coffeelover
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




วิสัญญีแพทย์แม่ลูกหนึ่ง ที่พยายามทำหน้าที่ทั้ง "หมอ" และ "แม่" ที่ดีในเวลาเดียวกัน

รักการอ่าน ถ่ายภาพ และท่องเที่ยว และกำลังเริ่มจะรักการเขียนจากการเขียน blog นี่ล่ะ


Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add coffeelover's blog to your web]
Links
 

 

C H I C A G O : Field Museum of Natural History


วันนี้เป็นวันที่สาม-วันสุดท้ายของการเที่ยวชิคาโก (วันอื่นๆ เราอยู่บ้าน พักผ่อน เม้าท์ และกินSmiley) แม่นอนคิดทั้งคืนว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี ไม่ใช่ว่าเที่ยวหมดแล้วนะ แต่เป็นเพราะว่าชิคาโกมีที่เที่ยวเยอะมากต่างหาก คิดไม่ออกเลยต้องใช้ตัวช่วยโดยการดูพยากรณ์อากาศ ซึ่งบอกว่ามีโอกาสฝนตก 40% และพิจารณาว่าที่ไหนที่ลูกจะสนุกและได้ประโยชน์ที่สุด...เลยมาลงตัวที่ Field Museum of Natural History



Field Museum อยู่ในบริเวณ Museum Campus ติดกับ Shedd Aquarium ที่เราเพิ่งไปมาวันก่อน...แม่กังวลนิดหน่อยว่าคนจะเยอะเหมือนทุกที่แต่ปรากฎว่าพอไปถึงบริเวณขายบัตร กลับไม่มีคนรอคิวเลย แม่ซื้อตั๋วแบบ Discovery Pass ซึ่งสามารถชม permanent exibition ได้ทั้งหมดบวกกับ special excibition อีกหนึ่งอย่าง ซึ่งเราเลือกเป็น Mammoth & Mastodons ราคา 22 เหรียญสำหรับผู้ใหญ่ แต่ถ้ามีโอกาสเลือกใหม่แม่จะเลือกแค่ Basic admission (15 เหรียญ) เพราะลำพังแค่ permanent exibition ก็ดูกันวันเดียวไม่ทั่วอยู่แล้ว



เราเริ่มต้นที่นางเอกชื่อก้องโลกก่อน เธอชื่อ "Sue" เป็นฟอสซิลของไดโนเสาร์กินเนื้อ Tyrannosaurous rex หรือ T-rex ที่มีความสมบูรณ์มากที่สุด ชื่อ Sue ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ค้นพบ -Sue Hendrickson ซึ่งขุดพบฟอสซิลนี้บริเวณ South Dakota...Sue เริ่มมีชื่อเสียงเนื่องจากนักวิทยาศาสตร์พบว่าฟอสซิลมีความสมบูรณ์มาก และยิ่งโด่งดังมากขึ้นเมื่อมีการฟ้องร้องกรรมสิทธิ์ระหว่างทีมขุดค้น เจ้าของที่ดิน และรัฐบาลสหรัฐ...ซึ่งฝ่ายหลังเป็นผู้ชนะคดีในที่สุด...Sue ตกเป็นสมบัติของ Field Museum ในปี 1997 ผ่านการประมูลด้วยมูลค่า 8.36 ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งได้รับการบันทึกว่าเป็นฟอสซิลที่ราคาสูงที่สุดในโลก สปอนเซอร์รายใหญ่ในการประมูลครั้งนี้ ได้แก่ McDonald's และ Walt Disney (เศรษฐีใจบุญมีอยู่จริง อิอิ)



ถ่ายรูปกับนางเอกเสร็จเราเข้าไปดู Mammoth กันต่อ...แนวคิดหลักของนิทรรศการส่วนนี้ก็เพื่อถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับลักษณะและวิถีชีวิตของแมมมอธ สาเหตุของการสูญพันธ์ เปรียบเทียบกับช้างพันธุ์ต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน พราวชอบส่วนนี้มากเพราะพราวรู้จัก "ช้าง" แล้ว และมี interactive zone ให้ลูกได้เล่นเต็มไปหมด



ออกจาก Mammoth แม่ดูแผนที่แล้วชวนคุณยายขึ้นไปชั้นบน เพื่อดูนิทรรศการเกี่ยวกับอัญมณี ซึ่งแม่คิดว่าจัดได้ดีและน่าสนใจ ถึงแม้ว่าจะไม่มีเพชร Hope คอยเป็นแม่เหล็กเหมือนกับที่วอชิงตัน ดีซี ก็ตามSmiley..ใกล้ๆ กันมีส่วนที่แสดงอารยธรรมโบราณ ทั้งจีน ธิเบต ชาวเกาะในทะเล Pacific น่าสนใจมาก...แต่เราไม่ได้ใช้เวลาในส่วนนี้มากนัก เพราะแม่คิดว่าออกจะน่าเบื่อสำหรับเด็กๆ (ทั้งพราวและเอด้า)



ก่อนกลับบ้านเราแวะชมอีกส่วนสุดฮิตคือ Ancient Egypt ซึ่งพระเอกก็คือมัมมี่ มีทั้งมัมมี่ผู้ใหญ่ มัมมี่เด็ก มัมมี่แมว (สองอย่างหลังแม่เพิ่งเคยเห็นที่นี่) และยังมีการแสดงภูมิปัญญาต่างๆ ของชาวอียิปต์โบราณด้วย เช่น การชั่ง ตวง วัด เงินตรา พิธีกรรม แต่คุณยาย ปะป๊า และแม่ ลงความเห็นเราชอบการจัดแสดงของ Vatican Museum มากกว่า เพราะที่นี่ทำทางเดินค่อนข้างแคบ และไฟสลัวๆ (คงตั้งใจจัดแสงแบบนี้) แต่เรารู้สึกอึดอัดมากกว่าจะอินไปกับบรรยากาศ



เราใช้เวลาที่ Field Museum นี้เกือบ 4 ชั่วโมงก็ตกลงกันว่ากลับดีกว่า เพราะพราวเริ่มเหนื่อยและงอแง เอด้าก็เริ่มเบื่อ แล้วเรายังต้องใช้เวลาเดินทางอีกร่วมชั่วโมงจึงจะถึงบ้าน...ส่วนตัวแล้วแม่คิดว่าที่นี่เป็นที่ๆ เหมาะสำหรับพาเด็กๆ มาเที่ยวมากทีเดียว ห้องน้ำ ห้องเปลี่ยนผ้าอ้อม ร้านอาหาร ทางลาดสำหรับรถเข็นก็มีเพียงพอ นิทรรศการก็มีส่วนที่สามารถ hand on ได้ ไม่น่าเบื่อ...เอาเป็นว่าพราวโตเร็วๆ นะลูก แล้วแม่จะพากลับมาใหม่




 

Create Date : 04 กันยายน 2553    
Last Update : 4 กันยายน 2553 13:54:13 น.
Counter : 1278 Pageviews.  

C H I C A G O : Millenium park & Navy pier

เดี๋ยวนี้พอพูดถึงชิคาโก ใครๆ ก็นึกถึง - The Bean - ถั่วยักษ์วาววับที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองกันทั้งนั้น เรียกว่าถ้ามาชิคาโกแล้วไม่ได้แชะภาพกะเจ้าถั่วนี่ เพื่อนอาจไม่เชื่อว่ามาจริงป่าว Smiley ไกด์บุ๊คชิคาโกเกือบทุกเล่มก็มีคุณถั่วเป็นหน้าปก..(ฮอตมาก) วันนี้เราเลยจะไปสัมผัสตัวจริงของคุณถั่วที่ Millenium Park กัน




Millenium Park  เดิมเป็นพื้นที่รกร้างทางตอนเหนือของ Grant park  ใช้เป็นสุสานรถไฟและที่จอดรถ ต่อมาในปี 1997 เมืองชิคาโกจึงได้ริเริ่มที่จะพัฒนาพื้นที่แห่งนี้ให้เป็นสวนสาธารณะ แต่กว่าจะเสร็จจริงๆ ก็เข้าปี 2004 แล้ว (เลยจากกำหนดเดิมถึง 4 ปี !!!) แถมยังใช้งบประมาณมหาศาลกว่า 475 ล้านเหรียญ (เกินกว่างบประมาณไป 150 ล้านเหรียญเอ๊งงงงง) ...แต่ที่น่าประทับใจคือเป็นเงินบริจาคกว่าครึ่ง ใช้งบของรัฐเพียง 270 ล้านเหรียญเท่านั้น เหตุที่ทำให้การก่อสร้างล่าช้ามาจากการวางแผนที่ผิดพลาด การเปลี่ยนแปลงแบบแปลนบ่อย และเชื่อว่ามีผลจากอิทธิพลท้องถิ่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย  อย่างไรก็ตาม..แม้การก่อสร้างจะขลุกขลัก..ปัจจุบัน Millenium Park ก็เป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวหลายล้านคนต่อปี และเป็นหน้าเป็นตาของชิคาโก (คุ้มกับการรอคอยเนอะ)  



เราเข้าสู่ Millenium Park ทางด้าน Michigan avenue ...ตามประสานั่กท่องเที่ยวไทย ต้องแวะถ่ายภาพกับป้ายชื่อสถานที่เป็นที่ระลึกก่อน จากนั้นเดินไปชม Wringley Squre ...ซึ่งมี Millenium monument โดดเด่นเป็นสง่า.. Millenium monument นี้สร้างขึ้นตามเพื่อจำลองอนุสาวรีย์แบบเดียวกันซึ่งเคยตั้งอยู่บริเวณนี้มาก่อน บริเวณนี้จะมีการสลักชื่อของผู้บริจาคเงินสร้าง Millenium Park ตั้งแต่ 1 ล้านเหรียญขึ้นไป (แอบคิดว่าเราต้องมีเงินเท่าไหร่นะ ถึงจะกล้าบริจาคเงินขนาดนี้)




ถ่ายรูปกันเสร็จแล้วก็เดินไปหาพระเอกขวัญใจมหาชน...โดดเด่นเห็นแต่ไกล ในที่สุดเราก็ได้มายืนอยู่หน้าคุณถั่่วแล้ว...ชื่อจริงของคุณถั่วคือ "Cloud Gate"  ผู้ออกแบบเป็นนักออกแบบอินเดียสัญชาติอังกฤษ - Anish Kapoor โดยมีแนวคิดที่จะสร้างประติมากรรมที่สอดคล้องกับบรรดาตึกระฟ้าในชิคาโก และในที่สุดก็ชนะการประกวดได้รับเลือก แต่ด้วยลักษณะโค้งมนทำให้ต้องการคิดหาวิธีทางวิศวกรรมให้สามารถสร้างได้ตามแบบโดยไม่มีรอยต่อ ซึ่งกินเวลานานมาก..กว่าคุณถั่วจะได้เผยโฉมก็ปี 2006 แล้ว (สองปีหลังจากเปิด Millenium Park ) ...น้องพราวตื่นเต้นกับความใหญ่โตของคุณถั่วมาก แต่พอไปใกล้ๆ แล้วเห็นเงาสะท้อนกลับทำหน้างงๆ ...คุณถั่วถ้าเป็นคนก็คงเป็นพวกสวยระยะไกล เพราะดูไกลๆ หรือถ่ายภาพสวยมาก แต่พอใกล้ๆ จะมีรอยนิ้วมือกระดำกระด่างเต็มไปหมด



เดินต่ออีกนิดก็ถึง "Crown Fountain" ซึ่งเป็นประติมากรรมแท่งแก้วคู่สองอันขนานกัน ภายในมีระบบวีดีโอสามารถฉายภาพใบหน้าของชาวเมืองชิคาโกได้ ฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนอากาศดีก็จะมีน้ำพุออกมาให้เด็กๆ ได้เล่นน้ำกันด้วย พยายามจะถ่ายรูปตอนที่มีน้ำพุ่งออกจากปากคนแต่ไม่ทัน น้องพราวก็ได้เล่นน้ำกะเค้าด้วยนิดหน่อย 



สุดท้ายก่อนออกจาก  Millenium Park แวะถ่ายรูป "Jay Pritzker Pavillion" ซึ่งเป็นเวทีแสดงดนตรีกลางแจ้ง สามารถจุผู้คนได้กว่าหมื่นคน ด้านล่างจะมีโรงละครที่เป็นอินดอร์ด้วย




ออกจาก Millenium Park เดินไปทางทิศเหนือบนถนน Michigan avenue ผ่านสะพานข้ามแม่น้ำชิคาโก จะเข้าสู่เขตที่เรียกว่า  Magnificent Mile  ซึ่งว่าไปแล้วก็คือถนนช้อปปิ้งที่รวมร้านแบรนด์เนมต่างๆ ถ้าไม่ติดว่ากระเตงลูกมาด้วย คงได้เข้าออกร้านโน้นร้านนี้สนุกแน่ (มีลูกแล้วต้องประหยัดหน่อย อุอุ) ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึง Navy Pier 



Navy Pier เป็น entertainment area ที่ยื่นเข้าไปใน Lake Michigan ภายในมีร้านค้า ร้านอาหาร เวทีการแสดง ท่าเรือท่องเที่ยว สวนสนุก และพิพิธภัณฑ์เด็ก โดยส่วนตัวแล้วบ้านเราไม่ชอบที่เที่ยวแบบนี้ แต่ใครๆ ก็บอกว่าน่าจะแวะมาดูสักครั้ง...ที่นี่พราวได้นั่งม้าหมุนของโปรดด้วย แต่เรื่องที่แม่ไม่เข้าใจเลยและคิดว่าไร้สาระมากคือ ต้องซื้อตั๋วม้าหมุนสำหรับปะป๊าด้วย แม่บอกว่าปะป๊าเข้าไปดูแลลูกต้องซื้อด้วยหรือ เจ้าหน้าที่ทั้งบริเวณเครื่องเล่นและขายตั๋วก็ยืนยันว่าต้องซื้อ ค่าตั๋วก็ตั้ง 6 เหรียญแหนะ Smiley แล้วก็เหมือนผีเข้า...พราวชี้ชิงช้าสวรรค์ทำท่าเหมือนอยากขึ้น แม่ก็หน้ามืดพาทั้งลูก ทั้งน้องสาววัย 9 ขวบขึ้นไป...ผลที่ได้คือ พราวไม่ยอมอยู่นิ่งบนม้าหมุน ลุกๆ นั่งๆ ชี้โน่นนี่ตลอด ส่่วน เอด้า - น้องสาวก็กลัวจนมือเย็นหน้าซีด แม่มาถามตัวเองอีกครั้งว่าทำแบบนั้นไปได้อย่างไร..ทั้งอันตรายและไม่มีใครสนุกเลย Smiley


เฮ้อออออออ.... 




 

Create Date : 26 สิงหาคม 2553    
Last Update : 2 กันยายน 2553 21:54:50 น.
Counter : 1596 Pageviews.  

C H I C A G O : John G. Shedd Aquarium


เป็นการไปชิคาโกเป็นครั้งที่ 2 แล้ว..ครั้งแรกเราไปตอนคริสต์มาสต่อปีใหม่ เพื่อพาน้องพราวไปหาเหล่าอี๊ ช่วงน้ันอากาศหนาวมากและบางวันก็มีพายุหิมะ รู้สึกว่าไม่ปลอดภัยที่จะพาเด็กเล็กออกนอกบ้าน ทำให้กิจกรรมหลักเป็นการกินๆ นอนๆ คุยกัน ครั้งนี้ตั้งใจไปเที่ยว + ทำธุระส่งของลงเรือกลับเมืองไทย เนื่องจากที่เซนต์หลุยส์ไม่มีบริษัทชิปปิ้ง ใกล้ที่สุดก็คงเป็นชิคาโก เลยถือโอกาสไปเที่ยวด้วยซะเลย


~~ John G. Shedd Aquarium ~~


ถือเป็นจุดหมายแห่งแรกที่เรานึกถึง พราวไปสวนสัตว์หลายครั้งแล้วแต่ไม่เคยได้ไป aquarium เลย ทุกครั้งที่ลูกเห็นตู้ปลาก็จะตื่นตาตื่นใจเกาะดูไม่ยอมไปไหน เลยคิดว่าลูกต้องชอบที่นี่แน่ๆ  Shedd Aquarium เป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ที่เรียกว่า Museum Campus ซึ่งประกอบไปด้วยพิพิธภัณฑ์ระดับโลกสามแห่งได้แก่ Shedd aquarium, Alder Planetarium และ Field Museum of Natural History นอกจากนี้ยังรั้งตำแหน่งเป็น indoor aquarium ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยความจุของน้ำทั้งหมด 5 ล้านแกลลอนและสัตว์น้ำกว่า 25000 ชนิด 



เราเลือกไปวันจันทร์เพราะคิดว่านักท่องเที่ยวน่าจะน้อยหน่อย แต่ปรากฎว่าคนเยอะมาก อาจเพราะเป็นช่วงปิดเทอม พ่อแม่ก็พาเด็กๆ มาเที่ยว ต้องต่อคิวซื้อตั๋วกันเกือบครึ่งชั่วโมง ค่าตั๋วที่ซื้อเป็นแบบ Shedd pass + Fantasea show แต่ไม่รวม 4D ราคาสำหรับผู้ใหญ่ 28.95 เหรียญ (แพงจังแต่ถือซะว่าไม่ได้มาทุกวัน 555)  ผ่านเข้าไปก็เจอ  "Caribbean Reef"  ซึ่งส่วนนี้เป็นตู้ปลาทรงกลม สามารถเดินดูได้รอบ 360 องศา ถ้าตามโบรชัวร์ก็แนะนำให้ดูเต่าและปลาไหลซึ่งเป็นดารานำ แต่ทุกคนติดใจปลากระเบนมากกว่า




จากตรงนี้ไปต่อกันที่  "Wild Reef"  ซึ่งอยู่ใต้ดิน ลักษณะเป็นอุโมค์ทางเดินเข้าไปเพื่อจำลองให้เห็นว่าเวลาดำน้ำลึกเราจะเห็นอะไรบ้าง พระเอกในโซนนี้คือพี่ฉลามหลายชนิด เพิ่งรู้จักฉลามเกิน 2 ชนิดก็วันนี้ แหะ แหะ แต่ถ่ายรูปยากมากเพราะคนมุงตลอดและพี่ฉลามว่ายฉวัดเฉวียนเหลือเกิน จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของโซนนี้คือปะการังน้ำลึกที่สวยเหลือเกิน สีสัดจัดจ้านน่าดู ไม่มีตู้ไหนใช้ปะการังเทียมเลย..เดินไปจนสุดโซนถึงพบว่าเค้ามีห้องทดลองสำหรับเลี้ยงปะการังโดยเฉพาะ


 ...จากโซนนี้ได้เวลาอาหารว่างของน้องพราว เลยไปแวะจิบกาแฟหม่ำขนมอร่อยๆ ที่ "Sounding Cafe" ซึ่งจากที่นี่จะเห็นวิวของ Downtown, Monroe Harbour  และ Lake Michigan ได้สวยมากๆ วันนี้ท้องฟ้าใสไม่มีเมฆด้วย โชคดีจริงๆ




อิ่มท้องแล้วเที่ยวต่อ เข้าไปโซน "Oceanarium" ซึ่งรวมสัตว์ตัวโปรดของเด็กๆ ไ่ม่ว่าจะเป็นสิงโตทะเล วาฬ โลมา เพนกวิน พร้อมทั้งมีโซนกิจกรรม - Polar Play Zone - ให้เด็กๆ ได้ลองสัมผัสกับพื้นผิวของปะการัง ปลาดาว ได้สวมชุดเพนกวินถ่ายรูป ...พราวชอบเล่นน้ำอยู่แล้ว มาเจอแบบนี้เลยเข้าทาง แม่เห็นว่าเค้าทำสะอาดดีเลยปล่อยให้เล่นจนตัวเปียก ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้ากันเลย




พราวเล่นอยู่ที่นี่นานพอควร มองดูนาฬิกาได้เวลาไปดูโชว์ "Fantasea" พอดี โชว์มีวันละ 3-4 รอบแล้วแต่ช่วง ต้องดูข้อมูลในเวปไซด์ ค่าเข้าชม 2 เหรียญซึ่งจะจ่ายครั้งเดียวตอนซื้อบัตรผ่าน หรือมาซื้อเพิ่มด้านในก็ได้ แต่ถ้าซื้อทีหลัง..โอกาสที่จะได้ชมรอบที่ต้องการก็น้อยลง ปกติแม่ไม่ค่อยพาพราวเข้าดูโชว์หรือหนัง 4 มิติอะไรเพราะกลัวว่าถ้างอแงแล้วจะรบกวนคนอื่น แต่อันนี้ดูเวลาแล้วไม่นานคือประมาณ 25 นาที และเป็นเวลาที่หลังของว่างเลยลองดู...ความประทับใจของโชว์นี้คือ ฉาก แสง เสียง เครื่องแต่งการ อลังการและประณีตมาก แต่ถ้าเทียบมุขตลกและความสามารถในการแสดงของสัตว์ต่างๆ แล้ว คงสู้ sea world ไม่ได้




จบโชว์แล้วเราเดินเก็บตกดูปลาอีกนิดหน่อยก็ได้เวลากลับบ้าน โดยรวมแล้วแม่ประทับใจที่นี่มาก เป็นที่ๆ เหมาะจะพาเด็กๆ มาเที่ยวจริงๆ เพราะนอกจากตู้ปลาสวย สัตว์น้ำเยอะ ยังมีกิจกรรมให้เด็กๆ ได้เล่นสนุกอีก ร้านอาหารก็มีเมนูเด็กโดยเฉพาะ ห้องน้ำและโต๊ะเปลี่ยนผ้าอ้อมก็มีอยู่ทุกมุม...ให้ห้าดาวเลย...ไว้พราวโตกว่านี้แล้วแม่จะพากลับมาใหม่อีกรอบแน่นอนจ้ะSmiley 





 

Create Date : 25 สิงหาคม 2553    
Last Update : 2 กันยายน 2553 21:53:17 น.
Counter : 1125 Pageviews.  

Boston หลั่นล้า >>> เดินเล่น Beacon hill & Public Garden

ออกจาก Massachusetts General Hospital ข้ามสี่แยกมาก็เป็นเขต Beacon Hill แล้วจ้ะ ย่านนี้เดิมเป็นถิ่นที่อยู่ของผู้ดีมีกะตังค์ และผู้มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์หลายท่าน อยู่ทางเนินตอนเหนือของ Boston (เลยเรียกว่า hill ไง) ปัจจุบันก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่...นอกจากบ้านเก่าแก่สวยๆ แล้ว ยังมีร้านค้าฮิปๆ และร้านอาหารเก๋ๆ เรียงรายอยู่ในย่านนี้ด้วย ตัวตึกและถนนได้รับการอนุรักษ์ไว้ให้อยู่ในสภาพเดิม เราเลยได้เห็นถนนอิฐแบบ cobble stone อยู่เต็มไปหมด...ร้านค้าที่เป็น chain อย่าง starbuck หรือ 7-eleven ก็ออกแบบตกแต่งให้กลมกลืนกับบรรยากาศ เห็นแล้วแปลกตาเหมือนกัน



มื้อเที่ยงเราฝากท้องที่ร้าน Figs ร้านพิซซ่าสไตล์ homemade ชื่อดังในย่านนี้จ้ะ อร่อยสมราคา


ท้องอิ่มก็เดินเล่นชมเมืองกันต่อ ออกจากย่านที่พักอาศัยมาโผล่ริมรั้ว Boston Public Garden...ซึ่งเป็นพื้นที่สีเขียวใจกลางบอสตัน ติดกับ public garden จะเป็นพื้นที่ของ Boston common ซึ่งเป็นสวนสาธารณะเช่นกัน ต่างกันตรงที่ boston common ปล่อยไว้ให้เป็นพื้นที่โล่งกว้างเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ส่วน public garden มีการปลูกไม้ดอกไม้ประดับเป็นระเบียบเรียบร้อย ทั้งสองที่ถือเป็นสวนสาธารณะแห่งแรกของสหรัฐอเมริกา




พอมาถึง Boston Public Garden พราวน้อยของแม่ก็หลับผล๊อย ก็ทานอิ่มแถมมาเจอลมเย็นๆ มีเพลงเพราะๆ บรรเลงให้ฟังแบบนี้ ใครจะฝืนตื่นอยู่ไหว ปะป๊ากับแม่เลยตกลงว่าจะรอให้หนูนอนเต็มอิ่มแล้วค่อยไปกันต่อ เที่ยวกับลูกโปรแกรมก็ต้องยืดหยุ่นตามเวลากินนอนของลูกแบบนี้ล่ะ



ที่นี่มี Landmark สุดฮิตสำหรับนักท่องเที่ยวอยู่สองอย่าง อย่างแรกคือ Swan Boat ซึ่งเป็นเรือนำเที่ยวล่องไปตามสระเล็กๆ ในสวน เรือนี้เริ่มให้บริการตั้งแต่ปี 1877 ในเดือนเม.ย. - ก.ย. ลำหนึ่งบรรทุกผู้โดยสารได้ประมาณ 20 คน ใช้เวลาล่องเรือประมาณ 15 นาที สิ่งที่น่าสนใจคือ เรือล่องไปโดยใช้แรงงานคนถีบเรือ ซึ่งมีใช้คนเพียง 1 คนทั้งถีบเรือและบังคับทิศทางด้วย



อีกหนึ่งจุดสนใจที่มีคนถ่ายรูปตลอดทั้งวัน คือ รูปปั้นแม่เป็ดและลูกเป็ด อันมีที่มาจากนิทานเด็กเรื่อง "Make way for Duckling" ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับแม่เป็ดที่เลี้ยงลูกๆ ใน Public garden แห่งนี้ แต่งโดย Robert McCloskey ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1941 ปัจจุบันนิทานเรื่องนี้ยังได้รับการตีพิมพ์ซ้ำและได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วโลก เรียกได้ว่าสามารถจะซื้อเป็นของที่ระลึกในการมาเยือนบอสตันก็ยังได้ แม่ดูหนังสือนิทานเล่มนี้แล้ว แต่ไม่ได้ซื้อ เพราะเห็นว่าภาพไม่ค่อยสวยและเรื่องราวก็ไม่ค่อยสนุก (ไม่รู้ดังได้ไง).....แม่รอพราวตื่น (ลูกหลับไป 2 ชั่วโมงได้) แล้วเราก็มาถ่ายภาพลูกเป็ดแม่เป็ดเป็นที่ระลึก



จาก Boston Public Garden เราเดินข้ามถนนทะลุไปยัง Boston common ที่นี่มี Frog Pond ซึ่งเป็นสระน้ำตื้นๆ ไว้ให้คนทั่วไปสามารถมาเล่นน้ำได้ ในฤดูหนาวจะกลายเป็นลานสเก็ตน้ำแข็ง...เดินไปจนสุดรั้วจะมี Boston State House โดดเด่นเป็นสง่า ใครที่จะตามรอย "Freedom Trial" ก็สามารถเริ่มต้นได้ที่นี่ วิธีง่ายๆ เพียงเดินตามเส้นสีแดงที่อยู่ที่พื้น ระยะทางทั้งหมดประมาณ 2.5 ไมล์ก็จะผ่านสถานที่สำคัญต่างๆ 16 จุดซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์การปฏิรูปการเมืองของสหรัฐ...ที่นี่ยังเป็นมีสถานีรถไฟใต้ดิน Park Street ซึ่งเป็นสถานีรถไฟใต้ดินแห่งแรกตั้งอยู่ด้วย โดยเริ่มเปิดใช้งานเมื่อปี 1897 (เกินร้อยปีแล้วนะเนี่ย)



เราจบการเดินเที่ยวเมืองบอสตันในวันอากาศดีแบบนี้ ด้วยการชมวิว Longfellow bridge และท่าเรือใบสีขาวตัดกับฟ้าใสๆ ริมแม่น้ำ Charle จ้ะ




 

Create Date : 12 สิงหาคม 2553    
Last Update : 2 กันยายน 2553 22:01:49 น.
Counter : 2238 Pageviews.  

Boston หลั่นล้า >>> Ether Dome

Boston 16-19 July 2010


เริ่มต้นเช้าวันที่สองของการเที่ยวบอสตันด้วยการมุ่งหน้าไป Massachusetts General Hospital (MGH) โรงพยาบาลแห่งนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1811 โดยผู้ริเริ่มคือ Professor Dr. John Warren โดยมุ่งหวังให้เป็นโรงพยาบาลที่ให้บริการประชาชนที่ยากไร้ เนื่องจากในสมัยนั้น คนที่ร่ำรวยมักได้รับการรักษาที่บ้านโดยแพทย์ประจำครอบครัว ขาดสถานพยาบาลที่คนจนจะเข้าถึงได้ ปัจจุบัน MGH เป็นโรงพยาบาลที่ดีติดอันดับ 1 ใน 5 ของอเมริกาทุกปี ตำราแพทย์จำนวนมากก็ผลิตจากที่นี่ ...แต่สิ่งที่แม่ตั้งใจจะมาวันนี้ก็เพื่อให้ได้เห็น Ether Dome สักครั้ง



Ether Dome อยู่ที่ชั้น 4 ของ Bulfinch building เป็นสถานที่ซึ่งมีการแสดงการดมยาสลบให้เป็นที่ประจักษ์แก่วงการแพทย์เป็นครั้งแรกของโลก เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 1846 ซึ่งนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในการดูแลผู้ป่วยระหว่างผ่าตัด โดยผู้ที่วางยาสลบในครั้งนั้นไม่ใช่วิสัญญีแพทย์ หากแต่เป็นทันตแพทย์ชื่อว่า William Thomas Green Morton ผู้ป่วย(ที่น่าจะถือได้ว่าใจกล้าที่สุดของโลก Smiley)คือ Edward Gilbert Abbott ซึ่งได้รับการผ่าตัดเนื้องอกที่คอ ศัลยแพทย์คือ John Collin Warren (ลูกของ Dr. Warren ผู้ก่อตั้ง รพ.)


ภายหลังการผ่าตัดเสร็จสิ้น Dr. Warren ได้ถาม Mr. Abbott ว่ามีความรู้สึกอย่างไร คำตอบที่ได้คือ "Feel as if my neck's been scratched" Dr. Warren จึงได้กล่าวแก่คณะแพทย์ที่มาชมในวันนั้นว่า "Gentlemen, this is no humbug" ยาสลบที่ใช้ในวันนั้นคือ ether จึงเป็นที่มาของชื่อ Ether dome นั่นเอง



ปัจจุบัน Ether dome ได้รับการลงทะเบียนให้เป็น National Historic Landmark...และยังคงใช้เป็นห้องบรรยายในโอกาสต่างๆ รวมทั้งเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมได้ด้วย วันที่เราไปนี้เป็นวันอาทิตย์ ระหว่างเดินทางแม่ไม่แน่ใจว่าเราจะเข้าไปได้หรือเปล่า แต่ปรากฎว่า จนท. อำนวยความสะดวกดีมาก นำทางไปและยังแจกแผนพับข้อมูลให้อีกด้วย ...Ether dome เล็กกว่าที่แม่คิดไว้มาก แต่ชื่นชม รพ. ที่ยังดูแลสภาพต่างๆ ไว้ได้อย่างดี ภายในห้องมีรูปปั้นเทพอะพอลโล และมีภาพวาดสีน้ำมันถ่ายทอดเหตุการณ์ในวันนั้นไว้ด้วย แต่ภาพดูใหม่มากจึงไม่แน่ใจว่าเป็นภาพที่สำเนามาหรือเปล่า จนท.ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน


แม่ลงชื่อใน guest book ไว้ด้วย ตอนแรกเขียนชื่อตัวเองคนเดียว แต่ปะป๊าบอกว่าให้ใส่ชื่อน้องพราวด้วย เผื่อลูกได้ผ่านมาที่นี่อีกครั้งในวันข้างหน้า....Smiley





 

Create Date : 03 สิงหาคม 2553    
Last Update : 2 กันยายน 2553 22:02:55 น.
Counter : 929 Pageviews.  

1  2  3  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.