล้วก็ออกเดินไปที่ลานจอดรถบิ๊กซี วันนั้นมีรถตู้ของนักเดินทางต้องออกทริปไปทั้งหมด 5 คัน ได้แก่ ดอยผ้าห่มปก , ดอยม่อนจอง , ขุนแม่ยะ จ.แม่ฮ่องสอน , เวียดนามอีก 2 ทริป แล้วเหล่าสมาชิกก็ออกเดินทางไปรับคุณ มะลิ คนนี้ก็ใส่แว่นรู้จักกันกับชาญและจี แล้วรถตู้ก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปทางสุพรรณ แล้วก็ไปออกที่นครสวรรค์ ประมาณสักเที่ยงคืนครึ่งก็เกิดแจ๊กพ็อต รถตู้ได้เกิดเสียขึ้นมา หม้อน้ำแตก ที่บริเวณหลัก ก.ม. ที่ 221 ทางหลวงหมายเลข 1 ตรงด้านหน้า นครสวรรค์ tsd แวร์เฮาส์ ทางนักเดินทางจึงหาทางแก้ปัญหาโดยให้รถตู้อีกคันมารับเหล่าสมาชิกพร้อมสัมภาระที่ปั๊ม ปตท. ไม่ไกลจากจุดรถเสีย หลังจากนั้นก็ออกเดินทางจากปั๊มปตท. ไปพร้อมกับคนขับคนใหม่ รถตู้คันใหม่กว่า , แอร์เย็นกว่า ออกไปตอนประมาณตีสี ประมาณ 7 โมงเช้าก็ไปแวะที่ปั๊มแก๊สแห่งหนึ่งไม่รู้จังหวัดอะไร มีละอองฝนลงมานิดหน่อย แล้วก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยัง อ.ลี้ เพื่อแวะกินข้าวกันที่ร้านริมถนนสาย 106 เป็นร้านอาหารตามสั่ง ฝั่งตรงข้ามเป็นโรงเรียน รู้สึกว่าจะชื่อแม่เทย ทิ้งระเบิดที่ห้องน้ำร้านนี้ก่อนกินข้าว
เนื่องจากเกิดเหตุการณ์รถเสียที่จ. นครสวรรค์ ทำให้เวลาล่าช้าไม่เป็นไปตามกำหนดการ ทางนักเดินทางจึงเปลี่ยนโปรแกรมให้เดินทางไปยังหน่วยจัดการต้นน้ำห้วยจิโนแทนในวันเสาร์ที่ 29 ธ.ค. แล้วค่อยไปดอยม่อนจองในวันที่ 30 ธ.ค. ( ตามกำหนดการเดิมจะต้องไปที่หน่วยจัดการต้นน้ำห้วยจิโนในวันที่ 29 และไปดอยม่อนจองในวันที่ 30 ธ.ค. ) แล้วก็ออกเดินทางจาก อ.ลี้ ยิงยาวไปยัง อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ผ่าน อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ แล้วก็ใช้ทางสาย 108 ไปทางอ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน แล้วก็เลี้ยวซ้ายเปลี่ยนไปใช้ทางหลวงสาย 1099 มุ่งไปยังอ. อมก๋อย ทางหลวงสาย 1099 เป็นทาง 2 เลน มีต้นสนอยู่ข้างทางเยอะมาก เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นทางหลวงสายนี้ ข้างถนนสายนี้เขาจะปักป้ายคำขวัญของ อ.อมก๋อย เรียงกันไว้ พูดถึงภูเขากับป่าไม้และก็อากาศที่บริสุทธิ์ ถนนสายนี้ไม่ค่อยมีรถวิ่งกันเท่าไร ดูเงียบสงบดูเป็นคนละสไตล์กับอำเภอทางด้านเหนือของ จ.เชียงใหม่ และแล้วรถตู้ก็เดินทางมาถึง อ.อมก๋อย โดยได้มาส่งที่ร้านอาหารใกล้ ๆ กับอมก๋อยเภสัช โดยจะแวะกินข้าวกันก่อนที่ร้านนี้ ตั้งแต่มื้อเช้าของวันที่ 29 ไปจนถึงมื้อเย็นของวันที่ 31 ธ.ค. ทางนักเดินทางจะเป็นออกเงินให้ มื้อเช้าวันนี้ผมกินข้าวมันไก่ ข้าวมันไก่ที่ร้านนี้อร่อยดี โทรทัศน์ที่ร้านใช้ ubc สัญญาณชัดแจ๋ว รถตู้จะไม่เดินทางไปกับเรานับจากนี้ไป แต่ในวันนี้จะมีรถกระบะ 4 คูณ 4 ที่ได้ติดต่อล่วงหน้าเอาไว้มารับพวกเราพร้อมสัมภาระออกเดินทางไปยังหน่วยจัดการต้นน้ำจิโน จากสี่แยกบริเวณร้านอาหารที่กินมื้อเช้ารถกระบะก็ออกเดินทางไปโดยใช้ทางแยกด้านขวามือมุ่งไปตามทางเรื่อย ๆ ไปจนถึงจุดที่เค้าเรียกกันว่าคริสต์จักร จำชื่อไม่ได้แล้ว น่าจะเป็นคริสต์จักรยางเปา แล้วก็เลี้ยวซ้ายอีกที่นึง รถกระบะมุ่งไปตามทางเรื่อย ๆ ทางจะเริ่มเป็นลักษณะภูเขามากขึ้น ผ่านโรงเรียนผาปูน , บ้านสงินเหนือ แล้วก็จะเจอป้ายบอกหน่วยจัดการต้นน้ำแม่จ๊าง กับป้ายจิโน แล้วก็เลี้ยวซ้ายไปตามป้าย , ขับไปตามทางที่ป้ายบอกไปเรื่อย ๆ ก็จะมาถึงบริเวณลานจอดรถของหน่วยจัดการต้นน้ำห้วยจิโน มีตัวอักษรคำว่า jino ประดับอยู่ แล้วก็มีสถานีตรวจอากาศอยู่ใกล้ ๆ กับตัวอักษรที่ว่า วิวตรงแถว ๆ ลานจอดรถคุณจะได้พบกับภูเขาต้นสน ที่นี่จะมีห้องน้ำให้คุณได้อาบน้ำและก็ห้องส้วมไว้บริการแต่ว่าจะไม่มีไฟฟ้าให้ใช้แต่ถ้ามีน้ำมันก็เอาไปให้เจ้าหน้าที่ปั้นไฟให้ใช้ก็ได้ มีบ้านพักให้พักด้วย หรือว่าจะเลือกกางเต้นท็ก็ได้ มีลานกางเต็นท์อยู่ตรงเสาธงและก็ตรงหน้าห้องน้ำ ส่วนเย็น ๆ วันนั้นเหล่าสมาชิกก็เตรียมตัวกางเต็นท์กัน แก๊งค์ 3 สาว นก x , นก l , อึ่ง นอนเต็นท์เดียวกัน , ส่วนผมนอนเดี่ยวเต็นท์ข้าง ๆ กัน, เต็นท์ถัดมาจะเป็นเต็นท์ของบุษกับตูน , แล้วก็เป็นเต็นท์ของโหน่ง , เต็นท์สุดท้ายเป็นเต็นท์ของชาญ , จี , มะลิ ส่วนคืนที่ค้างที่ดอยม่อนจองก็จะมีการจัดกลุ่มนอนเต็นท์กันเหมือนอย่างนี้แต่จะกระจายกันไม่เรียงกันเหมือนอย่างนี้เพราะว่าจะมีเต็นท์ของคณะอื่น ๆ เข้ามาแจมด้วย ช่วงเย็น ๆ วันนั้นผมก็ตะลุยถ่ายรูปแถว ๆ ห้วยจิโน ลุยถ่ายตั้งแต่ตรงทางเข้าที่มีสถานีตรวจวัดอากาศเรื่อยไปจนถึงเสาธง อุณหภมิจากสถานีตรวจวัดอากาศตอนเย็นวันนั้นประมาณ 19 องศาเซลเซียส ช่วงก่อนมื้อเย็นวันนั้นมีบางคนไปอาบน้ำที่ห้องน้ำส่วนผมอาบตอนหลังหม่ำมื้อเย็นน้ำเย็นมาก ห้องน้ำมีฝักบัว อาบน้ำจนตัวชา การเดินจากเต็นท์ไปห้องอาบน้ำทางซูปเปอร์มืด ไม่มีแสงไฟจากบริเวณหน่วยเลย ผลที่ได้จากความมืดในบริเวณนั้นก็คือ มองขึ้นไปบนท้องฟ้าเห็นทางช้างเผือกสวยงามมาก ดาวแน่นเต็มท้องฟ้า ใครจะมาพักค้างคืนที่ห้วยจิโนของสำคัญที่ต้องเตรียมมาก็คือ ไฟฉายนะจ๊ะ มือเย็นของวันนั้นทางนักเดินทางจัดอาหารให้กินเป็นหมูกะทะ 2 ชุด เป็นการกินหมูกะทะบนความสูงประมาณ 1700 เมตร ( ตัวเลขความสูงได้จากเครื่องวัดของคุณชาญ ) กินกันตั้งแต่ช่วงเย็น ๆ ไปจนมืดท่ามกลางแสงเทียน ทางนักเดินทางใช้เชื้อเพลิงกระป๋องสำหรับย่างหมูกะทะ มีข้าวสวยกินกับหมูกะทะด้วย กินไปกินมาจนหมูกะทะจวนจะหมดอยู่แล้ว วงหมูกะทะของโหน่ง , บุษ , กับแก๊งค์ 3 สาว เกิดไฟลุกท่วมเตาหมูกะทะลามไปไหม้พลาสติกรองพื้น วงแตกช่วยกันดับไฟกันอยู่ครู่หนึ่งจนสุดท้ายก็ได้ชาญมาปิดที่เตา เป็นผลให้วงหมูกะทะของโหน่งเกิดหมดอารมณ์ไม่กินต่อแล้ว ส่วนวงของผมยังกินต่อไปอีกแป็บนึง ก่อนนอนคืนนั้นได้ถ่ายรูปเต็นท์ของบุษกับตูนเก็บไว้ด้วย
ช่วงเช้าของวันที่ 30 ธ.ค. 2551 ตื่นขึ้นมามัวแต่วุ่น ๆ อยู่กับการแปรงฟันเลยไม่ได้ชมวิวพระอาทิตย์เริ่มโผล่ขึ้นมา แต่เช้าวันนั้นผมไม่ได้อาบน้ำอากาศมันหนาวนะเลยขี้เกียจอาบ พอแปรงฟันเสร็จก็เริ่มเก็บสัมภาระลงเป้ให้เรียบร้อยและก็ตะลุยถ่ายรูปกับคลิปวีดีโอกันอีกพักใหญ่จนถึงเวลาอาหารเช้า มือเช้าในวันนั้นก็ทำอาหารกันตรงเสาธงเลย โดยมีแก๊งค์ 3 สาวช่วยทำกับข้าว , นก x เป็นคนผัดผักบุ้งน้ำมันหอย มือเช้าในวันนั้นก็มีผัดผักบุ้งน้ำมันหอย , ไข่ดาว , เต้าหู้ทอด ( เหลือจากหมูกะทะเมื่อคืน ) , และก็ผัดผักรวมมิตร โดยย้ายที่กินไปกินกันที่ด้านนอกของห้องพักที่อยู่ใกล้ ๆ กับเสาธง พอฟาดมื้อเช้ากันเสร็จแล้วเหล่าสมาชิกก็นั่งรถกระบะออกเดินทางจากห้วยจิโนมุ่งกลับไปยังตัวอำเภอ อมก๋อย ไปจอดแวะพักเตรียมตัวเดินทางไปยังดอยม่อนจองกันที่หน้าร้านอาหารบัวผัน หน้าร้านอาหารบัวผันถือเป็นจุดสำคัญในการเตรียมความพร้อมในการเดินทางเข้าไปเที่ยวในเขต อ.อมก๋อยและก็เดินทางออกไปจากเขต อ. อมก๋อย ในช่วงบ่ายทางนักเดินทางได้ให้ทุกคนสั่งอาหารตามสั่งกันตามใจชอบคนละ 1 กล่องเอาไปกินกันที่หน่วยพิทักษ์ป่ามูเซอ เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าอมก๋อย มื้อนั้นผมสั่งหมูกระเทียมไข่ดาว หลังจากเตรียมตัวกันที่อ.อมก๋อยเสร็จแล้วเหล่าสมาชิก็ออกเดินทางไปพร้อมกับสัมภาระ ,รถกระบะคันเดิมและก็คนขับรถกระบะคนเดิม คนขับรถกระบะที่พาเราไปยังเชิงดอยม่อนจองเขาเล่าให้ผมฟังว่าเขาเคยขับรถกระบะจาก อ.อมก๋อย ไปยังบ้านแม่ตื่น ( บ้านแม่ตื่นอยู่สุดทางหลวงด้านใต้ของ อ.อมก๋อย ) แล้วก็ขับจากบ้านแม่ตื่นไปยัง อ.ท่าสองยาง จ.ตาก แล้วก็ขับต่อไปยัง อ.แม่สอด เป็นการขับไปทำธุระ เขาบอกว่าไปเส้นทางนี้มันช่วยย่นระยะทาง เส้นทางจากบ้านแม่ตื่น อ.อมก๋อยไปยัง อ.ท่าสองยาง จ.ตาก เป็นเส้นทางแบบ 4 x 4 ขับผ่านได้เฉพาะช่วงหน้าแล้ง เป็นเส้นทางลักษณะเป็นภูเขาสูงชัน เรากลับมาเข้าเรื่องกันต่อ หลังจากที่ออกเดินทางไปจาก อ.อมก๋อยแล้วพวกเราก็ไปรับเจ้าหน้าที่นำทางที่จะพาเราปีนขึ้นไปด้านบนของดอยม่อนจอง ซึ่งก็จะต้องไปรับเขาที่หน่วยพิทักษ์ป่ามูเซอ เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าอมก๋อย เมื่อมาถึงหน่วยพิทักษ์ป่ามูเซอก็รีบกินข้าวกล่องที่ได้ซื้อมาจากร้านอาหารบัวผันกันก่อนเลย กินข้าวเสร็จแล้วก็ถ่ายรูปกันพอหอมปากหอมคอ เจ้าหน้าที่ ๆ พวกเรารับมามีคนเดียว เสร็จแล้วก็ออกเดินทางกันต่อไป โดยขั้นตอนต่อไปเราจะต้องไปรับลูกหาบที่หมู่บ้านชาวเขาเผ่ามูเซอ ซึ่งลูกหาบที่เราไปรับมามีประมาณ 3-4 คน เป็นชาวเขาเผ่ามูเซอ วิวหมู่บ้านมูเซอสวยมากเป็นหมู่บ้านตั้งอยู่บนภูเขามีบ้านเรือนตั้งอยู่ลดหลั่นกันอยู่เป็นกลุ่มไม่รอช้าที่จะถ่ายรูปเลยครับ ก่อนออกเดินทางไปจากหมู่บ้านนี้พวกเราก็แวะไปดูศูนย์ขายสินค้า otop ประจำหมู่บ้านนี้กันก่อน สินค้าที่ขายก็มีพวกน้ำผึ้ง , เหล้าพื้นเมือง ( เขาจะเรียกว่าน้ำอะไรไม่รู้ฟังไม่ค่อยชัด ) , พวกผ้าพื้นเมือง , ย่าม หลังจากที่ชมสินค้ากันแล้วก็ได้เวลาออกเดินทางไปยังจุดเริ่มต้นเดินขึ้นดอยม่อนจอง ถือเป็นความมันส์อีกอย่างนึงครับในการเดินทางจากหมู่บ้านมูเซอไปยังจุดเริ่มต้นเดิน เพราะว่าเส้นทางที่รถกระบะพาพวกเราไปนั้นเป็นเส้นทางภูเขาที่สูงชันสองข้างทางมีป่าไม้ที่หนาแน่น บางช่วงของเส้นทางรถจะต้องไต่ระดับทางที่ชันประมาณ 45 องศาเป็นระยะทาง 100 – 200 เมตร และบางครั้งก็จะเจอต้นไม้ขนาดใหญ่มากประมาณ 3-4 คนโอบขึ้นกระจายอยู่ตามข้างทาง ในที่สุดรถก็พาพวกเรามาถึงจุดเริ่มต้นเดินขึ้นดอยม่อนจอง เมื่อลงจากรถแล้วเราจะเห็นพระพุทธรูปยืนสีทองอยู่ทางด้านซ้ายมือ และก็จะมีป้ายบอกภูหินช่อ 3 ก.ม. , ลานกอลฟ์ช้าง 4 ก.ม. , ดอยม่อนจอง 5 ก.ม. เราจะต้องเดินไปตามเส้นทางเดินเขาไปเรื่อย ๆ แต่ก่อนที่จะเดินเราจะต้องจัดสัมภาระให้ลูกหาบแบกเสียก่อน เส้นทางช่วงแรกจะผ่านป่าไม้เดินขึ้นเขาไปเรื่อย ๆ อาการเจจะเริ่มปรากฏให้เห็น จนกระทั้งเรามาเจอกับหุบเขาสูงอยู่ทางด้านซ้ายมือ วิวหุบเขาสวยมาก เส้นทางจะเริ่มเข้าสู่ช่วงที่ 2 เดินไปตามทางเรื่อย ๆ เราก็จะเจอภูหินช่ออยู่ทางซ้ายมือมีลักษณะเป็นกลุ่มก้อนหินขนาดใหญ่อยู่สูงจากพื้นดินประมาณ 4-5 เมตร ตอนแรกก็ไม่ได้กะจะไปบนภูหินช่อหรอก แต่ผมเข้าใจผมิดคิดว่ามันเป็นเส้นทางที่จะไปยังดอยม่อนจอง ( เห็นนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นอยู่บนนั้น ) ก็เลยหลงปีนขึ้นไปถ่ายรูปข้างบนภูหินช่อมาได้ 2 รูป พอเลยภูหินช่อไปแล้วเส้นทางเดินเขาก็จะต้องผ่านป่าไม้ เส้นทางช่วงนี้จะขึ้นเขาไปเรื่อย ๆ เป็นช่วงเส้นทางที่เหนื่อยที่สุดในการปีนดอยม่อนจอง พอผ่านช่วงเส้นทางป่าไม้มาแล้ว เราก็จะเจอสันเขาโล่ง ๆ ที่เป็นทุ่งหญ้า หลังจากนั้นก็เดินตามเส้นทางไปเรื่อย ๆ เส้นทางจะไม่ค่อยเหนื่อยแล้ว จะเหนื่อยอีกทีก็ช่วงสันเขาที่เป็นขั้นบันได เดินไปเรื่อย ๆ ก็จะเจอลานกอล์ฟช้าง มีลักษณะเป็นโป่งดินยุบตัวลงไป เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4-5 เมตร เมื่อมาถึงลานกอล์ฟช้างแล้ว ก็จะต้องเดินแยกไปทางซ้ายมือลงไปตั้งแคมป์กันในหุบเขาที่เป็นป่าไม้หนาทึบ ตรงบริเวณหุบเขานี้มีแหล่งน้ำเหมาะสำหรับการตั้งแคมป์ พอเอาของสัมภาระมาฝากไว้กับคุณตูนที่หุบเขาข้างล่างแล้วผมก็ปีนขึ้นไปออกจากหุบเขาไปชมวิวยามเย็น บริเวณใกล้ ๆ กับลานกอล์ฟช้างเราจะพบกับป้ายบอกทางไปยังยอดดอยหัวสิงห์ไม่รอช้าผมลองเดินไปชมวิวยามเย็นตามเส้นทางไปเรื่อย ๆ เจอโหน่งอยู่ตรงเส้นทางไปยังยอดดอยหัวสิงห์ โหน่งบอกว่า ยังไม่มีใครเดินไปยอดดอยหัวสิงห์ตอนนี้ ผมก็กะจะลองเดินชมวิวตามเส้นทางไปยังยอดดอยหัวสิงห์ไปเรื่อย ๆ ตอนนั้นเดินไปคนเดียวเส้นทางเดินสวยงามมากเป็นแนวหน้าผาอยู่ทางด้านขวามือส่วนด้านซ้ายมีลักษณะเป็นหุบเขาป่าไม้หนาแน่น เส้นทางเดินสบาย ๆ ไม่ลำบากเท่าไร ถือได้ว่าดอยม่อนจองเป็นยอดเขาที่มีรูปทรงสันฐานที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของเมืองไทย ผมเดินมาถึงจุดที่เป็นหน้าผาหินขนาดใหญ่ ด้านขวามือเป็นดอยหัวเสือ เป็นยอดแหลม ๆ ( รู้จักชื่อดอยนี้จากคนนำทางในตอนเช้าวันถัดไป ) มองขึ้นไปยังยอดดอยหัวสิงห์ตอนนั้นประมาณ 17.55 น. ยังมีคนอยู่บนนั้น ผมตัดสินใจเดินกลับไปยังจุดตั้งแคมป์เพื่อเตรียมตัวหม่ำมื้อเย็น บริเวณที่ตั้งแคมป์ในวันนั้นมีเต็นท์จากคณะนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น ๆ มากมายหลายเต็นท์ ห้องน้ำที่นี่ไม่มีหรอกนะครับ ถ้าปวดเบาก็ริมทางเลยครับ โชคดีวันนั้นไม่ปวดหนัก ฮี่ฮี่ สภาพแคมป์ตอนกลางคืนมีเพียงแสงจากกองไฟหุงต้มอาหารกับแสงเทียนเท่านั้น มื้อเย็นมีคุณนก x มาช่วยทำยำมาม่าให้กิน แล้วก็มีพ่อครัวจากคณะเดินทางกลุ่มอื่นมาช่วยทำผิดพริกแกงถั่วฝักยาว กับข้าวมีอีก 1 อย่างก็คือแกงจืดไข่น้ำ ปิดท้ายด้วยของหวาน เงาะ , ลิ้นจี่กระป๋อง ผมไม่กล้ากินเข้าไปเยอะ กลัวปวดท้องเพราะว่าที่นี่มันไม่มีห้องน้ำ ก่อนนอนในคืนนั้นบุษได้ชวนคุยแซวลูกหาบที่เป็นมูเซอ พวกลูกหาบก็ดูเฮฮาดีนะ อุณหภูมิก่อนนอนในคืนนั้น 12.6 องศา
เช้าวันที่ 31 ธ.ค. 2551 ตื่นนอนประมาณตี 5 ครึ่งเพื่อที่จะเดินขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ยอดดอยหัวสิงห์ 1,929 เมตร เดินขึ้นมาจากหุบเขาป่าด้านล่างมายังสันเขาทุ่งหญ้าก่อนถึงลานกอลฟ์ช้างก็เหนื่อยแฮ่กแล้ว เช้าวันนั้นเดินไปกับโหน่ง , ชาญ , จี ,มะลิ มาถึงลานกอลฟ์ช้างยังมองไม่เห็นวิวเพราะว่ายังมืดอยู่ต้องใช้ไฟฉาย เดินไปตามทางเรื่อย ๆ แสงอาทิตย์ก็เริ่มมากขึ้น ตอนช่วงเริ่มมีแสงหน่อย ๆ หมอกตอนนั้นหนามาก บรรยากาศดีมาก เดินไปเรื่อย ๆ กลุ่มของ ชาญ , จี, มะลิ แวะถ่ายรูป ส่วนผมกับโหน่งเดินต่อไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางสายหมอก โหน่งเดินนำหน้าไปก่อน ช่วงสุดท้ายก่อนถึงยอดดอยหัวสิงห์มีลักษณะเป็นสันเขาดิน ด้านซ้ายยังมีต้นไม้ขนาดใหญ่ขึ้นให้เห็น ส่วนด้านขวาไม่มีต้นไม้ขนาดใหญ่ โหน่งเดินพรวด ๆ ไม่รอช้าขึ้นไปถึงยอดหัวสิงห์เลย ส่วนผมหอบแฮ่ก ๆ เดินอืดกว่าจะไปถึง ถ่ายรูปยอดดอยหัวสิงห์ตอนที่กำลังเดินเข้าไปหากองหินบนยอดสูงสุด หมอกเต็มไปหมด บนยอดสูงสุด 1929 เมตร มีนักท่องเที่ยวขึ้นไปถ่ายรูปอยู่ก่อนหน้า 1 กลุ่ม รู้สึกว่าจะเป็นสาว ๆ ทั้งหมดเลยมั๊ง บนยอดสูงสุดมีป้ายบอกว่าเป็นจุดสูงสุดดอยม่อนจอง ผมถ่ายรูปบนยอดสูงสุดโดยเอาขาตั้งกล้องไปด้วย ถ่ายไปถ่ายมาขาตั้งกล้องที่มีกล้องติดอยู่เกิดล้มลงไปทางด้านขวาทำให้เลนส์ที่ยืนออกมากระแทกเข้ากับพื้นดิน ทำให้เลนส์ยุบลงไปกล้องเลยเสียปิดกล้องและถ่ายภาพต่อไปไม่ได้ เซ็งเลยอดถ่ายต่อ แต่สายหมอกบนยอดสูงสุดก็ยังพัดมาจากด้านซ้ายมือบรรยากาศดีมาก ทิ้งห่างไปสักพักนึงกลุ่มของชาญ , จี , มะลิ ก็ตามมาถึง แล้วกลุ่มของชาญ , จี , มะลิก็ลงไปถ่ายรูปกันต่อด้านล่าง พอสักพักนึงกลุ่มของ นก เอ็กซ์ , นกแอล , บุศ , อึ่ง , คนนำทางก็ตามมา บุษบอกว่าเขาเคยเดินเลยจากยอดสูงสุดไปอีก ไปนั่งกินข้าวข้างล่าง ผมลองลองเดินสำรวจสันเขาเลยยอดสูงสุดไปอีกหน่อยประมาณ 50 เมตร จนไปสุดสันเขาโล่ง ๆ มองกลับไปยังยอดสูงสุดหมอกเต็มไปหมดมองไม่เห็นยอดสูงสุด ตอนหลังสอบถามคนนำทางที่มาด้วยกันได้ความว่ามีสันเขาทอดยาวต่อจากยอดสูงสุดไปอีกหลาย ก.ม. แล้วบุศก็เรียกให้ขึ้นไปรวมกันที่ยอดสูงสุดแล้วก็อำลายอดดอยหัวสิงห์ ตอนลงจากยอดสูงสุดคนนำทางชี้ให้ดูดอกไม้สีแดงที่อยู่บนต้นไม้ใหญ่ไม่รู้ชื่อดอกอะไรอยู่ใกล้ ๆ ยอดสูงสุด แต่ผมมองไม่เห็น ( ตาถั่ว ) ต้องเข้าไปดูใกล้ ๆ คงจะมองเห็น แต่พอเดินกลับไปได้สักพักคนนำทางชี้ให้ดูดอกไม้สีแดงอีกอยู่ทางด้านซ้ายมือคราวนี้เห็นจะจะมีอยู่ 1 ช่อ แล้วพวกเราทั้งหมดก็กลับมารวมตัวกันที่แคมป์ที่อยู่ในหุบเขาเพื่อมากินข้าวกัน เช้าวันนั้นผมไม่ได้แปรงฟันกินข้าวเลย กับข้าวมื้อนั้นเป็นหมูยอ อร่อยมาก กินกันเสร็จแล้วทีมของนักเดินทางก็เตรียมเก็บของกัน ลูกหาบก็เดินทางกลับไปพร้อมกับพวกเรา ผมเดินเหนื่อยขึ้นไปจากหุบเขาไปยังบลานกอลฟ์ช้างพร้อมกับสัมภาระเหมือนเดิมกับตอนขาขึ้น ช่วงขากลับผมกับโหน่งเดินเกาะกลุ่มล่วงหน้ากันไปก่อน ขากลับใช้กิ่งไม้ที่เก็บได้ที่แคมป์หุบเขาช่วยพยุงสำหรับเดินเขาช่วยผ่อนแรงได้นิดหน่อย ตอนขากลับมานึกดูไม่น่าเชื่อเดินขึ้นไปยอดดอยหัวสิงห์ได้อย่างไร ส่วนใหญ่มันมีแต่ทางลงเกือบทั้งนั้น เส้นทางเดินกลับลงไปใช้เส้นทางเดียวกัน เจอกลุ่มนักท่องเที่ยวเดินสวนขึ้นไปเยอะพอสมควรประมาณ 20 คนน่าจะได้ ขากลับช่วงที่เดินผ่านภูหินช่อเจอกับกลุ่มนักท่องเที่ยวกำลังถ่ายภาพอยู่แถว ๆนั้น เขาบอกว่าได้มาพักอยู่ทีดอยม่อนจอง 3-4 วันแล้ว ตระเวนถ่ายรูปอยู่บนดอย พอเลยช่วงภูหินช่อผมกับโหน่งก็เดินทิ้งห่างนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น ๆ ที่เดินลงมาห่างออกไปเยอะเลย เดินกลับลงมาเรื่อย ๆ เกือบจะถึงปลายทางอยู่แล้ว เห็นตูนตามมาอยู่ห่าง ๆ รู้สึกว่าตูนเขาจะเดินแซงกลุ่มของชาญกับกลุ่มของนก x จนเกือบทันผม ส่วนผมก็หอบแฮ่ก ๆ อยู่บนเนินแล้วก็เดินต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงปลายทาง มีโหน่งนั่งรออยู่บนโต๊ะแล้ว ไม่รอช้าผมกินน้ำในขวดจนหมดเลย ก่อนถึงปลายทางก็สวนกับนักท่องเที่ยวที่เดินขึ้นไปอีกกลุ่มใหญ่ หลังจากสมาชิกของนักเดินทางกลับลงมาหมดแล้วต่อไปก็เป็นการนั่งรถกระบะกลับไปยังหมู่บ้านมูเซอเพื่อไปส่งบรรดาลูกหาบกลับบ้าน ทีมปีนดอยม่อนจองแวะกินข้าวเที่ยงที่หมู่บ้านนี้ มื้อเที่ยงในวันนั้นผมกินเส้นเล็กน้ำใส่กระหล่ำปลี คนนำทางก็มาแจมกับพวกเราด้วย พอกินมื้อเที่ยงเสร็จแล้วก็พาเจ้าหน้าที่นำทางมาส่งที่หน่วยพิทักษ์ป่ามูเซอ ผมแวะซื้อเสื้อที่ระลึกดอยม่อนจองสีเทาราคา 180 บาท เหล่าสมาชิกนักเดินทางต่างก็ช็อปกันไปพอสมควร แล้วก็ออกเดินทางอำลาหน่วยพิทักษ์ป่ามูเซอกลับไปยังตัวอำเภออมก๋อย เมื่อไปถึงร้านอาหารบัวผันที่อมก๋อยเหล่าสมาชิกนักเดินทางก็ทยอยกันอาบน้ำที่ร้านหลังจากอาบครั้งสุดท้ายที่ห้วยจิโนตอนกลางคืน รถตู้คันเดิมพร้อมคนขับคนเดิมก็พาเราเดินทางออกจาก อ.อมก๋อย ซิ่งผ่านอำเภอลี้ จ.ลำพูน แล้วก็มาหยุดแวะพักกินข้าวเย็นที่ไหนก็ไม่รู้ มันเป็นจุดขายตั๋วรถทัวร์อยู่ใกล้ ๆ ร้านอาหาร มีอาหารแห้งขายอยู่หลายร้าน เหล่าสมาชิกช็อปกันไปค่อนข้างเยอะส่งท้ายก่อนกลับ รถตู้กลับเข้าถึงกรุงเทพประมาณ ตี 1 – 2 ทะยอยส่งเหล่าสมาชิกไปเรื่อยจนถึง โหน่ง ซึ่งลงเป็นคนรองโหล่ ส่วนผมลงเป็นคนสุดท้ายแถวอนุสาวรีย์ชัย แล้วก็ต่อแท็กซี่กลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ

หวัดดีครับ
วันที่ 5/2/51 ขอลงภาพชุดจากการนั่งรถไฟจากหัวลำโพง ไปลงที่สถานีรถไฟ อ.เมือง ปราจีนบุรี โดยตั้งใจจะไปเที่ยว ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ แล้วก็ปิดท้ายด้วย วัดแก้วพิจิตร ทั้งสองแห่งตั้งอยู่ใน อ.เมืองปราจีนบุรี พอเที่ยวเสร็จแล้วก็นั่งรถไฟกลับ ก.ท.ม.
ภาพแรกออกเดินทางไปกับขบวนรถไฟ ก.ท.ม. - กบินทร์บุรี ลงที่ อ.เมืองปราจีนบุรี ราคาตั๋ว 26 บาท รถไฟขบวนนี้แหล่ะที่ออกเดินทางไปในตอนประมาณ 8 โมงเช้ากว่า ๆ วันที่ 3/2/51

ภาพนี้กำลังนั่งรอรถไฟออกจากหัวลำโพง ลองถ่ายไปที่ขบวนรถไฟที่จอดอยู่ข้าง ๆ ฝนกำลังตกลงมาไม่แรงมากนัก ภาพมืดไปหน่อยนะ ถ่ายไม่ค่อยเก่ง ผมนั่งอยู่ตู้สุดท้าย

พอรถไฟจอดที่สถานีฉะเชิงเทรา คนก็แห่ลงมาเกือบหมดโบกี้ มีเรื่องจะเล่าให้ฟัง ขาไปมีผู้หญิงนั่งกับเพื่อนอีก 2 คน นั่งอยู่ที่นั่งด้านซ้ายข้างผม 3 คนนี้เค้าลงที่ฉะเชิงเทรา พอขากลับผมนั่งรถไฟกลับจากปราจีนบุรี ( ขบวนอรัญประเทศ - กรุงเทพ ) ก็เจอผู้หญิง 3 คนนี้กลับมานั่งที่นั่งข้าง ๆ ผม ด้านขวา ว๊าวโลกทำไมมันกลมอย่างนี้บังเอิญจริง ๆ

สถานีรถไฟ โพรงอากาศ ต.โพรงอากาศ อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา ชื่อแปลกดี จ๊าบ ๆ

มีมัสยิดสูง ๆ อยู่ทางด้านหลังภาพ ภาพนี้เป็นการทดสอบการซูมของกล้อง sumsung nv 10 ด้านหลังก็ชัดดีนะ แต่ด้านริมทางรถไฟยังไม่ค่อยชัดเท่าไร

สถานีรถไฟชุมทางคลองสิบเก้า ตำบลโยธะกา อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา รูปนี้ถ่ายทางด้านขวาของขบวน รถกำลังจะออก

สถานีรถไฟ โยทะกา ตำบล บางเตย อ.บ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรี อ้อลืมบอกไป ตามข้างทางรถไฟ มันจะมีพวกนกตัวใหญ่อยู่เพียบเลย เช่น นกสีขาวขายาว , นกสีดำหางยาวเกาะอยู่ที่สายไฟ

จุดที่เห็นภูเขาครั้งแรก ตามเส้นทางรถไฟสายตะวันออก รถไฟกำลังวิ่งอยู่ ถ่ายชูมเข้าไป มองด้วยตาเปล่า สวยกว่าภาพที่เห็น

สถานีรถไฟ บ้านปากพลี ต.ปากพลี อ.ปากพลี จ.นครนายก

อ้อลืมบอกไป ขบวนรถไฟสายตะวันออก เขาให้ชื้อตั๋วกันวันที่ออกเดินทางเลย ไม่มีการจองตั๋วล่วงหน้าหลายวัน แล้วก็มาถึงจุดสำคัญ พอถึงสถานีรถไฟ ปราจีนบุรี ผมก็หารถสามล้อ ให้มาส่งที่ ร.พ. เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ เขาคิด 50 ปี นั่งมาประมาณไม่เกิน 10 นาที น่าจะได้ ก็มาถึง ร.พ. ก่อนจะถึง ร.พ. เราจะเห็นวิวแม่น้ำบางประกงอยู่ด้านหน้า ร.พ. เข้าประตู ร.พ. ไป จะเห็นตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์อยู่ทางด้านขวามือ ตึกสีส้ม ๆ มองเห็นเด่นเลย เอาไว้เจอกันใหม่โอกาสหน้าครับ

มีคนเอาไก่มาปล่อยไว้หน้าตึก แล้วก็มีไก่เป็นรูปปั้นอยู่เยอะเลย ซ้ายขวาหน้าตึก ปล่อยเสร็จแล้วไม่รู้ทำยังงัยกับไก่ต่อ

ภาพนี้เป็นรูปปั้นของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ ตั้งอยู่ที่ห้องโถงกลางชั้นล่าง มีลักษณะเป็นห้องโถงโล่ง ๆ จัดแสดงรูปภาพหลายรูป


ตราประทับทำจากงาช้างของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร รูปนี้ถ่ายจากตู้โชว์ แจ่มเลย

รูปนี้เป็นรูปสำคัญ ตั้งโชว์ที่ห้องโถงกลางชั้นล่าง เป็นรูป รัชกาลที่ 6 ถ่ายรูปคู่กับเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ( เจ้าพระยาอภัยภูเบศรใส่เสื้อสีขาวยืนอยู่ข้าง ๆ รัชกาลที่ 6 ) รูปนี้ห้องโถงกลางข้างบนชั้น 2 ก็มีให้ดู

รูปปั้นเจ้าพระยาอภัยภูเบศรตั้งอยู่ที่ห้องด้านซ้ายชั้นล่าง

กระเบื้องมุงหลังคาตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จัดโชว์ไว้ในตู้โชว์ ห้องด้านซ้าย ชั้น 1

อุปกรณ์เกี่ยวกับการกลั่นไม้กฤษณา อยู่ที่ห้องเล็กด้านหลังชั้นที่ 1 แปลกตาดีเลยถ่ายเก็บไว้ ห้องที่อยู่ทางด้านขวาของชั้น 1 มีอุปกรณ์การผลิตยาแบบโบราณให้ชมอีกเยอะเลยครับ

ภาพนี้ทีเด็ดสุดยอด ไฟล์ต้นฉบับถ้าเอาไปดูกับจอคอม ฯ บางจอที่ปรับภาพสีอิ่มๆ คม ๆ ภาพจะออกมาสวยมาก ภาพนี้ถ่ายด้านหลังตึก ชั้น 1 ด้านหลังตึกรู้สึกว่าจะเป็นสวนสมุนไพร


วันที่ 24/11/50 ขอต้อนรับวันลอยกระทง ได้กล้องถ่ายรูป sumsung nv 10 มาใช้ เลยเอาไปลองถ่ายวันที่ทีมฟุตบอลทีมชาติไทยแข่งคัดเลือกฟุตบอลโลก ปี 2010 กับทีมชาติเยเมน ที่ สนามศุภ ฯ ในวันที่ 18/11/50
ก่อนไปที่สนามศุภ ฯ แวะกินข้าวที่ร้านขายข้าวมันไก่แถวหัวลำโพง เลยลองถ่ายภาพที่สถานีหัวลำโพงเก็บไว้ 1 ภาพ เค้าเพิ่งทาสีทองเสร็จไปไม่นานเท่าไร ลองคลิกไปที่รูป แล้วมันจะเข้าไปอีกหน้านึง แล้วก็คลิกขยายบวกอีกครั้งนึงก็จะได้ภาพต้นฉบับที่ rezize มาอีกที่นึง

ภาพต่อไปเป็นภาพด้านหน้าสนามศุภ ฯ ก่อนแข่ง คนมาดูกันเกือบเต็มสนาม มีของที่ระลึกขายเยอะพอสมควร ผมไปนั่งด้านตรงข้ามสกอร์บอรด์ ผมคัดเอารูปที่ชัด ๆ มาลงให้ดู บางรูปมันไม่ค่อยชัด ผมนั่งเกือบสุดขอบด้านบนของที่นั่ง ขึ้นไปอีก 2 ขั้นก็สุดขอบ

ภาพต่อไป เป็นบรรยากาศภายในสนามศุภฯ มีป้ายการแข่งขันฟุตบอลจตุรมิตรสามัคคี อยู่ด้านบน แต่ในภาพเห็นแค่ 3 โรงเรียน


วันที่ 14/9/50 ขอเล่าเรื่องการล่องเรือ จาก ท่าเรือสะพานพุทธไปยัง อ.บางไทร จ.อยุธยา ในวันที่ 9/9/50 เลขสวย วันที่ 9 เดือน 9 ไหว้พระ 9 วัด และก็เป็นวันอาทิตย์วันหยุดด้วย
ตื่นสาย ตื่นมาตอนตีห้าห้าสิบนาที ต้องรีบนั้งแท็กซี่ไปท่าเรือสะพานพุทธ โชคดีที่เรือยังไม่ออก นั่งรอเรือออกอยู่ประมาณ 7 โมงกว่าเรือก็ออกจากท่ามุ่งไปทำบุญถวายของที่วัดอรุณ ถ่ายรูปต้นสาละ , และก็พระปรางค์วัดอรุณมาด้วย เรือที่นั่งไปเป็นเรือไม้ 2 ชั้น , ชั้นบนให้ผู้โดยสารนั่ง พระก็ขึ้นไปพูดบนชั้น 2 ด้วย ส่วนชั้นล่างก็จะเป็นที่เตรียมกับข้าว ระหว่างชั้น 1 กับ ชั้น 2 ก็จะเป็นห้องน้ำชาย , หญิง หลังจากถวายของที่วัดอรุณเสร็จแล้ว ก็ออกเดินทางยาวไปวัดโพธิ์แตงใต้ อ.บางไทร จ.อยุธยา กว่าจะไปถึงก็ประมาณเที่ยงได้มั๊ง
ระหว่างทางที่เดินทางไปวัดโพธิ์แตงใต้ พระจะให้ผู้โดยสารสวดมนต์พร้อมไปกับพระ ก็สวดไปเรื่อย ๆ นานเหมือนกันกว่าจะเสร็จ พอสวดเสร็จแล้วก็เป็นการเสริฟ์ข้าวต้มหมู ผมกินไป 1 ชาม อร่อยดีเหมือนกัน อยากจะขอเบิ้ลแต่เขิน ๆ ไม่กล้าขอ พอกินข้าวเสร็จก็ชมวิวไปเรื่อย ๆ
เท่าที่จำได้เรือจะผ่านสะพานพระรามเจ็ด , สะพานพระรามห้า , วัดเฉลิมพระเกรียติ วิวสวยดี นั่งไปเรื่อย ๆ จุดสำคัญจะอยู่ที่เมื่อเรือมาถึงวัดเชิงเลนเรือจะค่อย ๆ เบี่ยงไปทางด้านขวาเข้าไปยังคลองลัดเกร็ด ( ถ้าแล่นตรงไปจะเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา ) ตรงปากทางเข้าคลองลัดเกร็ดจะมีบ้านเกร็ดตระการตั้งอยู่ทางด้านซ้าย คลองลัดเกร็ดมีลักษณะแคบกว่าแม่น้ำเจ้าพระยา เรือแล่นไปเรื่อย ๆ ผ่านวัดฉิมพลี และก็ผ่านจุดไฮไลท์อีกจุดหนึ่งของการเดินทางเป็นจุดที่ตั้งของเจดีย์เอียงของวัดปรมัยยิกาวาส เจดีย์เอียงสวยดี ผมถ่ายรูปเก็บไว้ 1 ภาพ ตอนขากลับตอนเย็น ๆ จะมีวัยรุ่นหนุ่มสาวมานั้งเล่นที่เจดีย์นี้ เมื่อมาถึงเจดีย์เอียงก็เป็นการอำลาคลองลัดเกร็ดเข้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยา
ผ่านวัดปรมัยยิกาวาสมาแล้วเรือก็จะมาจะเอ๋กับสะพานรามสี่ สะพานนี้ก็ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ , ผ่านโรงเรียนวัดโพธิ์บ้านอ้อย และก็ผ่านสะพานอีกอันหนึ่งไม่รู้สะพานอะไร รายละเอียดชักจำไม่ได้แล้ว จุดไฮไลท์อีก 2 จุดที่น่าสนใจอยู่ที่วัดโบสถ์มีรูปปั้นเหมือนของสมเด็จพระพุฒาจารย์โตขนาดใหญ่สีดำตั้งอยู่ริมแม่น้ำ และก็มีการสร้างตอม่อสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาอีกแห่งหนึ่งด้วย
พอเรือแล่นผ่านมาที่ถึงวัดไก่เตี้ยแม่น้ำเจ้าพระยาเลยวัดนี้ไปนิดหน่อยจะมีความกว้างเป็นพิเศษ กว้างกว่าช่วงอื่น ๆ ที่ผ่านมา พอมาถึงช่วงนี้ก็เริ่มมีเรือ river sun ตามมา มีสาว ๆ นักท่องเที่ยว หมวยๆ ขาว ๆ อยู่ด้านหน้าเรือด้วย ไปสักพักนึงเรือ river sun ก็แล่นแซงไป เรือลำนี้ก็มาจอดที่ท่าเรือวัดโพธิ์แตงเหนือด้วย มีอยู่ช่วงนึงก่อนหน้านี้มีเรือสมบัติเจริญรุ่งเรืองเป็นเรือจัดให้นักท่องเที่ยวกินข้าวบนชั้นสองคอยแซวมายังเรือที่ผมนั่งอยู่ พอเรือ river sun แซงไปแล้วแล่นมาสักพักนึงเรือก็เข้าเทียบท่าที่วัดโพธิ์แตงใต้ อ.บางไทร
พอถวายของที่วัดโพธิ์แตงใต้เสร็จแล้วก็เสี่ยงเซียมซี ที่วัดโพธิ์แตงใต้มีพระที่มรณภาพแล้วนอนอยู่ในโลงแก้วให้ดูด้วย หลังจากนั้นก็เดินทางมาที่วัดโพธิ์แตงเหนือ รั้ววัดอยู่ติดกันเดินมานิดเดียว การเดินทางมาที่วัดทุกครั้งจะต้องมีการถวายสังฆทานพอถวายเสร็จแล้วก็มีการแจกจตุคามรามเทพที่เพิ่งปลุกเสกเสร็จไม่นานแจกให้ฟรีคนละองค์ ที่วัดนี้มีเจดีย์องค์เล็กๆ สไตล์มอญและก็มีอนุเสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ผมถ่ายรูปแม่น้ำด้านหน้าอนุเสาวรีย์เก็บไว้เป็นที่ระลึก เป็นจุดที่ได้เห็นแม่น้ำเจ้าพระยาไกลที่สุดของการล่องเรือในวันนั้น หลังจากนั้นเรือก็ล่องตามน้ำมุ่งไปทางกรุงเทพ ไปถวายของตามวัดริมแมน้ำเจ้าพระยาอีก 6 วัด
อ้อลืมบอกไปพอถวายของที่วัดโพธิ์แตงเหนือเสร็จแล้วก็ถึงเวลากินข้าวเที่ยงบนชั้น 2 ของเรือ ต้องไปเอากับข้าวจากชั้น 1 ของเรือขึ้นไปกินข้างบน มื้อเที่ยงวันนั้นมี ส้มตำไทย , ลาว , ขนมจีน , ข้าวหมูทอด , ข้าวเหนียวหมูทอด ส่วนผมกินส้มตำไทย , ขนมจีน , ข้าวหมูทอดและก็ข้าวเหนียวหมูทอด ส่วนพระฉันเพลบนเรือชั้น 2 ก่อนถึงวัดโพธิ์แตงใต้ พอกินข้าวเที่ยงเสร็จแล้วสักพักนึงเรือก็มาถึงวัดสามัคคิยาราม ที่วัดนี้มีจุดเด่นที่เขาจะทำรูปปั้นพวกสัตว์สีสันสดใสขนาดใหญ่ไว้ มีพวกยีราฟ , เสืออะไรทำนองนี้ แล้วก็มีสนามเปตอง ผมถ่ายยีราฟเก็บไว้รูปหนึ่ง และก็ซื้อล็อตเตอร์รี่เก็บไว้ใบหนึ่ง มีเจดีย์สไตล์มอญอยู่ริมน้ำด้วย แล้วก็เดินข้ามไปวัดสุราษฎร์รังสรรค์ ( วัดดอน ) รั้ววัดมันติดกัน วัดนี้ไม่มีอะไรเด่น ๆ เลย มีเด่น ๆ ก็ลานปูนริมแม่น้ำเจ้าพระยาขนาดใหญ่ และก็ด้านข้างวัดเห็นถนนอยู่ไกล ๆ
เรือออกเดินทางมุ่งหน้าต่อไปยังวัดหงษ์ปทุมาวาส จุดเด่นของวัดนี้มีวังมัจฉาที่ยาวเหยียดเลยสามารถให้อาหารปลาริมน้ำได้ ผมถ่ายรูปวังมัจฉาเก็บไว้ด้วย แล้วก็มีก๋วยเตี๋ยวน้ำตกขายคนที่มากินต้องนั่งกินบนโต๊ะเตี้ย ๆ ไม่มีเก้าอี้ต้องนั้งกับพื้น ที่บริเวณวัดมีของกินขายเยอะแยะ ไอติมกะทิที่วัดนี้อร่อยดี มีเสี่ยงเซียมซีด้วย ถ้าใครชอบให้อาหารปลาน่าจะมาเที่ยวที่วัดนี้นะ แล้วก็อำลาวัดนี้เดินทางกันต่อไป
หลังจากเรือออกเดินทางจากวัดหงษ์ปทุมาวาสก็ล่องไปถวายของต่อที่วัดโพธิ์ทองบน ก่อนที่จะเดินทางไปถึงวัดใด ๆ ที่จะไปถวายของกัน พระจะให้ผู้โดยสารทำบุญกับทางวัดที่เราจะไปถวายของ โดยที่ทางวัดจะเตรียมซื้อของที่จะไปถวายเอาไว้ก่อนแล้ว จะมีเด็กนักเรียนเอาขันเก็บรวบรวมเงินทำบุญจากผู้โดยสาร ถ้าเงินทำบุญที่รวบรวมได้จากผู้โดยสารที่จะรวมทำบุญถวายของในแต่ละวัดน้อยกว่าเงินที่ทางวัดนาคปรกซื้อของเตรียมถวายในแต่ละวัด พระวัดนาคปรกก็จะกระตุ้นยอดทำบุญจากผู้โดยสารให้เพิ่มมากยิ่งขึ้นไม่อยากให้ขาดทุน ฮี่ ฮี่ และแล้วเรือก็เดินทางมาถึงวัดโพธิ์ทองบน ที่วัดนี้ด้านหน้าวัดจะมีพระพุทธรูปยืนองค์สีทองอยู่ริมน้ำ บรรยากาศในวัดนี้ดูเงียบสงบไม่ค่อยมีคน จุดเด่นของวัดนี้ก็คือเรือนไทยไม้สักยังสร้างไม่เสร็จ เป็นเรือนไทยปลูกรวมกลุ่มกันอยู่หลายหลังราคาหลายล้าน ยังไม่ได้ทาสีเลย อาคารที่อยู่ใกล้ ๆ ที่เขาขายขนมปังมีการเอาตะเกียงไปแขวนเยอะมากหลายสิบอัน ไฮไลท์ของวัดนี้อยู่ที่เจ้าอาวาส ตอนที่เดินทางมาถึงเจ้าอาวาสยังทำงานวุ่น ๆ อยู่เลย เจ้าอาวาสวัดนี้เวลาสวดสำเนียงฟังดูดี ตอนจะเดินทางไปถวายของที่วัดอื่นต่อเจ้าอาวาสยังมาส่งที่ทำน้ำ เกือบจะถ่ายรูปเก็บไว้แล้ว
เรือออกเดินทางมุ่งหน้าไปถวายของต่อที่วัดปรมัยยิกาวาส เป็นวัดสำคัญในการเดินทางมาไหว้พระ 9 วัดในครั้งนี้ ถ้าจำไม่ผิดก่อนจะถึงวัดนี้ทางด้านซ้ายมือจะเห็นคลองประปาไหลมาเชื่อมเข้ากับแม่น้ำเจ้าพระยา , และก็จะมีต้นไม้ไม่มีใบเป็นต้นสูง ๆ เกาะกลุ่มอยู่ประมาณ 10 กว่าต้นดูสวยดี ถ่ายรูปคลองประปากับกลุ่มต้นไม้นี้เก็บไว้ เรือแล่นมาจอดที่ท่าน้ำหน้าวัดปรมัยยิกาวาสแต่ไม่ได้จอดเทียบด้านคลองลัดเกร็ดแต่จะไปจอดเทียบด้านแม่น้ำเจ้าพระยา เรือจะส่งผู้โดยสารให้ลงที่วัดนี้แล้วเรือก็จะบ๊าย บ๊ายผู้โดยสารไปรอรับผู้โดยสารที่ท่าเรือวัดไผ่ล้อมตั้งอยู่บนเกาะเกร็ดเหมือนกันไม่ไกลจากวัดปรมัยยิกาวาส ก่อนที่จะเข้าตัววัดปรมัยยิกาวาสจะต้องผ่านทางเดินเล็ก ๆ ขายของกิน มีขายใบพืชอะไรไม่รู้เหมือนกันเอามาทอด ร้านขายของกินมีอยู่ไม่กี่ร้านเอง ตลาดวายแล้ว เข้ามาที่วัดไม่รอช้าเข้าไปถ่ายรูปเจดีย์สไตล์รามัญองค์ใหญ่อยู่ข้างโบสถ์ รูปทรงสวยดี เป็นเจดีย์องค์เดียวกับที่ลงในหนังสือ trip ฉบับจังหวัดติดกับ ก.ท.ม. วัดปรมัยยิกาวาสเป็นวัดมีสไตล์ค่อนข้างเนี๊ยบ เดาว่าคงมีคนมาทำบุญบูรณะกันเป็นจำนวนมาก ลวดลายหน้าต่างโบสถ์ข้างเจดีย์องค์ใหญ่ที่ถ่ายรูปเอาไว้วาดไว้อย่างหรูเนี๊ยบ ภายในวัดมีต้นไม้ต้นสูง ๆ เป็นพุ่มเล็ก ๆ ดูแปลก ๆ กะจะถ่ายรูปอยู่แล้วแต่ฟิลม์มันจะหมดแล้วเลยยังไม่ถ่าย เข้าไปถวายของข้าง ๆ พระนอนขนาดใหญ่ มองไปบนเพดานลวดลายก็ยังเนี๊ยบ แล้วก็มาถึงไฮไลท์อีกอย่างหนึ่งพระของวัดปรมัยยิกาวาสสวดเป็นภาษามอญ สำเนียงฟังแล้วเพราะดี อ้อลืมบอกไปมีวัดอยู่หลายแห่งริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ได้ไปเห็นจากการล่องเรือในวันนั้นมีเจดีย์สไตล์รามัญอยู่หลายแห่ง เป็นร่องรอยให้เห็นว่ามีการตั้งถิ่นฐานของคนมอญในสมัยก่อน พอพระสวดเสร็จก็ขอลองเสี่ยงเซียมซีดูสักหน่อย ผลเสี่ยงเซียมซีออกมาดี , ที่วัดโพธิ์แตงใต้ผลเสี่ยงเซียมซีก็ออกมาดี แต่ที่วัดหงษ์ปทุมาวาสผลเสี่ยงเซียมซีออกมาไม่ดี ฮี่ ฮี่
เดินทางไปถวายของที่วัดไผ่ล้อมซึ่งเป็นวัดที่ 9 ในวันนั้นกันต่อไป จากวัดปรมัยยิกาวาสถ้าจะไปวัดไผ่ล้อมจะต้องเดินไปตามทางเดินแคบ ๆ ไปไม่กี่ร้อยเอง ทางเดินแคบ ๆ นี้มันค่อนข้างแคบนะ รถยนต์ผ่านไม่ได้ผ่านได้แต่พวกจักรยานอะไรทำนองนี้ สองข้างทางเราจะเห็นร้านขายของของชาวบ้านอยู่เยอะแยะ แต่ไปถึงตอนนั้นมันเย็นมากแล้วตลาดวายแล้ว แต่ก็ยังพอมีให้เห็นอยู่หลายร้าน ของที่ขายก็หลากหลาย เช่น เครื่องปั้นดินเผา , ขนม ฯลฯ ขนมฝอยทองที่นี่ก็อร่อยนะ เดินตามทางมาเรื่อย ๆ ก็จะถึงด้านหน้าวัดไผ่ล้อม วัดนี้ก็จะค่อนข้างเนี๊ยบเหมือนกัน แต่มันจะดูเป็นคนละสไตล์กับวัดปรมัยยิกาวาส มีเจดีย์สไตล์รามัญองค์ใหญ่สีทองอยู่ด้านหน้าศาลาที่เราไปถวายของ บนศาลามีพระพุทธรูปที่เป็นพระประธานอยู่ในกรอบกระจก พระที่วัดนี้ก็สวดเป็นภาษามอญเหมือนกัน แต่รู้สึกว่าพระที่วัดปรมัยยิกาวาสจะสวดสำเนียงเพราะกว่านิดหน่อยนะ ตอนถวายของฝนทำท่าจะตกอากาศที่วัดไผ่ล้อมเย็นสบาย พอถวายเสร็จก็อำลาวัดที่ 9 ไปขึ้นเรือที่ท่าน้ำหน้าวัดไผ่ล้อม ถ่ายรูปที่ท่าน้ำเก็บไว้ด้วย เรือแล่นไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านปากคลองลัดเกร็ดยามค่ำคืน ( ถ่ายรูปปากคลองเก็บไว้ด้วยไม่แน่ใจว่าเดาตำแหน่งถูกหรือเปล่ามันมืดแต่คิดว่าน่าจะใช่ ) วิวตอนกลางคืนจะเห็นไม่ค่อยชัดเท่าไร บรรยากาศริมแม่น้ำดูเงียบสงบ อ้อลืมเล่าอีกอันนึงตอนขาไปล่องเรือผ่านบริษัทปทุมธานีบริเวอรี่ด้วย ผู้ผลิตเบียร์สิงห์ ตอนล่องเรือกลับยามค่ำคืนพระวัดนาคปรกจัดให้มีการจับสลากผู้โชคดีแจกรางวัลจตุคามรามเทพของทางวัดนาคปรกด้วย เรือมุ่งหน้าสู่กรุงเทพ มีบางคนขอลงที่ท่าเรือหน้าสถานึตำรวจ อ.เมือง จ.นนทบุรี เสาไฟฟ้าแถวท่าเรือนี้เขาทำเป็นรูปลูกทุเรียนห้อยเอาไว้ด้วย และแล้วเรือก็พามาส่งที่ท่าเรือฝั่งตรงข้ามสะพานพุทธตอนเวลาประมาณ 3 ทุ่มกว่า ๆ เป็นอ้นเสร็จสิ้นการล่องเรือไหว้พระ 9 วัด ไป จ.อยุธยา ราคา 399 บาท เอาไว้เจอกันใหม่โอกาสหน้ากับการเดินทางครั้งต่อไป หวัดดีครับ
วันนี้ 28/8/50
ข่าวประชาสัมพันธ์ วัดนาคปรก ก.ท.ม. จัดล่องเรือไหว้พระ 9 วัน จากท่าเรือสะพานพุทธ 6 โมงเช้า ล่องเรือไป จ.อยุธยา วันที่ 9 ก.ย. 50 ราคา 399 บาท รวมอาหารมื้อเช้า , มื้อกลางวัน สนใจ โทรติดต่อ 02-467-1501 จ๊าบ ๆ ท่าทางจะมันส์ดี
วันนี้ 22/8/50 ขอแนะนำเว็บกรมทางหลวงชนบท dor.go.th มีข้อมูลเส้นทางถนนในความดูแลของกรมทางหลวงชนบท ลองคลิกไปที่ แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวบนสายทางทช. มีวีดีโอเส้นทาง ชร. 4044 ให้ดูด้วย ริมแม่น้ำกก จ.เชียงราย จ๊าบดี
ต่อด้วยเว็บของกรมทางหลวง doh.go.th เว็บนี้ก็ใช้ประกอบข้อมูลคู่กับเว็บกรมทางหลวงชนบท
แถมข้อมูลท่องเที่ยวเขื่อนคีรีธาร อ.มะขาม จ.จ้นทบุรี เขื่อนนี้จ๊าบไม่เลว เที่ยวเขื่อนเสร็จแล้วออกไปลุยต่อจังหวัดสระแก้วก็สะดวก
เขื่อนคีรีธาร ตั้งอยู่ในเขตอำเภอมะขาม ห่างจากตัวเมืองจันทบุรีประมาณ 40 กิโลเมตร จากจันทบุรีเดินทางไปตามทางหลวงหมายเลข 317 ประมาณ 20 กิโลเมตร จะมีทางแยกขวาไปเขื่อนคีรีธารอีกประมาณ 14 กิโลเมตร สร้างโดยกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม เป็นเขื่อนกั้นน้ำเอนกประสงค์ ทั้งการผลิตกระแสไฟฟ้า การชลประทาน การประมง และการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยในฤดูฝน มีความจุสูงสุดที่ระดับความสูง 205 เมตร จากระดับน้ำทะเล เก็บกักน้ำได้ประมาณ 76 ล้านลูกบาศก์เมตร บริเวณอ่างเก็บน้ำมีธรรมชาติสวยงามเหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจ แต่บริเวณริมเขื่อนไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ ข้อมูลจาก //www.ezytrip.com รูปภาพจาก siamfishing.com


วันนี้ 15/8/50 ขอลงรายชื่อสถานที่ท่องเที่ยวในนิตยสาร trip ฉบับเที่ยวใกล้กรุงหน่อยนะ
เริ่มต้นด้วย จ.สมุทรปราการ
พิพิธภัณฑ์ ช้างเอราวัณ ช้างตัวใหญ่ มีทั้งหมด 3 ชั้น
ฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ จระเข้ 6000 กว่าตัว, แสดงช้าง , พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ , และก็สวนสัตว์
เมืองโบราณ แบ่งเป็นเป็น 6 โชน สถานที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ จ๊าบ ๆ
สถานตากอากาศ บางปู ช่วงหน้าหนาวจะมีนกนางนวลอพยพมาที่นี่
วัดบางพลีใหญ่กลาง มีพระนอนขนาดใหญ่ ข้างในแบ่งเป็นหลาย ๆ ชั้น
พระสมุทรเจดีย์ อยู่ตรงข้ามศาลากลางจังหวัด เป็นเจดีย์ขนาดใหญ่เกือบ 40 เมตร งามหลายเด้อ
พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ อยู่ตรงข้ามโรงเรียนนายเรือ มี 2 อาคาร มีทางเดินเชื่อมกันสองอาคาร
วัดกลางวรวิหาร หรือวัดตะโกทอง มีโบสถ์หน้าบันสีขาวลวดลายสวยงาม
วัดทรงธรรมวรวิหาร มีเจดีย์แบบรามัญองค์ใหญ่ , สวยดี
วัดพิชัยสงคราม วัดนี้มีเจดีย์ทรงระฆังฐานกลีบดอกบัว สวยสุดยอด
ป้อมพระจุลจอมเกล้า ป้อมขนาดใหญ่สวยงาม อันนี้ก็น่าไปเที่ยว

วันนี้เปิดประเดิมบล็อคใหม่ของผม ประเทศไทย แสนสบาย รวมมิตรจิปาถะ เริ่มกันเลยดีกว่า
หนังสือ 20 เส้นทางขับรถเที่ยว ออกวางขายแล้ว ราคา 180 บาท เป็นหนังสือรวมเส้นทางขับรถเที่ยวทั่วทุกภาคของเมืองไทย ( เที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวตามเส้นทาง ) ยกตัวอย่างเส้นทางเช่น จาก อ.อุ้มผาง จ. ตาก ทะลุไป จ. แม่ฮ่องสอน โดยไม่ต้องผ่าน จ.เชียงใหม่ หรือว่าจะเป็นเส้นทาง จาก จ. มุกตาหารเลาะแม่น้ำโขง ไป จ.นครพนม ทะลุไปออก จ. หนองคาย แล้วก็อีก 18 เส้นทาง ลองไปหาดูกันตามแผงเอาไว้เด้อ
แถมอีกหน่อย นิตยสาร off road ฉบับล่าสุด เส้นทางอ๊อฟโรด ในเขต อ.แม่สะเรียง มันเป็นเส้นทางป้วนเปี้ยนอยู่แถว ๆ ใกล้ ๆ กับแม่น้ำสาละวิน จ.แม่ฮ่องสอน เส้นทางน่าสนใจ หวัดดีครับ


หวัดดีครับ
พบกันอีกแล้ว สำหรับบล็อคนี้ บล็อคนี้จะเป็นรวมมิตร สบาย ๆ เริ่มกันเลยดีกว่า
น.ส.พ. ไทยรัฐจะปรับราคาเป็น 10 บาทในวันที่ 1 ก.ค. 50 เป็นต้นไป

ขอแนะนำเว็บ thaitambon.com เป็นเว็บเกี่ยวกับตำบลของไทยทั่วทุกภาค ยกตัวอย่างเช่น ตำบลตะนาวศรี ( ชื่อเทห์ดี ) อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี เป็นตำบลติดชายแดนพม่า ตัวจริงเสียงจริง ทิศตะวันตกติดกับเทือกเขาตะนาวศรี และประเทศพม่า มีการปลูกมะละกอแขกดำ อยู่แถว ๆ อ่างเก็บน้ำบ้านโป่งแห้ง สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ยกตัวอย่างเช่น
น้ำตกผาชลแดน
น้ำตกผาชลแดน ตั้งอยู่ที่บ้านห้วยม่วง หมู่ที่ 3 ต.ตะนาวศรี เป็นแหล่งท่องเที่ยวสวยงามอีกที่หนึ่ง และยังคงสภาพธรรมชาติอยู่มาก อยู่ห่างจากหมู่บ้านไปประมาณ 5 กม. แต่ละชั้นสวยงามไม่เหมือนกัน เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบเดินป่าชมธรรมชาติ เพราะมีหลายชั้น
เว็บนี้ก็ดีเหมือนกันข้อมูลละเอียดดี ลองคลิกเข้าไปที่ จ.แม่ฮ่องสอน เห็นมีชื่อ กิ่งอำเภอห้วยโป่ง สงสัยจะเป็นกิ่งอำเภอน้องใหม่ จ. แม่ฮ่องสอน แล้วมันตั้งอยู่ด้านไหนของจังหวัดกันเนี่ย ? ข้อมูลในเว็บยังไม่มีเลย สงสัยจะเป็นกิ่งอำเภอน้องใหม่เอ๊าะ ๆ ของแม่ฮ่องสอน
แถมอีกหน่อย ยอดเขาน่าสนใจในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ยอดเขางะงันนิยวกตองระดับความสูง 1515 เมตร ภาพประกอบยอดเขางะงันนิยวกตอง 1515 เมตร ข้อมูลและภาพจาก trekkingthai.com

ไกลออกไปในหุบเขาสุดลูกหูลูกตา แนวทิวเขายาวเหยียดมองเห็นเส้นสีครามจากทิศเหนือจดใต้ มีเทือกเขาสูงเป็นดั่งสันปันน้ำกั้นเขตแดนระหว่างไทยกับสหภาพพม่า มียอดเขางะงันนิยวกตอง สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 1,513 เมตร เป็นจุดสูงสุด

การจะไปให้ถึงยอดเขางะงันนิยวกตองนั้น ต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 วันและจัดเป็นเส้นทางที่ยากลำบากและเสี่ยงอันตรายอยู่ไม่น้อยทีเดียว จึงมีผู้ไปถึงไม่กี่คณะในรอบหลายๆปี
ท่าทางมันส์ดียอดเขานี้ , ได้เห็นรูปแบบจะจะสักหน่อยก็คงจะดีนะ เอาไว้เจอกันใหม่โอกาสหน้าครับ



หวัดดี
พบกันอีกแล้วกับบล๊อคนี้ ข่าวแจ้งหนังสือ ชัยนาท-อุทัยธานี ออกวางขายแล้ว ( นายรอบรู้ ) เล่มละ 100 กว่าบาท ตัวอย่างสถานที่ท่องเที่ยวจากหนังสือ เขาปลาร้า อ.ลานสัก มีภาพเขียนโบราณอยู่ที่นี่ อ่านรายละเอียด เขาปลาร้าได้ตามลิงค์ แล้วก็ยังมีน้ำตกไซเบอร์ อุทัยธานี( ชื่อแปลก ) ในเล่มอีก
ไอทีวี ชั่วโมงโลกตะลึง วันอาทิตย์ที่ 8/7/50 22.10 น. พายุทอร์นาโด เอาไว้เจอกันใหม่โอกาสหน้าเด้อ


//www.era.su.ac.th/Rockpainting/central/Khao-plara/index.html



Create Date : 23 มิถุนายน 2550
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2551 15:19:13 น.
Counter : 3090 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

kangchenjunga
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]