Young Spokesman 4 I love Thailand
Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2551
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
29 กรกฏาคม 2551
 
All Blogs
 

บทความ : การศึกษากฎหมาย

ข้อคิด : สิ่งละอันพันละน้อยต่อปัญหาการเรียนการสอน และเทคนิคการตอบปัญหากฎหมายของนักศึกษาคณะนิติศาสตร์




รองศาสตราจารย์ ดร.ภูมิ โชคเหมาะ




ผู้เขียนรู้สึกเป็นเกียรติและยินดีที่มีส่วนร่วมในการเผยแพร่ข้อคิดดังกล่าวเพราะคิดว่าแนวความคิดและประสบการณ์ของการเป็นนักศึกษาที่เรียนวิชากฎหมายด้วยตนเองมาก่อน ควรจะได้เผยแพร่และเป็นประโยชน์ต่อนักศึกษาทั้งที่มาเรียนประจำนักศึกษาที่มาเรียนเป็นครั้งคราวและนักศึกษาที่ไม่มีโอกาสมาเรียนเลยความจริงมีคณาจารย์ที่เชี่ยวชาญหลายท่านได้เขียนคำแนะนำในการศึกษากฎหมายไว้เป็นที่แพร่หลายและเป็นประโยชน์อย่างมาก เช่น ศ.ธานินทร์ กรัยวิเชียร, รศ.สัมฤทธิ์ รัตนดารา, อ.มานิตย์ มานะทัติ ฯลฯ นักศึกษาอาจหาดูได้จากหอสมุดและยังอาจมีจำหน่ายตามร้านหนังสือกฎหมายทั่ว ๆ ไป

ความรู้เบื้องต้นและวิธีการเรียนกฎหมาย

การศึกษาทุกระดับ นักศึกษาไม่อาจเลี่ยงพุทธสุภาษิตที่มีการเรียกขานเป็นคำย่อคือ “สุจิปุลิ” หรือ “ฟัง คิด ถามเขียน”นั่นเองนอกจากนั้นนักศึกษาต้องมีวิริยะหรือความขยันหมั่นเพียรในการศึกษาค้นคว้าวิชาการทุกกระบวนวิชาที่ได้ลงทะเบียนไว้แล้วด้วยพุทธสุภาษิตดังกล่าวหมายความว่า นักศึกษาต้องเป็นนักฟังที่ดีคือฟังอย่างมีสมาธิ อาจเป็นการฟังคำบรรยายในชั้น หรือสื่อการสอนอย่างอื่น เช่น วิทยุ โทรทัศน์ ฟังแล้วคิดตาม ถ้าอยู่ในชั้นเรียนก็มีโอกาสถามอาจารย์ ผู้บรรยายได้ หรือถามที่ห้องพักของท่านก็ได้ ไม่มีอาจารย์คนใดรังเกียจปัญหาหรือคำถามของนักศึกษา นักศึกษาที่ไม่สามารถฟังบรรยายอาจใช้บริการของสื่อสารแห่งประเทศไทยก็ได้ ที่สำคัญคือ ไม่ลืมสอดซองและติดแสตมป์ จ่าหน้าถึงนักศึกษาด้วย เมื่อคิดและถามแล้วหรือได้ศึกษาแล้วย่อมเกิดความเข้าใจ และเพื่อกันลืมควรเขียนจำแนกแจกแจงความเข้าใจนั้นไว้ในสมุดหรือในหน้าหนังสือที่ว่าง จะทำให้จับประเด็นของเรื่องที่ศึกษาได้เข้าใจและจดจำได้แม่นยำนักศึกษาที่ศึกษา

เช่นนี้ หนังสือจะมีรอยขีดเขียนเต็มไปหมด แสดงว่า นักศึกษาดูหนังสือเป็นหนังสือดังว่านี้จึงมีค่ามากสำหรับนักศึกษาผู้นั้น เป็นการเพิ่มมูลค่าของหนังสือนั้นด้วยตัวนักศึกษาเอง ผู้เขียนอ่านหนังสือพร้อมกับพยายามจับใจความของเรื่องให้ได้ เมื่อจับได้แล้วก็ทำโน้ตย่อลงในที่ว่างของหนังสือเรียงรายหน้าไป หรือไม่ก็ขีดใจความสำคัญไว้ บางคนก็ขีดสีต่าง ๆ เต็มพืดไปหมดจนดูเหมือนกับว่าหนังสือทั้งหน้านั้นสำคัญหมดอย่างแยกไม่ออกสุดแล้วแต่ความถนัดของแต่ละคนก็นับได้ว่าดีกว่าปล่อยให้หนังสือนั้นสะอาดหมดจดเมื่อจับใจความสำคัญได้แล้ว การดูหนังสือในรอบต่อไปก็ง่ายเข้าไปอีกและถ้าได้ทบทวนในส่วนที่คิดว่าสำคัญดังกล่าวก่อนสอบเป็นครั้งที่สามแล้วยิ่งมีความมั่นใจในการสอบไล่กระบวนวิชานั้นมากยิ่งขึ้น นั่นย่อมหมายความว่านักศึกษาได้ดูหนังสืออย่างน้อย 2 รอบ และถ้าได้รอบที่ 3 ด้วยแล้ว นักศึกษาแทบจะไม่พลาดการสอบไปได้เลย ความวิริยะอุตสาหะ หรือความขยันหมั่นเพียรในการดูตำราเท่านั้นที่ช่วยให้นักศึกษาก้าวเดินขึ้นบันไดทองของชีวิตในการศึกษากฎหมาย

การศึกษากฎหมายนั้นนักศึกษาต้องทุ่มเทความพยายามดังกล่าวให้มาก ไม่ปรากฏเลยว่านักนิติศาสตร์และนักกฎหมายที่มีชื่อเสียงเป็นคนเกียจคร้าน หรือขยันน้อยเลย ความจริงแต่ละท่านล้วนขยันหมั่นเพียรด้วยการดูหนังสือนับสิบเที่ยวหรือมากกว่านั้นการเรียนวิชาการใด นักศึกษาต้องทราบลักษณะข้อสอบเป็นเบื้องต้นว่าวิชานั้น ๆ เป็นข้อสอบปรนัยหรือข้อสอบอัตนัย ลักษณะข้อสอบปรนัยคือให้เลือกตอบข้อที่ถูกที่สุดเพียงข้อเดียวใน 4-5 ข้อ จึงมีข้อสอบจำนวนมาก นักศึกษาต้องดูหนังสือให้ละเอียดและลึกซึ้ง ถ้านักศึกษาเตรียมตัวมาดีแล้ว จะรู้สึกว่าข้อสอบแต่ละข้อนั้นมีข้อที่ถูกที่สุดเพียงข้อเดียวจริง ๆ ตรงข้าม ถ้าเตรียมตัวมาไม่ดีหรือไม่พร้อมแล้ว จะรู้สึกว่ามีข้อที่ถูกอยู่หลายข้อ ไม่รู้จะเดาข้อไหน ดูมันถูกทั้งหมดหรือเกือบหมดที่เตรียมตัวมาบ้างแต่ก็ยังไม่มากพอ บางครั้งอาจเห็นข้อถูกเพียง 2 ข้อ อีก 2ข้อรู้ว่าผิดแน่ ก็ยังคงมีปัญหาอีกว่าจะเลือกข้อไหนดี ทางออกก็คือ “เดา” เป็นผลให้ “เศร้า”ในวิชานั้นสำหรับข้อสอบอัตนัย อาจารย์ออกข้อสอบง่าย แต่โอกาสเดาของนักศึกษาแทบจะไม่มีทางเลย นักศึกษาต้องดูหนังสือให้มากเช่นเดียวกันและต้องจับใจความสำคัญของเรื่องให้ได้อย่างแม่นยำ ส่วนรายละเอียดของเรื่องก็อย่าได้ละเลย จะต้องนำรายละเอียดเหล่านั้นมาเขียนอธิบายหรือวินิจฉัยให้เป็นที่ประจักษ์ด้วยการเรียนด้วยตนเอง ด้วยตัวคนเดียว มีทั้งข้อดีและข้อเสีย

ข้อดี ก็คือ มีสมาธิแน่วแน่ เป็นผลให้ทำความเข้าใจในเรื่องที่ศึกษาได้แม่นยำและรวดเร็ว แต่จะมากน้อยแค่ไหนย่อมแล้วแต่แต่ละบุคคลซึ่งมีความตั้งใจและมีสมาธิสติปัญญาแตกต่างกันไปบ้าง

ข้อเสีย คือ ความคิดไม่หลากหลาย เข้าใจเรื่องราวในวงแคบ บางครั้งคิดว่าตนเองเข้าใจหมดแล้ว แต่ความจริงยังมีแง่มุมอีกมากที่คิดไม่ถึง หรือไม่คาด-คิดว่าจะเกิดขึ้นแต่คนอื่นเขามองเห็นและเข้าใจบางเรื่องลึกซึ้งกว่าเรา นักศึกษาดูหนังสือแล้วลองตั้งปัญหาถามตัวเองดู ถ้าตอบได้ก็แสดงว่าเรียนรู้เข้าใจแล้ว แต่อย่านึกว่าเข้าใจทั้งหมดและลึกซึ้ง ลองให้คนอื่นที่เรียนรู้ด้วยกันตั้งปัญหาถามบ้าง นักศึกษาอาจตอบไม่ได้เพราะไม่คิดว่าจะมีปัญหา เช่นนั้นเกิดขึ้น ผู้เขียนไม่เคยคิดเลยว่าตนเองเชี่ยวชาญในวิชาการแขนงใด กลับคิดว่าตัวเองยังเรียนรู้ในวิชาการนั้น ๆไม่ลึกซึ้ง จำต้องศึกษาอีกมาก แสดงว่าไม่เคยตั้งอยู่ในความประมาท ปัญหาหลากหลายของนักศึกษาช่วยสะท้อนความเข้าใจของผู้เขียนได้มาก บางปัญหาผู้เขียนนึกไม่ถึงเลยว่าจะเกิดขึ้น แต่นักศึกษาตั้งขึ้นมาให้ตอบทำให้ต้องออกตัวเสียก่อน เพราะ “นึกไม่ถึง” จริง ๆ เลยทำให้ “นึกไม่-ออก” ไปด้วย การเรียนด้วยตนเองเท่าที่ผู้เขียนได้ประสบมา จำต้องมีขันติ (ความอดทน) อย่างมาก มิฉะนั้นความ“เซ็ง” หรือความเบื่อหน่ายจะเข้ามาแทนที่โดยง่าย และเมื่อนั้นนักศึกษาจะประสบความสำเร็จได้ยากยิ่ง การเรียนเป็นกลุ่ม หรือเป็นหมู่ หรือเป็นพวกแล้วแต่จะเรียก ส่วนใหญ่นิยมกันในหมู่นักศึกษาที่มาเรียนประจำ ย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสียเช่นเดียวกัน

ข้อดี คือ มีความหลากหลาย ความเข้าใจลึกซึ้งในเรื่องของแต่ละคนไม่เท่าเทียมกัน ย่อมช่วยพยุงหรือช่วยกันติวได้ หรืออาจแบ่งเรื่องเพื่อให้แต่ละคนไปค้นคว้าหรือทำความเข้าใจแล้วมาพูดคุยหรือทบทวนให้กัน ถ้าแต่ละคนเข้าใจในหน้าที่ของตนและทำได้ตามนั้นแล้วย่อมเกิดผลดีอย่างไม่มีปัญหา ที่สำคัญคือได้เพื่อนดีมีมานะ ชักจูงกันไปในทางที่ดี ก้าวหน้า จะประสบความสำเร็จโดยเร็วทั้งกลุ่มเป็นการสนับสนุนความจริงที่ว่า “คนเราจะอยู่แต่เพียงลำพังคนเดียวไม่ได้ ซึ่งถ้าอยู่คนเดียวไปนาน ๆ ความว้าเหว่สิ้นหวัง เหงาหงอย โดดเดี่ยวเดียวดายเหม่อลอย จะเข้ามาแทนที่ นั่นแหละ
แสดงว่า “ความบ้าฯ” กำลังเดินเข้ามาหาเขาแล้ว

ข้อเสีย คือ ถ้าบางคนไม่มีอุดมการณ์ที่แน่วแน่แล้ว ย่อมไม่ได้เรื่องเช่นมีการชวนพูดคุยกันชักชวนกันไปในทางที่ผิดหรือไม่สมควร เช่น ดื่มสุรา เสพยาเสพติด เที่ยวเตร่หาความสำราญ หรือเล่นไพ่เพราะอยู่กัน “ครบเครื่อง” และ “ครบขา” สนุกสนานจนลืมดูหนังสือ บางทีจนลืมกินข้าวก็มี พอหายเครียดเจ้าตัวคิดว่าปลอดโปร่งมากพอที่จะดูหนังสือได้แล้วหยิบหนังสือมานั่งดูได้ไม่นาน ก็คว่ำหน้าจูบหนังสือน้ำลายยืด (สำหรับคนที่นั่งดูหนังสือ) และบางที ีก็ถูกหนังสือดูแทน (สำหรับคนที่นอนดูหนังสือ)วิธีการดูหนังสือที่ดีนั้นนักศึกษาต้องมีสมาธิดี นั่นคือ มีจิตใจปลอดโปร่งไม่เครียดมาก ควรนั่งในท่าที่สบายถ้ารู้สึกง่วงก็ควรงีบเสีย อย่าฝืนเลย เพราะหากฝืนดูแล้วย่อมจำไม่ค่อยได้ ไม่คุ้มกัน สู้พักผ่อนให้สมองปลอดโปร่งเสียก่อน ตื่นขึ้นมาแล้วสดชื่นแจ่มใส ดูหนังสือเล่มใดก็เข้าใจได้เร็วและจดจำได้แม่นยำ ผู้เขียนมีเพื่อนร่วมชั้นเรียนอยู่คนหนึ่ง เมื่อครั้งเรียนอยู่ที่โรงเรียนชุมพลทหารเรือแกแก้ง่วงด้วยการยืนดูหนังสือ ปรากฏว่ายืนดูหนังสือก็ยังง่วงอยู่อีก แกก็เลยคว้าเก้าอี้ขึ้นมาทูนไว้บนศีรษะดูหนังสือ ปรากฏว่าหายง่วงไปได้ แต่รู้ไหมว่าแกสอบตกวิชานั้นและอีกหลาย ๆ วิชาทั้งนี้เพราะไม่รู้จักแบ่งเวลาในการเรียนและไม่รู้จักพักผ่อนในเมื่อร่างกายต้องการพัก คนเราถ้าขยันเกินไปก็ไม่ค่อยจะดีนัก ถ้าทำให้ร่างกายและสมองเหน็ดเหนื่อยเกินไป ผลที่ได้จะ
ไม่เท่าผลที่เสีย คิดว่าควรเดินสายกลางหรือปฏิบัติตนตามสายกลาง หรือ “มัฌมาปฏิปปทา”ตามพุทธโอวาทเป็นดีที่สุดกล่าวคือไม่ตึงเกินไปหรือหย่อนเกินไป

การสอบการเตรียมตัวหรือการเตรียมพร้อมที่จะสอบเมื่อนักศึกษาได้ปฏิบัติตนตามวิธีการเรียนวิชาการต่าง ๆ ดังได้กล่าวมาแล้ว ย่อมแสดงว่านักศึกษาได้ศึกษาวิชาการนั้น ๆ อย่างบริบูรณ์แล้ว แน่นอน ถือว่าเป็นการเตรียมตัวที่ดี หมายความว่า นักศึกษาได้เตรียมตัวพร้อมที่จะเข้าสอบวิชานั้น ๆ แล้ว จัดว่าเป็นการเตรียมพร้อมทางด้านวิชาการ แต่การดูหนังสืออย่างเดียว ผู้เขียนคิดว่ายังไม่บริบูรณ์นัก นักศึกษาต้องหัดทำแบบฝึกหัด หัดตอบคำถามจากปัญหาที่ตั้งขึ้นเองหรือเพื่อนหรืออาจารย์ได้ตั้งปัญหาให้หัดวินิจฉัย แม้กระทั่งคำถามและแนวคำตอบเก่า ๆ นักศึกษาต้องให้ความ สนใจให้มากด้วย เพราะแนวคำถามและคำตอบเก่า ๆ นับว่าเป็นสาระสำคัญหรือจุดเด่นของเรื่องที่เราศึกษาในแต่ละวิชาทั้งยังมีส่วนอธิบายความหมายตอนสำคัญ ๆ ในวิชานั้น ๆ ด้วย นอกจากนี้แนวข้อสอบที่เพิ่งออกไป นักศึกษามักเดาได้ว่า ผู้ออกข้อสอบมักจะไม่นำมาถามซ้ำอีก เป็นการตัดเนื้อหาในเรื่องเหล่านั้นออกย่อมเป็นการประหยัดเวลาดูหนังสือได้มาก แม้ถึงว่าจะออกซ้ำอีก เมื่อนักศึกษาได้ดูแล้วก็ย่อมตอบได้อยู่ดี แต่อย่างไรก็ดี อย่าได้ตั้งอยู่ในความประมาท ผู้ออกข้อสอบอาจนำข้อสอบเก่าไปดัดแปลงก็ได้ หากไม่แม่นจริงอาจ “ผิดหวัง” ได้ เพราะข้อสอบเก่านั้น ผู้ออกข้อสอบบางท่านชอบนำไปพลิกแพลงทำให้นักศึกษา “เพลี่ยงพล้ำ” ได้

การเตรียมพร้อมทางด้านวิชาการเท่าที่กล่าวมายังไม่เพียงพอ นักศึกษาต้องเตรียมสุขภาพของตนให้ดีด้วย หมายความว่า ต้องรักษาสุขภาพและจิตใจให้อยู่ในสภาวะที่ดี อย่าทรมานร่างกายให้อ่อนระโหยโรยแรงหน้าซีดเซียวเหมือนไก่ต้ม ทั้งต้องระวังจิตใจไว้ให้ดี อย่าได้เศร้าหมอง นักศึกษาส่วนใหญ่อยู่ในวัยรุ่นหนุ่มสาวจัดเป็นวัยรัก (รักสวยรักงาม) และวัยเรียน “วันแห่งความรัก (Valentine’s Day)” จึงเป็นวัยที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งนักศึกษาพึงสำรวจตัวเองเสมอว่าตนเองก้าวหน้าหรือถอยหลัง พยายามเตือนตนให้มาก ๆ ก่อนที่คนอื่น (พ่อแม่ ญาติ-มิตร) จะเตือนท่าน สำหรับวัยกลางคนและวัยรุ่นชราที่ยังอยู่ในช่วงของการศึกษา สิ่งเร้าจากครอบครัวและหรือภาระหน้าที่การงานมีส่วนกระทบกระทั่งการศึกษาต่ออยู่มาก จำต้องมีขันติ (ความอดทน) และความขยันหมั่นเพียรอย่างหนักเช่นเดียวกัน อย่าน้อยอกน้อยใจในวาสนา จงนึกไว้เสมอว่า “ไม่มีใครแก่เกินเรียน”นอกเหนือจากการเตรียมพร้อมทางด้านวิชาการและการเตรียมสุขภาพของตนแล้ว นักศึกษายังต้องเตรียมอุปกรณ์การสอบไว้ให้ครบถ้วน เช่น ถ้าเป็นข้อสอบปรนัยต้องเตรียมดินสอ IBM มีดพับและยางลบให้พร้อม

ถ้าเป็นข้อสอบอัตนัยต้องเตรียมปากกาไว้อย่างน้อย 2 ด้ามและยางลบหรือน้ำยาลบคำผิด ตลอดทั้งบัตรประจำตัวนักศึกษา บัตรประชาชน หรือบัตรประจำตัวข้าราชการ และหลักฐานการลงทะเบียนติดตัวมาในวันสอบด้วย ทั้งต้องดูตารางสอบให้แน่นอนว่าวิชาใดสอบวัน-เวลาสถานที่ใดถ้าอยากทราบที่นั่งอยู่แถวใดของตึกสอบนั้น ๆ ก็ต้องไปดูที่ตึกสอบนั้น ๆ เสียแต่เนิ่น ๆ หลังจากนั้นใช้เวลาว่างที่เหลือซึ่งถือว่าเป็น “นาทีทอง” ของตนให้เป็นประโยชน์ เช่น ทบทวนวิชาที่เตรียมตัวไว้อย่างดีแล้วอีกเพื่อความไม่ประมาท หรืออาจเดินไปเรียบ ๆ เคียง ๆ กลุ่มนักศึกษาอื่นที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์วิชาที่ตนจะเข้าสอบ อาจได้กลเม็ดใหม่ ๆ ก็ได้ เวลาในช่วงนี้สำหรับนักศึกษาที่มิได้เตรียมตัวมาดีพอ แทบจะไม่มีประโยชน์เลย ที่สอบได้ก็นับว่า “ฟลุ๊ค” มาก แม้สอบได้ก็ไม่เข้าใจลึกซึ้งในเนื้อหาวิชานั้นดีพอ ไปสอบแข่งขันก็มักจะสู้เขาไม่ได้ บางคนอาจคิดว่าขอแค่ผ่านไปก่อนแล้วค่อยรื้อฟื้นใหม่หลังจากจบไปแล้ว เป็นการผลัดวันประกันพรุ่ง โอกาสที่จะรื้อฟื้นนั้นมีน้อยมาก มักไม่ทันการเสียมากกว่า ดังนั้นนักศึกษาที่ชอบดูหนังสือใกล้สอบมาก ๆ หรือดูในวันสอบแบบ “หาค่ำกินเช้า” หรือ “หาเช้ากินบ่ายหรือกินค่ำ” รับรองได้ว่าผู้นั้นจะประสบความสำเร็จได้ยากยิ่ง นอกจากนี้การเตรียมตัวในเรื่องเครื่องแต่งกาย ก็เป็นสิ่งจำเป็น กล่าวคือต้องแต่งกายสุภาพเรียบร้อยตามข้อปฏิบัติในการสอบไล่ เสื้อผ้า-กางเกงหรือกระโปรงต้องสะอาด หากไม่สะดวก นอกจากสร้างความรำคาญให้แก่นักศึกษาใกล้เคียงแล้ว ยังอาจเป็นผลร้ายต่อนักศึกษาอีกด้วย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจทำให้เกิดอาการคันตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เป็นผลให้ไม่มีสมาธิในการตอบคำถาม นักศึกษาชายที่ติดบุหรี่นั้นบางคนถ้าไม่ได้ “อัดควันบุหรี่” แล้วสมองไม่แล่น ไม่ปลอดโปร่งเลย อันนี้น่าเห็นใจมาก
แต่นักศึกษาที่ไม่ชอบบุหรี่ก็มีเป็นส่วนมาก บางคนถึงขนาดสำลักควันบุหรี่ ทำให้ไม่มีสมาธิทำข้อสอบเลย หรือทำให้เขาหย่อนความสามารถในการทำข้อสอบก็มี ผู้สูบบุหรี่พึงใช้ความอดกลั้นให้มาก ถ้าทนได้ก็ควรงดชั่วคราว หากทนไม่ได้จริง ๆ ก็อาจขออนุญาตกรรมการคุมสอบออกมาหน้า-หลังห้อง หรือข้างห้องอัดบุหรี่ให้ชุ่มปอด แล้วค่อยเข้าไปก็ได้ ผลดีหรือผลเสียจะเกิดแก่นักศึกษาผู้นั้นมากน้อยแค่ไหนก็ได้โปรดชั่งเอาเอง อนึ่งการแต่งกายที่ไม่สุภาพ ก็มีให้พบเห็นบ่อย ๆ กรรมการคุมสอบมักตักเตือนนักศึกษาผู้นั้นเป็นผลให้นักศึกษาผู้นั้นหงุดหงิด อารมณ์เสีย (ทั้งที่รถไม่ติด) อาจทะเลาะกับกรรมการฯ ย่อมเป็นผลต่อการลงโทษทางวินัยแก่นักศึกษาผู้นั้นได้

นอกจากนั้นการที่อารมณ์ต้องมาเสียกับเรื่องดังกล่าวย่อมมีผลบั่นทอนความรู้ที่เตรียมตัวมาแล้วได้บ้างไม่มากก็น้อย นอกจากนี้ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ นักศึกษาควรมีนาฬิกาติดตัวไว้ดูเวลาด้วย สมัยนี้นาฬิกามิใช่เป็นของฟุ่มเฟือย แต่เป็นสิ่งจำเป็นในการบอกเวลาที่ใช้ในการสอบ จะทำข้อสอบได้เหมาะสมกับเวลา การรอคอยฟังออดสัญญาณบอกเวลาของมหาวิทยาลัยนั้นนับว่าเสี่ยงมาก นักศึกษาที่ไม่มีนาฬิกาดู มักสอบถามกรรมการฯ นับว่าสร้างความรำคาญแก่กรรมการมากเหมือนกัน บางคนชะเง้อหรือเอี้ยวตัวดูนาฬิกาคนอื่น และบางคนถึงขนาดตะโกนถามทำให้กรรมการฯ เข้าใจผิดว่ามีเจตนาทุจริตในการสอนได้ง่าย ทำให้มีการถกเถียงกันง่าย นักศึกษาควรระลึกสิ่งเล็กๆ น้อย ๆ เหล่านี้ด้วย

การทำข้อสอบ

ก่อนทำข้อสอบ นักศึกษาควรเขียนชื่อ นามสกุล รหัสประจำตัว วันเดือนปีที่สอบและตึกสอบให้ครบถ้วน อ่านคำสั่งให้ดีจากนั้นก็เริ่มอ่านปัญหา (ในใจ) อย่างช้า ๆ และระมัดระวัง จับประเด็นของปัญหาให้ได้ครบถ้วนว่าเขาถามว่าอะไร มีกี่ประเด็น แต่ละประเด็นเป็นเรื่องอะไร จะต้องนำหลักกฎหมายใดเข้าปรับ เมื่อนึกได้แล้วก็ต้องยกหลักกฎหมายนั้นมาอ้างและต้องตอบให้ครบทุกประเด็นที่ถาม ปัญหาที่ถามคือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เมื่อนักศึกษาได้เรียนรู้หลักกฎหมาย (ข้อ-กฎหมาย) ในเรื่องต่าง ๆ แล้ว จะนำข้อเท็จจริงมาปรับเข้ากับหลักกฎหมายหรือข้อกฎหมายใด คำตอบจะออกมาเองโดยอัตโนมัติ ปัญหา (คำถาม) วิชากฎหมาย (อัตนัย) ส่วนใหญ่มี 2 ลักษณะ คือ ปัญหาวินิจฉัย (หรือปัญหาตุ๊กตาหรือปัญหาอุทาหรณ์) และปัญหาความจำ (หรือปัญหาอธิบาย) นอกจากนี้บางวิชายังมีปัญหาโจทย์เลขและปัญหาให้แสดงความคิดเห็นหรือให้วิเคราะห์ ทุกปัญหานักศึกษาต้องเข้าใจและจำหลักกฎหมายได้แม่นยำเหมือนกัน

การตอบปัญหาวินิจฉัยหรือปัญหาตุ๊กตา

นักศึกษาต้องจับประเด็นที่เขาถามในแต่ละข้อให้ได้ว่าเขาถามเรื่องอะไร ประเด็นหรือหัวใจของเรื่องอยู่ตรงไหน มีหลักกฎหมายในเรื่องนี้ว่าไว้อย่างไร เมื่อได้แล้วก็ยกหลักกฎหมายนั้นมาอ้างไว้ แล้วนำข้อเท็จจริงตามปัญหานั้นมาปรับเข้ากับหลักกฎหมายที่ยกขึ้นอ้างไว้นั้น ผล (คำตอบ) จะออกมาเอง กล่าวโดยย่อ

การตอบปัญหาวินิจฉัยนั้น นักศึกษาพึงยึดหลัก 3 ประการคือ (1) จับประเด็น
(2) อ้างหลักกฎหมาย และ
(3) นำข้อเท็จจริงตามปัญหามาปรับเข้ากับหลักกฎหมายนั้น ๆ อนึ่งการอ้างหลักกฎหมาย อย่าใช้ถ้อยคำว่า “กฎหมายบัญญัติว่า” ควรเลี่ยงไปใช้ข้อความว่า “ในเรื่องนี้กฎหมายบัญญัติไว้มีข้อความ (หรือใจความ) สำคัญว่า” หรือใช้ความอื่นทำนองเช่นเดียวกัน

นอกจากนั้นเมื่อวินิจฉัยเสร็จแล้ว ควรจะสรุปคำตอบออกมาให้เห็นเด่นชัด ว่ามีผลเป็นอย่างไร อนึ่งนักศึกษาควรรู้แนวการตอบด้วยว่ากฎหมายลักษณะใดควรตอบอย่างไร เมื่ออ้างหลักกฎหมายแล้วจำต้องอธิบายหลักกฎหมายก่อนหรือไม่เรื่องนี้พอจะแยกออกได้ กล่าวคือ ถ้าเป็นกฎหมายอาญา (อัตนัย) นักศึกษาต้องอธิบายความหมายของมาตรานั้น ๆ ด้วย (คืออธิบายองค์ประกอบของมาตรานั้น ๆ) แต่ถ้าเป็นปัญหากฎหมายแพ่งที่จำต้องอ้างกฎหมายหลายบท ส่วนใหญ่ไม่จำต้องอธิบายตัวบท เพียงยกขึ้นอ้างก็เพียงพอ ยกเว้นวิชา ป.พ.พ.ว่าด้วยละเมิด ฯลฯ

การตอบปัญหาความจำหรือปัญหาอธิบาย

นักศึกษาต้องตอบให้ละเอียดกว้างขวางและลึกซึ้ง (เว้นแต่จะระบุให้อธิบายโดยย่อ โดยสังเขป หรือระบุให้อธิบายไม่เกินเท่านั้นเท่านี้บรรทัด ก็จงอย่าได้ฝ่าฝืน เพราะการฝ่าฝืนอาจเป็นผลเสียต่อนักศึกษาผู้นั้น) การตอบปัญหาอธิบาย นักศึกษาจำต้องนำวิชาเรียงความมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ส่วนใหญ่ก็ให้อธิบายหลักกฎหมาย นักศึกษาต้องอธิบายให้กว้างขวาง แสดงความรู้ความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์ หากยกตัวอย่างหรืออุทาหรณ์ประกอบด้วยแล้วยิ่งจะมีค่ามากขึ้น (ได้คะแนนมากขึ้น) แม้ถึงว่าจะไม่มีคำสั่งระบุให้ยกตัวอย่างก็ตาม อนึ่งการที่เราจะอธิบายได้มากน้อยแค่ไหนนั้นย่อมขึ้นอยู่กับเวลาด้วย กล่าวคือ ควรเขียนอธิบายให้จบภายในเวลาพอสมควร มิใช่ขึ้นต้นแล้วเขียนหัวข้อต่อมา อธิบายเพลินไปจนล่วงเลยเวลาไปมาก บางคนถึงขนาดจบไม่ลง นับว่าเป็นผลเสียมากกว่าผลดี


ในท้ายที่สุดนี้ ก่อนสอบไล่ควรสละเวลาไปพบคณาจารย์และไม่ควรอย่างยิ่งที่จะถามว่าจะออกอะไร ตรงไหนฯลฯ คณาจารย์ ส่วนใหญ่มักจะมีขอบข่ายหรือสาระสังเขปของกระบวนวิชานั้น ๆ รวมทั้งเนื้อหาที่เด่น น่าสนใจ ตลอดจนบรรณานุกรม แสดงไว้ข้าง หรือหน้าห้องพักหรือบอร์ดประกาศ สิ่งนั้นคือความปรารถนาดีของคณาจารย์ที่มุ่งหวังจะมอบให้ศิษย์เป็นการทดแทนที่นักศึกษาไปแล้วไม่พบอาจารย์ แต่ก็เชื่อว่าตรงกับความต้องการของนักศึกษาแล้วกระมัง

เทคนิคการตอบปัญหากฎหมาย

การศึกษาเพื่อรับวุฒิบัตรทุกระดับ จำเป็นต้องมีการวัดผลการศึกษาด้วยการสอบ อาจมีสอบกลางภาคและสอบปลายภาคหรือปลายภาคเพียงลำพัง การวัดผลหรือการสอบโดยทั่วไปมี 2 รูปแบบ คือ สอบปากเปล่าและสอบข้อเขียน การสอบข้อเขียนมี 2 รูปแบบ คือ แบบปรนัยและแบบอัตนัย ในการวัดผลทางด้านนิติศาสตร์นิยมวัดผลโดยสอบแบบอัตนัยที่มีการจำแนกข้อสอบออกเป็น 2 ลักษณะคือ ข้อสอบ/คำถามแบบให้อธิบาย และข้อสอบ/คำถาม แบบให้วินิจฉัย (ตุ๊กตา)

1. ข้อสอบให้อธิบาย ส่วนใหญ่ให้นักศึกษาอธิบายถ้อยคำ ความหมายคำจำกัดความ บทนิยามศัพท์ หรือบทวิเคราะห์ศัพท์ ตัวบทกฎหมายหรือหลักกฎหมายมีการเรียกขานปัญหาลักษณะนี้ว่าเป็น “ปัญหาความจำ” กล่าวคือหากจำไม่ได้ก็อธิบายไม่ได้และมีความรู้สึกร่วมกันว่าเป็นข้อสอบที่ไม่ยากแต่ก็ไม่ง่าย ความจริงแล้วปัญหาอธิบายนั้นต้องอาศัยทักษะในการเรียบเรียงเนื้อหาคำอธิบายออกเป็นความเรียงร้อยแก้วที่เป็นระบบตามความต้องการของผู้ถาม กล่าวคือ กรณีมีถ้อยคำปรากฏในคำถามว่า “ให้อธิบายโดยสังเขป” ก็ต้องตอบหรืออธิบายโดยสังเขปเฉพาะประเด็นสำคัญ ๆ ตามที่นักศึกษาเห็นว่าเป็นเนื้อใหญ่ใจความของปัญหาที่ให้อธิบาย แต่กรณีที่มีถ้อยคำปรากฏในคำถามว่า “ให้อธิบายโดยละเอียด” หรือ “ให้อธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบคำอธิบาย” นักศึกษาก็มีหน้าที่ต้องตอบตามคำสั่งคือต้องอธิบายโดยละเอียดหรืออธิบายพร้อมกับยกตัวอย่าง ตามความจริงแล้วปัญหาข้อสอบให้อธิบายนั้น แม้จะไม่มีคำสั่งให้ยกตัวอย่างประกอบคำอธิบาย นักศึกษาก็ควรยกตัวอย่างประกอบคำอธิบายด้วยเนื่องจากตัวอย่างที่ประกอบคำอธิบายนั้นเป็นส่วนหนึ่งของความเรียงร้อยแก้ว และเป็นการวัดความเข้าใจที่แท้จริงของนักศึกษาผู้ตอบอยู่ในตัว

ปัญหาข้อสอบลักษณะนี้ ผู้ตอบควรระลึกเสมอว่าผู้สอนและหรือผู้ตรวจคำตอบนั้นต้องการให้ผู้ตอบ อธิบาย ขยายความพร้อมสร้างความเข้าใจในส่วนนั้น ควรสร้างสมมติฐานในใจว่าผู้ตรวจสมุดคำตอบไม่มีความรู้ในเรื่องนั้นจริง ตัวเราผู้ตอบมีความปรารถนาเต็มเปี่ยมที่จะเขียนอธิบายให้เข้าใจในที่สุด หากระลึกเช่นนี้ได้ทำให้เขียนตอบได้ดีในระดับหนึ่งทีเดียว หากมิได้ระลึกดังกล่าวแต่กลับคิดว่าเขียนแค่นี้ก็พอแล้ว เพราะผู้ตรวจรู้แล้วหรือเกรงว่าจะยาวเกินไป จึงเขียนย่อหรือละไว้ในสาระสำคัญบางประเด็น ย่อมเป็นผลให้ผู้ตรวจย่อคะแนนให้เช่นเดียวกัน ดังนั้นปัญหาข้อสอบให้อธิบาย จึงมิใช่ “ปัญหาความจำ ” อย่างที่พูดกัน แต่ความจริงแล้วเป็นปัญหาที่ผู้ตอบต้องเข้าใจด้วย มิฉะนั้นแล้วความเรียงของผู้ตอบก็จะขัดกันเองไปในตัว ผลสุดท้ายผู้ตรวจก็จะชี้ขาดว่านักศึกษาผู้ตอบนั้นยังไม่ได้ระดับที่จะผ่านการสอบวิชานั้นไปได้ หากเป็นปัญหาข้อสอบในการแข่งขันเข้าทำงานทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน ผู้แข่งขันที่ไม่มีทักษะในการตอบคำถามลักษณะนี้ย่อมตกเป็นรองเขาอย่างแน่นอน มีตัวอย่างมากมายที่บัณฑิต น.บ. เกียรตินิยม และได้นบ.ท. ในลำดับแรก ๆ บางคนต่างพลาดการสอบแข่งขันเข้าทำงานในบางองค์กร เพราะสารภาพว่าทำข้อสอบลักษณะนี้ได้ไม่ละเอียดพอ แม้ว่าจะเป็นส่วนน้อยแต่ก็เคยมีตัวอย่างแล้วเพราะการตอบปัญหาลักษณะนี้ต้องใช้ทักษะในการตอบมาก กล่าวคือต้องเป็นความเรียงร้อยแก้วที่สอดคล้องกันกับตัวอย่างที่นำมาประกอบคำอธิบาย

ตัวอย่างคำถาม ใน ป.พ.พ. บรรพ 1 ว่า ให้ท่านอธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบข้อความที่ว่า
“การสำคัญผิดในสาระสำคัญของนิติกรรม”
แนวคำตอบ ข้อความที่ว่า “การสำคัญผิดในสาระสำคัญของนิติกรรม” นั้น สามารถจำแนกออกเป็น 2 ส่วนคือ “การสำคัญผิด” และ “สาระสำคัญของนิติกรรม” การสำคัญผิด เป็นการเข้าใจผิดโดยผู้แสดงเจตนาเองอันเนื่องจากปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ การสำคัญผิดของผู้แสดงเจตนาทำนิติกรรมนั้น นับว่าเป็นการแสดงเจตนาที่บกพร่องของผู้แสดงเจตนาทำนิติกรรม กล่าวคือถือเป็นการแสดงเจตนาวิปริตอย่างหนึ่ง กรณีย่อมถือว่ามิได้มีความสมัครใจเข้าทำนิติกรรมอย่างแท้จริง อันเป็นผลให้นิติกรรมนั้นบกพร่อง กล่าวคือ นิติกรรมที่เกิดขึ้นจากการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดนั้นอาจเป็นโมฆะ (นิติกรรมนั้นเสียเปล่าไป) หรืออาจเป็นโมฆียะ (นิติกรรมนั้นสมบูรณ์จนกว่าจะถูกบอกล้าง) แล้วแต่กรณี อนึ่งการสำคัญผิดในการแสดงเจตนาตาม ป.พ.พ. มี 2 กรณี คือ การสำคัญผิดในสาระสำคัญของนิติกรรมอันเป็นผลให้นิติกรรมนั้นเป็นโมฆะ และการสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือคุณสมบัติของทรัพย์ อันเป็นผลให้นิติกรรมนั้นเป็น โมฆียะ
สาระสำคัญของนิติกรรม เป็นส่วนสำคัญที่จะขาดมิได้ในการแสดงเจตนาทำนิติกรรม โดยที่ ป.พ.พ. ได้กำหนดสาระสำคัญของนิติกรรมไว้ 3 กรณี คือ: 1) ตัวบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรม 2) ตัวทรัพย์ที่เป็นวัตถุแห่งนิติกรรม และ 3) ลักษณะหรือชนิดของนิติกรรม

ตัวอย่าง
การสำคัญปิดในตัวบุคคล เช่น แดง เจ้าหน้าที่การเงินบริษัทไทยแมล่อน จำกัด ชำระเงินในนามของบริษัทฯให้แก่ Mr. Johnson พนักงานอาวุโส บริษัทอเมริกันคอส- เมติกส์ ซึ่งแดงสำคัญผิดไปว่าเป็นคนเดียวกับ Mr. Johnson กรรมการผู้จัดบริษัทอเมริกันคอสโมสท์ที่บริษัทไทยแมล่อนเป็นหนี้อยู่ กล่าวคือเป็นการชำระหนี้ผิดตัวนั่นเอง แม้ว่าการชำระหนี้เป็นนิติกรรมฝ่ายเดียว แต่การที่ตัวแทนของบริษัทไทยแมล่อนได้แสดงเจตนาชำระหนี้โดยสำคัญผิดในตัวบุคคลดังกล่าว การชำระหนี้เงินนั้นย่อมตกเป็นโมฆะหรือเสียเปล่า กล่าวคือยังถือไม่ได้ว่าบริษัทไทยแมล่อนได้ชำระหนี้แล้ว และ Mr. Johnson แห่งบริษัทอเมริกันคอสเมติกส์ซึ่งมิได้อยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ก็มีหน้าที่ต้องคืนเงินนั้นแก่บริษัทไทแมล่อน จำกัด ในกรณีที่อาจมีการยกตัวอย่างประกอบคำอธิบายผิดพลาดหรือไม่สอดคล้องกัน

จากตัวอย่างข้างต้นในประเด็นการสำคัญผิดในตัวบุคคล โดยยกตัวอย่างว่า แดงสำคัญผิดว่า Mr. Johnson เป็นคนมีความรู้ความสามารถมากถึงขั้นเชียวชาญในสายงานที่จ้างจึงได้แนะนำให้กรรมการรองผู้จัดการของบริษัทไทยแมล่อนจ้าง Mr. Johnson เข้าทำงาน ระหว่างทดลองงานจึงได้ทราบว่า Mr. Johnson มิได้มีความสามารถถึงขั้นเชี่ยวชาญจริง ดังนี้เป็นเพียงสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคล นิติกรรมในสัญญาจ้างมีผลเป็นโมฆียะ หากนักศึกษายกตัวอย่างเช่นนี้ย่อมหมายความว่ายกตัวอย่างผิดพลาดหรือไม่สอดคล้องกับคำอธิบายเป็นผลให้ถูกตัดคะแนนในส่วนนี้ด้วย โปรดอย่าลืมว่า การให้คะแนนในแต่ละข้อนั้น ผู้ตรวจซึ่งมักเป็นคนเดียวกับผู้สอนและเป็นผู้ออกข้อสอบได้จำแนกคะแนนในแต่ละข้อไว้เป็นช่วง ๆ โดยไม่มีการบอกล่วงหน้าว่าช่วงใดจะมีคะแนนมากน้อยกว่ากัน กรณีจึงแตกต่างกับปัญหาข้อสอบคำถามแบบให้วินิจฉัย

2) ข้อสอบให้วินิจฉัย การวินิจฉัยเป็นการตัดสินใจหรือชี้ขาดปัญหาที่ผู้ถามได้ผูกเรื่องราวขึ้นให้ผู้ตอบวินิจฉัยหรือชี้ขาดปัญหาที่ผู้ถามสมมติขึ้น หรือนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงจากคำพิพากษาฎีกามาปรุงแต่งให้เป็นคำถาม คำถามลักษณะนี้เรียกว่า “ปัญหาตุ๊กตา” โดยมีตัวละครในปัญหานั้นเป็นตุ๊กตา ปัญหาตุ๊กตานี้แหละที่ผู้เรียนศาสตร์อื่นสำคัญผิดว่าเป็นปัญหาเด็ก ๆ ทั้งนี้เพราะเห็นว่าตุ๊กตาเป็นของเล่นสำหรับเด็ก ผู้เรียนนิติศาสตร์ต้องอธิบายให้พวกเขาเข้าใจเสียใหม่ว่ามิใช่ปัญหาเด็กแต่เป็นปัญหาให้ผู้ใหญ่แก้ปมปัญหาเหล่านั้นทีเดียวเพราะความจริงแล้วปัญหาตุ๊กตาคือปัญหาที่มีตัวละครเป็นตุ๊กตานั่นเองและตัวละครตุ๊กตานั้นเองเป็นผู้ก่อให้เกิดประเด็นของ
ปัญหาเพื่อให้ผู้ตอบแก้ไขปัญหาหรือแนะนำหาทางออกโดยอาศัยบทบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวข้องมาใช้ในการแก้ไขในแต่ละประเด็นแห่งปัญหา ดังนั้นผู้ตอบคำถามลักษณะนี้จึงต้องรวบรวมสมาธิในการอ่านคำถามอย่างระมัดระวัง ละเอียด รอบคอบ แล้วผูกประเด็นคำถามนั้นไว้ให้ครบถ้วน เพราะปัญหาให้วินิจฉัยนั้นมักจะให้ตอบหลายประเด็น ที่เห็นง่าย ๆ คือ มักจะมีการทิ้งท้ายในคำถามปัญหาลักษณะนี้ว่า “หรือไม่ อย่างไร” “กระทำได้หรือไม่เพราะเหตุใด” “เป็นความผิดหรือไม่ อย่างไร เพราะเหตุใด” ปัญหาลักษณะนี้มีลักษณะเป็นการวัดความเข้าใจที่ลึกซึ้งในแง่มุมของบทบัญญัติกฎหมายที่นักศึกษาผู้ตอบได้ศึกษามา นักศึกษาจึงต้องมีความจำที่ดีอีกทั้งมีความเข้าใจลึกซึ้งมากพอที่จะตอบปัญหาวินิจฉัยนี้ได้ดี เมื่อผูกประเด็นและทำความเข้าใจในแต่ละประเด็นที่ถามมาครบถ้วนแล้ว นักศึกษาต้องนึกถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องในแต่ละประเด็น เมื่อนึกได้แล้วก็ให้รีบบันทึกหลักกฎหมายโดยย่อลงไว้ในแต่ละประเด็นที่เราผูกไว้ก่อนแล้ว หลังจากนั้นก็เขียนตอบปัญหาในแต่ละประเด็นโดยไม่ต้องย้อนคำถามลงไปให้ผู้ตรวจได้อ่านอีก หากเปรียบเปรยคำถามในแต่ละประเด็นเป็น “ธง” นักศึกษาต้องใช้ความรู้ที่สั่งสมมานั้นเป็น “ดาบ” เพื่อ “ฟันธง” ในแต่ละประเด็นนั่นเอง คำตอบของนักศึกษา คือ “ธงคำตอบ” ที่จะใกล้เคียงหรือคล้ายคลึงกับ “ธงคำตอบ” ของผู้ออกข้อสอบ ซึ่งสถาบันการศึกษาที่เปิดสอนนิติศาสตร์ได้นำธงคำตอบของผู้ออกข้อสอบติดประกาศให้นักศึกษาได้ทราบก่อนประกาศผลสอบ หากนักศึกษาตอบได้ใกล้เคียงหรือคล้ายคลึงมาก ก็ย่อมหมายความว่า ผู้ตอบมีความสามารถในระดับสูง ถ้าหากใกล้เคียงปานกลาง ผู้ตอบก็อาจคาดเดาได้ว่าอาจผ่านการสอบไปได้ แต่อาจมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวบ้าง ในกรณีนักศึกษาตอบตรงกันข้ามกับธง/แนวคำตอบกรณีย่อมหมายความว่าเตรียมตัวสอบซ่อมได้เลย

สำหรับเทคนิคการตอบข้อสอบให้วินิจฉัย (ปัญหาตุ๊กตา) มี 2 วิธี กล่าวคือหลังจากผูก/จับประเด็นคำถามและบันทึกย่อหลักกฎหมายคร่าว ๆ ลงในคำถามแล้ว ก็เริ่มเขียนตอบลงในสมุดคำตอบโดยเรียงลำดับความสำคัญดังนี้ คือ วิธีแรก (1) ยกหลักกฎหมาย (2) วินิจฉัยในแต่ละประเด็นโดยนำหลักกฎหมายที่ยกมานั้นไปปรับกับข้อเท็จจริงที่เขาถามมา และ (3) สรุปผลของการวินิจฉัยในแต่ละประเด็น การตอบวิธีนี้ ผู้ตรวจจะให้คะแนนง่ายมาก เพราะตรวจให้คะแนนง่ายนั่นเอง อนึ่งในการกำหนดช่วงลำดับในการให้คะแนนนั้น หากคะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน มักจะให้ส่วน (1) ประมาณ 10 คะแนน ส่วน (2) ประมาณ 10 คะแนน และส่วน (3) ประมาณ 5 คะแนน ดังนั้นถ้ายกหลักกฎหมายในส่วน (1) มาครบก็ได้ 10 คะแนน แต่หากวินิจฉัยผิดก็ย่อมเป็นผลให้สรุปผลของการวินิจฉัยผิดไปด้วย ผู้ตอบก็จะสูญเสียคะแนนไปถึง 15 คะแนน เพราะคงไม่มีใครวินิจฉัยผิดแต่สรุปผลถูกหรือวินิจฉัยถูกแต่สรุปผลผิด แต่ในความเป็นจริงแล้วภายใน 1 คำถามจะมีประเด็นให้วินิจฉัยหลายประเด็น อาจมีการตอบได้ไม่ครบประเด็นที่ถาม หรือมีการตอบผิดบางประเด็นเท่านั้น

วิธีที่สอง บางท่านอาจเรียก “วิธีฟันธง” คือ

(1) วินิจฉัยในแต่ละประเด็นพร้อม อ้างอิงหลักกฎหมายประกอบในแต่ละประเด็น

(2) สรุปผลของการวินิจฉัยในแต่ละประเด็นอีกครั้งหนึ่งเพื่อแสดงความมั่นใจในคำตอบของผู้ตอบ

การตอบวิธีนี้ผู้ตรวจจะให้คะแนนได้ยากกว่าวิธีแรกเพราะตรวจยากกว่าเนื่องจากต้องนำคะแนนหลักกฎหมายและคะแนนผลของการวินิจฉัยไปรวมไว้ในแต่ละประเด็น แต่ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องลำบากมากมายในการตรวจ ดังนั้นนักศึกษามีความถนัดที่จะตอบแบบใดหรือวิธีใดก็ได้ ผลของการให้คะแนนก็จะออกมาในลักษณะเดียวกัน คือคะแนนที่ผู้ตอบจะได้รับย่อมประกอบด้วยคะแนนจากหลักกฎหมาย จากการวินิจฉัยและจากการสรุปผลของการวินิจฉัย สำหรับการอ้างหลักกฎหมายนั้น นักศึกษาควรหลีกเลี่ยงการใช้วลีที่ว่า “บัญญัติว่า” แต่ควรใช้วลีว่า “มีใจความสำคัญว่า” ตัวอย่างวลีที่ใช้ในการตอบวิธีแรกคือ “กรณีตามปัญหามีหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องและมีใจความสำคัญดังนี้ คือ
(1) ……………………..
(2) …………………….. (เรียงลำดับหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการวินิจฉัยปัญหา
(3) …………………….. ทั้งหมด)
ฯลฯ

การที่นักศึกษาใช้วลีดังกล่าวเป็นผลให้นักศึกษาสามารถเขียนหลักกฎหมายตามความเข้าใจของนักศึกษาได้ และต้องระมัดระวังไม่ให้ใจความสำคัญหายไป เพราะใจความสำคัญของกฎหมายคือกุญแจในการไขปัญหาในแต่ละประเด็นที่ถามนั่นเอง อนึ่งบางปัญหานั้นมีหลักกฎหมายให้นำมาใช้อ้างและใช้วินิจฉัยปัญหามากมายเป็น“พะวง” อาจเป็น “พวงเล็ก” บ้าง “พวงใหญ่” บ้าง ไม่มีพวงปานกลาง “พวงเล็ก” ก็ประมาณ 3-5 มาตรา “พวงใหญ่” ก็ประมาณ 6-10 มาตรา ปัญหาเช่นนี้มักจะเป็นคำถามใน ป.พ.พ. ว่าด้วยตั๋วเงิน และมรดก ฯลฯ เมื่อมีตัวบทมาก ก็อธิบายตัวบทนั้นก็ไม่มีความจำเป็นเลย เพราะเวลามีจำกัดมาก อีกทั้งไม่มีความจำเป็นต้องอธิบาย เนื่องจากหลักกฎหมายในกฎหมายลักษณะดังกล่าวไม่บริบูรณ์แล้วเสร็จในแต่ละมาตรา แต่ต้องอาศัยหลักกฎหมายหลายมาตรามาผูกพันกันเพื่อคลี่คลายประเด็นปัยหาตามที่ปรากฏในคำถาม

ดังนั้นหลักกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องผูกพันกันนั้นย่อมเป็นเหตุผลแห่งคำตอบไปในตัว อย่างไรก็ดีมีข้อสังเกตว่าปัญหาที่ถามสำหรับกฎหมายแต่ละลักษณะ/ประเภทก็แตกต่างกันไปบ้าง นักศึกษาคงได้รับคำแนะนำจากผู้สอนในชั้นเรียน หากท่านลืมแนะนำจากผู้สอนในชั้นเรียน หากท่านลืมแนะนำก็ควรเรียนถามท่านได้ อย่างเช่น คำถามใน ป.พ.พ. ว่าด้วยละเมิด มาตรา 420 ส่วนใหญ่แล้ว จะต้องอธิบายความหมายถ้อยคำใน ป.พ.พ.ด้วย การตอบปัญหาเช่นนี้ จึงต้องกระทำทั้งสองอย่างคือทั้งยกหลักกฎหมาย และอธิบายใจความสำคัญของหลักกฎหมายหรือถ้อยคำสำคัญที่เกี่ยวข้องกับประเด็นแห่งคำถามด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำถามในประมวลกฎหมายอาญานั้น นอกจากนักศึกษาจะต้องอธิบายบทวิเคราะห์ที่เกี่ยวข้องแล้วยังต้องยกหลักกฎหมายโดยแยกแยะองค์ประกอบของการกระทำความผิด พร้อมทั้งอธิบายองค์ประกอบความผิดนั้น เสร็จแล้วนำไปปรับกับประเด็นที่ถาม พร้อมสรุปผลว่ามีความผิดเพราะครบองค์ประกอบของความผิดแล้ว หรือไม่ผิดเพราะไม่ครบองค์ประกอบของความผิดอย่างไร เนื่องจากมีกฎหมายหลายประเภทที่นักศึกษาต้องศึกษาให้ครบหลักสูตรที่ทางสถาบันได้จำแนกเป็นรายกระบวนวิชา โดยรวมแล้วอาจจำแนกกฎหมายในหลักสูตรออกเป็น 3 ประเภท คือ

1) กฎหมายสาระบัญญัติ 2) กฎหมายวิธีสบัญญัติ 3) กฎหมายสาระวิธีสะบัญญัติ กล่าวคือ:-

1) กฎหมายสาระบัญญัติ ได้แก่ ประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายที่ดิน ประมวลรัษฎากร ประมวลกฎหมายอาญาทหาร พระราชบัญญัติต่าง ๆ ทั้งที่บัญญัติและมิได้บัญญัติโทษทางอาญาไว้ และกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง คดีบุคคลและคดีอาญา ฯลฯ

2) กฎหมายวิธีสบัญญัติ ได้แก่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กฎหมายลักษณะพยาน พระธรรมนูญศาลยุติธรรม และ พ.ร.บ.ธรรมนูญ ฯลฯ

3) กฎหมายสาระวิธีสบัญญัติ ได้แก่ พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ร.บ.การกระทำผิดของ เยาวชน การจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัว และวิธีพิจารณาในศาลเยาวชนและครอบครัวฯ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีในศาลแรงงานฯ ร่าง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีในศาลปกครอง ฯลฯ

แม้ว่าจะมีความหลากหลายในบรรดากฎหมายแต่ละประเภทดังกล่าวข้างต้น อาจทำให้นักศึกษาคิดว่าน่าจะมีความหลากหลายในการตอบปัญหากฎหมายในกฎหมายแต่ละประเภทด้วย นับว่าเป็นความคิดที่ถูกต้องแต่เป็นเพียงความแตกต่างในรายละเอียดเท่านั้น โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีคำถามเพียง 2 ลักษณะดังกล่าวข้างต้นอาจมีคำถามในลักษณะพิเศษนอกเหนือจาก 2 ลักษณะดังกล่าวคือ คำถามที่ให้นักศึกษาแสดงความคิดเห็นให้แสดงทรรศนะว่า เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไร หรือมีข้อดีข้อเสียอย่างไร การตอบปัญหาลักษณะนี้ผู้ตอบต้องมีความรู้รอบในประเด็นคำถามมากมาย และมีหน้าที่ต้องประมวลความรู้ที่สะสมมานั้นให้ปรากฏต่อสายตาของผู้ตรวจ คำถามลักษณะนี้มักไม่ปรากฏในการศึกษาชั้นปริญญาตรี แต่ปรากฏแพร่หลายในการศึกษาชั้นปริญญาโท แต่ก็ไม่แน่เสมอไปที่ผู้สอนอาจนำมาถามเพื่อฝึกวิทยายุทธแก่นักศึกษาในชั้นปริญญาตรีปีที่ 3-4 ได้ อนึ่ง ยังมีคำถามอีกลักษณะหนึ่ง คือ คำถามแบบโจทย์เลข เช่น ให้คำนวณการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและหรือภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามประมวลรัษฎากร

(กฎหมายภาษี) โดยใช้พื้นความรู้คณิตศาสตร์ที่มีอยู่เดิมในชั้นประถมต้นและประถมปลายคือ บวก ลบ และเทียบบัญญัติไตรยางค์ (%) แค่นั้นเอง อย่าได้ไปวิตกกังวลเลย หรืออาจให้นักศึกษาแบ่งมรดกของเจ้ามรดกให้แก่ทายาทโดยธรรม ตาม ป.พ.พ. บรรพ 6 เรื่องมรดกและพินัยกรรม ซึ่งคำถามในลักษณะพิเศษนี้ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องปรับเข้ากับลักษณะข้อสอบในแบบที่ 2 กล่าวคือเป็นข้อสอบให้วินิจฉัยนั่นเองโดยที่นิติศาสตร์เป็นศาสตร์ทางด้านสังคม หรือ “สังคมศาสตร์” นอกจากจะเกี่ยวข้องกับสังคมศาสตร์แขนงต่าง ๆ แล้ว ยังเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมด้วย ทั้งนี้เพราะกฎหมายเป็นหลักเกณฑ์ที่กำหนดความประพฤติของมนุษย์ในสังคมของทุกประเทศ (คือกฎหมายภายในประเทศ) และสังคมของโลก (กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีต่าง ๆ กฎบัตร กติกา ความตกลง สนธิสัญญาทวิภาคี และพหุภาคีต่าง ๆ ฯลฯ) เพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรม

จึงใคร่แนะนำให้นักศึกษากฎหมายได้เห็นความเกี่ยวพันระหว่างนิติศาสตร์กับศาสตร์อื่น ได้แก่:-
1) นิติศาสตร์กังสังคมศาสตร์แขนงอื่น เช่น
- นิติศาสตร์กับการบริหารธุรกิจ ได้แก่ กฎหมายธุรกิจ กฎหมายการค้า การลงทุนต่าง ๆ ฯลฯ

- นิติศาสตร์กับเศรษฐศาสตร์ ได้แก่ กฎหมายเศรษฐกิจ เช่น กฎหมายเกี่ยวกับสถาบันทางการคลังของรัฐ ประกอบด้วย พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ร.บ.เงินคงคลัง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณฯ พ.ร.บ. และ พ.ร.ก. กู้ยืมเงินต่าง ๆ พ.ร.บ. เงินตรา พ.ร.บ.ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตรา ความตกลงระหว่างประเทศทางด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนภาคต่าง ๆ ฯลฯ

- นิติศาสตร์กับรัฐศาสตร์ ได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายปกครองทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น ฯลฯ
- นิติศาสตร์กับรัฐประศาสนศาสตร์ ได้แก่ กฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล งานการเงิน การวัสดุต่าง ๆ เช่น พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน ฯลฯ

- นิติศาสตร์กับประวัติศาสตร์ ได้แก่ ประวัติศาสตร์กฎหมาย ทำให้รู้ความเป็นไปของกฎหมายบ้านเมือง จารีต ประเพณี ขนบธรรมเนียม และวัฒนธรรมของสังคมนั้น ๆ ในอดีต

- นิติศาสตร์กับจิตวิทยา ได้แก่ ธรรมศาสตร์จิตวิทยาที่แทรกอยู่ในกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด

- นิติศาสตร์กับปรัชญา ได้แก่ นิติปรัชญา
2) นิติศาสตร์กับวิทยาศาสตร์ ได้แก่ กฎหมายเกี่ยวกับการผลิตสินค้าที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ อนามัย และความปลอดภัยสาธารณะ เช่น พ.ร.บ.อาหาร ยา เคมีภัณฑ์ วัตถุอันตราย เวชภัณฑ์ เครื่องสำอาง เครื่องดื่ม ฯลฯ

3) นิติศาสตร์กับเทคโนโลยี ได้แก่ ร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ร่าง พ.ร.บ.อินเตอร์เนท กฎหมายที่เกี่ยวกับการควบคุมการถ่ายทอดเทคโนโลยีโดยอ้อมของไทย ได้แก่ พ.ร.บ.ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตรา กฎหมายเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา ฯลฯ

4) นิติศาสตร์กับสิ่งแวดล้อม ได้แก่ พ.ร.บ.รักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ร.บ.โรงงาน พ.ร.บ.ผังเมือง ฯลฯ

5) นิติศาสตร์กับทรัพยากรธรรมชาติ ได้แก่ พ.ร.บ.แร่ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ร.บ.ยาง พ.ร.บ.ป่าไม้ กฎหมายเกี่ยวกับธัญชาติและหรือชีวภาพต่าง ๆ พ.ร.บ.คุ้มครองสัตว์ป่า พ.ร.บ.ป่าสงวนและอุทธยาแห่งชาติ ฯลฯ

6) นิติศาสตร์กับศาสนา วัฒนธรรม ศิลปกรรม โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ได้แก่ พ.ร.บ.วัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ร.บ.วัดและคณะสงฆ์ พ.ร.บ.ที่ราชพัสดุ พ.ร.บ.โบราณสถานโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ รวมทั้งประกาศคณะปฏิวัติที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ

บรรดากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์ทั้งหลายดังกล่าวข้างต้น มักถูกจัดให้เป็นวิชาเลือกเสรี ย่อมมีประโยชน์ไม่น้อยเลย เพราะคดีความที่เกิดขึ้นมิใช่มีเฉพาะตามประมวลกฎหมายอาญาและประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ใคร่ขอให้ นักศึกษากฎหมายตระหนักเสมอว่าวิธีการศึกษากฎหมายนั้น มิใช่ท่องจำอย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกัน แต่แท้จริงแล้วกฎหมายเป็นศาสตร์ที่ไม่แตกต่างกับศาสตร์อื่น คือเป็นศาสตร์แห่งเหตุและผล จึงต้องศึกษาด้วยความเข้าใจอย่างถ่องแท้ หากท่องจำโดยปราศจากความเข้าใจแล้วนับได้ว่าไม่ประสบความสำเร็จในการศึกษา แต่หากมีความจำดีและเข้าใจกฎหมายได้ดีแล้ว ย่อมเป็นบันไดทองของนักศึกษาผู้นั้น




 

Create Date : 29 กรกฎาคม 2551
4 comments
Last Update : 29 กรกฎาคม 2551 16:19:51 น.
Counter : 3807 Pageviews.

 

โห เก่งจังเลย
เป็นกำลังใจให้นะคะ

 

โดย: bowkavi 2 กันยายน 2551 12:02:59 น.  

 

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

 

โดย: bowkavi 24 กุมภาพันธ์ 2552 12:49:34 น.  

 

มานั่งฟัง

 

โดย: ตัวp_box 15 มิถุนายน 2552 16:47:32 น.  

 

คลิกที่รูป เพื่อเอาโค้ดรูปนี้ไปแปะ


 

โดย: bowkavi 21 มกราคม 2553 12:43:32 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


primberry_me
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add primberry_me's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.