4.2 จาคะ (ตอนที่2)
5 วรรณมัจฉริยะ ตระหนี่วรรณะ ในสมัยพุทธกาลที่ทรงแสดงธรรมเรื่องนี้มีวรรณะ ถือวรรณะกัน กษัตริย์ พราหมณ์ ไวศยะ ศูทร นี่ก็ตระหนี่วรรณะกัน เหยียดหยามวรรณะของผู้อื่น พระพุทธเจ้าท่านสละวรรณะหมดเลย วรรณะไม่มี มีกันที่ศีลธรรม มีมาตรฐานกันที่คุณงามความดี ใครมีคุณงามความดีมากคนนั้นเป็นคนดีมาก ไม่ใช่ดีเพราะชาติตระกูล หรือวรรณะ อันนี้เป็นการปฏิวัติของพระพุทธเจ้าอย่างได้ผลมาจนถึงปัจจุบันนี้ เราได้รับพุทธศาสนามาก็ทำให้เราตระหนักและก็ซึ้งถึงเรื่องพวกนี้ว่า แม้ท่านจะเป็นกษัตริย์แต่ท่านก็ไม่ได้ถือวรรณะ ลงมาอยู่กับคนทุกชั้น วรรณะแปลว่า สรรเสริญ บางคนก็ตระหนี่คำสรรเสริญ คือว่าไม่อยากให้ใครสรรเสริญผู้อื่น อยากแต่จะให้สรรเสริญตน และก็มีความริษยาเข้ามาด้วย ถ้ามีการสรรเสริญผู้อื่น ความริษยาเข้ามา อันนี้ก็จัดเข้าได้ในความตระหนี่วรรณะ เพื่อนคนไหนชมเพื่อนคนไหนก็ขัดคอ เริ่มเล่าเรื่องไม่ดีของเพื่อนคนนั้นทันที เป็นการกระทำที่ห่วยแตกของ เพื่อนที่มีต่อเพื่อน บางครั้งการกระทำแบบนี้ทำโดยอัตโนมัติโดยไม่รู้สึกตัว ลองคิดย้อนกลับว่าตัวเองเป็นแบบนี้หรือเปล่าทำโดยไม่รู้ตัว โดยกิเลสเข้าครอบงำโดยอัตโนมัติหรือเปล่า ไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองทำอะไรเลวๆแบบอัตโนมัติ ถ้าไม่มีใครกระตุกใจให้คิดย้อนหลังเหมือนกดรีโมทถอยหลังชีวิตให้ดู เรื่องจาคะ คือมันต้องละความตระหนี่ไปด้วย เมื่อมีจาคะต้องทำการเสียสละไปด้วย ทำไปพร้อมๆ กัน มันเป็นเหตุเป็นผลของกันและกัน จาคะและเสียสละ เสียสละมันก็ละความตระหนี่ไปในตัว เมื่อละความตระหนี่มันก็ต้องจาคะไปในตัว มันทำไปพร้อมๆ กัน ทีนี้ขอพูดเรือง จาคะ ความเสียสละ แบบมีสติ คือว่าเสียสละเท่าที่เห็นด้วยปัญญาว่าควรเสียสละ ตั้งแต่สละทรัพย์สิน ความสุขที่มีตามควร แต่ต้องไม่ขัดต่อเหตุผลที่เป็นจริง ไม่ขัดขัดต่อหลักเหตุผลและความผาสุกอันชอบธรรม เป็นการสละกิเลสต้องไม่เป็นเหตุของความยุ่งยากทั้งปวงที่จะเกิดตามมาภายหลัง การเสียสละนี่เป็นกิจกรรมสำคัญอย่างหนึ่งในสังคมมนุษย์ แต่ต้องไม่ใช่ทำแบบโง่ๆ ผมขอยกตัวอย่างการสละอย่างโง่ๆที่โลกไม่ยินดีเลยเช่น เงินในบ้านมีเหลือสำหรับให้ลูกเมียจนสิ้นเดือน แต่เจือกจะเอาหน้าให้เพื่อนยืม แบบนี้เรียกว่าจาคะแบบโง่ๆ รถในบ้านมีคันเดียวต้องส่งลูกเมียไปทำงานเรียนหนังสือเจือกให้ญาติยืม ทั้งที่ญาติก็หน้าด้านมายืมโดยไม่เกรงใจลูกเมียเขา แบบนี้ไม่นับครับ เอาสิ่งที่เป็นของลูกเมียมาให้เพื่อน แบบนี้ไม่ใช่จาคะเพราะมันไม่ใช่ของตัวเองมันเป็นของลูกเมีย มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่ทำแบบนี้ การกู้หนี้ยืมสินมาทำบุญแบบนี้ไม่ใช่จาคะ การผ่อนบุญไม่ใช่จาคะ พุทธภาษิตที่ว่า ททํ มิตฺตานิ คนฺถติ ผู้ให้ย่อมจะผูกมิตรไว้ได้ ช่วยขจัดสนิมในใจคือความตระหนี่ ความเห็นแก่ตัวมัจฉริยะ ซึ่งจาคะต้องเริ่มจากครอบครัว โดยสามีต้องสละความสุขส่วนหนึ่งของตัวเองให้ภรรยา พ่อแม่ต้องสละความสุขส่วนหนึ่งให้ลูก ครอบครัวต้องสละส่วนเกินให้ญาติพี่น้อง กลุ่มคนต้องสละส่วนเกินให้สังคม ฆราวาสธรรม เริ่มต้นในครอบครัวก่อน แล้วก็แผ่ขยายไปในวงศาคณาญาติ ตลอดถึงเพื่อนร่วมสังคมเดียวกัน จังหวัดเดียวกัน ประเทศเดียวกัน แล้วก็โลกเดียวกัน ความตระหนี่นี่เป็นมลทินอย่างหนึ่งในมลทิน 9 ความเห็นแก่ตัว ซึ่งก็เป็นต้นตอของการเอารัดเอาเปรียบกันในสังคม สังคมมนุษย์เราจะไม่วิกฤติอย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ ถ้าแต่ละคนสละความเห็นแก่ตัวให้มากที่สุด คือนึกถึงตัวเองให้น้อยลง และนึกถึงคนอื่นให้มากขึ้น เราควรตั้งคำถามให้แก่ตัวเองอยู่เสมอว่า เราได้ให้อะไรแก่สังคมที่เราอาศัยอยู่บ้าง ไม่เอาเปรียบสังคม ในสาราณียธรรมสูตร พระพุทธเจ้าทรงแสดงการเสียสละว่าเป็นธรรมข้อหนึ่ง ที่เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน เรียกว่า สาราณียา แปลว่าทำให้ระลึกถึงกัน ใครเขาให้อะไรเรา และถ้าเมื่อเห็นสิ่งนั้น ก็มักจะระลึกถึงผู้ให้เมื่อเห็นสิ่งนั้น อย่างผมเห็นหนังสือรวมงานศิลปะดีๆของยุโรปหลายเล่ม ที่ผมเก็บไว้ข้างเตียงนอนก็นึกถึงคนให้หนังสือเหล่านั้น เห็นของใช้จุกจิกในรถก็นึกถึงว่าคนโน้นให้อะไรวางในรถ ดังนั้นการผูกใจกันที่เป็นจาคะในข้อธรรมสังคหวัตถุ คือธรรมที่เป็นเครื่องสงเคราะห์กัน ผูกน้ำใจกัน พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงการเสียสละไว้ 4 ประการดังนี้ 1. ทาน ผมคงไม่อธิบายเพิ่มเพราะได้พูดมามากแล้ว 2. ปิยวาจา คือการพูดจาที่น่ารัก พ่อพูดดีกับลูก สามีพูดดีกับภริยา เป็นการผูกบ้านให้อยู่กันอย่างมีความสุข เมื่อไรที่พูดจาหยาบช้าใส่กันบ้านก็แตกสลาย อยู่ด้วยกันแบบทนอยู่ 3. อัตถจริยา การบำเพ็ญประโยชน์ต่อผู้อื่น ยิ่งให้ยิ่งได้รับยิ่งสละตัวเองยิ่งได้รับการยอมรับจากสังคม บ้างคนบอกว่าผมบ้าในบางเรื่องทำในสิ่งที่ไร้ประโยชน์ แต่ผมก็ตอบสั้นๆว่าผมได้มากกว่าที่ผมให้ 4. สมานัตตตา ความวางตนเหมาะสมแก่ฐานะแก่ภาวะของตน เรื่องนี้มันมีหลายอย่างเช่นฐานะทางการเงิน ฐานะทางสังคม ฐานะทางศิลธรรม เมื่อวางตนให้เหมาะกับเป็นพ่อ เป็นสามี เป็นเพื่อน เป็นพี่ ย่อมเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขของครอบครัว ผมอยากเขียนให้มากกว่านี้ แต่รู้สึกว่าผมเขียนเรื่อง จาคะ มามากกว่าทุกวัน ไม่รู้ว่าของขึ้นอะไรกับเรื่อง จาคะ นี่ขนาดผมเขียนแล้วลบไปเกือบครึ่งยังยาวขนาดนี้ คงต้องถึงเวลาจบแล้วครับ ตอนนี้เชื่อผมแล้วหรือยังว่าเรี่องฆราวาสธรรมมีเพียงสี่ข้อ แต่ระเบิดได้ลุ่มลึกขนาดเรียนกันได้เป็นพรรษา และถ้าปฎิบัติได้ตามนี้แล้วได้ธรรมขั้นสูงไปเรื่อยๆ ก็เป็นรองเพียงพระอรหันต์เท่านั้น ดังนั้นไม่ต้องไปนั่งหลับตาที่วัด ปฎิบัติต่อลูกเมียให้ถูกต้องปฎิบัติต่อเพื่อนฝูงให้ถูกต้องก็ถือว่าปฎิบัติธรรมแล้ว
Create Date : 09 กรกฎาคม 2556 |
Last Update : 9 กรกฎาคม 2556 21:23:30 น. |
|
0 comments
|
Counter : 528 Pageviews. |
|
|