ปล่อยไหลไปตามวิถี ช่วงชีวีนี้แสนสั้น..จะทุกข์กับมันไปไย
บทที่ 7 "เลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน"

เช้าแล้ว ไปโรงเรียนกันเถอะ


ใช่ว่าฉันจะไปโรงเรียนแต่โดยดีทุกวันหรอก

บางวันก็ออกอาการโยเยและเบี้ยวเสียดื้อๆ

อ้างว่าปวดหัวตัวร้อนปวดท้องไปตามเรื่อง

พอสายๆคะเนว่าโรงเรียนเข้าแล้วก็หายป่วย


แม้แต่ไปถึงโรงเรียนแล้ว ถ้าวันนั้นเป็นวันนัดก็มักไปนั่งเฝ้ายายขายของ

ออกอาการอิดออดไม่ยอมเข้าโรงเรียน

เว้นเสียแต่ว่าเพื่อนๆชวนไปเล่นกันก่อนเข้าแถวเคารพธงชาติก็แล้วไป

แต่ถ้าเกิดยายเอาขนมไปให้ละเป็นได้เรื่อง

ฉันจะร้องไห้ตามยายกลับบ้านเสียทุกครั้ง คุณครูก็ห้ามไม่อยู่

จนตอนหลังคุณครูต้องบอกยายว่า ถ้าฉันเข้าโรงเรียนไปแล้ว

ยายไม่ต้องเอาของมาให้อีก


ไม่ใช่ว่าไม่อยากเรียนหนังสือ เพียงแต่บางครั้งฉันรู้สึกคิดถึงยาย

คิดถึงบ้านจนไม่อยากไปไหน



เดินไปหรือเดินกลับก็สำรวจข้างทางเหมือนเคย ทั้งๆที่เดินมาเป็นปีแล้ว

คราวนี้เห็นต้นไม้ชนิดหนึ่งมีดอกสีขาว เล็กๆ กลมๆ ดอกเป็นช่อยาวๆน่ารักดี

เดินไปดูใกล้ๆได้กลิ่นหอมด้วย ฉันดึงมันลงมาดม เพื่อนที่เดินมาด้วยกันรีบห้าม


“หนูอ้น อย่าไปเด็ดมันลงมานะ”


“อ้าว..... ทำไมเด็ดไม่ได้ล่ะ ?”


“แม่บอกว่าถ้าใครเด็ดดอกปด ถ้าควายเห็นนะ มันจะไล่ขวิด”


“เฮ้ย..... ควายมันไล่ขวิดคนใส่เสื้อแดงไม่ใช่เหรอ”


“เออ นั่นแหละ มันไล่ขวิดคนเด็ดดอกปดด้วย”


ความรู้ใหม่ ทั้งที่ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ฉันยังไม่เคยเห็นควายสักตัว เห็นแต่วัวอยู่เต็มทุ่ง

แต่ใครล่ะจะกล้าเสี่ยง

นับว่าเป็นความฉลาดของผู้ใหญ่อีกแล้วในการอนุรักษ์ธรรมชาติไม่ให้เด็กมือบอนมาเด็ดดอกไม้เล่นอย่างแยบยล


ดอกปดที่คนแถวนี้เรียกกันคือ ดอกรสสุคนธ์ ซึ่งเป็นไม้เถาชนิดหนึ่ง


เรื่องที่บอกต่อๆกันมาว่าควายชอบไล่ขวิดคนใส่เสื้อแดง

จริงหรือไม่ก็ไม่เคยใส่เสื้อแดงไปเดินกลางทุ่งเพื่อพิสูจน์สักที

แต่เห็นว่าดูท่าคนจะใส่ร้ายควายเสียมากกว่า

ดูๆไปแล้วควายออกจะเป็นสัตว์เชื่องๆ ใจเย็น น่ารัก

ไม่น่าจะหงุดหงิดขี้โมโหเหมือนเด็กนิสัยเสียบางคน


เจ้าเด็กที่ว่านี้จะเป็นใครเสียอีกล่ะ ถ้าไม่ใช่ฉัน


ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันยังเป็นเด็กหงุดหงิดและโมโหง่ายอยู่อีก

ทั้งๆที่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยมีใครแหย่เล่นอีกแล้ว นอกจากจะถามนั่นถามน

ี่ แต่ที่ถามนั่นถามนี่นั่นแหละที่ทำให้รำคาญและหงุดหงิดขึ้นมา ก็เล่นถามถึงแม่

พ่อ และพี่น้ำอ้อย ฉันขี้เกียจตอบ เพราะไม่รู้จะตอบยังไง


อย่าว่าแต่คำถามยากๆอย่างนั้นเลย แม้แต่คำถามทักทายธรรมดา ไปไหน

ทำอะไร กินข้าวหรือยัง ฉันก็พาลหงุดหงิดไปเสียหมด

ไม่รู้จะถามไปทำไมนักหนา


จนเติบใหญ่จึงได้รู้ว่า แค่ผู้ใหญ่เขาเอ็นดูและอยากชวนพูดชวนคุย

เพราะเห็นฉันเป็นเด็กช่างพูด ชอบอ่านหนังสือเสียงดังแจ้วๆ

ชอบพูดตลกๆให้คนขำ ใครจะนึกว่า คนตลกๆอย่างนี้

ทำไมถึงได้หงุดหงิดโมโหง่ายจัง


อ้าว... ใครมันจะดีพร้อมไปเสียทุกเรื่องล่ะ (หงุดหงิดอีกแล้วซิ?)


ตอนนั้นฉันเลยมีฉายาว่า “หนูอ้นขี้ด่า”


แต่มีผู้ใหญ่คนนึงที่ฉันไม่เคยแผลงฤทธิ์ใส่ คนนี้ไม่ใช่ญาติ แต่มีบ้านอยู่ใกล้ๆกัน

ใครๆเรียกว่าสาวพูน ทั้งๆที่แกก็ไม่ใช่สาวแล้ว ฉันเรียกแกว่าป้า


ป้าพูนเป็นคนผิวดำคล้ำ รูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางแข็งแรงดูทะมัดทะแมง

ซึ่งก็เหมาะสมดี เพราะป้าพูนเป็นคนที่ทำงานหนักมาก

ฉันไม่เคยเห็นป้าแกอยู่เฉยๆ นั่งพักนั่งคุยกับคนอื่น นอกจากทำนาทำสวนแล้ว

ป้าพูนยังใช้เวลาว่างทำขนมทองม้วนบรรจุปี๊บขาย เย็บจากมุงหลังคา

เลี้ยงเป็ดด้วย

ฉันชอบไปยืนดูเวลาแกหั่นหยวกกล้วยด้วยมีดอันยาวคมกริบจนเป็นแว่นบางๆ

เพื่อเอาไปต้มผสมกับปลายข้าวให้เป็ดกิน


ป้าพูนต้องทำงานหนักเพราะมีลูกหลายคน และต้องเลี้ยงลูกตามลำพัง

เพราะสามีเสียชิวิตไปแล้ว


ลูกสาวคนหนึ่งของป้าพูนชื่ออุทัย เธอเป็นเพื่อนเล่นและเพื่อนร่วมโรงเรียนกับฉัน

อุทัยเล่นหมากเก็บเก่งมาก เล่นกันทีไรฉันแพ้ทุกที

แต่ฉันก็ไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจอะไร เพราะฉันแค่เล่นไปงั้นๆ พอเพลินๆ

ฉันไม่ชอบการแข่งขันเพื่อเอาชนะ ฉันว่ามันไม่สนุก


เวลาเจอกันป้าพูนจะยิ้มและทักทาย แปลกที่ฉันไม่รู้สึกหงุดหงิดเหมือนบางคน

ไม่รู้ว่าเพราะรอยยิ้มซื่อๆ หรือเพราะรู้สึกสงสารที่เห็นป้าพูนทำงานหนัก

หรือเพราะป้าพูนเป็นแม่ของอุทัยเพื่อนฉัน

หรือเพราะไม่ใช่ญาติฉันเลยไม่กล้าแผลงฤทธิ์ใส่


อุทัยเป็นเด็กดีและขยัน

ช่วยแม่ทำงานแทบทุกอย่างที่ทำได้ทั้งๆที่บางครั้งป้าพูนก็ดุด่าลูกเสียงดังปานฟ้าผ่า

ฉันก็ไม่เห็นว่าอุทัยจะหงุดหงิดหรือเสียใจอะไร

นอกจากก้มหน้าก้มตาทำงานตามที่แม่สั่ง


ผิดกับฉันที่ยายเลี้ยงอย่างทนุถนอมเหมือนใข่ในหิน ริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม

ตากแดดนิดตากฝนหน่อยก็รีบเรียกให้เข้าที่ร่ม ไปซนที่ไหนไกลหูไกลตา

ถ้ารู้ก็รีบตามกลับบ้าน


โรงเรียนพาไปดูการแข่งขันกีฬาก็ไปตามรับตัวกลับ เวลานั่งเรือ

ถ้ามีผู้โดยสารเต็มแล้ว บางครั้งมีคนกวักมือเรียกตามท่าน้ำเพื่อจะโดยสารไปด้วย

ซึ่งก็ยังพอจะไปได้ ยายจะบอกนายท้ายว่า


“ไม่ต้องแวะรับ ให้เขารอไปลำอื่น ฉันไม่อยากให้เรือเพียบ

ค่าโดยสารของคนนี้เดี๋ยวฉันจ่ายเอง”


กิตติศัพท์ความรักหลานห่วงหลานของยายเป็นที่ระบือในย่านนั้น


ยายไม่ค่อยยอมให้ฉันได้ทำอะไรๆบ้างเลย พอฉันจะล้างจาน ตักน้ำ ซักผ้า

หาฟืน หรือแม้แต่ช่วยหิ้วของ ยายมักจะร้องห้ามตลอด

อ้างว่าเป็นห่วงและกลัวฉันเหนื่อย ซึ่งเป็นเหตุให้ฉันเถียงยายอยู่เสมอ


ยายยิ่งห้ามฉันก็ยิ่งทำ เพราะงานบ้านของเด็กบ้านนอกเป็นแบบได้ทำไปเล่นไป

แต่บางอย่างทำเพราะสงสารและอยากช่วย ฉันซักเสื้อผ้าเองตอนอยู่ชั้นประถม 3

อายุประมาณ 8-9 ขวบ ปักอักษรย่อที่เสื้อนักเรียนตอนประถม 4

พร้อมกับหัดก่อไฟหุงข้าวให้ตากินได้เวลาที่ยายไม่อยู่

โดยมีตาเป็นคนสอนและฉันมักจะเชื่อฟังตามากกว่า

เพราะตาฟังเหตุผลและยอมให้ฉันได้ลองทำอะไรๆโดยที่ตาคอยดูอยู่ใกล้ๆ


ตาสอนให้เอากิ่งไม้เล็กๆวางซ้อนกันหลวมๆ มีก้อนขี้ไต้อยู่ข้างล่าง

จุดไม้ขีดไฟจ่อขี้ไต้ จากนั้นไฟจะลุกติดกิ่งไม้

แล้วค่อยๆวางฟืนดุ้นใหญ่ซ้อนเฉียงกันสัก 4-5 ดุ้น พอไฟลุกดีแล้วก็หุงข้าวได้


ฉันไม่กล้าจุดไม้ขีดเพราะก้านมันสั้น กลัวว่าไฟจะโดนนิ้ว

ตาเลยมัดก้านไม้ขีดกับกิ่งไม้เล็กๆเพื่อเพิ่มความยาว

ลองไม่กี่ครั้งฉันก็จุดไม้ขีดเองได้


ซาวข้าวเสร็จ ใส่น้ำให้สูงกว่าเมล็ดข้าวสักองคุลี คือหนึ่งข้อนิ้วมือ

ตาว่าใส่น้ำขนาดนี้กำลังดีจะได้ไม่ต้องรินน้ำข้าว

พอข้าวเริ่มเดือดก็ใช้ทัพพีคนสักหน่อย

แง้มฝาหม้อไว้เพื่อไม่ให้น้ำข้าวล้นหม้อขึ้นมาหกเลอะเทอะ

พอน้ำแห้งก็ราไฟให้อ่อนลงเพื่อดงข้าว การดงข้าวคือ การทำให้ข้าวระอุ

ไม่นานข้าวก็สุกดีทั่วหม้อ


ที่เขียนเล่ามานี้ พยายามเค้นมาจากความทรงจำ 40 ปี

ผิดถูกอย่างไรขออภัยด้วย

จะถามก็ไม่รู้จะถามใครในยุคที่หุงข้าวด้วยหม้อหุงข้าวไฟฟ้าที่แสนสะดวกสบาย


แต่ข้าวสุกของฉันบางครั้งก็ไม่ค่อยปกติสุข

ฉันไม่รู้ว่าข้าวสารในโอ่งเล็กที่เอามาหุงนั้นเป็นข้าวใหม่หรือข้าวเก่า

ไม่รู้ว่าถ้าข้าวใหม่ต้องลดน้ำลงอีกหน่อย เพราะข้าวใหม่มีความชื้นสูง

ถ้าใส่น้ำเท่าเดิม ข้าวจะแฉะ ถ้าเป็นข้าวเก่าค้างปีก็ต้องเพิ่มน้ำ

ไม่อย่างนั้นข้าวจะแข็ง ตาคงลืมนึกถึงข้อนี้จึงไม่ได้บอก


ดังนั้นบางครั้งข้าวก็แฉะไป บางครั้งก็แข็งเป๊กจนถึงดิบ

บางครั้งก็ไหม้เพราะลืมราไฟ บางครั้งก็รวมทุกอย่าง

เพราะพอรู้ว่าข้าวดิบก็เติมน้ำ แต่วิธีเติมไม่ได้ค่อยๆพรมให้ทั่ว พอเอาไปดงซ้ำ

ข้างล่างก็ไหม้ บางหย่อมก็แฉะ บางหย่อมก็ดิบ อย่างนี้เขาเรียกว่าหุงข้าวแบบ

3 กษัตริย์
แต่ตาไม่เคยว่าอะไร วันไหนดิบตาบอกว่าเคี้ยวมันดี

คราวไหนแฉะตาก็บอกว่าข้าวนิ่มดี เคี้ยวสบาย ครั้งไหนไหม้เก๊าะหอมดี 3

กษัตริย์ตาก็ได้แต่หัวเราะหึๆ แต่ตาไม่ได้ปล่อยเลยตามเลยหรอกนะ

ตาก็พยายามแก้ไขให้พอกินได้


เวลายายกลับจากเก็บค่าเช่าบ้านในตัวอำเภอ ซึ่งก็คือบ้านเก่าของฉัน

ยายจะซื้อของกินกลับมาหลายอย่าง ทั้งลูกอมและขนมต่างๆที่บรรจุในปี๊บเล็กๆ

ขนมปังกรอบรูปปลาตัวโตเกือบเท่าฝ่ามือ ฉันชอบเอามาวางผึ่งลมให้มันนุ่ม

หรือใส่ในนมชงให้มันเละๆ ข้นๆ ก่อนกิน

ฉันไม่ชอบกินขนมกรอบๆเพราะมันฝืดคอ


วันไหนยายว่างก็จะทำขนมให้กิน ขนมโปรดของฉันคือขนมเล็ดข้าว (เมล็ดข้าว)

ซึ่งทำจากแป้งข้าวเจ้าที่โม่เอง

เอาแป้งเหลวๆใส่ในกะลามะพร้าวใบใหญ่ที่ขัดจนขึ้นเงาสีดำมีรูเล็กๆตรงก้นกะลาหลายสิบรู

ใช้มือเคาะกะลาเร็วๆแรงๆ

แป้งจะลอดรูลงมาในกระทะน้ำตาลโตนดที่กำลังเดือดเป็นตัวเล็กๆสั้นๆ

คล้ายขนมปลากริม แต่ขนาดจะเล็กกว่ามาก


ตากับยายปลูกมันสำปะหลัง มันเทศ เผือก ฟักทอง ข้าวโพด

ยายมักต้มของพวกนี้ไว้กินกับมะพร้าวขูดโรยเกลือ

หรือจิ้มกับน้ำตาลทรายหรือทำขนมที่เรียกว่าแกงบวด

ทุกอย่างอร่อยมากด้วยความสดและใหม่ตามธรรมชาติ


บางครั้งยายก็หุงข้าวเหนียวร้อนๆกินกับปลาเค็ม เนื้อเค็ม หรือมะพร้าวขูด

ฉันชอบหอบหิ้วไปนั่งกินตรงระเบียงหน้าบ้าน

กินไปด้วยดูสายฝนที่ตกโปรยปรายไปด้วย แสนจะมีความสุข


ที่นี่นอกจากไม่ต้องซื้อข้าวสารแล้ว

เรายังหาอาหารสดจากในหมู่บ้านได้อีกหลายอย่าง มีเห็ดที่ฉันไม่รู้จักชื่อ

โผล่ขึ้นมาข้างๆจอมปลวกใต้ต้นเงาะต้นหนึ่งที่หน้าบ้าน มันขึ้นมาซ้ำๆกันทุกปี

ยายจะเอามาทำต้มยำ เวลาเคี้ยวนุ่มๆเหนียวๆหนึบๆ อร่อยมาก


มีกุ้งใหญ่ (ซึ่งยายเรียกว่า แม่กุ้ง) และปูตัวใหญ่ (แต่ยายไม่ยักเรียกว่าพ่อปู)

ทั้งกุ้งทั้งปู ยายไปเอามาจากในคลอง แต่ฉันไม่รู้ว่ายายไปจับมันมาได้อย่างไร

เพราะยายแอบไปเงียบๆไม่ให้ฉันรู้


กุ้งปูสดๆ ยายเอามาต้มใส่เกลือนิดๆ พอสุกเอามันกุ้งมันปูมาคลุกข้าวร้อนๆ

อร่อยที่สุดเลย กุ้งปูที่ต้มสุกแล้วเป็นสีแดงอมส้ม ตาค่อยๆแกะเอากรี

คือเปลือกตรงหัวกุ้งมาให้ฉันเล่น โดยทำเป็นโพงสำหรับวิดน้ำอันจิ๋ว

ถ้าอยากรู้ว่าเป็นยังไงให้ลองแกะเปลือกตรงหัวกุ้งดู

ส่วนก้ามปูก็ค่อยๆแกะเนื้อออก ค่อยๆตัดแต่งก้ามปูกลวงๆให้คล้ายรูประฆังคว่ำ

แล้วใส่ชิ้นส่วนเล็กๆตรงปลายก้ามไว้ข้างใน ทำเป็นลูกกระทบให้เกิดเสียงดัง

เป็นกระดึงก้ามปูสีสวย


วันหนึ่งตอนอยู่ชั้นประถม 4 ฉันก็ได้ออกไปหาอาหารสดเองบ้าง

ฉวยโอกาสตอนยายไม่อยู่

ลากเอาคันเบ็ดไม้ไผ่อันยาวของยายออกไปตกปลาที่นาข้าว

มีคนออกไปหาปลากันหลายคน ปลาที่หาได้ก็มีปลาช่อน ปลาดุก ปลาหมอ

เขามักเอามาทำแกงส้มปักษ์ใต้ใส่ขมิ้นซึ่งเป็นอาหารประจำบ้านรับประทานกันได้ทุกวี่ทุกวัน


ฉันเห็นป้าพูนสะพายข้องถือสุ่มออกไปสุ่มปลาด้วย เรายังหยุดทักทายกันเลย


ฉันเหวี่ยงสายเบ็ดลงไปในน้ำ ยืนรอสักพัก



พอรู้สึกว่ามีปลาตอดเหยื่อก็วัดคันเบ็ดขึ้นโดยเร็ว แต่ไม่มีปลาติดขึ้นมา



มันคงฮุบเหยื่อไปกินเปล่าเสียแล้วหละ ฉันคงเกี่ยวเหยื่อไม่แน่นพอ




สายเบ็ดตวัดเข้ามาที่ใบหน้าฉันอย่างรวดเร็ว



ปลายเบ็ดแหลมคมและมีเงี่ยงก็เกี่ยวฉับเข้าที่เปลือกตาซ้ายของฉันทันที



ฉันร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ตะโกนเสียงหลง


“ป้าพูน เบ็ดเกี่ยวตา..”


ป้าพูนตะโกนกลับมาว่า


“เรอะ... ได้ปลาอะไรล่ะ”


“ไม่ใช่ได้ปลา เบ็ดเกี่ยวตา ฮือๆ”


ฉันแหกปากร้องไห้โวยวายเสียงดังลั่นทุ่ง ป้าพูนและคนอื่นๆรีบวิ่งเข้ามาดู

ตัดสายเบ็ดออก

และพาฉันไปบ้านตารอดซึ่งเป็นหมอพื้นบ้านให้ช่วยเอาคีมตัดเบ็ดออกจากเปลือกตา

โชคดีที่ไม่โดนลูกตาดำ ไม่งั้นป่านนี้อาจตาบอดไปข้าง

เป็นโจรสลัดตาเดียวไปแล้วก็ได้ ถึงกระนั้นเปลือกตาก็บวมเป่งอยู่หลายวัน


ฉันไม่ได้คิดอยากจะออกไปเล่นซนอย่างเดียว แต่อยากจะได้ปลามาเป็นอาหาร

หนูอ้นก็อยากเป็นเด็กดีช่วยยายทำมาหากิน คิดดี แต่ปฏิบัติไม่ดี

แทนที่จะได้ช่วยยาย กลับทำให้ยายต้องมาเป็นกังวลและต้องคอยดูแล


ยายเลี้ยงลูกแล้วต้องมาเลี้ยงหลานอีก

ฉันไม่รู้ว่ายายต้องเหน็ดเหนื่อยกับฉันแค่ไหน

และไม่รู้ว่าป้าพูนต้องเหนื่อยยากกับการทำงานเลี้ยงลูกสักเท่าไร

หรือว่าใครๆก็ต้องเหนื่อยกับการเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานกันทั้งนั้น

อันเป็นปกติวิสัยของเหล่ามวลมนุษยชาติ


พอลูกหลานมีลูก ก็เลี้ยงลูกเลี้ยงหลานสืบต่อกันไป

เป็นการปฏิบัติภาระกิจอันยิ่งใหญ่ระดับชาติ ระดับโลก ระดับแกแลคซี่

ระดับจักรวาล เย้...!



Create Date : 14 มกราคม 2551
Last Update : 14 มกราคม 2551 22:20:02 น. 3 comments
Counter : 278 Pageviews.

 
เม้นต์ได้แระ

แต่ลืมอ่าน

แปะไว้ก่อนแระกัน


โดย: ขอชื่อธุลีสามสี่ชาติ วันที่: 15 มกราคม 2551 เวลา:13:26:09 น.  

 
จบแล้วคับ

อัพให้ไวเร็ว

55++


โดย: เฒ่าเจ้าอุบาย วันที่: 15 มกราคม 2551 เวลา:14:46:38 น.  

 
ได้กลิ่นความรักคุณยายหอมๆๆๆ


โดย: แมงปอ (tonbo2k ) วันที่: 4 มีนาคม 2551 เวลา:14:41:25 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

bluearthy
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็นคนแบบนี้แหละ..
เป็นยังไงก็อยู่ที่ว่าใครจะมองมุมไหน..

ขึ้นอยู่กับว่ามองด้วยตา หรือมองด้วยใจ
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add bluearthy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.