|
เรื่องของค่าเงินบาทแข็ง
16 พ.ค. 2549
ค่าเงินบาทช่วงนี้แข็งตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 37 38 ต่อหนึ่ง เหรียญดอลล่าห์สหรัฐ ซึ่งถือว่าแข็วตัวกว่าช่วงปีที่ผ่านมา (ประมาณ 40 บาทต่อดอลล่าห์สหรัฐ) พอสมควรทีเดียว
บริษัทที่เป็นผู้ส่งสินค้าออก ย่อมเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบนี้ เพราะหากแปลงราคาขายเป็นเงินบาทแล้ว ราคาขายของสินค้าจะแพงขึ้นทันที กว่าสิบเปอร์เซ็นต์ ยิ่งเป็นพวกสินค้าเกษตรแล้ว ราคาเพิ่มขึ้น 2-3% ก็ขายแข่งกับประเทศอื่นยากแล้ว ค่าเงินเราทรงตัวอยู่ในระดับ ประมาณ 40 บาท มาหลายปีแล้ว การปรับราคาขายทำไม่ได้ง่ายๆอย่างแน่นอน
บริษัทส่งออกขนาดใหญ่อย่าง CPF อาจมีการทำป้องกันความเสี่ยงเรื่องค่าเงินไว้ระดับหนึ่ง แต่คงเป็นมาตราการที่ช่วยได้ชั่วคราว เพราะระยะยาวคงไม่ได้มีใครป้องกันความเสี่ยงไว้เยอะขนาดนั้น ส่วนบริษัทส่งออกขนาดกลางหรือขนาดเล็กยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะส่วนใหญ่ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินไว้ล่วงหน้าเลย ก็ต้องรับผลกระทบกันแบบเต็มๆ
ราคาขายที่ต้องเพิ่มขึ้นนั้น ก็ไม่สามารถส่งต่อไปยังผู้ซื้อได้ทั้งหมด เพราะหากสินค้าเราแพงขึ้น ผู้ซื้อต่างประเทศส่วนใหญ่ก็สามารถเปลี่ยนไปซื้อสินค้าแบบเดียวกับเราจากประเทศอื่นๆได้ทันที ยิ่งสินค้าเกษตรของเราส่วนใหญ่ไม่ได้มี brand เป็นของตนเองอยู่แล้วด้วย (ส่งออกภายใต้ brand ของลูกค้า) ผลกระทบสุดท้ายก็จะกลับมาหาเกษตรกรผู้ปลูกพืชหรือผู้เลี้ยงสัตว์ที่ต้องขายของไม่ได้ราคาไปเพราะสินค้าล้นตลาดในประเทศ
อย่างไรก็ตาม การแข็งขึ้นของค่าเงินบาทก็ส่งผลดีต่อคนอีกกลุ่มในประเทศเช่นเดียวกัน โดยตรงก็คือผู้นำเข้านั้นเอง เพราะจ่ายค่าสินค้าเป็นเงินบาทที่ถูกลง
อีกอย่างหนึ่งที่เป็นด้านดีของค่าเงินแข็งก็คือ ช่วยลดผลกระทบบางส่วนจากภาวะน้ำมันแพง (เพราะนำเข้าเป็นเงินไทยถูกลง) และช่วยชะลอปัญหาเงินเฟ้อของประเทศได้อย่างน้อยก็สักช่วงหนึ่ง
ประเด็นต่อไปก็คือ ค่าเงินบาทจะคงตัวอยู่ในระดับนี้นานหรือไม่ หรือจะกลับไปสู่ระดับ 40 บาทเหมือนเดิม ในมุมมองจากตลาดหุ้น (ตลาดทุน) แล้วนั้น ส่วนหนึ่งที่ค่าเงินแข็งขึ้นอย่างมากคราวนี้ก็มาจากเงินต่างชาติที่นำมาลงทุนในหุ้นไทย ถึงปัจจุบันก็เป็นแสนล้านแล้ว และยังไม่มีท่าทีว่าจะขายนำเงินกลับออกไป อีกทั้งมีการนำเงินก้อนใหญ่เข้ามา takeover บริษัทสื่อสารใหญ่ของไทยและบริษัทเหล็กอีกบริษัทหนึ่ง รวมเงินที่นำมาซื้อสองบริษัทนี้ก็อีกเป็น แสนล้านบาท ดูก็ยังเป็นเหตุผลอธิบายเรื่องค่าเงินรอบนี้ได้
เมื่อมองสภาวะปัจจุบันของธนาคารพาณิชย์ต่างๆในไทย ที่กำลังแข่งกันหาเงินฝากด้วยการขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากกันอยู่ขณะนี้ ก็เป็นสัญญาณอีกอย่างหนึ่งว่ายังมีความต้องการเงินบาทอยู่สูงในตลาด ซึ่งก็น่าจะเป็นปัจจัยทำให้เงินบาทยังคงอยู่ในระดับแข็งแบบนี้ต่อไปอีกสักพัก
ทำไมทางธนาคารแห่งประเทศไทยไม่เข้ามาช่วยเรื่องค่าเงินเพื่อบรรเทาปัญหาให้ผู้ส่งออกบ้าง ส่วนหนึ่งก็เพราะเหตุผลที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าการแข็งขึ้นของค่าเงินคราวนี้เป็นการแข็งขึ้นจากการไหลเข้าของเงินจริงๆและเป็นความต้องการเงินบาทในประเทศจริงๆ ไม่ไช่เกิดจากการเก็งกำไรค่าเงิน ซึ่งมักเป็นเหตุการณ์ชั่วคราว
ประกอบกับเงินสำรองของประเทศในปัจจุบัน ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่สูง สูงกว่าช่วงเศรษฐกิจเติบโตมากๆในช่วงก่อนปี 97 เสียอีก (ปริมาณนี้ทำให้สถานะการเงินของประเทศอยู่ในภาวะมั่นคง และ/หรือเกินความจำเป็นหรือไม่?) การไปพยุงเงินบาทในตอนนี้ก็จะเป็นภาระเรื่องดอกเบี้ยให้กับประเทศไทยอีกพอสมควร จึงดูเหมือนจะเป็นเรื่องยากสำหรับ ธนาคารแห่งประเทศไทยไป
มิน่าผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยจึงต้องออกมาให้ข่าวว่าบริษัทส่งออกต่างๆควรหาทางรับมือค่าเงินในรอบนี้ ไม่ใช่หวังว่าเดี๋ยวก็จะกลับไปที่เดิม เพราะรอบนี้เป็นของจริงและดูท่าแล้วเงินบาทเราจะแข็งอยู่อย่างนี้อีกยาวนานนี่เอง ส่วนเหตุอื่นๆที่อาจทำให้เงินบาทกลับไปอ่อนได้ คงต้องรอให้ต่างชาติขายหุ้นในส่วนของแสนล้านที่ได้ซื้อไปซะก่อน (แต่ไม่ดีเพราะหุ้นตก) หรือไม่ก็คนที่ได้เงินเป็นหมื่นๆล้านจากการขายบริษัทเมื่อเร็วๆนี้ นำเงินไปซื้อดอลล่าห์หละครับ .....
Create Date : 16 พฤษภาคม 2549 |
Last Update : 16 พฤษภาคม 2549 14:05:16 น. |
|
4 comments
|
Counter : 362 Pageviews. |
|
|
|
โดย: c-sar-salad วันที่: 16 พฤษภาคม 2549 เวลา:20:39:19 น. |
|
|
|
โดย: โสมรัศมี วันที่: 16 พฤษภาคม 2549 เวลา:21:27:54 น. |
|
|
|
โดย: c-sar-salad วันที่: 1 มิถุนายน 2549 เวลา:11:39:31 น. |
|
|
|
| |
|
|
เห็นทีต้องแวะมาบล็อกนี้บ่อย ๆ เสียแล้ว เขียนเรื่องเศรษฐกิจได้น่าอ่านแล้วเข้าใจง่ายดีครับ
ผมซึ่งไม่ค่อยมีความรู้ทางด้านนี้เท่าไร อ่านแล้วพอเห็นภาพเลย