Group Blog
 
All blogs
 
ท่องสวรรค์ชั้นที่ ๖ ปรนิมมิตวสวัตตี

วันนี้ขออนุญาตนำท่องสวรรค์ชั้นที่ ๖ ปรนิมมิตวสวัตตีเป็นเทวโลกชั้นสูงสุด ด้วยสุขสมบัติมากกว่าทุกสวรรค์ชั้นฟ้า เพราะเมื่ออยากได้อะไรก็จะมีเทพบริวารคอยเนรมิตให้ โดยไม่ต้องเสียเวลาไปเนรมิตเอาเอง คือมีบริวารที่รู้ใจคอยจัดการให้ทุกเรื่อง นำเสนอเป็นตอนสุดท้ายของซีรี่ย์เรื่องสวรรค์ครับ

สวรรค์ชั้นที่ ๖ ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดแห่งแดนสุขาวดี มีนามปรากฏว่า ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ ที่ได้ชื่อว่าปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ ก็เพราะว่าสวรรค์ชั้นนี้เป็นที่อยู่ของเทพเจัาพวกหนึ่ง ซึ่งเสวยกามคุณอารมณ์ที่เทวดาอื่นรู้ความต้องการของตนแล้วเนรมิตให้ เป็นที่อยู่อันประเสริฐด้วยสุขสมบัติยิ่งกว่าสวรรค์ชั้นฟ้าทั้งหมด โดยมีสมเด็จพระปรนิมมิตเทวาธิราช ทรงเป็นอธิบดี ฉะนั้น สรวงสวรรค์ชั้นนี้จึงได้ ชื่อว่า ปรนิมมิตวสวัดตีภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่ของเหล่าเทวดาที่มีสมเด็จพระปรนิมมิตเทวาธิราชทรงเป็นอธิบดี

ปรนิมมิตวสวัตตีสวรรค์นี้ นอกจากจะมีทิพยสมบัติ เช่น ปราสาททองเป็นต้น สวยงามประณีตาวิจิตรบรรจงกว่าสวรรค์ชั้นอื่นแล้ว การเป็นอยู่ของผู้ที่อุบัติเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ ก็ยังแบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ

๑. ฝ่ายเทพยดา มีเทวาธิราซผู้ ยิ่งใหญ่ทรงพระนามว่า สมเด็จพระปรนิมมิตเทวราช ทรงเป็นพญาเจ้าปกครองเหล่าเทพยดาทั้งหลาย
๒. ฝ่ายมาร มีมาราธิราชผู้ยิ่งใหญ่ ทรงพระนามว่า ท่านท้าวปรนิมมิตวสวัตตีมาราธิราช เป็นพญาเจ้าฟ้าปกครองหมู่มารทั้งหลาย

จึงเป็นอันว่า สวรรค์เมืองฟ้าปารนิมมิตวสวัตตีมีการปกครองแบ่งเป็น ๒ ภาค คือ ภาคเทพยดาพวก ๑ ภาคหมู่มารพวก ๑ มีเขตแดนกั้นระหว่างทั้งเทพยดาและมาร ต่างฝ่ายต่างก็เสวยสุข ณ ทิพยสถานวิมานแห่งตนด้วยความสุขอันประณีตยิ่งล้นกว่าสวรรค์ชั้นฟ้าอื่นๆ เพราะเป็นสวรรค์ชั้นสูงสุดในมงคลจักรวาล
วสวัตตีมาราธิราช

พญาวสวัตตีมาราธิราช ซึ่งบัดนี้เป็นประธานาธิบดียิ่งใหญ่ในภาคหมู่มารแห่งปรนิมมิตวสวัตดีสวรรค์นี้ เป็นพระโพธิสัตว์ได้ทรงก่อสร้างพระบารมี เช่นทานศีล เป็นอาทิ มามากต่อมาก แต่กองพระบารมีกองหนึ่ง ซึ่งปรากฏยอดเยี่ยมกว่าพระบารมีทั้งหลายเรียกว่าปรมัตถบารมีควรที่จะยังพุทธสมบัติให้ สำเร็จก็คือพระบารมีที่สร้างแต่ครั้งอดีตกาลนับเป็นอสงไขย

สมัยที่สมเด็จพระพุทธกัสสปะทศพลญาณเจ้าบรมโลกุตมาจารย์ ทรงอุบัติขึ้นในโลก พญามาราธิราชผู้นี เกิดเป็นมนุษย์มีนามว่า โพธิอำมาตย์ ดำรงตำแหน่งอรรคมหาเสนาบดีของพระเจ้ากิงกิสสะมหาราช เป็นที่โปรดปรานไว้วางพระราชหฤทัยนักหนา กาลวันหนึ่ง พระเจ้ากิงกิสละมหาราช ผู้มีพระทัยเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาลนา ได้ทรงทราบว่า สมเด็จพระกัสสปะสัพพัญญูเจ้า ทรงเข้านิโรธสมาบัติเสวยวิมุตติสุขอยู่คำรบ ๗ วัน ณ ภายใต้ต้นไทรใหญ่และใกล้ จะออกจากนิโรธอยู่แล้ว จึงทรงพระราชดำริว่า "พระมหากรุณาธิคุณเจ้าเสด็จออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ๆ ถ้าผู้ใดได้ถวายทาน จักบังเกิดผลานิสงล์ผลบุญูมหาศาลล้ำเลิศ บัดนี้เราจักถวายทานแด่พระองค์' แล้วจึงทรงให้มีพระราชกฤษฎีกาประกาศแก่ชาวเมืองทั้งปวงว่า"ถ้าบุคคลผู้ได้ ลอบไปถวายทานแด่สมเด็จพระพุทธเจ้าก่อนเราแล้ว เราจักให้ลงอาญาแก่ผู้นั้น" แล้วตรัสสั่งให้ตั้งกองรักษาการณ์ที่ใกล้ต้นไทรใหญ่ บริเวณพระวิหารไว้อย่างกวดขัน หากผู้ใดล่วงละเมิดพระราชกฤษฎีกาแล้ว ก็ให้จับตัวไปประหารชีวิตเสีย

ท่านโพธิอำมาตย์ แม้ได้ทราบพระราชกฤษฎีกา ก็ยังมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า ที่จะถวายทานแด่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า มิได้อาลัยในซีวิต พอรุ่งเช้าจึงถือเครื่องไทยทานของตนกับภรรยา รวมเป็น ๒ ห่อ ตรงไปยังวิหาร พวกรักษาการณ์เห็นเช่นนั้น จึงถามด้วยความคารวะว่า "ข้าแต่ท่านเสนาบดี! เหตุใดท่านจึงฝ่าฝืนพระราชกฤษฎีกาที่ทรงห้ามไว้" ท่านอำมาตย์ใหญ่ชั้นเสนาบดีได้ ฟังแล้วดำริว่ถ้าเราจะบอกแก่เจ้าพวกนี้ ด้วยถ้อยคำเป็นเท็จว่า พระเจ้าแผ่นดินรับสั่งใช้ให้อาราธนาพระพุทธเจ้าเข้าไปในวังก็จะได้อยู่ แต่ทว่าหาควรที่เราจะกล่าวคำมุสาวาทไม่ เมื่อเราตั้งใจจะถวายทานแด่องค์พระโลกนาถเจ้า แต่กล่าวคำมุสาวาทแล้วทานของเราก็จักมีผลไม่ยิ่งใหญ่ ควรที่เราจะบอกตามความเป็นจริงแม้จักตายก็ตามทีเถิด เราหาอาลัยชีวิตไม่" แล้วจึงบอกไปว่า "เราจะเข้าไปถวายทานแด่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้า" พวกทหารจึงจับท่านเสนาบดีมัดมือไพล่หลัง นำไปถวายพระราชาเพื่อให้ทรงพิจารณาโทษ พระราชาทรงพระพิโรธเป็นอันมาก รับสั่งให้นำตัวไปตัดศีรษะประหารชีวิตเสียทันที

สมเด็จพระชินสีห์สัพพัญญูกัสสปะพุทธเจ้า ทรงมีพระมหากรุณาแก่โพธิเสนาบดี จึงเนรมิตพระพุทธนิมิตให้สถิตอยู่แทนพระองค์ในพระวิหารใหญ่ ส่วนพระองค์เสด็จปาฏิหารย์ไปประดิษฐาน ณ สถานที่ประหารท่านเสนาบดี ไม่มีผู้ใดเห็น จะเห็นได้แต่เฉพาะเสนาบดีผู้เดียวแล้วมีพระพุทธฎีกาว่า ''ดูกรโพธิเสนาบดี ท่านจงมีศรัทธา อย่าได้อาลัยในชีวิต อันเครื่องไทยทานของท่านมีประการใด ท่านจงกระทำจิตให้เสื่อมใสในตถาคตเถิด " โพธิเสนาบดีได้สดับพระพุทธฎีกาแล้ว ก็บังเกิดความเลื่อมใสสุดหัวใจจึงนำห่อภัตตาหารของตนกับภรรยา อัญชลีน้อมเกล้าฯเข้าถวายแต่องค์พระกัสสปะสัพพัญญเจ้า โดยคารวะเลื่อมใสอย่างสุดซึ้ง แล้วจึงตั้งปณิธานว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้ซึ่งเป็นที่พึ่งแก่สรรพสัตว์ทั้งปวง ชีวิตของข้าพระบาทก็ได้สละแล้วในครั้งนี้ ด้วยเดชะผลทานนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพระบาท ได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าเช่นเดียวกับพระองค์ในอนาคตกาลโน้นด้วยเถิด

สมเด็จพระกัสสปะพทธเจ้า ทรงมีพระมหากรุณายกพระหัตถ์ขึ้นลูบศีรษะท่านเสนาบดี แลัวยังทรงพยากรณ์ว่า "ท่านปรารถนาสิ่งใด ความปรารถนาของท่านจงพลันสำเร็จเถิด ดูกรท่านเสนาบดี ท่านจงตั้งมั่นไว้ในใจด้วยดีเถิดในอนาคตเบื้องหน้าโน้น ท่านจักได้อุบัติเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณพระองค์หนึ่ง เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารช้านานนักหนา มาในชาตินี้บังเกิดเป็นเจ้าแห่งหมู่มาร ในชั้นปรนิมมิตวสวัตตีด้วยอำนาจบุญนำกรรมแต่ง เพราะยังอยู่ในห้วงแห่งกิเลสเหตุยังเป็นปุถุชน จึงเกิดความเห็นสับสนวิปริต มีจิตคิดแข่งดีใคร่ ทดลองพระบารมีสมเด็จพระศรีศากมุนีสมณโคดมของเรา เฝ้าตามประจญ ด้วยประการต่างๆ แต่มิได้ ล่วงเกินทำบาปหนักประการใด สุดท้ายภายหลังมีความเศร้าเสียใจอย่างหนักถึงกับออกปากเอ่ยความปรารถนาพุทธภูมิซ้ำอีกครั้งหนึ่ง

ทุกวันนี้ พญาวสวัตตีมาราธิราช ก็มีจิตอ่อนน้อมยินดีเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ในกาลอนาคตเบื้องหน้าอีกนานแสนนาน พญามารซึ่งสถิตเป็นสุขอยู่ ณ สรวงสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตีขณะนี้ จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระพุทธธรรมสามี เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียวในกัปนั้น (กัปที่เรากำลังอยู่นี้มีพระพุทธเจ้ามากที่สุดถึง ๕ พระองค์) มีไม้รังเป็นมหาโพธิ์สถานที่ตรัสรู้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น จักเป็นพระบรมศาสดาสั่งสอนให้เวไนยนิกรบรรลุอมตธรรมเป็นอันมาก ซึ่งในปัจจุบันนี้ เป็นเจ้าแห่งหมู่มารสถิตอยู่ ณ โลกสวรรค์ชั้นปรนิมมิตสวัตตีภูมิ

อายุ ทวยเทพที่ลถิตเสวยทิพยสมบัติ ณ สรวงสวรรค์ปรนิมมิตวสวัตตีภูมินี้ มีอายุยืนนานได้ ๑๖,๐๐๐ ปีทิพย์ นับได้ เก้าร้อยยี่สิบเอ็ดโกฏิหกล้านปี ดัวยการคำนวณปีแห่งมนุษยโลกเรา

ทางไปสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี

ดูกรสารีบุตร! ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวัง ให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า"เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เช่นเดียวกับฤาษีทั้งหลาย แต่กาลก่อนคือท่านอัฏฐกฤาษี ท่านวามกฤาษี ท่านวามเทว ฤาษี ท่านเวสสามิตฤาษี ท่านยมทัคคฤาษี ท่านอังคีรสฤาษี ท่านภารทวาชฤาษี ท่านวาเสฏฐฤาษี ท่านกัสสปฤาษี ท่านภคฤาษี" ดังนี้ แต่เขาให้ทานด้วยคิดว่า "เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตของเราจะเลื่อมใส จะเกิดความปลื้มใจและโสมนัส" เขาผู้นั้นให้ทานด้วยอาการอย่างนี้แล้ว เมื่อทำกาลกิริยาตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาทั้งหลาย ในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี

*ทานสูตร (อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต ข้อ ๔๙ หน้า ๖๐ บาลีฉบับสยามรัฐ)

ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! บุคคลบางคนในโลกนี้กระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานมีประมาณยิ่ง กระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลมีประมาณยิ่ง ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนาเลย เมื่อถึงแก่กาลกิริยาตายไปแล้ว เขาย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตี

*ปุญญกิริยวัตถุสูตร (อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ข้อ ๑๒๖ หน้า ๑๔๕ บาลีฉบับสยามรัฐ)

เรียบเรียงจากโลกทีปนี และภูมิวิลาสินี โดย พระธรรมธีรราชมหามุนี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙) ภาพประกอบจากสมาชิกพันทิป

ขอบพระคุณที่ติดตามอ่านซีรี่ย์เรื่องสวรรค์ตอนจบครับ


Create Date : 22 สิงหาคม 2551
Last Update : 22 สิงหาคม 2551 18:31:26 น. 0 comments
Counter : 1724 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ebusiness
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]







พระพุทธเจ้าทรงมอบสิ่งที่ดีที่สุดไว้ให้แก่มวลมนุษยชาติ สิ่งนั้นคือพระธรรมที่ใช้เป็นกรอบในการดำเนินชีวิตไปสู่สิ่งที่ดีงาม สู่ความเจริญสูงสุดของชีวิต ในฐานะชาวพุทธ ทุกคนมีหน้าที่ที่จะต้องดูแลรักษาสิ่งที่ดีเหล่านี้เอาไว้ให้ได้นานที่สุด อย่างน้อยก็ในช่วงชีวิตเราแต่ละคน
Friends' blogs
[Add ebusiness's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.