ไปเดินเล่นฮาราจูกุดีก่า / tsukiakari funwari ochitekuru yoru
แต่ไม่ลงรถที่ฮาราจูกุนะ ไปลงที่ Omote-sando ดีกว่าแล้วออกตรงทางออกที่เขียนว่า Omote Sando Streetออกมาแล้วมองหา 4 แยกที่มีมุมนี้แต่ยังไม่ข้ามไป เลี้ยวขวาเข้าซอยไปเก็บรูปตึกป้าดาก่อนเก็บแต่รูปตึก ของข้างในไม่มีปัญญาเก็บ ฝากไว้ที่เดิมยังงั้นแหละเก็บเสร็จก็ย้อนกลับมาสี่แยกเมื่อกี๊ ข้ามได้เจออันนี้ซ้ายมือ ถ่ายไว้ได้รูปเดียวต่อจากนี้ ก็เดินแวะเข้า เวียนออก จนลืมถ่ายรูปอีกตามเคยถนนนี้ไม่ยาวมากนัก แต่ร่มรื่น ทางเท้ากว้างขวาง เดินสบาย2 ข้างทาง เต็มไปด้วยร้านค้าแบรนด์เนมทั้งหลาย อาทิ Gucci, Dior, LV,etcร้านขายของที่ระลึก คาเฟ่ เก๋ๆ เครื่องสำอางค์ ฯลฯเดินมาเรื่อยๆ ก็จะมาสุดที่สี่แยกอีกครั้งจากแยกนี้ข้ามถนนแล้วเราก็เดินไปทางขวา มาโดนเจ้านี่ดักไว้ก่อนทางซ้ายมือร้านเครปจะอยู่ตรงหัวมุมถนน ทาเคะชิตะ พอดี ไม่รู้วันนี้ จะยังอยู่ที่เดิมรึเปล่าจริงๆก็ไม่น่าจะเรียกถนน เพราะมันเป็นซอยเล็กๆเท่านั้นเองเต็มไปด้วยสินค้าวัยรุ่นมีวัยรุ่นเป็นผู้ซื้อมีวัยรุ่นเป็นผู้ขายและมีเราแก่ที่สุดในซอยท็อฟฟี่ยักษ์มาถึงกลางซอย ก็จะเจอเครปเจ้าดัง 2 เจ้า ตั้งประชันกัน ซ้าย ขวาคิดถึงเครป หมูหยอง พริกเผาบ้านเรามากกว่าแฮะมองไปข้างหน้า เห็นเนินต้นไม้จาก Yoyogi Park หน้าพาร์คก็จะเป็นสถานี ฮาราจูกุ แต่ยังไม่กลับ ช็อปปิงก่อนสุดทางรัก ฮาราจูกุไม่ได้ของซักอย่างนอกจากเครปเพิ่มขนาดพุงไม่มีสาระเลยแฮะ บล็อกนี้ดูรูปไปเพลินๆแล้วกันนิรูปสุดท้าย เอามาฝาก
ราเมน อร่อยที่สุดในญี่ปุ่น
เปล่า ! ... ไม่ได้พูดเองนะ ป้ายเขาว่าอย่างนี้นิ Nihon Ichi ที่ 1 ในญี่ปุ่น ราเมนน้ำซุปกระดูกหมู หืม น่าสน น่าสนมองขึ้นไปอีกหน่อย โอ้โฮ กระดูกหมูของแท้ แน่นอนเล่นมายืนเคี่ยวน้ำซุปเองเลยนิป้ายหน้าร้าน สีสันสดใส กินไรดีหว่าราเมนหมูย่าง อ๊ะจึ๊ย สั่งไม่เป็น ถ่ายรูปแล้วเข้าไปเปิดให้คนขายดูอีกชาม เอาเป็น ราเมนแห้ง วิธีสั่ง เหมือนเดิม ถ่ายรูป แล้วไปเปิดให้คนขายดู พร้อมกับย้ำว่า จี๊ซั่ยนะจ๊ะ มาชามใหญ่ เด๋วหนูกินไม่หมดปรากฎว่า....คนขายหล่อมั่กๆฮ่า เลยได้แต่ก้มหน้า ก้มตา ถ่ายรูป ไม่กล้าเงยหน้าอ่าหนูขี้อายยยยดูโต๊ะไปละกันดูผักดอง ของแกล้มดูแม่หนูดูการตกแต่งกำแพงร้านดูเก้าอี้ราเมนมา กิน กิน กินอื้ม อร่อย จริงๆแหละ ทั้งสองแบบที่สั่งเลยบรรยายไม่ถูก อร่อยจนลืมถ่ายรูปอ่ะ คิดดู มารู้สึกตัวอีกที ก็เดินออกมาแล้วอ้าว ลืมถ่ายรูปนี่หว่า ตรูซะงั้นเอาเป็นว่า บอกทาง แล้วลองไปพิสูจน์รสชาติกันเองนะจ๊ะJR Yamanote ลงที่ Takadanobaba ออกทางออกที่ 4 เดินไปทางซ้ายมือ สังเกตุร้าน tsutaya เดินเลยไปหน่อย ก็จะเจอร้านอยู่ซ้ายมือจ้าสถานีนี้ สามารถไป Waseda Dai ได้ จึงเต็มไปด้วยนักศึกษา ร้านสะดวกซื้อแถวนี้ ก็จะเน้นขายอาหารสำเร็จเยอะมาก เยอะขนาด เดินเข้า 7-11 แล้วตกใจ เพราะพื้นที่ขายอาหารสำเรีจรูปอย่างเดียวก็ล่อพื้นที่ไปซะเกือบจะ 3ใน4 ของร้าน เที่ยวหน้ามาหาที่นอนแถวนี้ดีกว่าเรา ของกินเยอะดี
พาสาว'รมณ์ดี ตามหนุ่ม'รมณ์ดี ไปดูการ์ตูน / moving
การ์ตูนที่ว่าก็คือ พิพิธภัณฑ์การ์ตูนอนิเมชั่น ที่ญี่ปุ่นเค้าเรียกว่า Anime นั่นเอง ที่เราจะไปนี่ชื่อว่า Suginami Animation Museumเข้าเว็บที่ลิงค์ได้เลย ส่วนหนุ่ม'รมณ์ดีที่ว่าก็คือคุณ NumAromDee แห่งห้อง Blueplanet ค่ะขอขอบคุณมา ณ ที่นี้วิธีไปเริ่มต้นที่สถานี ชินจูกุ จับสาย JR จูโอ ที่จะไปมิตะกะ สายเดียวกับวันที่ไป สตูดิโอจิบลิ แต่คราวนี้ลงป้ายที่ 6 สถานี โอะกิคุโบะหรือจะนั่งซับเวย์สายสีแดง มารุโนะอุจิก็ได้ สายนี้จะสุดป้ายที่ โอะกิคุโบะพอไปถึงโอะกิคุโบะแล้ว ผ่านช่องตรวจตั๋วออกมา ก็จะพบว่าเรายืนอยู่บนชั้น 2 และ มี 2 ทางให้เลือกไป ซ้าย กับ ขวาถ้าเดินไปทางซ้าย มองลงไปข้างล่างก็จะเห็นป้ายรถเมล์ จอดเรียงกันเป็นแถว ถ้ามองทางขวา จะเจอห้าง Lumine อยู่ติดสถานี ให้ออกมาทางนี้เดินลงไปข้างล่างเจอ Mc Donald และสภาพโดยรอบเป็นซอยที่เต็มไปด้วยร้านรวงล้วงกระเป๋า ให้เดินเลี้ยวขวามาออกที่ถนนใหญ่พอถึงถนนใหญ่ก็ซ้ายหันเดินตรงไปเรื่อยๆ สังเกตุสะพานลอยข้ามถนนเป็นหลักพอผ่านสะพานลอยคนข้ามอันที่ 2 ก็จะเจอ 4 แยก ตรงไฟแดงของแยกนี้จะมีป้ายเขียนว่า Police Station และตึกฝั่งตรงข้ามก็จะเป็น สถานีตำรวจด้วย แต่ไม่มีป้ายถาษาอังกฤษหรอกนะให้เลี้ยวซ้ายเข้าซอยที่แยกนั้นได้เลย ตรงเข้าไปอีกนิดเดียว ก็จะเจอ ที่หมาย ทางซ้ายมือ หน้าตาเป็นอย่างนี้ฝั่งตรงข้ามจะเป็นศาลเจ้า มีโทริอิ สีขาวอย่างนี้แค่ประตูทางเข้า เดินเข้าไปในตึก ขึ้นลิฟท์ไปที่ชั้น 3 โผล่ออกมาก็จะเจอ 2 ตัวนี้ รอต้อนรับกับจะมีเจ้าหน้าที่ วัยหนุ่มสาว เข้ามาทักทาย กับแนะนำเราว่ามีอะไรอยู่ตรงไหนเป็นภาษาแจงลิช เราก็คุยๆ ถามๆ กลับไปเป็นภาษาไทยลิช เฮฮากันดีไปดูจุดแรกกันก่อน เป็นบอร์ดรวมลายเซ็น ของบรรดานักวาดการ์ตูน แค่ลายเซ็นก็ยูนีคซะไม่มีดูลายเซ็นไปพลาง เล่าไปพลาง ก็แล้วกันเนาะ ภายใน museum นี้ ถ่ายรูปได้เป็นบางส่วน ซึ่งส่วนไหนถ่ายไม่ได้ อีหนูที่เข้ามาทักทายเราตะแรกก็จะแจ้งไว้ก่อน กับจะมีป้ายติดบอกอีกทีกันลืมส่วนที่ถ่ายไม่ได้ ก็จะเป็น ส่วนที่จัดการแสดงพิเศษ ข้างบน ซึ่งบันไดทางขึ้นก็อยู่ใน มิวเซียมนั่นแหละ และภายในก็ยังมีห้องฉายภาพยนตร์การ์ตูน เป็นรอบๆ ให้เข้าไปนั่งดูได้อีกรอบฉาย กับชื่อเรื่องก็จะติดไว้ด้านหน้า เรื่องที่ฉายวันที่เราไปนั้น ไม่รู้จักมาก่อน ฟังก็ไม่ค่อยออก แต่โดยรวมก็ดูรู้เรื่อง ยาวซัก ครึ่งชั่วโมงได้ฟากตรงข้ามของห้องฉายหนัง จะเป็นห้องสมุดย่อมๆภายในก็ "แน่นอนอยู่แล้ว" ต้องมี หนังสือเกี่ยวกับการ์ตูน วารสารการ์ตูน และที่ขาดไม่ได้ก็คือ หนังสือการ์ตูน ให้นั่งอ่านกันที่เจ๋งกว่านั้นอีก ก็คือมีดีวีดีให้ดูด้วยเวลาจะดูเราก็หยิบกล่องของแผ่นที่เราอยากดูไปที่เคาน์เตอร์ เค้าก็จะให้เราเขียนชื่อเสียงเรียงนาม ไม่ถึงกับต้องโชว์พาสปอร์ต แล้วเค้าก็หยิบแผ่นให้เราก็ไปเลือกที่นั่งดูตามเครื่องที่จัดไว้เราเลือกดูแผ่นที่เป็นงานของสตูดิโอจิบลิ ที่เป็นงานโฆษณาต่างๆ ที่ใช้เพลงกับตัวการ์ตูนของ จิบลิ ไม่เคยเห็นงานพวกนี้มาก่อน สนุกดีมากเลยออกจากห้องสมุด ก็มาดูตู้กระจก ที่รวบรวมของเล่น ตุ๊กตา โมเดล ฯลฯ ที่เกี่ยวกับการ์ตูนดังๆ แต่ละตัวฮิตๆ ทั้งน้าน แล้วก็มีห้องให้ลองวาดการ์ตูนตามแบบจะวาดเอง หรือจะลอกแบบโดยวางบนกล่องไฟอย่างนี้ก็ได้ก็จะได้ออกมาเป๊ะๆ อย่างนี้แต่รูปนี้ ลอกให้ตายคงไม่ได้งามเท่า "ตำนานเกนจิ" ใกล้ๆกันก็เป็นคอมพิเตอร์ให้เด็กๆเล่น เป็นโปรแกรมการสร้างการ์ตูน ลงสี วางเรื่อง ฯลฯ แล้วก็จะฉายออกมาเป็นการ์ตูนที่เราสร้างไว้ที่รู้เพราะไปแย่งเด็กเล่นมาแล้ว ลืมบอกไป ตำนานเกนจินั้น ถามจากชาวห้องสมุดมาได้ความว่า บ้านเราก็เคยออกเป็นหนังสือการ์ตูน ชื่อว่า "ด้วยเมฆหมอกแห่งรัก" กับ "ฟ้าใต้แสงจันทร์" ได้ไปหามาอ่านแล้ว เส้นสวย ได้ความรู้ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นเล็กๆ ชอบมาก มุมนี้เป็นการจำลองโต๊ะทำงานของนักวาดการ์ตูน 3 หนุ่ม 3 วัย 3 ยุคสมัยมาให้ดูความแตกต่างโต๊ะแรกนี่เป็นของนักวาดที่เกิดตั้งแต่ปี 1941 ชื่อ โยะชิยุกิโต๊ะที่ 2 ของ คะยุกิ ปี 1960โต๊ะที่ 3 นี่เป็นของนักวาดของสตูดิโอ Toei Animation ยุดปัจจุบัน ชื่อ ยูกิ ชินโซปิดท้ายด้วยภาพการแสดงขั้นตอนการทำอนิเมชั่นในยุคปัจจุบันดูแล้วให้ความรู้สึกตื่นตา ตื่นใจ คนญี่ปุ่นนี่ช่างมีความจริงจัง ทุ่มเท ความพยายาม และความละเอียด รอบคอบ ในงานที่ทำอย่างมากมาย สมควรแล้ว ที่ชนชาตินี้ จะลุกขึ้นมาเป็นผู้นำในหลายๆด้านอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันพิพิธภัณฑ์แบบนี้ ไม่ได้มีที่นี่เพียงที่เดียว แต่มีการรวมตัวกันถึง 6 ที่ เป็น Tokyo Anime City ที่อื่นๆ จะอยู่ที่ไหนบ้าง เช็คจากลิงค์ได้เลยจ้า หามาให้เท่าที่หาได้นะ
So So Hiroshima / life is like a boat
ณ ชานชาลา 20 ... Hikari455 กำลังจะแล่นเข้าเทียบท่า9:59 คือเวลาออก Hakata คือจุดหมายปลายทางHiroshima คือสถานีที่ 4 ที่รถจะจอด เข้าคิวขึ้นรถจ้าเอ่อ ... 4 ป้าย แต่ใช้เวลา 2 ชั่วโมง หาข้าวแกง เอ๊ย ข้าวกล่อง ไปกินบนรถดีกว่ากิน กิน หลับ หลับ ตื่นมา กิน กิน ดูวิว เล่นเกมส์ นินทาคนญี่ปุ่นถึงแล้ว ฮิโระชิมะ โอ้ว ว้าว สถานีหย่ายโตวร้านรวงมากมายในนี้เป็นที่รวมร้านอาหารมากมายมีร้าน โอะโคะโนะมิยะกิ สไตล์ ฮิโระชิมะ อยู่หลายร้านไม่อดตายแล้วเรามี Food Street อีกแฮะท่าทางคนที่นี่เค้าจะกินกันดุน่าดูด้านหน้า ฝั่ง south ถ้าจำไม่ผิด แต่ท่ารถต่างๆจะอยู่ที่ฝั่ง northจากทางออกฝั่ง north ต้องลอดอุโมงค์ข้ามทางรถไฟแต่ ช้าก่อน.. อุโมงค์นี้อนุญาตให้เดินเท่านั้นนะจ๊ะสิงห์ 2 - wheel drive ทั้งหลาย กรุณาเคารพกฎดังนี้ลอดมาแล้วก็ขึ้นสะพาน มีโรงแรม 4 ดาวหลายชื่อ อยู่ริมแม่น้ำแถบนี้2 - 3 ดาว ก็เขยิบลึกเข้าไปบนบก แต่สรุปแล้วก็คือ หาที่พักฝั่ง north ของสถานี จะดีกว่าฝั่งใต้มีไอ้หนุ่มมานั่งเล่น ปรึกษาปัญหาหัวใจ ^^ โดดเรียนป่าวจ๊าไม่บอกจะรู้มั้ย ว่าที่นี่ ฮิโรชิมาสาวไทยเดินร้อนม้ามแล่บสาวจูโกะขุ เค้าแต่งตัวอย่างเงี้ยเดินๆไป เจอ 4 แยก แต่หาทางข้ามไม่ได้ซะงั้นอ๋อ เค้าให้เดินลอดถนน ข้างล่างเป็นวงเวียน ให้มึนเล่นช้านต้องขึ้นทางไหนเนี่ย ของล่อตา ล่อใจ เต็มไปหมดด่านนี้ผ่านยากจริงๆ เป็นการข้ามถนนที่ยาวนาน จนต้องบันทึกไว้ในอัตตชีวประวัติโผล่ขึ้นมาก็เจอสนามเบสบอลตรงข้ามสนาม เป็นจุดหมายปลายทางของการเดินอันยาวนานในวันนี้ใครขี้เกียจเดิน ไม่ชอบเดิน เดินไม่เก่ง เกิดมามีบุญตังค์เหลือใช้ นั่งรถรางมาก็ได้จ้ะ ลงข้างหน้าเลย สายอะไร ราคาเท่าไหร่ อย่าถาม ลืมหมดแหล่วAtomic Bomb Domeออกแบบโดยสถาปนิกชาวเช็ค สร้างเสร็จในปี 1915เดิมเป็น Exhibition Hallระเบิดปรมาณูลูกแรก ลงเมื่อเวลา 08:15 วันที่ 6สิงหาคม 1945 ห่างจากตึกนี้ 160 เมตรทุกวันเวลา 08:15 นาฬิกาที่ Peace Clock Tower นี้ จะดังขึ้นเพื่อเป็นการระลึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นสมัยเรียน ครูบอกว่า ตอนที่ระเบิดลง คนที่โดนรัศมีของระเบิด จะรู้สึกปวดแสบ ปวดร้อนจนทนไม่ได้ กระโดดน้ำลงไปตายกันเต็มแม่น้ำไปหมดและที่ขาดไม่ได้ คือเรื่องราวของเด็กหญิงซาดาโกะ ซาซากิกับนกกระเรียนพันตัวที่เป็นแรงบันดาลใจให้มี Children' s Peace Monument ขึ้นมาที่เก็บพวงมาลัยนกกระเรียนที่ผู้คนนำมาเคารพ คารวะ ระลึกถึง แก่เด็กๆทั้งหลายที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นระหว่างทางไปยัง Peace Memorial Museum ที่รวบรวมเรื่องราวของฮิโรชิมา รวมทั้งเป็นที่เก็บกระดูก ข้าวของ ต่างๆ ของผู้ที่เสียชีวิตในสงครามครั้งนั้นPeace Bell ที่คอยส่งเสียงต้อนรับสันติภาพ แก่ชาวโลก กับต้นไม้รายรอบตึกนี้เป็นตึกเดียวที่หลงเหลืออยู่ในฮิโรชิมา ในขณะที่ตึกอื่นๆที่โดนระเบิด ถูกทุบทิ้ง และสร้างใหม่ทั้งหมด ปัจจุบัน ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1996 และเป็นสัญลักษณ์ของเมืองได้รับการดูแลอย่างดีเขียนบล็อคนี้ แล้วอยากร้องไห้ ขอคารวะค่ะ
Miyajima 2... Itsukushima Shrine
เข้าเขตวัด ตรงโทริอินี้วัดนี้ เป็นวัดแบบ ชินโต สีขาว แดง โดดเด่นมีโทริอิ กลางน้ำ เป็นสัญลักษณ์ ของวัด และของเกาะทั้งวัด และเสากลางน้ำที่เห็น สร้างขึ้นตั้งแต่ต้น ศตวรรษ ที่ 12เดิม ประชาชนที่จะมาวัดนี้ จะต้องล่องเรือเข้ามาทางเสานี้ เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้เหยียบเกาะส่วนอื่น ซึ่งถือเป็นส่วนที่ศักดิ์สิทธิ์และซ่อมแซมอีกครั้งเมื่อปี 2004 -2005 เนื่องจากโดนไต้ฝุ่นพัด เสียหาย ตอนที่เรามาถึง น้ำลงพอดีจริงๆแล้ว ช่วงที่เสานี้จะดูงามที่สุด คือช่วงน้ำขึ้นสูงสุด ซึ่งสามารถเช็คเวลาได้ที่ Link ของ Tide Prediction ข้างๆนี้น้ำลงก็ดีไปอีกแบบ เพราะจะเดินไปได้จนถึงเสา ซึ่งผู้คนนิยมเอาเหรียญมาวางที่รอยแยกที่เสา แล้วขอพรกันทางเดินไม่ได้เป็นโคลนเหนียว ไม่ติดรองเท้า เดินได้สบาย สบายแต่กว่าจะรู้ตัว ก็เหยียบหอยตายไปหลายร้อยตัวมองกลับมาที่วัด เห็น เขา Misen (ใช่ป่าว) อยู่ข้างหลัง ข้างหลังวัด เป็น เจดีย์ 5 ชั้น หรือ Gojuto ข้างขวาของเจดีย์ เป็น Senjokaku หรือ วิหาร 1000 เสื่อ สร้างโดย โชกุน Toyotomi Hideyoshiเดินขึ้นไปดูได้ ไม่เสียค่าเข้าชมถ้ามาช่วงซากุระบาน แถบนี้ก็จะแน่นไปด้วยชาวญี่ปุ่น ที่มาชมดอกไม้ถ้ามาช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ที่นี่ก็จะเบียดเสียดไปด้วยผู้คน ที่มาชมใบไม้เข้าไปดูข้างในวัดกัน วันนี้มีการซ้อมงานพิธี 7 5 3 เด็กๆก็เลยเยอะเล็กน้อยค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 300 เยนตะเกียงที่วางบ้าง แขวนบ้าง เรียงรายรอบวัด ภายในรูปนี้ชอบมากท่าเทียบเรือของวัด ที่ใช้ในสมัยก่อนเห็นอย่างนี้ ไปยืนใกล้ๆ จะรู้ว่าชันมาก คนกลัวความสูงเห็นแล้วสั่นได้เลยวิวนี้ เห็นทุกวัดทางออกจากวัดอยู่ด้านหลัง จะเป็นคนละทางกับทางเข้าซึ่งอยู่ด้านหน้าออกมาก็เย็นมาก เห็นทีจะขึ้นเขามิเซน ไม่ทันเป็นแน่แท้บนเขานั้น จะมีวัด ไดโช ซึ่งเคยต้อนรับองค์ดาไลลามะ เมื่อปี 2005ที่วัดนี้ มี กงล้ออธิษฐานทองคำ ที่เชื่อกันว่า ถ้าใครได้สัมผัสแล้วจะโชคดีการขึ้นเขา ก็สามารถนั่งกระเช้าขึ้นไปได้ ค่ากระเช้า 1800 เยน ไป-กลับเราสามารถซื้อ Miyajima Free Pass ราคา 2000เยน ซึ่งรวม กระเช้า + เรือเฟอร์รี่ และ ตั๋วรถราง 2 วัน ในเมืองฮิโรชิม่าได้ (ถ้าจำไม่ผิด ^ ^)น้องกวาง ตามติดตลอดทางขึ้นเรือไปด้วยกันเลยมะ น้องตามไอ้นี่มาแหงมแสงสุดท้าย ก่อนอำลา2ข้างทาง ดักนักท่องเที่ยว ก่อนกลับยืนยัน ว่าอยู่ในฮิโรชิม่า