12 ข้อคิด ชีวิตมีสุข

12 ข้อคิด ชีวิตมีสุข
 
แนะนำเคล็ดสร้างสุขง่ายๆ เพียงเปลี่ยนวิธีคิดพิชิตความเครียด
 
  1. อารมณ์ขันรักษาทุกโรค อย่าลืมพกติดตัวก่อนออกจากบ้าน
  2. มื่อมีปัญหาให้คิดทีละเรื่อง อย่าคิดหลายๆ เรื่องพร้อมกันในคราวเดียว
  3. อย่าเอาตัวเองไปแข่งขันกับใคร แม้แต่จะแข่งขันกับตัวเองก็อย่าลืมรักและเมตตาตัวเองมากๆ
  4. สติมา ปัญญามี ความเครียดจะโจมตีเราได้ยามขาดสติรู้เท่าทัน เจริญสติให้อยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด ไม่ปล่อยให้ความกังวลหม่นเศร้ากับอดีตหรืออนาคตให้นานนัก ต้นตอแห่งทุกข์อยู่ที่ใจ หากรู้ตัว รู้ทันว่าใจกำลังคิดอะไรอยู่ ความทุกข์ก็จะหายไปได้ไม่ยาก
  5. ขียนปัญหาชีวิตพิชิตความทุกข์ แยกแยะปัญหาที่แก้ไขได้และปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ ข้าไหนที่ยากเกินแก้ ยอมรับโดยไม่ต้องต่อว่าตัวเอง ลองหัดเป็นคนดีที่ไม่เพอร์เฟ็คดูซะบ้าง
  6. บริหารเวลาให้เป็น โดยทำรายการสิ่งที่ต้องทำเป็ฯข้อๆ จัดอันดับความสำคัญ เลือกทำสิ่งที่จำเป็นที่สุดก่อน
  7. บางครั้งการยอมแพ้ไม่ใช่เรื่องเสียศักดิ์ศรี แต่เป็นการยุติข้อขัดแย้งอย่างชาญฉลาด
  8. ฝืนพูดคำว่า "ไม่" ซะบ้าง ปฎิเสธให้เป็น อย่าโหมงานจนเสียศูนย์ในชีวิตส่วนตัว เชื่อเถอะว่าบริษัทน่ะขาดคุณได้แต่ครอบครัวของคุณสิ ขาดคุณไม่ได้แน่ๆ
  9. ลิกถามตัวเองว่า "ทำไม" ได้แล้ว ทำไมเราต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ทำไมเขาถึงทำกับเราแบบนี้ ทำไมคนอื่นไม่เห็นเจอแบบเรา เยอะละๆ  ยิ่งถามก็ยิ่งวกวนไร้คำตอบ ถ้าเชื่อเรื่องกรรม ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราล้วนยุติธรรม คิดซะว่าสิ่งใดเกิดขึ้นแล้วล้วนดีเสมอ เมื่อเราหาทางออกเจอแล้ว อาจทำให้ได้พบชีวิตที่ดีกว่าเมื่อวานนี้เป็นไหนๆ
  10. ความเครียดไม่ได้มีไว้ให้เราหนี แต่ให้เราเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น
  11. บริหารความสุขให้เป็น อย่าเข้มงวดกับตัวเองนักเลย ให้รางวัลตัวเองบ้าง หาเรื่องสนุกๆทำ ท่องเที่ยวหรือออกกำลังกายเรียกสารเอ็นโดรฟิน คบหาคนน่ารักๆ ที่เป็นทั้งศิราณีและเพื่อนคลายเหงา และลองช่วยเหลือคนที่ลำบากกว่าเราโดยไม่หวังผลดูบ้าง การให้บางครั้งสุขยิ่งกว่าได้รับหลายเท่านัก
  12. บำรุงประสาทสัมผัสทั้ง 5 ให้เต็มที่ ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง เริ่มจากลุกขึ้นแต่งตัวให้สวยเริ่ด หาอะไรอร่อยๆ รับประทาน ลองอโรม่าเธอราปีดูบ้าง เพียงแค่เทน้ำมันหองลงบนฝ่ามือแล้วนวดคลึงเบาๆ บริเวณขมับก็จะทำให้รู้สึกปลอดโปร่ง สดชื่นยิ่งถ้าเคล้าเสียงเพลงเพราะๆ ที่ชอบล่ะก็ สวรรค์รำไรแล้วหล่ะ
**ขอบคุณข้อมูลจาก สถาบันพัฒนาบุคลิกภาพ John Robert Powers**



    Create Date : 14 พฤษภาคม 2561
    Last Update : 24 มีนาคม 2562 6:38:40 น.
    Counter : 1146 Pageviews.

    2 comment
    ปวดเข่า 4 ด้าน






      วิธีประเมินสุขภาพด้วยตนเอง

    • ปวดเข่าด้านหน้า บริเวณลูกสะบ้าหัวเข่าลงไปหน้าแข้ง สาเหตุมาจากกระเพาะอาหาร เช่นกินไม่ตรงเวลา ไม่กินอาหารเช้า กินอาหารรสจัด หรือเป็นคนวิตกกังวลบ่อย กระเพาะอาหารยังทนได้อยู่ไม่เป็นไร แต่จะมาฟ้องที่เข่า
    • ปวดเข่าด้านหลัง บริเวณขาพับ สาเหตุมาจากกระเพาะปัสสาวะ เช่นกลั้นปัสสาวะบ่อย หรือคุมปัสสาวะไม่ได้ กระเพาะปัสสาวะเองยังฟ้องเหตุการณ์ในร่างกายได้หลายอย่าง ถ้าเรามีปัญหากระเพาะปัสสาวะ อาจเป็นตัวบ่งชี้ถึงอาการเบาหวาน หรือ มดลูกรังไข่ เรื่องของไต  ลำไส้ใหญ่ไม่ดี แล้วกระเพาะปัสสาวะ ก็จะมาฟ้องที่ตรงใต้เข่าหลังขาพับ อารมณ์หวาดกลัวเป็นเหตุให้ปวดเข่าได้ เช่นกลัวอยู่คนเดียว กลัวถูกทอดทิ้ง กลัวลูกหลานไม่เลี้ยง กลัวความสูง กลัวความมืด
    • ปวดเข่าด้านข้าง แถบด้านนอก ถ้าปวดบริเวณนี้ ร้าวไปถึงโคนขาถึงสะโพก สาเหตุมาจากถุงน้ำดีเป็นเหตุ เราก็ตรวจตัวเองดูว่าเรากินนำ้น้อยไปไหม เรากินของบผัดน้ำมันบ่อยหรือเปล่า
    • ปวดเข่าด้านใน (เอาเข่าชนกัน) 
    • อาจเกิดจากม้าม หรือมีปัญหาของเบาหวาน ความอ้วน เรือ กล้ามเนื้อกำลังจะเปลี่ยนเป็นไขมันก็จะปวดเข่า ต้องทำให้ไขมันเปลี่ยนเป็นกล้ามเนื้อ โดยกินขมิ้นชันช่วยได้                                                                 
    • อาจเกิดจากตับ  เพราะใช้เครื่องสำอางค์ และยาสระผม ยาโกรกผมที่มีสารเคมี หรือสารพิษเหล่านี้จะลงไปสะสมที่ตับไตได้โดยตรง หรือการกินอาหารที่มีสารเคมีตกค้าง เช่น สารฟอกขาว สารกันบูด ดินประสิว ผงชูรส บอแรกซ์ หรือ น้ำ ประสานทอง ก็จะทีสารพิษ ตกค้างที่ตับหรือเกิดจากการกินหวานมาก ขี้โมโหบ่อยกินอาหารรสจัด 
    • อาจเกิดจากไต เพราะเรากินอาหารรสจัด เปรี้ยวจัด เผ็ดจัด เค็มมาก เป็นประจำ ไตจึงทำงานหนัก หรือกินอาหารที่ผัดน้ำมันเป็นประจำทำให้ระบบดูดซึมเสีย ก็เป็นเหตุทำให้ไตทำงานหนัก แล้วมีผลทำเกี่ยวข้องกับการปวดเข่าได้เช่นกัน
    ถ้าปล่อยให้อวัยวะภายในพวกนี้มีปัญหา จะต้องปวดเข่าแน่นอน ควรหาทางแก้ไขที่ต้นเหตุให้ได้



    Create Date : 14 กรกฎาคม 2559
    Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2562 10:58:10 น.
    Counter : 626 Pageviews.

    4 comment
    ความสำคัญของอาหารมื้อเช้า






    การไม่กินอาหารเช้า เป็นเหตุพื้นฐานที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยที่เรามองข้ามไป คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เคยปฏิบัติอยู่เป็นประจำไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย

    อาหารมื้อเช้า เป็นอาหารมื้อที่สำคัญที่สุด ที่ร่างกายต้องการสารอาหารในช่วงเวลา 07.00-09.00 น.  ระหว่างเวลานี้สมองและใบหน้าของคนเราต้องการเลือดและออกซิเจนเป็นอาหารบำรุงส่งไปเลี้ยงสมอง ถ้าไม่กินข้าวเช้า ก็จะไม่มีเลือดมารับออกซิเจนส่งขึ้นไปเลี้ยงสมอง เพราะสมองต้องการกรดอะมิโนไปบำรุงเซลล์สมอง รวมถึงวิตามินบี 1, และบี 12 มื้อเช้าถ้าไม่มีเวลาจริงๆก็ควรกิน 
    **สูตร โยเกิต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว และกล้วย 1 ลูก




    สาเหตุที่เลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย
    • กระดูกคอข้อที่หนึง เคลื่อนไปเบียดทับเส้นประสาท หรือเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง
    • กินอาหารที่ผัดในนำ้มันบ่อยเป็นเวลานาน แล้วเกิดไขมันเกาะตัวเหนียวสะสมในลำไส้ ก็มีโอกาสที่เลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อยเพราะระบบดูดซึมเสีย และถุงน้ำมีข้น
    • มีพยาธิในลำไส้ พยาธิที่ผิวหนังจะกัดกินเลือดในร่างกาย
    • การไม่กินอาหารเช้าก็เป็นสาเหตุให้เลือดไม่เลี้ยงสมอง
    ถ้าเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ หรือเลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย จะเริ่มมีอาการดังนี้ เช่น ผมร่วง หน้าแก่เร็ว คออักเสบง่าย นอนไม่ค่อยหลับ นอนไม่เต็มอิ่ม ฝันบ่อย ปวดไหล่ ตื่นกลางดึกบ่อยๆ ปวดหัวข้างเดียว ปวดหัวสองข้าง ปวดหู ปวดกระบอกตา เป็นไซนัส เหงือกบวม เจ็บคอ เจ็บลิ้น ปวดชายโครง ปวดหลัง ปวดเข่า กระดูกสะโพกจะเคลื่อนได้ง่าย ปวดสะโพก ปวดข้อเท้า หลังเท้า วิตกกังวล

    อาจมีอาการทีละอย่าง หรือ หลายอย่างพร้อมกัน 

    สมองส่วนหน้า สมองส่วนกลาง สมองส่วนหลัง อยู่กันคนละส่วน แต่มีเซลล์ประสาทกลุ่มเดียวที่ควบคุมกันไหลเวียนของเลือดทั้งสามส่วน

    เลือดไปเลี้ยงสมองส่วนหน้าได้น้อย
    วันข้างหน้าก็จะมีหินปูนเกาะที่สมองส่วนหน้า แล้วจะมีอาการนอนไม่ค่อยหลับ เป็นเหตุให้ ตาเป็นต้อ จอประสาทตา เริ่มเสื่อม ปัสสาวะบ่อย เป็นฝ้า หน้าดำ

    เลือดไปเลี้ยงสมองส่วนกลางได้น้อย
    จะมีอาการ ง่วงนอนบ่อย หรือง่วงนอนทั้งวัน ปวดเมื่อยเนื้อตัว ปวดส้นเท้า ขี้โมโห ท้องอืด อาหารไม่ยอ่ย ต่อไปวันข้างหน้าความจำจะเสื่อม เริ่มจำไม่ค่อยได้ **แต่ความจำระยะยาวคือเรื่องเก่าๆ ยังจำได้ ส่วนความจำระยะสั้น คือเรื่องใหม่ๆ ในปัจจุบันจะจำไม่ค่อยได้ หลงๆ ลืมๆ พูดวนไปวนมา ความจำจะเสื่อมลงเรื่อยๆ

    เลือดไปเลี้ยงสมองส่วนหลังได้น้อย
    จะมีอาการ แขนขาไม่ค่อยมีแรง เดินไม่ค่อยไหว ตอนตื่นนอนบางครั้งจะมีอาการแขนขาตายเหมือนผีอำ ขยับตัวไม่ค่อยได้





    Create Date : 13 กรกฎาคม 2559
    Last Update : 21 มิถุนายน 2561 14:50:29 น.
    Counter : 645 Pageviews.

    2 comment
    (เรื่องขี้ๆ) ไม่ขับถ่ายตอนเช้า จะเกิดอะไรขึ้น







    ในช่วงเวลา 05.00 - 07.00 น. เป็นเวลาของลำไส้ใหญ่ถ้ายังไม่ยอมขับถ่ายอุจจาระแล้วปล่อยเวลาเลยมาถึง 07.00- 09.00 น. ซึ่งเป็นเวลาของกระเพาะอาหารแล้วไม่ยอมกินข้าวเช้าอีก อุจจาระจากลำไส้ใหญ่ ผ่านลำไส้เล็กมาที่กระเพาะอาหาร ก็จะถูกดูดซึมซำ้อีกครั้ง ในอุจจาระเก่ามีแก๊สที่เสียแล้ว เกิดจากการบูดเน่าโดยอุณหภูมิของร่างกายซึ่งมีความร้อน 37 องศาตลอดเวลา ไม่เหมือนกับตู้เย็นที่เก็บได้นานกว่า เพราะฉะนั้นแก๊สพิษเหล่านี้จะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด เลือดจึงไม่สะอาด ถ้าเลือดที่ไม่สะอาดไหลไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกายไหลผ่าน สมอง หัวใจ ปอด ม้าม ตับ ผิวหนัง ก็จะได้รับพิษจากแก๊สพิษด้วย

    • ก่อนเที่ยงถึงบ่าย ง่วงนอน เพราะเลือดไม่สะอาดไปเลี้ยงหัวใจ หัวใจก็อ่อนล้า ไม่สดชื่น
    • มีกลิ่นตัว กลิ่นปาก ก็มาจากเลือดไม่สะอาดไปเลี้ยงปอด ปอดจะขับออกทางผิวหนังและลมหายใจ ตัวเองไม่ค่อยได้กลิ่น แต่คนอื่นได้กลิ่น
    • ถ้าปล่อยไว้โดยไม่ขับถายในช่วงเวลา 05.00-07.00 น. นานๆเข้าเป็นระยะเวลาหลายๆ ปี เลือดที่ไม่สะอาดไหลผ่านไปเลี้ยงสมอง และไม่กินอาหารมื้อเช้าช่วงเวลา 07.00-09.00 น. สมองก็จะไม่ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เมื่อแก่ตัวควมจำจะเสื่อมเร็ว
    • ปวดเข่า เมื่ออายุมากชึ้น เป็นริดสีดวงทวาร

    วิธีแก้


    • พยายามขับถ่ายหว่างเวลา 05.00-07.00 น. ถ้าไม่ขับถ่ายให้กินขมิ้นชันเป็นประจำเพื่อบริหารลำไส้ใหญ่
    • ควรกินข้าวเช้าทุกวัน ระหว่างเวลา 07.00-09.00 น.



    Create Date : 13 กรกฎาคม 2559
    Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2562 10:58:58 น.
    Counter : 2624 Pageviews.

    2 comment

    Location :
      

    [ดู Profile ทั้งหมด]
     ฝากข้อความหลังไมค์
     Rss Feed
     Smember
     ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]