ข้อที่ 1. สัจจะ
สัจจะ ความจริง, ซื่อตรง ซื่อสัตย์ จริงใจ พูดจริง ทำจริง สัจจะหมายถึงความจริง จริงทางกาย จริงทางวาจา ที่ไม่เป็นโทษ ดำรงมั่นอยู่ในความจริงที่รู้จักด้วยปัญญา สัจจะ มี 2 อย่าง 1. สัจจานุรักษ์ คือการรักษาสัจจะ อะไรที่เป็นสัจจะก็รักษาสิ่งนั้นเอาไว้ ในการดำรงค์ชีวิตปัจจุบันการรักษาสัจจะเป็นเรื่องสำคัญ การที่พูดสิ่งใดเอาไว้ก็ให้ทำได้ดังที่พูดเอาไว้จะช้าจะเร็วก็ต้องทำอย่างที่ได้พูดเอาไว้ มีคำพูดที่ว่า เราเป็นนายของคำพูดแต่พอพูดแล้วคำพูดเป็นนายเรา สำหรับการครองเรือนแล้วสิ่งที่ให้สัญญากับครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญเช่น บอกว่าจะทำหรือไม่ทำสิ่งใดต้องทำให้ได้ตามนั้น เพราะการเป็นหัวหน้าครอบครัวต้องไม่ทำตัวเป็นไม้หลักปักขี้เลน วันนี้พูดอย่างพรุ่งนี้ทำอีกอย่าง ลูกเมียจะเห็นเราเป็นอะไร ต่อไปคำพูดของเราแม้แต่ลูกเมียก็ไม่เชื่อถือ สำหรับเพื่อนๆยิ่งกว่าลูกเมียเสียอีก เพื่อนจะหายหน้าไม่คบหาด้วย คำพูดสำคัญอย่างมาก พูดแล้วต้องทำให้ได้ไม่ใช่รับปากลอยๆแล้วทำอีกอย่าง บางครั้งในทางกลับกันคือรักษาสัจจะในทางเป็นโทษ คือยังคงทำอะไรโง่ๆไม่เคยเปลี่ยน แบบนี้ไม่ถือว่าเป็นสัจจานุรักษ์เพราะเป็นการรักษาสิ่งที่โง่ๆให้กับชีวิต ผมมีเพื่อนและลูกน้องหลายคนที่ยังส่งเงินให้กับเมียที่เลิกลากันไปแล้ว แม้เธอจะไปมีสามีใหม่เงียบๆแต่ก็ยังส่งเงินให้อยู่ เพราะต้องการรักษาสัจจะว่าจะเลี้ยงดูตลอดชีวิต การรักษาคำพูดด้วยการยังคงส่งเงินที่ส่งให้เมียไปซื้อไข่ลวกกับซุปไก่ ให้ผัวใหม่กินไม่ถือว่าเป็นสัจจานุรักษ์ เขาเรียกว่าโง่ครับ มันเป็น สัจจาภินิเวส การรับปากกับเพื่อนว่าจะช่วยเหลือยามทุกข์ยาก แต่เพื่อนเอาเราไปด่าลับหลังตลอดเวลา แล้วเวลาเขาเดือดร้อนบากหน้ามาขอความช่วยเหลือ เราก็ยังต้องช่วยเขาเพราะเราออกปากไว้แล้ว แบบนี้เรียกว่าสัจจาภินิเวส คือไปยึดถือสัจจะด้วยอุปาทานและงมงาย มันด่าเราลับหลังแต่พอเดือดร้อนก็หน้าไม่อายยังซมซานมาพึ่งพาเราอีก ถ้ายังคงไปช่วยอีกเพราะเกรงว่าจะเสียคำพูด แบบนี้เรียกว่าโง่ไม่ใช่การรักษาสัจจะครับ 2. สัจจาภินิเวส คือรักษาสัจจะด้วยอุปาทาน ยึดถือด้วยอุปาทานรักษาสัจจะอย่างงมงาย เคยถือกันมาอย่างไร ก็ถือกันไปอย่างนั้น โดยไม่คำนึงถึงเหตุการณ์ เหตุผลความเป็นจริงที่เป็นปัจจุบัน นั่นเรียกว่า สัจจาภินิเวส สัจจะแบบนั้นมันไม่ได้ทดสอบไม่ได้พิสูจน์ความจริง อย่างเช่นย้ำคิดย้ำทำตลอดเวลาว่าเมียของตัวเองเป็นของตาย จะบีบก็ตายจะคลายก็รอดเพราะอายุมากแล้วมีลูกมีเต้าแล้ว ไปไหนไม่รอดจะทำอย่างไรโหดร้ายต่อจิตใจลูกเมียอย่างไรก็ได้มันเป็นสัจจาภินิเวส คือความจริงที่เป็นอุปทานเป็นความจริงที่ไม่จริง สักวันลูกเมียทนไม่ได้ก็ต้องหนีไป การที่ต้องมีชีวิตในวัยชราต้องแก่คนเดียวเน่าอยู่กับบ้าน นั่งมองเห็นครอบครัวเพื่อนมีความสุขครบหน้าลูกเมียยามชรา แล้วจะรู้สึกว่าสิ่งที่เราคิดและทำในวัยหนุ่มมันไม่เป็นสัจจะ มันเป็นสัจจาภินิเวส คือไปยึดถือความคิดในสิ่งที่ไม่จริง ลูกเมียไม่ใช่ของตาย ผัวเลวพ่อเลวไม่มีใครอยากอยู่ด้วยหรอกครับ อันนี้เป็นสัจจะ แต่ความคิดลูกเมียเป็นของตายคือสัจจาภินิเวส คือไปยึดมั่นในสิ่งไม่จริง การทำตัวเคร่งครัดต่อสิ่งที่ไร้เหตุผลมารองรับ ถือเป็น สัจจาภินิเวส คือทำและยึดถือสิ่งที่ไม่จริง เช่นคิดว่าเมียไม่ซื่อต่อตัวเองโดยไม่ฉุกคิดว่าตัวเองมีดีอะไรมากมาย การที่ผู้หญิงคนหนึ่งมาอยู่กับเราด้วยถือว่าผู้หญิงคนนั้นเห็นว่าเราดีที่สุดสำหรับเขาแล้ว แต่เรายังไปคิดว่าเขาไม่ซื่ออีกไปหวาดระแวงกับภริยาจนเกินเหตุจนบ้านแตก แบบนี้ถือว่าเป็นสัจจาภินิเวส คือยึดถือและคงความคิดที่ไม่เป็นสัจจะ คงคิดและคงทำในสิ่งที่ไม่เป็นจริง แต่ถ้ามีหลักฐานว่าสิ่งที่ตัวเองคิดไว้เป็นจริง แล้วยังคงไม่จัดการสิ่งใดเลยให้ปัญหาหมดไป ก็ถือว่าเป็นสัจจาภินิเวสเหมือนกัน เช่นคิดว่าลูกเมียไปคบเพื่อนชั่วและพบว่าสิ่งที่เราคิดเป็นจริง แต่ไม่จัดการอะไรเลยเพราะคิดว่าครอบครัวของเพื่อนเป็นคนดีคงไม่มีปัญหา หรือคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ยังคงทำเหมือนที่ทำ คือปล่อยให้ทำไปถือว่าเป็นสัจจาภินิเวส คือทำในสิ่งที่คุ้นเคยเชื่อในสิ่งที่คุ้นเคยว่าครอบครัวนั้นดี โดยไม่มีความจริงมารองรับในความคิดนั้นๆ รับปากกับลูกว่าจะซื้อรถให้ใช้ไปเรียนหนังสือ เพราะลูกต้องเรียนหนังสือกลับบ้านค่ำๆทุกวัน แบบนี้เรียกว่าสัจจะที่ต้องรักษา แต่ถ้าพบภายหลังว่าไอ้ที่กลับค่ำๆทุกวันนี่มันไปสุมหัวกับเพื่อน แบบนี้ถ้ายังซื้อรถให้อีกเรียกว่าสัจจาภินิเวส คือไปยึดถือสัจจะที่ไม่เป็นจริงอย่างที่คิดว่าจะทำรองรับ สัจจาภินิเวส นั้นต้องได้เห็นเหตุผล เป็นความจริงที่มีเหตุผลทดสอบได้ การที่จะรักษาสัจจะ ต้องเป็นสัจจะตามพระวังคีสะ พุทธสาวกรูปหนึ่งของพระพุทธเจ้าที่ได้กล่าวไว้ต่อหน้าพระพักตร์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า สจฺเจ อตฺเถ จ ธมฺเม จ อหุ สนฺโต ปติฏฺฐิตา สัตบุรุษทั้งหลายดำรงมั่นอยู่ในสัจจะที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรม อตฺเถ จ ธมฺเม จ อหุ สนฺโต ปติฏฺฐิตา เป็นประโยชน์ธรรมะ นั่นคือเป็นธรรม ดำรงอยู่ในสัจจะที่เป็นประโยชน์ และเป็นธรรมคือยุติธรรม การยึดถือสัจจะว่าจะต้องทำหรือไม่ทำโดยไม่มีเหตุที่ดีมารองรับ ถือว่าเป็นสัจจาภินิเวสทั้งสิ้น การบอกว่าจะทำหรือไม่ทำในสิ่งที่มีเหตุผลว่ามันไม่ดีอีกต่อไปแล้ว ไม่ถือว่าเสียสัจจะครับ พุทธศาสนาเป็นเรื่องของเหตุและผล ไม่ตายตัว เป็นกฎของธรรมชาติ การพิจรณาอย่างถ่องแท้ในเหตุของ สัจจะและสัจจาภินิเวส จะทำให้ครับครัวเป็นสุขครับ
Create Date : 09 กรกฎาคม 2556 |
Last Update : 9 กรกฎาคม 2556 21:15:58 น. |
|
0 comments
|
Counter : 363 Pageviews. |
|
|