ปล่อยไหลไปตามวิถี ช่วงชีวีนี้แสนสั้น..จะทุกข์กับมันไปไย
บทที่ 3 "ไหลไปกับสายน้ำ"

ฉันเดินทางไปบ้านของตายายซึ่งอยู่ห่างจากบ้านเดิมประมาณ 15

กิโลเมตรด้วยการโดยสารเรือยนต์ที่แล่นระหว่างอำเภอกับหมู่บ้านต่างๆ

ที่อยู่สองฝั่งคลองระเรื่อยไปจนถึงทะเลสาบ


เรือโดยสารมีทั้งเรือยนต์และเรือเครื่องหางยาว ยายเลือกที่จะพาฉันนั่งเรือยนต์

เพราะลำใหญ่กว่าและดูจะปลอดภัยกว่า


เรือยนต์ต่างจากเรือเครื่องหางยาวตรงที่มีเครื่องยนต์อยู่บริเวณกลางลำเรือ

ส่งเสียงดังทึ่ดๆๆ ไปทั่วคุ้งน้ำ ขนาดลำเรือกว้าง

ด้านหัวเรือและท้ายเรือเป็นที่นั่งของผู้โดยสาร

พื้นเรือเป็นไม้กระดานมันปลาบที่เกิดจากการนั่งๆนอนๆของผู้คนมานานปี


แม้อัตราความเร็วของเรือยนต์จะช้ากว่าเรือหางยาว

แต่การที่มีที่นั่งกว้างขวางให้เหยียดแข้งเหยียดขาไปจนถึงนอนเหยียดยาวได้ในเวลาผู้โดยสารน้อย

ทำให้การเดินทางอันยาวนานนับชั่วโมงๆบนสายน้ำ บางครั้งคือการพักผ่อน


เมื่อลงไปนั่งในเรือ สีชาใส่นมของลำคลองที่มองลงมาจากบนฝั่ง

จริงๆแล้วใสสะอาดจนน่าลงไปแหวกว่าย


ตลิ่งสองฝั่งคลองส่วนใหญ่ค่อนข้างสูงชันและมีต้นไม้น้อยใหญ่ร่มครึ้ม

บางต้นมีรากที่ชอบไชทะลุดินจนโผล่ลงมาเป็นเส้นคดโค้งเรี่ยๆกับระดับน้ำ

บางทีใหญ่เสียจนใช้เป็นบันไดเทียบท่าให้คนขึ้นลงเรือได้เลย


บรรยากาศเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงเครื่องเรือกำลังทำงาน

นานๆจะมีเรือลำอื่นแล่นสวนมาสักครั้ง

ลำน้ำที่คดเคี้ยวอยู่ตลอดทำให้ระยะทางยาวไกลกว่าเส้นทางจริง

แต่ระยะทางที่ยาวไกลและเวลาที่ยาวนานไม่เป็นปัญหาสำหรับฉันซึ่งชื่นชอบการสำรวจดูสองข้างทางยิ่งนัก


สิ่งที่ฉันคอยเฝ้าดูคือ นก นกหลายชนิดหลากสีสรรพ์

แต่ฉันไม่รู้หรอกว่ามันชื่อเรียงเสียงใดกันบ้าง รู้อย่างเดียวคือมันสวยด


ถ้าหิวก็หาของกินในตะกร้าหวายใบใหญ่ของยายซึ่งเป็นนักตุนเสบียงตัวฉกาจ

ง่วงก็นอนหลับกับตักยาย สุดแสนสบายจริงๆ


นี่ไม่ใช่การเดินทางครั้งแรก

แม่เคยพาฉันและพี่น้ำอ้อยไปบ้านตากับยายหลายครั้งแล้ว

แต่เป็นการไปเยี่ยมและไปเที่ยวธรรมดา

ไม่เหมือนครั้งนี้ซึ่งฉันมารู้ทีหลังว่าเป็นการไปอยู่เลย

แต่ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับการเปลี่ยนแปลงอาจจะเป็นเพราะฉันสนิทสนมกับตายายมาก

แม่เป็นลูกสาวคนเดียว

ฉันกับพี่น้ำอ้อยผู้เป็นหลานสาวเพียงสองคนเลยกลายเป็นที่รักสุดสวาทขาดใจของตายาย

แม้จะไม่ได้ไปหา ยายก็จะมาเยี่ยมพร้อมกับของฝากจากสวนอยู่เสมอๆ



บ้านตากับยายอยู่ที่ตำบลเล็กๆแห่งหนึ่ง มีชื่อว่า บ้านแม่ทอม

ถ้าเป็นเมืองฝรั่งก็ต้องเรียกว่า Mama Tom Village

ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ส่วนใหญ่เป็นญาติกัน ตั้งบ้านเรือนอยู่กันเป็นกลุ่มๆ

ตามระดับความใกล้ชิดและสนิทสนม


หน้าบ้านเป็นถนนดินลูกรังสีส้มแดงที่ตัดมาจากตัวอำเภอหลายปีดีดักแล้ว

เพื่อให้เป็นทางสัญจรอีกทางหนึ่งของชาวบ้าน

แต่ก็ยังไม่มีรถยนต์มาใช้บริการเลยสักคัน หลังบ้านเป็นสวนครัวและไม้ผลต่างๆ

นอกเขตรั้วเป็นทุ่งนา


บ้านตายายก็เหมือนบ้านในชนบททั่วไป เป็นบ้านไม้ใต้ถุนสูง

หน้าร้อนจะเย็นสบาย เพราะมีการหมุนเวียนของอากาศดี

ไม่ร้อนอบอ้าวเหมือนบ้านติดดินที่สร้างด้วยอิฐฉาบปูนและติดกระจกแบบสมัยใหม


หน้าฝนก็ไม่ต้องกังวลใจ ปีไหนฝนตกจนท่วมท้ม ก็ขนของขึ้นบ้าน

น้ำอยากจะท่วมก็ให้มันท่วมไป


พื้นที่บริเวณใต้ถุนใช้เก็บเครื่องมือทำนาทำสวน จอบ เสียม คราด คันไถ

เป็นที่นั่งทำงานสานเสื่อ กระบุง ตะกร้า เป็นที่ผูกเปลแกว่งไกวไว้นั่งเล่นนอนเล่น


การสร้างบ้านแถบภาคใต้ไม่ได้ฝังเสาลงในพื้นดิน

แต่จะปรับพื้นจนแน่นเพื่อวางแผ่นศิลาหรือแผ่นซีเมนต์เป็นฐาน

ก่อปูนรูปสี่เหลี่ยมขึ้นเป็นเสาสูงสักเมตรเศษๆ แล้วเอาเสาไม้วางบนฐานนั้นอีกท


บ้านของตายายก็เป็นแบบนี้


ตัวบ้านค่อนข้างกว้าง มีห้องหับที่กั้นมิดชิดปิดประตูเรียบร้อยอยู่สามห้อง

แต่ไม่ยักกะให้คนนอน กลับเป็นห้องที่ใช้เก็บข้าวเปลือก

และจำนวนข้าวเปลือกก็เป็นความภูมิอกภูมิใจของยายยิ่งนัก


ห้องเก็บข้าวนี้ชาวบ้านจะเรียกว่า “เรือนข้าว” ชื่อไพเราะเพราะพริ้งน่ารัก

ฟังดูดีเหมือนเป็นการให้เกียรติ “แม่โพสพ” ผู้เป็นเทพีแห่งข้าว

อันเป็นอาหารหลักของคนทั่วไปได้มีที่อยู่ในส่วนที่ดีที่สุดของบ้าน


ด้านหน้าเป็นระเบียงกว้างมีหลังคา ปูไม้กระดานห่างๆ

บางแผ่นออกจะโก่งตัวแถมตายังไม่ยอมตอกตะปูอีกต่างหาก

ทั้งๆที่เป็นช่างไม้เองแท้ๆ

เวลาใครเดินก็จะดังโครมครามส่งเสียงให้รู้ว่ามีคนขึ้นบ้าน นี่คือเหตุผลของตา

ใช้ระเบียงเป็นยาม


ฉันอยู่ในส่วนที่ติดกับระเบียงหน้ากับเรือนข้าว เตียงนอนเป็นเตียงไม้ที่มีเสา 4

มุมสำหรับกางมุ้ง โชคดีที่นี่ไม่มียุงเลยไม่ต้องกาง

แต่ถัดมาอีกสิบกว่าปีพอมีไฟฟ้าใช้ ยุงเดินทางเข้ามาอยู่กันเต็มหมู่บ้าน

ก็แปลกดี


มีผ้าม่านผืนใหญ่กั้นเป็นสัดส่วน เป็นผ้าม่านที่สวยมากในสายตาฉัน

ยายบอกว่าแม่เป็นคนซื้อ แม่ชอบซื้อของสวยๆงามๆมาแต่งบ้านเสมอ

ผ้าม่านสีแดงหม่นมีแถบผ้าสีเขียวเป็นกรอบรอบทั้งผืน

ลวดลายบนผืนผ้าเป็นรูปช้างและคนนั่งที่ประดับประดาเหมือนช้างทรงของราชาที่เห็นในหนังอินเดีย

มีทหารยืนถือหอก มีเสือโคร่งทำท่ากระโจน มีต้นมะพร้าววางสลับกันทั่วทั้งผืน

เคยลองนับดูแต่นับไม่เคยได้ครบสักที ไม่ว่าก่อนนอนหรือตื่นนอน

ฉันชอบมองรูปพวกนั้นนานๆ

แล้วจินตนาการให้เป็นเรื่องผจญภัยต่างๆนานาตามประสาเด็ก


วันเวลาผ่านไป ผ้าม่านผืนนั้นหายไปไหนตั้งแต่เมื่อไร

ฉันก็ไม่ทันได้สังเกตและลืมเลือนมันไปแล้ว จนกระทั่งวันที่เริ่มเขียนเล่าเรื่อง

ความทรงจำส่วนนี้จึงค่อยๆกลับมา และรู้สึกคิดถึงมันเหมือนคิดถึงเพื่อนคนหนึ่ง


บ้านนี้ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ฉันชอบ

หลังคากระเบื้องดินเผาแผ่นเล็กประมาณฝ่ามือโตๆสีน้ำตาลอ่อนคล้ายสีขนมผิงค่อยๆหย่อนลงมาอย่างอ่อนช้อยนุ่มนวล

ไม่เป็นเส้นตรงแข็งกระด้างแบบรูปทรงเรขาคณิต

ไม่รู้ว่าตาคิดและสร้างออกมาได้อย่างไร ตาเล่าว่าบ้านหลังนี้ตาเป็นคนสร้าง

โดยมีญาติๆมาช่วยกัน ไม้ก็ตัดกันเอง เลื่อยกันเอง

ตาว่าสมัยนั้นใครมีปัญญาถางป่าเพื่อบุกเบิกให้เป็นที่ทำกินได้เท่าไรก็ไม่มีใครว่า

ถางกันทำกันจนเหนื่อยจนเบื่อ จนไม่ไหวไปเสียเอง


เสาบางต้นตาก็ใช้ขวานถากๆเอาพอให้เป็นรูปสี่เหลี่ยม

พื้นผิวจึงไม่เรียบเหมือนใช้เลื่อย แต่ฉันชอบ ฉันว่ามันสวยแบบเถื่อนๆ ดิบๆ เท่ดี

และผลจากเป็นคนเลื่อยไม้ ยายเล่าว่าตอนหนุ่มๆตาของฉันเลยมีหุ่นล่ำบึ้ก

กล้ามแขนขึ้นเป็นมัดๆ โห...แมนสุดๆ


หลังบ้านเป็นครัว และพื้นที่สุดท้ายเป็นนอกชานสำหรับล้างถ้วยล้างชาม

ครัวสมัยนั้นไม่มีเตาแก๊สใช้ ส่วนใหญ่ใช้เตาฟืน

เตาฟืนในครัวของยายเป็นเตาดินเผารูปโค้งเหมือนเกือกม้า

วางบนพื้นดินเหนียวอัดแน่นในกรอบไม้สี่เหลี่ยมซึ่งจะมีขนาดกว้าง ยาว

และสูงตามใจ และตามความถนัดของแม่ครัว

เวลาจะใช้ก็ก่อฟืนในช่องเตาที่เป็นรูปเกือกม้านั้น วางภาชนะไว้ข้างบน จะหุงข้าว

ต้มแกง ผัดหรือก็ทอดก็ได้เลย


ไม้ฟืนหาได้จากกิ่งไม้ที่หักและร่วงหล่นอยู่ทั่วไปในสวน กะลามะพร้าวก็ใช้ได้

ฉันชอบดูเวลายายใส่กะลามะพร้าวในเตา

พอมันติดไฟแล้วจะลุกโพลงส่งเสียงดังฟู่ๆและให้ความร้อนมาก

เพียงแต่มันไม่ติดทนนานเหมือนไม้ฟืนดุ้นใหญ่ๆ

บางบ้านที่เผาถ่านเป็นก็ใช้เตาถ่านและหม้อข้าวหม้อแกงของบ้านนั้นจะขัดจนขึ้นเงาวับด้วยฝอยขัดหม้อกับสบู่ซันไลท์

ฉันเคยรบเร้าให้ยายใช้เตาถ่านเพื่อจะได้ขัดหม้อให้เงาวับเหมือนของเขาบ้าง

แทนที่จะเป็นหม้อที่ด้านนอกดำปี๋และหนาเขรอะไปด้วยคราบเขม่าที่จับติดแน่นมานานหลายป

ี แต่ยายไม่เอาด้วย แถมมีมุขตลกอีกว่า ขัดมากๆเดี๋ยวก็สึกหมด


เช้าๆฉันจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นควันไฟในครัวของยาย

ซึ่งจะตลบอบอวลขึ้นไปลอยอ้อยอิ่งอยู่ใต้หลังคา

กลายเป็นเขม่ารมกระเบื้องเสียจนดำ ก่อนจะลอยออกไปทางช่องลม

สักพักจะตามมาด้วยกลิ่นหอมกรุ่นของข้าวใหม่ที่กำลังเดือดอยู่บนเตา


ทุกวันนี้เวลาฉันเห็นใครก่อกองฟืนหรือได้กลิ่นควันไฟ

ฉันจะคิดถึงเช้าอันแสนสุขที่พิรี้พิไรอยู่บนที่นอน

ก่อนจะลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวกินข้าวเช้าก่อนไปโรงเรียนเสียทุกครั้ง


และคนที่คิดถึงมากที่สุดในอารมณ์นั้นก็คือ ยาย



ฉันดูเหมือนจะคิดคำนึงและอาลัยอาวรณ์บ้านหลังนี้มาก

ฉันมีเรื่องราวครั้งเยาว์วัยที่บ้านตายายอีกหลายเรื่องและอยากจะเล่า

เพราะเวลาที่อยู่ที่นี่

สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องสนุกสนานและเบิกบานสำหรับฉันมากที่สุดในชีวิต

เปรียบเสมือนน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจที่แห้งผากให้ชุ่มชื่นทุกครั้งที่นึกถึง


ใครคนหนึ่งเคยบอกว่า อดีตก็คืออดีต

ไม่น่าจะเอามาเกี่ยวข้องกับทุกข์หรือสุขในปัจจุบัน แต่สำหรับฉัน

ฉันว่าบางทีอดีตก็คล้ายๆกับโคเลสเตอรอลหรือไขมันในเลือด ซึ่งมีทั้ง HDL

คือไขมันชนิดดีที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย กับ LDL

คือไขมันชนิดเลวที่ทำให้เกิดโทษต่อร่างกาย


ฉันว่าบางครั้งถ้าเราจะเก็บอดีตชนิดดีเอาไว้เพื่อที่จะได้เรียกรอยยิ้มยามนึกถึงไว้บ้างก็คงไม่เลวเท่าไร


ถ้างั้นฉันขออนุญาตเล่าเรื่องราวช่วงนี้นานๆ

นานเท่าที่ความทรงจำจะพาฉันกลับไปได้



Create Date : 10 มกราคม 2551
Last Update : 10 มกราคม 2551 18:30:46 น. 3 comments
Counter : 364 Pageviews.

 
มาแปะไว้ก่อน เรื่องยาวมาก อิอิ

แบบว่ามาจองที่หนังหน้าก่อน


โดย: unruly วันที่: 10 มกราคม 2551 เวลา:20:42:38 น.  

 
อ่านแล้วคับ


โดย: เฒ่าเจ้าอุบาย วันที่: 14 มกราคม 2551 เวลา:13:12:30 น.  

 
อ่านแล้วได้กลิ่นควันไฟกรุ่นๆ


โดย: แมงปอ (tonbo2k ) วันที่: 4 มีนาคม 2551 เวลา:13:42:33 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

bluearthy
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็นคนแบบนี้แหละ..
เป็นยังไงก็อยู่ที่ว่าใครจะมองมุมไหน..

ขึ้นอยู่กับว่ามองด้วยตา หรือมองด้วยใจ
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add bluearthy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.