จอมยุทธหญิงตะลุยเดี่ยว 25วัน ในเมืองจีน ตอนที่ 5 --- แถบมณฑล Sichuan เมืองChengdu/Leshan/Emei
ออกเดินทางแต่เช้าตรู่ ตั้งแต่ตี5 นิดๆ จากโฮสเทลไปหน้าเมืองเก่า เพื่อที่จะเรียกแท็กซีไปสนามบิน Diqing ซึ่งเจ้าของโฮสเทลบอกไว้แล้วว่าจะมีเพื่อนเช็คเอ๊าต์พร้อมกันกับเรา เป็นสามีภรรยาชาวฮ่องกง เลยค่อยอุ่นใจหน่อย ที่ไม่ต้องนั่งไปคนเดียวโดดเดี่ยวเอกา แถมยังมีคนแชร์ค่ารถ หมดไปแค่คนละ 7หยวนSmiley

ลาก่อน Shangrila /Zhongdian
สวัสดีเสฉวน
เดินทางถึงที่หมายปลอดภัยกับ Sichuan Air แอบลุ้นอยู่ระหว่างทางว่าจะถึงมั้ยแว๊...Smiley
หลายท่านมาที่นี่ อาจจะเพราะต้องการมาดูหมีแพนด้า หรือไปดูทัศนียภาพอันงดงามของสวนมรดกโลก จิวไจ๋โก่ว Jiǔzhàigōu (九寨沟)
แต่สำหรับจอมยุทธ์หญิงเช่นเรา มาที่นี่เพื่อ... HOT POT!!! 555
เปล่าๆๆ ล้อเล่นค่าาา นั่นเป็นแค่ของล่อใจตัวหนึ่ง จริงๆแล้ว เรามาที่นี่ เพราะอยากไปเทือกเขา Leshan บุกเขาง้อไบ๊!!

เริ่มต้นหลังออกจากสนามบินกันเลยนะคะ
แอนก็ต่อรถบัสเข้าเมืองมาสักประมาณเกือบชั่วโมงได้ ในราคา 10หยวน จากนั้นต่อรถประจำทางอีก 2หยวน เพื่อจะไปลงแถบที่โฮสเทลตั้งอยู่ (Mix Hostel)การเดินทางที่เฉิงตู ใช้รถประจำทางสะดวก และถูกดีค่ะ

เขตมณฑลเสฉวนนี้ ขึ้นชื่อเรื่องอาหารรสจัดจ้าน เดินทางมาจนถึงตอนนี้ ต้องขอบอกว่าอาหารที่เสฉวน อร่อยถูกปากที่สุดแล้ว เป็นอาหารจีนแบบที่ชอบเลย พวกผัดๆ ทอดๆ มันเยิ้มมมมๆ รสเจ้มจ้นนนน กินกับข้าวสวยร้อนนนๆ
มื้อแรกนี้ได้มากินกับเพื่อนใหม่ที่เจอกันที่โฮสเทล ซึ่งวันนี้เราจะไม่ได้เที่ยวคนเดียวค่ะ มีเพื่อนกินแล้วววว 555

ขอแนะนำ Antoine และ Claire หนุ่มฝรั่งเศษ และสาวอังกฤษเพื่อนเที่ยวเพื่อนกินวันนี้
ขอท้าววววความนิดนึง....โลกกลมมาก หนุ่ม Antoine เนี่ย เจอกันผ่านๆมาแล้วที่ Lijiang แถมนอนพักห้องเดียวกันมาแล้ว(อย่าคิดลึก!) ตอนนั้นต่างคนต่างไม่ได้คุยไรกัน กลับมาถึงห้องพักก็ต่างคนต่างนอน ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอกันอีก
ส่วนสาว Claire เจอกันที่สนามบินเมื่อเช้า นำๆ ตามๆ กันไปมา สุดท้ายมาพักโฮสเทลเดียวกันอีก เลยทักทายกัน คุยไปคุยมาเลยชวนกันออกมาเที่ยว หาอะไรกินเรื่อยเปื่อย ซึ่งถือว่าเป้นเรื่องดี เพราะอาหารที่อยากกินเป็นเมนูที่ต้องกินหลายคนถึงจะคุ้มมม 555
ระหว่างเดินไปเดินมาก้อมาเจ๊อะนาย Antoine กำลังเดินชมวัดอยู่ ซึ่งสาว Claire ก้อเหมือนจะเคยเจอนาย Antoine มาก่อนแล้วเช่นกัน แจ๋วเลยวันนี้ กินได้เต็มที่!!

ชาวยุทธ์มาชุมชุมกันแล้วววว 555




เรากับเพื่อนใหม่เดินเล่นชมเมืองเฉินตูกันขำๆ ฆ่าเวลา เพราะสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องการไปจริงๆแล้วจะอยู่ไกลเมืองออกไป ต้องใช้เวลาในการเดินทาง ดังนั้นวันนี้สื่งที่ทำได้คือเดินชมเมืองดูบรรยากาศ และหาของกินขึ้นชื่อกินกัน

พวกเราเดินกันเก่งมาก มีเพื่อนก้อเงี๊ยะ คุยไปเดินไป เพลินเลย เดินจนมาถึงใจกลางเมือง เขตชุมชน สาวแคลร์เธอชอบสวนหย่อม เราเลยมาเดินเล่นกัน ซึ่งถ้าถามเราว่าชอบมั้ย จริงๆแล้วเฉยๆ เพราะเราไม่ใช่คนเน้นเที่ยวธรรมชาติอ่ะค่ะ แต่เนื่องจากวันนี้เรามีเป้าหมายหลักคือ"กิน" เราต้องการเพื่อนนนน 555 เลยยอมเค้าก่้อนSmiley




ในสวนมีอาคารสวยๆ และปลูกต้นไม้แปลกตาหลายพันธุ์อยู่

สวนเค้าสะอาดและร่มรื่นดีค่ะ อากาศกำลังสบายเลย

นึกถึงบรรยากาศหนังจีนที่คุณชายสุดหล่อ เดินมาเจอนางเอกบนสะพานโดยบังเอิญ ท่ามกลางหิมะ แล้วก็ปิ๊งๆๆๆ
(เพ้อเจ้อเนอะ555)
่่่้่
ขอแอ๊บไว้สักรูป อิอิ

เอาล่ะ ไฮไลท์ตบท้ายวันนี้เราจะพาไปกินอาหารขึ้นชื้อของที่นี่กันค่าาาา
เปิบพิศดาร เมนูเด็ดสุด! "HOT POT" !
มาเฉินตู ไม่กินไม่ได้ โชคดีมีเพื่อนนะเนี่ย ไม่งั้นไม่รู้จะได้เข้ามานั
่งกินป่าวว
กินเดียวคงไม่ได้อ่ะ

บรรยากาศเหมือนMK บ้านเราเลยค่ะ แต่สั่งไม่เป็นสักอย่าง งานนี้พวกเพื่อนฝรั่ง2คนก็นั่งรอกินอย่างเดียว บอกให้เราเป็นคนจัดการ เหอๆๆ ได้ข่าวตูก้อไม่รู้เรื่องมั๊ยSmiley
สรุปก้อเลยงัดมุขเด็ด talking Dict เปิดให้เค้าดูที่ละคำ ทีละอย่าง แต่คนที่นี่น่ารักมาก พนักงานเข้ามามุงดูกระเหรี่ยงกับฝรั่ง พยายามช่วยสื่อสารกันเต็มที่ สุดท้ายพาเราเดินเข้าครัว ไปชี้ของที่ต้องการเองเลยทีเดียววว!! ประทับใจมากค่ะ แทบอยากจะร้องไห้Smiley คงเห็นแววแล้วว่าถ้าไม่ให้ยัยกระเหรี่ยงนี่เข้าครัว วันนี้คงไม่ได้เสิร์ฟแหง๋ๆ 555
อารมณ์ตอนนั้นรู้สึกเหมือนเป็นคนพิเศษ ฮ่าๆๆ
หลังจากได้ของที่ต้องการแล้ว พนักงานเข้ามาสอนวิธีการกิน รวมถึงปรุงซอสให้เราด้วยค่ะ น่ารักที่สุด
น้ำซุป HOT POT ถ้าดูจะเห็นว่ามี 2 ช่อง ช่องกลางเป็นช่องสำหรับพวกคออ่อน ไม่กินเผ็ด
ส่วนรอบนอกมันเผ็ดสุดจะบรรยาย !!Smiley

น่ากินเนอะ Smiley

ดูกันให้เต็มๆค่ะ ไม่ต้องบอกก้อคงพอจะเดาได้ว่าจัดจ้านแค่ไหน สารพัดพริกมากๆ กินไปซี๊ดดดดไป มันเผ็ดแบบเผ็ดร้อนมากๆ แถมชาลิ้นด้วย ตอนแรกนึกว่าเป็นเพราะเค้าใส่ผงชูรสเยอะ แต่มารู้ทีหลังว่ามันเป็นผลมาจาก"พริกหอม" เป็นพริกของจีนชนิดหนึ่ง ไม่ได้เผ็ดมาก แต่จะให้ความซ่า ชาๆเวลากินเข้าไป
มื้อนี้หมดไปคนละ 37หยวนหรือ 175บาทเท่านั้นเองค่ะ คุ้มค่ามากๆ ถูกใจจริงๆ

วันนี้ทริปชมเมืองหลวงเฉิงตูจบแล้วค่ะ เพื่อนเดินทางในวันนี้ก็แยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง เพราะแต่ละคนมีแผนท่องเที่ยวต่างกันออกไป สาวแคลร์ชอบเที่ยวธรรมชาติแบบสบายๆ ชิวๆ ไปกับทัวร์ หนุ่มอันทอยน์ มีนัดเจอเพื่อน ส่วนจอมยุทธหญิงจะไปบุกง้อไบ๊ค่ะ Smiley
ทุกคนแยกย้าย และทำการแลกอีเมลล์กันไปตามระเบียบ เผื่อในอนาคตจะมีโอกาสได้ท่องเที่ยวหรือเจอกันอีก

มาต่อกันที่เช้าวันรุ่งขึ้นกันเลยดีกว่าค่ะ วันนี้เรามีนัดกับหมีแพนด้าช่วงเช้ากันค่ะ โดยแอนใช้บริการทัวร์ที่ทางโฮสเทลจัดให้ ในราคา 98หยวน หรือเกือบ500บาท ซึ่งถือว่าเหมาะผม เพราะรวมค่าเดินทางรับส่ง และไกด์นำทางแล้ว เค้ามีหลายโปรแกรมให้เลือก แต่แอนเลือกแค่ไปดูหมีแพนด้า เพราะช่วงบ่ายมีแพลนว่าจะต่อรถไป Leshan เอง เพื่อจะค้างคืนที่ Emei เตรียมขึ้นเขาง้อไบ๊ค่ะ

ไปดูความน่ารักเจ้าหมีแพนด้ากันนะคะ

ใครจะไปดูหมีแพนด้าต้องไปช่วงเช้าเท่านั้น เพราะหลังเที่ยงจะเป็นเวลานอนของพวกมันค่ะ ยกเว้นคนที่ซื้อทัวร์แบบทั้งวันที่ต้องการใกล้ชิดหมีแพนด้าเป็นการพิเศษ โดยจะได้เรียนรู้เรื่องราวของพวกมันจากผู้เชี่ยวชาญ ได้ให้อาหาร อาบน้ำ ทำความสะอาดกรง ฯลฯ ก็สามารถทำได้นะคะ

กิจวัตรประจำวันของเหล่าหมีแพนด้าก้อมีไม่มากค่ะ คือ กิน และ นอนSmiley


หลบมุมจากผู้คนตลอด ต้องหามุมถ่ายรูปเอาเอง คาดว่าพวกมันคงรู้ตัวว่าเป็น Celeb เลยเล่นตัวแบบเนี๊ยะ
พร้อมใจกันหันหลังหลบกล้องน่าดู หมีใจร้ายยยย อุตส่าห์มาหา

นั่นไง...กินอิ่มแล้วเริ่มนอน มีความสุขที่สุดอ่ะ

นี่ก็หมีแพนด้านะคะ เรียกว่า red panda เป็นหมีผสมพันธุ์ใหม่ ซึ่งทาง Chengdu Panda Research Base of Giant Panda Breeding นี้ ถือเป็นศูนย์เพาะเลี้ยงแพนด้าที่สำคัญที่สุดในเฉินตูค่ะ มีพื้นที่กว้างขวาง และที่สำคัญไม่กักขังแพนด้าไว้ในกรง แต่สร้างพื้นที่ส่วนตัวให้ ราวกับว่าพวกมันอยู่ในป่าไผ่อันอุดมสมบูรณ์กันเลยทีเดียว บรรยากาศดีมากเลยค่ะ

อร๊ายยย เขิลลลลSmiley
 หมดแล้วค่ะรูปถ่ายกับน้องหมีในเช้านี้ ไกด์จะพาเราเดินกลับไปพิพิธภัณฑ์ที่รวมประวัติความเป็นมา และการดำรงชีวิตของหมีแพนด้า ก่อนปิดท้ายที่ร้านขายของที่ระลึกค่ะ

ต่อกันเลยนะคะ NEXT STOP....Leshan!!!

ทัวร์แพนด้าเสร็จก้อตัดสินใจ รีบไปสถานีขนส่งต่อรถทัวร์ไป Leshan ทันที!! โดยแพลนของแอนก้อคือ ก่อนอื่นต้องเช็คเอ๊าต์จากโฮสเทล แต่ฝากกระเป๋าเป้ใบใหญ่ไว้ จากนั้นนำแต่สัมภาระที่จำเป็นสำหรับไปค้างคืนที่ Emei 1คืน ซึ่งก่อนไปถึง Emei จะต้องแวะสักการะ และชื่นชมความงดงาม อลังการของวัด Leshan ที่มีประวัติยาวนานนับพันปี และมี Grand Bubbha ที่เป็นมรดกโลกประดิษฐานอยู่ ซึ่งอย่างที่บอกว่าโฮสเทลที่เมืองจีนอำนวยความสะดวกเรื่องฝากเก็บสัมภาระเป็นอย่างดี แถมบางที่ฟรี่อีกตะหาก อย่างเช่นที่ Mix Hostel ที่แอนพัก เป็นต้น เราเลยเดินทางตัวเบาเลย อิอิ
ที่ไม่เอาสัมภาระไปหมด เพราะว่ายังไงเดี๋ยวก้อต้องกลับมาเฉินตูอีกรอบ เพื่อต่อรถไฟไป Xi'an

จากโฮสเทลไปสถานีขนส่ง เดินทางโดยรถเมล์ ราคา 2หยวน พอถึงสถานีขนส่ง
ปรากฏว่าโชคดีเกินคาด เพราะแทนที่จะได้นั่งรถทัวร์คันใหญ่กินเวลาเดินทางนาน กลับได้นั่งรถตู้เล็กไป ในราคา 250บาท เพราะเป็นช่วงเวลาที่คนเดินทางไม่เยอะ ซึ่งสบายมากๆเลย มีผู้โดยสารแค่ 5คนเท่านั้น ใช้ระยะเวลาเดินทางประมาณเกือบ2ช.ม. จึงถึงเขตเทือกเขาเลอซาน 1ในดินแดนและเทือกเขาศักดิ์สิทธิ์ ที่มีความสวยงาม และประวัติศาสตร์ทางพุทธศาสนา รวมถึง...ง้อไบ๊แห่ง Emei หนึ่งในสุดยอดเจ้าสำนักในตำนานที่เราอยากจะไปเยี่ยมเยียนสักครั้ง 555 Smiley

เมื่อมาถึงเทือกเขาเลอซาน คนขับรถตู้ ก้อส่งเราต่อให้รถตู้อีกคันนึง เพื่อให้พาเราไปส่งที่วัด Leshan ที่มี Giant Buddha ฟรี!!
ด้วยความที่ไม่เข้าใจ สื่อสารไม่รู้เรื่อง ตอนแรกเข้าใจว่ารถจากเฉินตู ถึงเขตเลอซาน ก้อคือไปถึงหน้าวัด Leshan เลย เลยแอบโกรธ นึกว่าเค้าแอบเอาเรามาปล่อยลงมั่วๆ ไม่ยอมพาไปวัดตามสัญญา ปรากฏว่าไม่ค่ะ เค้ามาส่งเราตรงนี้ แล้วฝากบอกคนขับรถตู้ในพื้นที่ให้พาเราไปส่งที่หน้าวัดอีกที ไม่ได้เก็บเงินเพิ่มแต่อย่างใด แถมคนขับรถตู้ที่เลอซานใจดี เดินเป็นเพื่อนเราไปที่หน้าช่องขายบัตร บอกว่าเราเป็นนักศึกษา อร๊ายยยยSmiley
เราเลยได้บัตรเข้าวัด
Leshan ในราคานักศึกษา แค่ 120หยวน เท่าน๊านนน!! 555
ราคานี้รวมค่าผ่านประตูทุกสิ่งอย่างในบริเวณวัดหมดแล้วค่ะ



เรียกน้ำจิ้มกันก่อน ขอบอกว่านี่แค่ทางเริ่มต้น
ก้อตื่นตาตื่นใจขนาดนี้แล้วค่ะ งานแกะสลักตามหินต่างๆนี้ สวยงามและน่าทึ่งมาก ตลอดทางเข้าไปยังส่วนในของวัด มีแต่งานแกะสลักสวยๆแบบนี้เต็มไปหมด ซึ่งอายูนับพันปีกันเลยทีเดียว

ทางเข้าถ้ำ เหมือนเป็นภูเขาที่ถูกเจาะเ
ป็นอุโมงค์ทะลุไปอีกทาง ที่จะเดินไปสู่ Giant Buddha
วัดนี้ใหญ่โต กว้างขวางมาก มีทางเข้าออกหลายทิศ
ค่ะ


ภายในอุโมงค์ มีพระพุทธรูปแกะสลักอยู่ในผนังอุโมงค์เต็มไปหมดเลยค่ะ

เดินออกมาก้อมาเจอหินสลักเป็นพระนอนบนผนัง บอกได้เลยว่าไม่มีตรงไหนที่เดินไปแล้วจะไม่มีงานแกะสลักสวยๆแบบนี้ให้เห็น




ระหว่างทางเดินไป grand buddha จะมีโอกาสได้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย อย่างเช่น Guanyin,the goddess with Thousand Arms พระแม่พันพระหัตถ์นี้(แอนเรียกชือท่านเป็นภาษาไทยไม่ถูก ต้องขออภัยนะคะ) เลยขอพรท่านไปว่าขอให้การเดินทางท่องเที่ยวครั้งนี้ราบรื่น และพบเจอแต่มิตรสหายที่ดีตลอดการเดินทางท่องเที่ยวเมืองจีนในครั้งนี้

บรรยากาศจากมุมสูงด้านในวัด (ยังไม่ถึง Grand buddha ค่ะ ใจเย็นๆ อิอิSmiley)
การเดินทางไปสักการะ grand buddha นั้นทำได้หลายทาง อีก1ทางเลือกคือขึ้นเรือไป ซึ่งจะไปโผล่ที่ด้านล่าง/ฐานของ grand buddha ค่ะ แต่เราว่าเดินแบบนี้ได้บรรยากาศกว่า

ว่าแล้วก้อมาดูบรรยากาศที่ว่ากัน 555 นี่เป็นช่วงบ่ายๆแล้วค่ะ คนเยอะมากกกก ขอแนะนำว่าควรจะไปแต่เช้า หรือไปเส้นทางอื่น ถ้าคิดแล้วว่าไม่อยากต่อคิว แล้วยังต้องค่อยๆเดินลงบันไดชันๆแบบนี้

ถึงแล้วค่ะ พระพุทธรูป Grand buddha ที่ใหญ่ที่สุดในโลก สูงประมาณ 71เมตร เป็น1 ในมรดกโลก สร้างโดยมือมนุษย์ตัวเล็กๆ
มีความเชื่อที่เค้าเล่ากันมาว่า พระพุืธรูปยักษ์องค์นี้ ช่วยคุ้มครองชาวบ้านในสมัยก่อน ป้องกันไม่ให้เรือต่างๆถูกน้ำวนกลืนหายไป แต่ตามหลักวิทยาศาสตร์เค้าก้อว่ากันว่า การที่แกะสลักพระพุทธรูปขึ้นมาริมแม่น้ำนี้ แสดงถึงสมองอันชาญฉลาดของคนสมัยก่อน เพราะมันช่วยลดกระแสน้ำเชียวกับน้ำวนไปได้ ซึ่งพอคิดตามหลักเหตุและผลแล้ว อาจจะเป็นสาเหตุว่าทำไมเรือไม่ถูกน้ำวนกลืนลงไปอีก

Hemmen หนุ่มดัช เพื่อนแปลกหน้าคนใหม่ เจอกันสั้นๆ ตอนเดินลงมาถึงพระพุทธรูปนี่ล่ะ
หนุ่มคนนี้ back pack ทริปนี้มานาน 1ปี กับอีก 1เดือนแล้ว(--!) ไปทั่วเอเชีย โดยใช้วิธี hitchhiking ตลอดทาง และอีกไม่นานจะปิดทริปตัวเองที่ปักกิ่ง โดยจะทำการปั่นจักรยานกลับเนเธอร์แลนด์จากที่นั่นต่อ!!
สุดยอดมั่กมาก ข้าน้อยขอคารวะ
Smiley

ยกเครดิตภาพถ่ายให้ Hemmen

เรื่องตลกๆกับเพื่อนใหม่
เราเดินออกมาจากวัดด้วยกัน โดยมาโผล่ที่นี่ เหมือนภาพวาดเลยใช่มั้ยคะ บังเอิญมาออกผิดทางอ่ะ  เราก้อชักเริ่มกังวลใจ เพราะเกือบเย็นแล้ว เดี๋ยวยังต้องต่อรถไป Emei อีก กลัวไม่มีรถ กลัวไปไม่ทััน
แต่ Hemmen ใจเย็นมากกก บอกไม่เป็นไร เดี๋ยวก้อมีรถผ่านมา แล้ว hitch hiking กัน  เราก้อรู้สึกงงๆนะ ไม่คิดว่าจะทำได้ ปรากฏว่าพอออกมาจากวัด ไม่มีรถสักคัน  มาโผล่ทิศไหนก้อไม่รู้ อีตา hemmem ยังมีหน้ามาบอกว่า เดินๆไปเถอะ เดี๋ยวก้อถึงที่หมาย...คือชิวมากอ่ะค่ะ
สักพักมีรถชาวบ้านโผล่ออกมา Hemmen ก้อโบกทันที รถจอดด้วย!!Smiley แถมพอขึ้นไปนั่งทักทายฮาโหลๆ กันนิดหน่อย รถก้อออกตัว ไม่ได้มีการสื่อสารอะไรกันมากมาย Hemmen บอกว่า นี่ไง Hitch hiking ง่ายมั้ย อยากลงเมือ่ไหร่ก้อบอก
เออ..แปลกดี ครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่ hitch hiking ถึงแม้ว่าจะแค่5นาที เพราะว่าสักพักรถก้อผ่านมาตรงด้านหน้าวัดที่เรามาลงตอนแรก
ต้องขอบคุณนาย Hemmen กับการสอน Hitch hiking ครั้งแรก และคงเป็นครั้งเดียวในชีวิต เพราะมันน่ากลัวเกิ๊น ยังไงชั้นก้อผู้หญิงนะ โบกมั่วซั่ว ไม่ไหวมั๊ย??

เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อนะคะ ยิ่งทริปหลังๆ ยิ่งสนุก เพราะเป็นเมืองที่มีประวัติทางประวัติศาสตร์ทั้งนั้น แถมได้ยินในหนังจีนบ่อยๆ ด้วย
 วันนี้ขอไปนอนก่อน มะไหวแล้วววววSmileyไนท์ๆ



Create Date : 05 มกราคม 2556
Last Update : 6 มกราคม 2556 0:20:29 น.
Counter : 3400 Pageviews.

6 comment
จอมยุทธหญิงตะลุยเดี่ยว 25วัน ในเมืองจีน ตอนที่ 4 --- Zhongdian "Shangrila"
มาแล้วค่าาา หาเวลาว่างปุ๊บ รีบเข้ามารีวิวต่อทันที
สถานทีต่อไปนะคะ สวรรค์บนดิน เราไปตามหา "Shangri-la"กันค่ะ

ก่อนอื่นขออธิบายความเข้าใจเล็กๆน้อย เกี่ยวกับแชงกริล่านะคะ
แชงกริล่า กลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป โดยเชื่อว่ามาจากกนิยายของชาวอังกฤษท่านหนึ่งที่เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับ shangri-la ไว้ในหนังสือ "The lost Horizon" เมื่อประมาณ50กว่าปีมาแล้วค่ะ
จริงๆแล้วมันคือเมือง "Zhongdian" ค่ะ เมืองที่แอนกำลังจะไปพัก เป็นเมืองที่มีกลิ่นอายของความเป็นทิเบตมาก คนแถวนั้นส่วนใหญ่ยังเรียก Zhongdian อยู่ แต่ถูกพยายามเปลี่ยนให้ใช้ shangri-la ด้วยสาเหตุทางการท่องเที่ยว เพราะพอพูดว่า แชงกริล่า ใครๆก้ออยากไป
นักท่องเที่ยวหลายท่านที่ชอบ hiking พอมา Shangri-la แล้วก้อมักจะเลยต่อไปที่ Deqin และ weixi ค่ะ แต่เราไม่ได้ไป เพราะเป็นช่วงอากาศไม่ดี การเดินทางมีความเสี่ยง อาจคิดอยู่บนเข้า และ.....เราไม่ชอบ hiking ค่าา


เริ่มออกเดินทางจากลี่เจียงมุ่งหน้าสู่แชงกรีล่าาาาา โดยมาขึ้นรถทัวร์ที่สถานีขนส่ ซึ่งได้รับการช่วยเหลือจองตั๋วให้โดยพนักงานของโฮสเทลค่ะ ถ้ามาลี่เจียงคราวหน้า ก้อจะขอพักที่โฮสเทลนี้อีก พนักงานน่ารักมากๆ ที่พักก้อสบาย อาหารก้ออาหย่อยยย

ส่วนเช้านี้ อาหารแก้หิวระหว่างทางไป Zhongdian คือ ซาลาเปาไส้ถั่ว และไส้งาใส่น้ำตาล อิ่มสบายอยู่ท้องไปได้หลายชั่วโมง


ใกล้แล้วค่ะ หลังจาก 4 ชั่วโมงของการเดินทาง ถ้าเห็นสิ่งนี้ แสดงว่าเราเริ่มเข้าเขต Shangri-la แล้ววววว


โฮสเทลที่แอนเลือกใช้บริการคราวนี้ อยู่ในเขตเมืองเก่าของ Zhongdian ค่ะ อยู่ใจกลางเลย และใกล้ป้ายรถเมล์หลักด้วย เดินทางสะดวก
ชื่อ "Hostel China" บรรยากาศดีเหมือนในรูปเป๊ะ ข้างล่างจะมีมุมให้นั่งอ่านหนังสือ กินขนม เล่นเน็ท และมุมดูโทรทัศน์ ช่วงที่แอนไปเป็นช่วงที่เงียบมาก ไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยว เพราะอากาศยังหนาวอยู่ ผิดกลับที่ลี่เจียงหน้ามือหลังมือเลยค่ะ แต่เพราะไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยว บรรยากาศจึงสงบ เหมาะกับการพักผ่อนชิวๆมากๆเลยค่ะ สามวันที่พักที่นี่ แอนมักจะลงมานั่งเล่นข้างล่าง เพราะในห้องนอน เค้ายังทำ heater ไม่สร็จ หนาวมว๊ากกกก ต้องมานั่งผิงไฟข้างล่างพบปะเพื่อนใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาชาวจีนทั้งนั้นเลย คุยกับเด็กๆ สนุกดี เค้ามากันเป็นกลุ่ม
แต่ถ้าไม่มีคน แอนก้อจะมานั่งดูละครจีนกับเจ้าของโฮสเทลค่ะ 555 เค้าไม่คิดว่าบ้านเราชื่นชอบหนังจีนเช่นกัน พอเห็นแอนถามโน่น นี่ ก้ออธิบายเนื้อเรื่องหนังที่ดูให้ฟังใหญ่เลย


เติมกำลังด้วยอาหารง่ายๆ (อีกแล้ว) เพราะยังไม่รู้จะกินอะไรดี ยังไม่ได้ไปสำรวจพื้นที่ กินอะไรเอาแรงได้ก้อกินไว้ก่อน อิอิ


วันนี้เบาะๆ เดินสำรวจเมืองเก่าเล่นๆ ยังไม่ไปเที่ยวไหนไกล
ออกมาก้อเจอลานกว้างนี้ค่ะ ตอนนี้เป็นที่ขายของ แต่เดี๋ยวเย็นๆ จะกลายเป็น Dance floor!


ที่เห็นเหมือนธงนั้น จริงๆแล้วคือบทสวดมนต์นะคะ มีเต็มไปหมดเลยทุกที่ที่เดินผ่าน

Zhongdian นี่ใกล้ทิเบตสุดๆแล้วค่ะ วัฒนธรรมจึงเป็นทิเบตเต็มเปี่ยม เห็นแล้วทำให้อยากไปทิเบตมากๆๆๆ

เดินผ่านวัดๆหนึ่ง แอนจำชื่อไม่ได้ เดี๋ยวไปหาชื่อมาให้นะคะ แต่เป็นวัดใหญ่วัดเดียวที่อยู่ในเขตเมืองเก่า มีคนมาสักการะไม่ขาดสาย

ระหว่างทางเดินขึ้นวัด เจอน้องทหาร ร.ด. อิอิ ฝึกกันโหดน่าดู ให้วิ่งขึ้นบันไดให้เร็วที่สุด

หน้าตาเป็นแบบนี้ล่ะค่ะ หลังจากถูกบังคับให้วิ่งอยู่สองสามรอบ


สัญลักษณ์ของวัดที่นี่ค่ะ

บทสวดมนต์ที่ชาวบ้านนำมาติดเวลามาวัด มีความสัทธา และความเชื่ออยู่ในนั้นล้วนๆ



ขึ้นมาหมุนกรงล้อยักษ์


หนักมากค่ะ เค้าบอกให้หมุนสามรอบ ลองหมุนคนเดียวแอบเหนื่อยอ่ะ ต้องช่วยกันหลายๆคน จะได้เร็วๆ




ลายสลักนูนบนกรงล้อทอง สวยงามมากค่ะ


ถ่ายรูปวัดจากข้างล่าง


เมืองเก่าเล็กนิดเดียวเองค่ะ เดินเสร็จแล้วเลยออกมาเดินหาร้านอาหาร ปรากฏว่าเจอซูเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ เลยได้ของกิน ของใช้ เล็กๆน้อยๆมาตุน
ถุงใส่ของที่นี่เป็นแบบนีี้ค่ะ เหมือนถุงใส่ผลไม้ที่มันยืดหดได้


วะฮ่าฮ่า!! น้ำเปล่ายี่ห้อนี้กินแล้วท่าทางจะร่าเริง 555


ชานมสำเรฌจรูปของจีน ผิดหวังอีกแล้วอ่าาาา ซื้อเพราะเห็น เจ โช เป็นพรีเซนเตอร์ ไม่อาหย่อยอย่างแรง


นี่ไงคะ ลานกว้างที่ให้ดูก่อนหน้านี้ ตอนนี้กลายเป้น dance floor ไปแล้ว คนที่นี่จะออกมาเต้นรำพื้นเมืองกันทุกเย็น เวลาประมาณ19.30 โดยนักท่องเที่ยวสามารถมีส่วนร่วมได้ แอนออกไปดูแว๊บนึงก้อรีบเดินกลับที่พัก เพราะหนาวเกิน ไม่สู้ความหนาวของที่นี่จริงๆ ขอกลับเข้าไปนอนเอาไออุ่นก่อนนะคะ


เช้าวันนี้สถานที่ที่เราจะไปกันคือที่นี่ค่ะ "Songsanlin monastery"


จากที่พัก นั่งรถเมล์ไปที่ Songsanlin monastery โดยใช้เวลาประมาณ 25นาทีเท่านั้น โดยรถเมล์นี้วิ่งรับส่งจากหน้าเมืองเก่า ปลายทาง "Songsalin Monastery เลยค่ะ ราคาแค่ 1 หยวน(5บาท) ต่อเที่ยว


ชาวบ้านแถบนี้ จะเดินไป นับลูกประคำไปแบบนี้ค่ะ คงจะเหมือนการสวดมนต์ของเรา



แอบเก็บภาพวิธีการกราบแบบทั้งตัวมาให้ชมค่ะ ความสัทธาอันเปี่ยมล้น ทึ่งจริงๆค่ะ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องไม่แปลก แต่เราไม่เคยเห็น เลยรู้สึกว่า โอ๊วว สุดยอดมากๆ


ชมความงามกันค่ะ




ด้านในเขตของที่นี่ ยังมีลามะอยู่นะคะ ได้มีโอกาส เข้าไปแอบส่องด้านในแว๊บนึง ไม่กล้าอยู่นาน เพราะลามะทั้งลายท่านกำลังสวดมนต์กัน และห้ามถ่ายรู) ห้ามส่งเสียงดังค่ะ


เรื่องราวประทับใจวันนี้ ตอนแรกก้อแค่อยากถ่ายรูปคนเดินจูงมือกัน


พอพี่ผู้ชายเค้าเห็น เค้าก้อรีบแอคชั่นให้กล้องทันทีค่ะ คนที่นี่ไม่เขินกล้อง(อย่างแรง)555
หนุ่มสาวสองคนนี้ดูไม่มีอะไร แต่พอตอนเห็นพี่ผู้หญิงใกล้ๆ ถึงได้รู้ว่าตาเค้าขุ่นมาก เหมือนเป็นต้ออ่ะค่ะ เราเลยรู้สึกว่าพี่เค้าโชคดีจังเลย ที่มีคนรักเดินจูงมือดูแลแบบนี้ แม้แต่ตอนถ่ายรูปยังจับไม่ปล่อยเลย


ถึงแม้จะเดินไปไกลแล้ว เค้าไม่มีปล่อยมือกันเลยค่ะ น่ารักมาก ความสุขง่ายๆ เป็นความสุขแบบ...คนเมืองแบบเราสมัยนี้หาไม่ค่อยได้ (เว่อร์ไปมะ)อิอิ


บริเวณประตูทางเข้าออก ลวดลายบนหลังคาและฝาผนังของที่นี่ สีสันสดใสทีเดียวค่ะ


จบแล้วค่ะ เดินจนทั่วทุกมุมล๊ะ ได้เวลากลับเข้าเมือง ไปหาอะไรกินดีกว่า


ช่วงที่แอนไปเที่ยว เป้นช่วง Low Season มากๆ หลายกิจการปิดชั่วคราว รอฤดูท่องเที่ยวค่อยกลับมาใหม่ เลยมีตัวเลือกให้กินไม่มาก
ไปเจอร้านนี้ค่ะ "Helen Pizza" เจ้าของเป็นชาวอิตาเลี่ยนกับแฟนชาวพื้นเมือง Zhongdian เราติดใจรถชาตสปาเก๊ตตี้และพิซซ่าที่นี่มาก เพราะเค้าใช้เครื่องปรุงสดๆ เนย ชีส หอมกรุ่นมากค่ะ แถมเจ้าของร้านเค้าใจดี มานั่งคุยเล่นด้วย พร้อมกับแนะนำให้ขี่จักรยานเที่ยวนอกเมือง โดยวาดแผนที่ให้เราเสร็จสรรพ


เอาล่ะ พรุ่งนี้เดี๋ยวจะพาไปขี่จักรยานกันนะคะ
วันนี้แค่นี้ก่อนค่าา

มาแว๊วววววว แหะๆ หายไปนาน(มากกก)เกือบ1ปี ตอนนี้สลัดตัวขี้เกียจออกไปได้แล้วค่ะ
มาเริ่มรีวิวต่อ ค้างไว้ที่....อ่อๆๆ ไปขี่จักรยานชม Zhongdian Smiley
ตื่นเช้ามาวันนี้ ก้อเดินไปร้านเช่าจักรยานได้ในราคา 20หยวน(ประมาณ100บาท) ตั้งใจว่าจะขี่ไป Napa lake แต่ใจจริงเมื่อคืนตอนกลับถึงโฮสเทล ก้อสองจิตสองใจว่าจะจองตั๋วเครื่องบินไป chungdu เลยดีมั้ย เพราะ Zhongdian จริงๆก้อไม่มีอะไรที่อยากจะทำแล้ว หรือไม่ก้อนั่งรถไปเมืองใกล้ๆ ที่มีน้ำตกชั้นหินดีมั้ย หรือไป Shika mountain ดีมั้ย แต่ดูแล้วระยะทางและเวลาไม่เอื้ออำนวย มีเที่ยวรถไปกลับน้อยมาก ซึ่งเสี่ยงกับการพลาดเที่ยวรถเกิน และตั๋วเครื่องบินไป chungdu วันรุ่งขึ้นก้อจองไม่ทันละ เลยไปขี่จักรยานเล่นแทนขำๆ อยู่ Zhongdian อีกสักวันก้อแล้วกัน
ก้อไม่มีอะไรมากค่ะ ขี่ไป หลงไป 555
ไม่ถึง Napa lake หรือ....ถึงแล้วก้อไม่รู้ Smiley

ขี่ไปตามแผนที่ที่เจ้าของร้านพาสต้าเขียนไว้ให้ค่ะ ออกไปไกลเหมือนกันจากแถบที่แอนพัก แต่ก้อคิดในใจ เอาวะ...ออกมาแล้วปั่นมันไปเรื่อยๆละกัน ค่อยๆกระดึ๊บๆไป เนื่องจากถ้าปั่นเร็วจะเหนื่อยมากค่ะ เลยใช้เวลาขี่ไปกลับเป็นชั่วโมงๆอยู่เหมือนกัน ขี่ไปดูโน่นดูนี่ ดูหมู ดูแกะ และจามรี อิอิ

สาวชาวบ้านที่นี่ เดินกันเป็นว่าเล่นเลยค่ะ ระยะทางไม่ใช่น้อยๆ และรถก้อไม่ค่อยมีผ่านด้วย แถมช่วงที่แอนไปเค้าฮิตปักผ้ากันหรือไงไม่รู้ ที่ Lijiang ก้อเหมือนกัน เดินไปไหนก้อเห็น ที่น่าทึ่งคือเดินไปปักไปอ่ะ!! ไม่เวียนหัวรึไงไม่รู้Smiley

บอกตรงๆวันนี้เหมือนเป็นวันพักการเดินทาง ไม่ได้มีประเด็นอะไรให้อยุ่เลยจริงๆ เหมือนมาขี่จักรยานชมวิว เอาบรรยากาศ ทะเลสาบ Napa Lake ขี่ไปๆมาๆ เหมือนจะถึง สรุปหลง 555

หลังจากขี่มาสักพัก ก้อมาโผล่ตรงนี้อ่ะค่ะ เป็นเวิ๊งทะเลสาบเหมือนกัน พอใจล๊ะ อิอิ อากาศดีมากเลย เริ่มอุ่น อาจเป็นเพราะปั่นจักรยานมาด้วย

พักชมฝูงจามรี หยิบเอาขนมออกมาขบเคี้ยว

อะไรเอ่ยยยยย?? มันคือ....อึ๊น้องจามรีค่ะSmiley ชาวบ้านที่เลี้ยงจามรี จะเอามูลมากองรวมเป็นภูเขาไว้เป็นหย่อมๆ เต็มไปหมด คาดว่าหลังจากนั้นจะมาเก็บไปใช้ประโยชน์ต่อ แต่ไม่มีกลิ่นเลยนะคะ ขนาดเข้าไปถ่ายระยะกระชั้นชิดแบบนี้ อิอิSmiley

อะไรเอ่ยยยย? หาผมเจอมั๊ย? ผมแอบอยู่ในกองโคลนนนน

การมาขี่จักรยานเล่นแบบนี้ก้อทำให้ได้เห็นสภาพชนบทของเค้า และได้เรียนรู้วัฒนธรรมของเค้าอีกทางนะคะ อย่างเช่น เจ้าสิ่งนี้ ไม่รู้มันคืออะไร กะจะกลับไปถามเจ้าของโฮสเทลแต่ดันลืมซะงั้นSmiley เลยเดาเอาเองว่ามันเป็นที่ตากหญ้าแห้งสำหรับเอาไว้เป็นเสบียงให้สัดว์เลี้ยง มีให้เห็นเกือบแทบทุกบ้าน (ถ้าเข้าใจผิด หรือมีผู้รู้ช่วยบอกแอนด้วยนะคะ)

ส่วนนี่เป็นเอกลักษณ์หลังคา่ของที่นี่ค่ะ ภูมิปัญญาท้องถิ่น แต่ละเมืองวิธีการปลูกสร้างบ้านเรือนก้อแตกต่างกันไป หลังคาที่นี่จะมีอิฐวางทับแบบนี้ค่ะ บ้านเรือนที่นี้อยู่ในทุ่ง เหมือนกันหมด เป็นอิฐบล็อกง่ายๆกับหลังคาไม้

เอาล่ะ...วันนี้ทริปทัศนศึกษาของเราจบแล้วนะคะเด็กๆ เดี๋ยวเราขี่จักรยานกลับ แวะพักกินพาสต้าเจ้าประจำกัน ก่อนจะเดินขึ้นเขาไปชื่นชมความศรัทธา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของคนที่ Zhongdian กันต่อ

หลังจากกินอิ่ม ก็เดินอ้อมมมมม ไปด้านหลังของเมืองเก่าขึ้นเขาลูกนี้มา เพื่อเดินย่อยอาหารนิดนึง (ไม่นิดอ่ะจริงแล้ว)

ทางเดินขึ้นเข้าลูกนี้ สำหรับจอมยุทธหญิงอย่างเรา มันเปรียบเสมือน...บันไดสู่สวงสวรรค์ ทั้งสูงและชันมากกกก ที่เห็นศาลาในรูปนั่นแค่ครึ่งทางนะคะSmiley
แต่เราถือคติ เดินหน้าไม่ถอยหลัง!! ต้องขึ้นไปดูให้ได้ว่าข้างบนมีอะไรดี

แฮ่กกๆ ขอพักก่อนแป๊บบบ

ดูสิว่าเค้าเดินทางขึ้นมาสูงขนาดไหน เห็นสีทองลิ๊บๆนั่นมั่ย? นั่นคือวัดในเมืองเก่า และที่พักของเรา

ถึงแล้่วค่ะ สวรรค์...Smiley มีหมูอยู่บนนี้ด้วย วิ่งเร็วกว่าเราอีก
สรุป...ที่ๆแอนขึ้นมาก้อคือวัดอีก1วัดค่ะ ซึ่งต้องของบอกว่า ความศรัทธาเป็นที่หนึ่งของคนแถบนี้เลย
วัดนี้อยู่สูงมากก และมีลามะอยู่ด้วย 1 องค์ค่ะ การที่คนจะขึ้นมาทำบุญที่นี่ จะต้องมีความตั้งใจมาก เพราะระยะทางไม่ใช่สั้นๆ เหมือนเดินจากปลายเขาขึ้นสู่ยอดเขาย่อมๆลูกหนึ่งเลย


วัดเล็กมากเลย จริงๆจะเรียกว่าวัดแทบจะไม่ได้ ต้องบอกว่าเป็นโบสถ์ด้วยซ้ำ แอนได้มีโอกาสบำบุญเงินเล็กๆน้อยๆไปกับวัด ก่อนจะลงเขากลับที่พักด้วยความรู้สึกของคำว่า"ศรัทธาแรงกล้่า" คืออะไร
ความเชื่อ และความศรัทธาของคนเราไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลยนะคะ คนแถบนี้มีพื้นเพของความเป็นทิเบต พวกเค้ามีศรัทธาเป็นแรงในการดำเนินชีวิตจริงๆ ค่ะ

ขอปิดทริป Zhongdian ของแอนที่นี่ เป็นที่สุดท้าย (ต้องขออภัยที่ไม่มีชื่อวัด เพราะสถานที่นี้ไปแบบไม่ตั้งใจ และไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวทั่วไปที่คนนิยม เลยไม่มีรายละเอียดค่ะ)
พรุ่งนี้เช้า...เราจะเหินฟ้าไปเมืองหมีแพนด้าาาาา เย้ๆๆๆ
ติดตามชมกัน Blog ต่อไปนะคะSmiley



Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 5 มกราคม 2556 16:00:45 น.
Counter : 1484 Pageviews.

5 comment
จอมยุทธหญิงตะลุยเดี่ยว 25วัน ในเมืองจีน ตอนที่ 3 --- Lijiang / Baisha
จุดหมายต่อไปของเราคือ...ลี่เจียงงงงง เมืองสวรรค์ของนักท่องเที่ยวที่รักความสงบ สบาย หมดวันไปแบบชิวๆ เราชอบเมืองนี้มาก เพราะมันเหมือนในจินตนาการที่เรามีเกี่ยวกับเมืองจีนสมัยเด็กๆ แล้วไหนจะนิยายที่ได้อ่านๆมา...บ้านเมืองเก่าๆ /ต้นหลิว/สะพานหิน/โรงเตี๊ยม/ตลาดจีน ขาดอยู่ก้อแต่จอมยุทธ 555


รถไฟถึงลี่เจียงตั้งกะตีห้า!!!จ๊ากกกๆ แล้วชั้นจะไปยังไงต่อล่ะเนี่ย ต้องรอต่อรถเมล์ตอน 8โมงเลยเหรอว๊าา โพยที่ทำมาไม่ครอบคลุม มีมาแต่ตารางรถเมล์อ่ะ แต่ไหงมีรถตู้คันเล็กๆ จอดเต็มไปหมดเลย แป่ววววๆๆ ซวยแล้วเรา
ยืนงงจังงังอยู่ตั้งนาน จนคนหายไปเกือบหมดก้อยังงง ยังดีมีคนเหลือเป็นเพื่อนบ้าง เลยทำเป็นเนียนๆว่ายืนรอเพื่อนมารับ ยืนจนรถไฟขบวนใหม่มาถึง 40นาทีถัดไป เห็นคนเดินขึ้นรถตู้ไปนั่งรอบนรถ เลยเข้าใจละว่าเป็นรถตู้แบบบ้านเรา เลยรีบเดินดุ่มๆเข้าไปบ้าง พร้อมเปิด talking dict ให้คนขับอ่านว่า หนูจะไปเขตเมืองเก่าค่ะ
คนขับดีมาก คิดเราราคาเท่าคนพื้นเมือง 50บาท ขาดตัว ซึ่งโอมากๆ เพราะแอบไกลอยู่ ไม่งั้นต้องรอรถเมล์อีกตั้งเกือบ3 ชั่วโมง


ถึงแล้วๆๆๆๆ "Old city"!! เขตเมืองเก่าของลี่เจียง ที่ๆเราจะมาหยุดพัก


เนื่องจากยังเ้ช้ามาก ไม่รู้จะไปไหนยังไงต่อ โชคดีมีลุงเคน เปิด24ชมอยู่ในเขตเมืองเก่านั้น เลยแวะไปกินโจ๊กกะปาท่้องโก๋แสนอร่อยฆ่าเวลา


เช้าล่ะ พระอาทิตย์ยังไม่โผล่ เพิ่งจะหกโมงนิดๆเอง ได้เวลาเดินหา Hostel แล้ว ฮึ๊บ!
รูปกังหันน้ำนี้จะเป็นสัญลักษณ์ของเมืองลี่เจียงค่ะ


คิดดูละกัน เดินตั้งแต่ตะวันยังไม่โผล่ จนแดดออก เพิ่งจะหา Hostel เจอ
แค้นม๊าาาก เดินผ่านแล้วผ่านอีก แต่ไม่รู้ว่านั่นคือซอยที่หาอยู่ เล่นเอาเหนื่อย เป็นงูคงฉกตายไปแล้วหลายรอบ เหอๆ(--!)
รูปนี้ถ่ายจากชั้นสองของโฮสเทล สามารถมองเห็นหลังคาโบราณเต็มไปหมด รู้แล้วว่าจอมยุทธสมัยก่อนเค้ากระโดดไปมาได้ยังไง ก้อหลังคามันติดๆๆกันเต็มไปหมดแบบนี้นี่ไง 555


สวยชิมิ อ๊ะๆๆ ไม่ใช่ห้องนี้ค่ะ! ห้องนอนของเราเจ๋งกว่านี้ในราคาแค่คืนละ 150บาท!!


นี่เลยค่ะ... 4เตียง หุๆๆ แต่นอนแค่คนเดียว(--,) สบายมากๆเลย พอดีช่วงที่เราไปพัก เป็นช่วง Low season อยู่ ยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเยอะ อิอิ
เตียงที่นี่จะมี Heating blanket อยู่ นอนอุ่นสบาย ส่วนห้องน้ำจะอยู่ด้านนอก เป็นแบบ shower น้ำอุ่นมีตลอด บรรยากาศเหมือนไปบ้านเพื่อนเลยอ่ะค่ะ มีห้องน้ำ ห้องครัว ห้องนั่งเล่น มีคาเฟ่เล็กๆ และมีเน็ทฟรีบริการ ในสวนก้อจะมีโต๊ะสนุ๊ก และม้านั่งด้วย


ได้เวลาออกสำรวจลี่เจียงแล้ว!!


เหมือนอยุ่ในหนังจีนเลย ชอบๆๆ คืนนี้จะออกมาใช้วิชาตัวเบาเหาะไปตามหลังคา 555


น้ำใสมาก ที่ลี่เจีบงให้ความสำคัญกับความสะอาดมาก เพราะเป็นมรดกสำคัญของประเทศ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิต รัฐบาลเลยไม่ปล่อยปะละเลย


ได้เวลาสาวๆออกไปทำงานแล้วค่ะ นี่เป็นชุดพื้นเมืองแบบหนึ่งของที่นี่


สาวเล็ก สาวน้อยเดินกันกระหนุงกระหนิง


ชายแต่งชุดพื้นเมือง รอเรียกนักท่องเที่ยวให้มาถ่ายรูป และขี่ลาของเค้าค่ะ


สาวน้อยทั้งนั้นเลย เค้าว่านี่เป็นชุดประจำหมู่บ้านของสาวๆที่นี่ค่ะ
คุณป้าทั้งหลายจะเต้นรำพื้นเมืองให้นักท่องเที่ยวดู และมีส่วนร่วมด้วยได้


ฮึ๊ด ฮึ๊ด!!


คุณป้าคงจะมีความสุขที่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างลี่เจียงให้มีรอยยิ้ม


ที่ลี่เจียงมีผู้สูงอายุเยอะค่ะ ชมรมผู้สูงอายุ ป๊อกกันทั้งวัน 555


แผนผังเมืองลี่เจียง




อิอิ ขอเก็บภาพประทับใจ ชอบบรรยากาศมาก เราเดินไปก้อยิ้มไป นึกถึงหนังกำลังภายในที่เคยดูมา จินตนาการต่างๆมันพลั่งพลูออกมา มีความสุขมากค่ะ


น้ำใสมากกก


ได้เวลาเปิบพิศดารแล้ววววว 555
เดินเล่นไปเรื่อยๆ ก้อจะมีของกินจุ๊บจิ๊บๆ ขายเต็มไปหมด
อย่างแรกที่ลองคือ...ปลาเสียบไม้ทอด โรยพริก ขอบอกว่า...อร่อย ราคาไม้ละ 15บาท
ส่วนแป้งที่เห็นนั้น มันจะนุ่มๆ แทบจะละลายในปาก...นี่ก้ออร่อยเช่นกันค่ะ ซอสที่เค้าใช้คลุกมันอร่อยอ่ะ ราคา 15 บาทเช่นกัน
ต้องบอกก่อนว่าเราเป็นคนกินง่ายมากกก ขอเพียงไม่ใช่เนื้อสัตว์แปลกๆ เรากล้าลองอาหารทุกแบบค่ะ เพราะฉนั้น...เราบอกว่าอะไรอร่อย อย่าเชื่อเรามาก เพราะสำหรับเรา ทริปนี้ทุกอย่างอร่อยหมดเลยยย 555 (แต่มันอร่อยจริงๆน๊าาา)



อันนี้ไม่ได้เว่อร์ มันหวานมว๊าาาาากค่ะ หวานแบบ...หวานไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ส้มที่ไหนๆ ที่เคยกินมาที่ว่าหวาน ยังสู้ส้มลี่เจียงไม่ได้ เลิฟมากๆ ราคา10หยวน หรือ 40กว่าบาท ได้มาประมาณ 6ลูก จริงๆแล้วราคาทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 4-6หยวน แต่คุณยายเค้าหอบมาขายเองอยู่ข้างทางเดิน เราเลยเต็มใจซื้อโดยไม่เกี่ยวงอนเรื่องราคา และมันก้อไม่ทำให้เราผิดหวังด้วยค่ะ


แก้วนี้...เำพื่อสุขภาพนะคะ มัน...จืดมากกก แต่โอเคเข้าใจว่ามันอุดมไปด้วยคุณประโยชน์ หุๆๆ ปั่นกันสดๆไปเลย ราคาแก้วละ 20บาท


ส่วนนี่...แป้งทอดไส้พริกหยวกดอง ง่ายๆ แต่เข้ากันมากอ่ะค่ะ พริกหยวกดองเค้าอร่อยอ่ะ(อีกล่ะ)


อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ..อะไรเอ่ยยยย???


ตามไปดู อิอิ..เปิดฝาแล้วๆๆ


เห็นแล้ววววว


เต้าฮวยนั่นเอง ที่นี่เต้าฮวยเค้ามี 2 รสค่ะ แบบเค็ม กับหวาน
ที่เราสั่งเป็นแบบหวาน ก้อแค่...โรยน้ำตาลลงไปบนเต้าฮวย...หวานล๊ะ 555
ราคาก้อแสนถูก แค่ 10บาทเองค่ะ

ต้องบอกว่ามีความสุขกับการเปิบที่นี่มากเลยค่ะ กินทีละนิดทีละน้อยตามทางไปเรื่อยๆ ไม่เบื่อเลย แถมอิื่มด้วย อาหารสะอาดค่ะ


เดินผ่านกลับมาที่กังหันอีกแล้ว คราวนี้ถ่ายช่วงกลางวันมีแดดแล้ว


เดี๋ยวเค้าจะไม่เชื่อว่ามาลี่เจียง ต้องถ่ายคู่กะหัง เอ๊ย กังหันสักหน่อย


ในเขตเมืองเก่านี้ ฝรั่งหลายคนที่ติ๊สต์แตกหน่อยๆ จะวิจารณ์ให้เราฟังว่า Fake เหมือนดิสนีย์แลนด์ คือ..จัดฉากไม่เป็นธรรมชาติ แต่เราไม่คิดอย่างนั้น ถึงแม้่ว่าจะมีส่วนจริงอยู่บ้างที่ว่ารัฐบาลทุ่มเทเงินดูแลรักษาสถานที่นี้เพื่อประโยชน์ทางด้านการท่องเที่ยว แต่ก้อแล้วไงล่ะคะ ถ้าเค้าสามารถรักษาความสวยงามแบบนี้ไว้ได้ เราว่าน่าชื่นชมดีออก ไม่เห็นจะหลอกลวงนักท่องเที่ยวตรงไหนเลย
อย่างโรงเรียนนี้ก้ออยู่ในเขตเมืองเก่า ประชาชนและเด็กๆในนี้ก้อมีอยู่จริง ชาวพื้นเมืองแถวนั้นกลายเป็นมีอาชีพเลี้ยงปากท้องได้ เราว่าน่าชื่นชมที่เค้าทำสำเร็จ


ช่างแกะสลักไม้


แกะสลักเรื่องราวต่างๆลงบนผิวไม้ เก่งมากเลยค่ะ เค้าทำเร็วและละเอียดมากด้วย


เจ้าหมาตัวนี้ตัวใหญ่มากกกก แต่ใจดี ผิดกับอีกตัวที่เราเจอก่อนหน้านี้ พันธุ์เดียวกันเด๊ะ แต่เจ้าของเลี้ยงแบบขังไว้ในบ้าน อยู่ดีๆ มันหยุดออกมาจากรั๊วที่กั้นไว้เตี้ยๆ วิ่งงงงง หนีเจ้าของสุดชีวิต สงสารเจ้าของมากเลยค่ะ กว่าจะจับมันไ้ด้ วิ่งดักกันซะทั่วเมือง




ร้านขายผ้าทอแบบพื้นเมือง


จอมยุทธหญิงเหนื่อยค่ะ จะเข้าโรงเตี๊ยมซะหน่อย ก้อมาปิดซะนี่ เลยได้แต่นั่งเก๊กอยู่ข้างหน้า




คนที่นี่จะซักผ้ากันโดยใช้น้ำที่ไหลมาจากธรรมชาติค่ะ โดยเค้าจะมีแอ่งหินแยกเป็นน้ำสำหรับซักผ้าแบบนี้ค่ะ

สะพานหินนี้ ใครๆก้อต้องมานั่ง เดี๋ยวรอคนน้อยๆก่อน เราจะมานั่งมั่ง อิอิ




เราเดินขึ้นไปข้างบนเขา พอมองลงมาอีกทีเห็นแต่หลังคาเต็มไปหมดเลยค่ะ ไม่ใช่เมืองเล็กๆเลยนะเนี่ย
ต้องบอกว่าการเดินขึ้นไปตามขั้นบันได เพื่อขึ้นไปชมวิวข้างบนนั้นเหนื่อยมาก เพราะที่เมืองจีน หลายพื้นที่เป็นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเยอะมาก ความกดอากาศต่ำ เดินสามก้าวเหนื่อย ต้องค่อยๆเดินค่ะ ใครจะไปเมืองจีน อย่าลืมพกเกลือแร่ไปนะคะ ช่วยได้เยอะเลย


ภาพนี้เป็นระหว่างการเดินไปสระมังกรดำ แต่พอถึงทางเข้า เราเปลี่ยนใจ เพราะนักท่องเที่ยวที่เดินกลับมาบอกเราว่ามันมีแค่สระน้ำกับศาลาสวยๆ แถมต้องเสียตังค์เข้าไปแพงอยู่ เราก้อเลย... คิดไปคิดมา..บอกตัวเองว่า ก้อแค่ขึ้นไปดูสระน้ำกับศาลาโบราณสไตล์จีน และเพื่อถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ของภูเขา Jade dragon snow mountain ซึ่งไว้เดี๋ยวเราไปถ่ายที่อื่นก้อได้ และพอดีเราเหนื่อยจากการเดินเล่นในเขตเมืองเก่า เราเลยตัดสินใจไม่ขึ้นไปค่ะ เดินเล่นชมธรรมชาติต่อรอบๆแทน


ชาวบ้านก้อซักผ้ากันไป

เย็นแล้วค่ะ อากาศเริ่มเย็นๆ ถ่ายคู่กับกังหันอีกรอบ (ถ่ายให้ครบสามเวลาเลย) อิอิ

แม่ค้าออกมาขายกระทงกระดาษกับลูกสาว


เย๊ๆๆ ได้ถ่ายคู่กับสะพานยอดฮิตแล้ว 555


ร้านขายของที่ระลึก มีโคมไฟสวยๆเยอะเลย

ที่ลี่เจียงมีของน่าซื้อหลายอย่างนะคะ แนะนำรองเท้าผ้าปักลาย เราซื้อมา2คู่ ตกคู่ละ 200บาท ไว้เดี๋ยวเอารูปมาลงให้ดูทีหลังนะคะ

วันนี้ที่ลี่เจียงหมดวันแล้วค่ะ เดินทั้งวัน ไม่เบื่อเลย ได้เวลากลับห้องนอนเอาแรงสักหน่อย
.
.
.
.
.
.
เช้าวันต่อมา
เราตั้งใจว่าจะเช่าจักรยานปั่นไปหมู่บ้าน Baisha สักหน่อย โชคดีวันนี้อากาศดีมากเลยค่ะ เหมาะแก่การออกกำลังกายอย่างยิ่ง
Baisha เป็นหมู่บ้านเก่าๆหมู่บ้านหนึ่งในเขตลี่เจียง ที่ชนชาว Naxi มาตั้งรกรากอยู่เมื่อพันกว่าปีที่แล้ว ห่างจากที่พักเรา...ก้อแค่ ...12กิโลเอ๊ง ขี่ไปชิวๆ 1ชมนิดๆ หุๆๆ


ค่าเช่าจักรยาน ราคาเพียงแค่ 20 หยวน/100บาท ขี่ได้ทั้งวัน โดยเค้าจะให้มัดจำเงินไว้ 200หยวนกันเราเบี้ยว หรือเกิดจักรยานเสียหายค่ะ ที่ร้านเช่าจักรยานนี้ มีบริการแผนที่ให้ด้วยค่ะ เราอยากไปไหนให้บอกเค้าได้เลย ขับไปตามแผนที่ง่ายๆ ไม่มีวันหลง แต่...ไกล เตรียมตัวเหนื่อยได้เลยค่ะ


ขี่มันบนถนนใหญ่เลย ปลายทางคือภูเขาลูกโน้นนนนน....ลิบๆๆๆๆ


แฮ่กๆๆ ยางงงไม่เถิงงงง


ที่เห็นนั่นคือ Jade dragon snow moutain ค่ะ เค้าว่ากันว่าถ้าถ่ายรูปจาก Black dragon pool จะได้ภาพที่สวยมาก แต่เราไม่ได้เขาไปที่นั่น วันนี้ได้มีโอกาสมาถ่ายรูปตรงถนนระหว่างทางไป Baisha แทน ก้อ...สวยพอใช้ได้ใช่มั้ยคะ อิอิ
จาก Lijiang ถึง ภูเขา Jade dragon snow นั้นประมาณ 25กม. ค่ะ ถ้าให้ขี่จักรยานไปเกรงว่าจะหมดลมกลางทางซะก่อน เพราะแค่ปั่นไป Baisha 12 กม.เนี่ยก้อปาเข้าไป 1ชมครึางแล้วค่ะ


โชคดีที่วันนั้นอากาศดีมาก ช่วงเดือนมีนาคม อากาศทางตอนใต้ของจีน เรียกได้ว่ากำลังสบายแทบทุกที่เลยค่ะ
ภาพบนนี้จะเป็นภาพคนเลี้ยงวัวระหว่างทางไป Baisha ดูสบายอารมณ์มากเลยอ่ะ


เราเตรียมน้ำเกลือแร่ผงติดมาด้วย ขอบอกว่ามีประโยชน์มากๆ ช่วยให้ไม่เหนื่อยได้จริงๆค่ะ
ขี่จักรยานมาได้กลางทาง ก้อเจอเพื่อนร่วมทาง2คน ขี่มาจากลี่เจียงเช่นกัน ทักทายกันเรียบร้อยก้อขี่ตามๆกันไปมา พอถึง baisha ก้อแยกย้ายไปชื่นชมเมืองตามอัธยาศัย


ถึงประตูเมืองแล้วค่ะ


หมู่บ้านนี้ นอกจากคนแก่ วัว สุนัข หมู เด็กน้อย ผ้ามัดย้อม ก้อไม่เห็นอะไรอีกเลยค่ะ เป็นหมู่บ้านที่เงียบสงบมาก คาดว่าหนุ่มสาวออกไปทำงานนอกหมู่บ้านกันหมด เหลือแต่คุณลุงคุณป้านั่งจับเข่าคุยกันอย่างที่เห็น


คนแก่ที่นี่ยังคงแต่งชุดประจำเผ่าค่ะ


ตั้งแต่เข้าหมู่บ้านมา แทบจะไม่เห็นหนุ่มสาวเลยค่ะ คิดว่าออกไปทำงานนอกหมู่บ้านกันหมดแน่ๆ เห็นแล้วนึกถึงบ้านเรา ที่หนุ่มสาวต่างจัดหวัดต้องดิ้นรนออกไปหางานทำนอกบ้านเกิดของตัวเอง เพื่อหาเงินส่งเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว


ตามบ้านจะตากพืชผักไว้ชั้นบน เพื่อกันสัตว์ต่างๆมาขโมยกิน




ผ้ามัดย้อมเป็นศิลปะ และสินค้าหลักของ Baisha ค่ะ ตามบ้านจะมีผ้ามัดย้อมที่ทำเสร็จแล้ว ตากไว้เต็มไปหมดเลย


ใน Baisha บ้านส่วนใหญ่เป้นแบบนี้ทั้งนั้นเลยค่ะ ทำจากดินเป็นหลัก


ออกจาก baisha ก้อขี่กลับที่พัก โดย..ใช้เส้นทางใหม่ ไม่ขึ้นถนนใหญ่ล๊ะ มาทางนี้แทน อ้อมหน่อย แต่บรรยากาศดีมากค่ะ


เจอนหมู่บ้านเล็กๆระหว่างทางเลยแวะเข้าไปดู จำชื่อไม่ได้อ่ะค่ะบรรยากาศคล้ายๆเขตเมืองเก่าของลี่เจียง แต่เล็กและเงียบกว่ามาก ไม่มีอะไรเท่าไหร่ แต่ก้อพอมีนักท่องเที่ยวพักอยู่ในนี้บ้าง


โยเกิร์ตจามรี หวานมันส์ มาแล้วไม่ลองไม่ได้นะคะ


กลับถึงที่พักแล้วจ้าาาา
ขอบอกว่าเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าค่ะ ถึง Baisha จะไม่มีอะไรให้เราทำมากนัก แต่การได้ไปเห็นหมู่บ้าน และวัฒนธรรมที่แปลกตา บวกกับการปั่นจักรยานเที่ยวเอง มันท้าทายดีค่ะ เปิดแผนที่ไป ปั่นไปเรื่อยๆ จุดหมายไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่ระหว่างทางก่อนที่จะถึงจุดหมายนั้นสิคะ มันสุดยอดดดดมากๆ

กลับมาถึงที่พักก้อเย็นแล้วค่ะ เลยพักผ่อนชิวๆอยู่ที่โฮสเทล


เห็นแม่บ้านกำลังทำอะไรก้อไม่รู้ เข้าไปดูปรากฏว่าเป็นผักกาดดองที่เราชื่นชอบ!!


นี่ไงคะ เราซื้อพกติดไว้ ยี่ห้อนี้กินกับมาม่าจีน อร่อยล้ำ มันกรุบกรอบ และเค็มๆดีค่ะ


ตอนมาถึงโฮสเตลเมื่อวันก่อน เราเห็นแล้วว่าเค้ามี "Staff menu" เราก้อไม่ได้สนใจอะไร เพราะเค้าบอกต้องสั่งล่วงหน้า เค้าจะได้ทำเผื่อถูกจำนวนคน แต่วันนี้ขี้เกียจออกไปหาอะไรกินข้างนอก เลยสั่งเค้าไว้ตั้งแต่เช้าว่าจะกลับมาขอร่วมวงกับเค้าด้วย ในราคา 15 หยวน/75บาท ตอนแรกก้อไม่คิดอะไร ไม่ได้หวังว่ามันจะมีอะไรน่าอร่อย แต่ปรากฏว่า.....อร่อยสุดยอดอ่ะค่ะ เติมข้าวไป3ถ้วยเต็ม!!!ถ้ารู้ว่าจะอร่อยแบบนี้นะคะ หิ้วท้องกลับมากินตั้งแต่มื้อเมื่อวานด้วยแล้ว
เมนูของวันนี้คือ
1--หัวหอมแดงผัด!!...ตอนแรกนึกว่ามันจะมีกลิ่นแรง แต่ตรงกันข้าม มันหวานนนนกลมกล่อมมากๆเลยค่ะ
2--มันทอดกรอบ กินเล่นๆ เพลิน
3--หมูเบคอนผัดผัก
4--ผักกาดดองเองผัดพริก
5--อีกจานจำไม่ได้ แต่เป็นผักผัดกับอะไรสักอย่าง
หน้าตาแม่ครัวทั้งสองคนค่ะ ไม่เขินกล้องเลยล่ะ อิอิ


ถึงเวลาก้อจะมานั่งร่วมกันรับประทานอาหารแบบนี้ค่ะ โดยปกติจะมีพนักงานประจำวัน วันละ 3คน ในวันนั้นมีแอนกับนักท่องเที่ยวชาวเนเธอร์แลนด์เพิ่มมาอีก2 คน รวมเป็น 5 กินกันแบบอิ่มหนำสำราญมากเลยค่ะ มันมีความสุขที่ได้กินของอร่อย อร่อยจนอยากจะร้องไห้(เว่อร์ได้อีก)

จบแล้วค่ะ ทริป Lijiang/Baisha หวังว่าคงสนุกนะคะ เราไม่เน้นเที่ยวตามที่คนเค้าไปกัน แต่เราไปตามใจ และกำลังของตัวเอง บางทีก้อได้ไปเพราะเกิดจากการหลงทาง 555
เดี๋ยวสถานทีต่อไปของเราคือ....Shangrila ค่ะ อดใจรอนิดดดนึงนะคะ พรุ่งนี้จะเข้ามารีวิวค่าา



Create Date : 28 มกราคม 2555
Last Update : 4 กุมภาพันธ์ 2555 12:08:48 น.
Counter : 3181 Pageviews.

6 comment
จอมยุทธหญิงตะลุยเดี่ยว 25วัน ในเมืองจีน ตอนที่ 2 --- Guilin/Longshen/Louping/Kunming
ถึงแล้วจ้าาาา กุ้ยหลิน
ใช้เวลาทั้งหมด 11ชั่วโมงนิดๆ จากกวางเจาถึงกุ้ยหลินโดยรถไฟตู้นอน นอนหลับสบายมากบนเตียงชั้นบนสุด เป็นตู้นอนแบบเตียง3ชั้น 6เตียง แต่อย่างที่บอกว่าอาารเป็นพิษ ตื่นมาตอนใกล้ๆจะถึงกุ้ยหลิน เกิดอาการท้องเสียอย่างแรง ถึงขนาดจะเป็นลมเลยทีเดียว ดีนะที่เตรียมทุกอย่างมาพร้อม สู้ๆ โด๊บน้ำเกลือแร่ไปหน่อย
พอถึงสถานีรถไฟกุ้ยหลิน เราตัดสินใจพักที่ วาดะโฮสเตล เพราะดูแล้วไม่ไกลจากสถานี และดูเป็นโฮสเทลมีคุณภาพจากรีวิวของนักเดินทางหลายๆท่าน
//www.pantip.com/cafe/richtext/

wada Hostel

เนื่องจากเราไปถึงเช้ามว๊ากกกก ใช้เวลาเดินจากสถานีรถไฟถึงโฮสเทลประมาณ 15นาทีเท่านั้น เลยถึงหน้าโฮสเทลตั้งแต่ยังไม่หกโมงดี ต้องไปยืนกดออดอยู่สักพักใหญ่ๆ เกรงใจเค้าเหมือนกัน



ซึ่งหนุ่มคนนี้ก้อออกมาต้อนรับอย่างดี น้อง Antom
(ในภาพเป็นรูปที่ถ่ายวันจะกลับแล้วนะคะ ตอนออกมาต้อนรับจริงๆหัวยังกระเซิง ฟันยังไม่ได้แปรงกันเลยทีเดียว หุๆๆ)

เนื่องจากนอนหลับมาเต็มอิ่ม และไม่อยากเสียเวลาการเที่ยวเลยเริ่มวางแผนการเที่ยวตั้งแต่เช้าวันนั้นเลยค่ะ โดยจุดมุ่งหมายของการมากุ้ยหลินของเราไม่ใช่จะมาเที่ยวกุ้ยหลิน(เอ๊ะ ยังไง)....ต้องบอกก่อนว่าเราเป็นคนไม่เน้นเที่ยวธรรมชาติ พวกถ้ำ เขา อะไรแบบนี้อ่ะค่ะ แต่เราชอบเที่ยวชมสถาปัตยกรรมต่างๆ และสิ่งก่อสร้าง หรือพื้นที่แปลกๆที่มนุษย์เราสร้างขึ้นมาอ่ะค่ะ ดังนั้นกุ้ยหลินเลยเป็นแค่ทางผ่านของเรา สถานที่ที่เราจะไปจริงๆแล้วคือ....


"Longshen Rice terace"

หลังจากคุยกับน้อง Antom เรียบร้อยแล้ว ก้อได้ความว่า ถ้าเดินทางไป Longshen เองนั้นก้อได้ แต่จะลำบาก สู้ซื้อทัวร์ดีกว่า เดี๋ยวเค้าจัดการให้ ตอนแรกก้อกลัวๆไว้ก่อนว่าจะโดนต้มหรือเปล่า เราต้องไม่ไว้ใจใครง่ายๆ เพราะมาคนเดียวด้วย แต่พอคิดไปคิดมาแล้วก้อจริงอย่างน้องเค้าว่า อีกอย่างดูแล้วโฮสเทลดูดีมีมาตรฐาน ก้อเลยให้น้องเค้าจองทัวร์รอบ 7โมงเช้าให้เลย โดยเราจะไปแจมกับแขกของโรงแรมอื่น ประหนึ่งว่าบริษัททัวร์นี้จะวนรับลูกค้าตามโรงแรมต่างๆ แล้วแต่ว่าทางโรงแรมจะโทรเข้าไปจองกับเค้าตอนไหน ถ้ายังมีที่ว่าง เราก้อสามารถไปด้วยได้
ซึ่งต้องออกกันแต่เช้าตรู่ เพราะการเดินทางค่อนข้างไกล ไปกลับประมาณ3 ชั่วโมง และรถสามารถวิ่งได้ถึงแค่หกโมงเย็นเท่านั้น เนื่องจากต้องขึ้นเขา จะเป็นอันตรายมากถ้าเดินทางตอนกลางคืน
ทริปนี้มีแค่เรากับชาวเยอรมันอีกสามคนพ่อแม่ลูก และไกด์กับคนขับรถอีกสองคน โดยใช้รถตู้เป็นพาหนะ สบายมาก
แผนการเดินทาง 1 day trip คือ
---เดินชมทัศนียภาพ Rice field ของLongshen
---แวะรับประทานอาหารในร้านอาหารอร่อยบนเขา (จ่ายเอง)
---เดินทางกลับ และแวะชมสวนชา
---แวะชมพิพิธภัณฑ์ไข่มุก(ถ้าต้องการ)
--ส่งกลับโรงแรม


น้องหมาน้อยบนเขา น่ารักๆ


ครอบครัวของหนุ่ม "Caspar" ชาวเยอรมันที่มาเรียนอยู่ที่เมืองปักกิ่ง ภาษาจีนคล่องปรื๋อ พอดีคุณพ่อคุณแม่ของเค้ามาเยี่ยม เลยพามาเที่ยว


คุณป้าขายพริกแห้ง ของที่ระลึกบนเขา




ไม่อยากจะเชื่อว่ามนุษย์ตัวเล็กๆจะเป็นคนสร้างพื้นที่บนภูเขาให้กลายเป็นความสวยงามแบบนี้ได้ มันกว้างไกลสุดตาเลยค่ะ เค้าบอกว่าแต่ละฤดูความสวยงามก้อจะแตกต่างกันไป ถ้ามาฤดูเก็บเกี่ยว ก้อจะมีแต่รวงข้าวสีทองทั่วทั้งภูเขา พอดีตอนที่เราไป ไม่ใช่ช่วงฤดูเพาะปลูก ชาวนาจะปลูกแค่ผักเล็กๆน้อยเอาไว้ขายและกินแทน


แวะทานอาหารบนภูเขา มื้อนี้ได้รับอานิสงค์จากครอบครัวแคสเปอร์เลี้ยง หุๆๆ

อิ่มจังตังค์อยู่ครบ คริๆๆ ....เค้าคงเห็นเป็นสาวคนเดียวมาเที่ยว จะปล่อยให้ไปนั่งกินคนเดียวก้อน่าสงสาร เลยให้นั่งร่วมโต๊ะด้วยกันหมด
โดยอาหารมื้อนี้ก้อจะมีไก่กระบอกเมนูขึ้นชื่อ กับข้าวอบกระบอกไม้ไผ่ ตอนแรกนึกว่าข้าวหลาม แต่พอกินแล้วติดใจ เพราะเค้าใส่เผือกลงไปด้วย หอมมัน อร่อย ส่วนอีกจานเป็นผัดผักอะไรก้อไม่รู้ เป็นผักที่ปลูกบนเขานี้ หวานกรอบมากๆ และอีกจานเป็นข้าวอบชีส อันนี้เฉยๆ


เสร็จจากการชมทัศนียภาพ เราก้อเดินทางลงเขาเพื่อแวะสวนชา ซึ่งเค้าก้อมีสอนวิธีจิบชาที่ถูกต้องแบบจีนด้วย
หลังจากนั้นไกด์ก้อถามว่าอยากไปดูไข่มุกมั้ย ไหนๆก้อยังมีเวลาเหลือ ก้อเลยไปแวะสักหน่อย ได้ต่างหูมุกน้ำจืดมา 1 คู่ ราคาสามร้อยหว่าบาทเอง แต่ไม่ได้ถ่ายรูปสถานที่มา


ถึงโฮสเทลประมาณห้าโมงกว่าๆ ไม่รู้จะทำอะไรเลยแวะไปห้างใกล้ๆ เหมือน Big C บ้านเราเลย คิดว่าวันนี้หาอะไรกินไม่ได้ก้อคงพึ่งไก่ลุง Ken ก้อได้ ปรากฎว่าไปเจอ Food courtใหญ่ชั้นบนของห้าง ตื่นตาตื่นใจมาก สั่งเกี๊ยวซ่า กับก๋วยเตี๋ยวหลอดมากิน มันยอดมากกกก ผิดกับเป็ดเน่าที่กว่างเจา ราคาก้อถูกมากค่ะ ตกจานละ 20-30บาท ค่าครองชีพที่เมืองจีนดูเหมือนจะถูกกว่าบ้านเรานิดนึง หรือพอๆกันค่ะ


สังเกตเห็นหลายร้านจะทำกล่องข้าวแบบนี้เต็มไปหมด แต่เราไม่รู้มันคืออะไรบ้าง เลยไม่กล้าสั่ง กลัวไปเจอเนื้ออะไรแปลกๆอ่ะค่ะ แต่ดูน่ากินนะคะ

หมดไปอีกหนึ่งวันแล้วค่าาา......กลับโรงแรมนอนพักผ่อน พรุ่งนี้จะออกสำรวจกุ้ยหลินสักหน่อย และเตรียมตัวออกเดินทางไป Louping ในช่วงเย็น



เช้าตรู่ของวันใหม่ เราก้อ checked out จากวาดะ โฮสเตล เดินไปสถานีรถไฟกุ้ยหลินเพื่อฝากสัมภาระไว้ที่นั่น จะได้เดินชมเมืองกุ้ยหลินได้สบายๆ ฆ่าเวลา รอรถไฟเที่ยวเย็นต่อไป Louping
ที่เมืองจีนจะสะดวกสบายอย่างหนึ่ง ตรงที่สามารถฝากของไว้ที่โรงแรมที่เราพักได้ตลอดดดยไม่เสียตังค์ แม้ว่าจะ checked out ไปแล้วก้อตาม (ส่วนใหญ่) หรือจะฝากไว้ตามสถานีรถไฟก้อได้ในราคาไม่แพงเลย ประมาณ 100บาท (ไว้จะหาราคาที่แน่นอนมาบอกอีกทีนะคะ ตอนนี้นึกไม่ออก)



สำหรับเรา กุ้ยหลินไม่มีอะไรมาก เพราะอย่างที่บอก เราไม่เน้นธรรมชาติ วันนี้เราก้อแค่เดินเล่นฆ่าเวลาเท่านั้น แต่ก้อเป็นเมืองที่สวยงามนะคะ


เดินเล่นในสวนสาธารณะ และได้ถ่ายรูปที่เจดีย์คู่มาด้วย


สวนสาธารณะ และแหล่งชุมชนต่างๆ สะอาดมาก ในรูปจะมีเขางวงช้างลิบๆเห็นมั้ยคะ เราเดินๆๆๆๆ แล้วก้อเดินนนน เดินเท่าไหร่ก้อไม่ถึงสักที มันหลอกตามาก เลยแค่ถ่ายรูปอยู่ไกลๆค่ะ


เขางวงช้าง ถ่ายจากข้างทาง


เดินเยอะไปล๊ะเรา
เริ่มเหงื่อตก เลยเปลี่ยนมานั่งรถเมล์ชมเมืองแทน นั่งไปนั่งมาหลงไปไหนไม่รู้ 555 นึกว่าจะไปถ้ำขลุ่ย ไปโผล่หมู่บ้านอะไรไม่รู้ค่ะ มีสุสานจีนบนเขาเต็มไปหมด
โชคดีเจอรถสองแถวเล็ก กำลังจะขับเข้าเมืองพอดี เลยโบกเค้าขึ้น ลุงคิด 30บาท ยอมโดยไม่มีข้อแม้ เพราะขาลากแล้วค่ะตอนนั้น
หลังจากนั้นลองซื้อชานมไข่มุก ปรากฎว่า ผิดหวังสุดๆ ไม่อร่อยอย่างแรง คาดว่าจะเป็นมุกก๊อป 555 แข็งมากกกก

ในที่สุดก้อเดินเล่นฆ่าเวลาจนหมดวัน ได้เวลากลับไปสถานีรถไฟเพื่อรอต่อรถไฟตู้นอนไป "Louping" แล้ววว


ตู้นอนธรรมดาหมด เลยจองได้ตู้ First class!!
ความต่างนะเหรอคะ?? ตั๋ว First lass ตู้นอนเป็นบบเตียง2ชั้น 4เตียง หนานุ่มกว่าเตียงธรรมดาหน่อยนึง และระหว่างรอรถไฟที่สถานี ก้อจะมีห้อง VIP ให้นั่งรอ มีน้ำดื่ม มีโทรทัศน์ให้ดู ไม่ต้องไปนั่งแออัดกับคนเยอะแยะ

ลืมบอกว่าที่สถานีรถไฟของจีนทุกที่จะเข้มงวดเรื่องการตรวจอาวุธมาก กระเป๋าทุกใบต้องผ่านการ X-ray และตัวเราก้อต้องเดินผ่านเครื่องตรวจด้วย จะไปตบบ้องหูพนักงานไม่ได้นะเคอะ (อุ๊บส์)

ออกเดินทางทั้งหมดประมาณ 11ชม ถึงLouping แต่เช้าตรู่ ตื่นเต้นมากๆเลย เพราะจะได้เห็นทุ่ง Rapeseed สุดลูกหูลูกตาแล้ว โชคดีที่มาจังกับฤดูที่ดอก Rapeseed กำลังเบ่งบานเต็มที่ ประมาณต้นเดือนมีนาคมเป็นต้นไป


Louping ได้ชื่อว่ามีทุ่ง Rapeseed ที่สวยงามที่สุด และกว้างใหญ่ที่สุด นักถ่ายรูปหลายท่าน ใฝ่ฝันจะมาเก็บภาพทุ่งดอกไม้สีเหลืองนี้ช่วงพระอาทิตย์ขึ้น และพระอาทิตย์ตก บางคนถึงขนาดมาเฝ้ากันเป็นวันๆ หลายชั่วโม หามุมที่สวยที่สุด และช่วงเวลาที่ดีที่สุดเพื่อเก็บภาพสวยๆ

ถึงสถานีรถไฟปุ๊บ ยังไม่รู้จะไปไหน พักที่ไหน ก้อรีบนั่งรถเมล์เข้าเมืองก่อนเลย ไปตายเอาดาบหน้า หุๆๆ โพยที่ทำไว้ก้อคือ ต้องนั่งรถเมล์จากสถานีรถไฟ ไปหน้าสถานีขนส่ง เพราะจะมีรถตู้ รถเมล์คันเล็กคันน้อย พาไปส่งที่บริเวณจุดชมวิวสวยๆ


พอไปถึงสถานีขนส่งปุ๊บ ก้อโดดขึ้นรถตู้ของคุณลุงคุณป้าสองท่านนี้ทันที เป็นรถตู้เล๊ก....กๆ นั่งได้ประมาณ 8คน อัดกันไป
จากสถานีขนส่งถึงจุดชมวิว ใช้เวลาประมาณ 15นาที ด้วยราคาเพียง 3หยวน(15บาท) ถูกมาก


ตอนนั่งไปก้องงๆว่าจะลงถูกมั้ย แต่ไม่ต้องห่วงเลย เพราะจะรู้ทันทีว่าต้องลงตรงไหน เนื่องจากจะเห็นฝูงชนเยอะมากกกกเดินฝ่าทุ่งกันอยู่เต็มไหมด

จุดที่เราลง เป็นจุดที่อยู่ระหว่างวัดเก่าแก่บนภูเขาวัดหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นจุดชมวิวที่สมบูรณ์ที่สุดจุดหนึ่ง นักถ่ายรูปมืออาชีพเยอะมากกกก เนื่องจากเราลากกระเป๋าไปเหมือนคนบ้าหอบฟาง เลยเดินเล่นไม่สะดวก ตอนแรกกะจะหาที่พักแถวนั้น เพราะเค้าบอกว่าแถววัดมีที่ให้พัก แต่เดินขึ้นไม่ไหว และเนื่องจากเป็นจุดท่องเที่ยว เลยคาดว่าจะแพง ก้อเลยตัดสินใจนั่งรถกลับไปหาที่พักแถวสถานีขนส่ง เพราะอย่างน้อยๆ ก้อเดินทางสะดวก สามารถต่อรถต่อลา หาของกินได้


โชคดีมากกกก เจอคุณผู้ชายจีนคนนึง เห็นเราเหมือนบ้าหอบฟาง ดูงกๆเงิ่นๆ เลยเข้ามาถามว่าจะไปไหน ก้อบอกเค้าว่าหาโรงแรมที่พักอยู่ เค้าก้อเลยแนะนำว่า ถ้าไม่เกี่ยงเรื่องสถานที่มากมาย เค้าแนะนำโรงแรมนี้ ที่เค้าเคยมาพักอยู่ อยู่ตรงสถานีขนส่งเลย(ตรงใจเป๊ะ) เค้าจัดการโทรศัพท์คุยกับโรงแรมให้ ว่ามีห้องพักหรือเปล่า หลังจากนั้นเราก้อโบกรถกลับไปเดินหาโรงแรมที่เค้าว่า ถือว่าใช้ได้เลย เป็นเหมือน apartment สร้างใหม่ ห้องน้ำ ห้องนอนใหม่ แต่ข้อเสียคือ หนาวมว๊ากกก น้ำร้อนเปิด ปิดเป็นเวลา และมีน้อย ต้องรีบแย่งคนอื่นอาบ ส่วนข้อดีคือ มีน้ำร้อนใส่กระติกบริการตลอดเวลา เราเลยหอบมาหลายกระติก เอามาผสมน้ำอาบเอง และเตียงเป็นเตียงไฟฟ้า นอนอุ่นสบาย (ที่จีน หน้าหนาวตียงส่วนใหญ่จะเป็นเตียงไฟฟ้า นอนสบายมากกก)

หลังจาก check in เรียบร้อย ซึ่งสื่อสารกันอยู่นานมากกว่าจะรู้เรื่อง แต่พนักงานที่นี่ก้อพยายามช่วยเหลือเต็มที่ taling dict มีประโยชน์ก้อคราวนี้ล่ะ อิอิ
เราก้อออกเดินทางไปขึ้นรถตู้ที่เดิม คราวนี้เจอคนขับเจ้าเล่ห์ เก็บเงินเรา 5 หยวน แล้วไม่ยอมทอน!!! คงคิดว่าเราหมู ไม่เคยขึ้นรถมาก่อน เราก้อเถียง บอก สามๆๆๆ เค้าก้อบอก ขอเค้าเหอะค่าน้ำ (ทำท่าชี้ไปที่ขวดน้ำตัวเอง) เราบอกไม่ จนในที่สุดก้อต้องยอมคืนให้เรา เพราะคนอื่นๆบนรถตะโกนด่าเค้าล่ะมั้ง 555สะใจ คิดจะโกงชั้น ตั้งเกือบ 10บาท ฝันไปเถอะ เงินสิบบาทนั้นน่ะชั้นใช้นั่งกลับไปโรงแรมได้เลยนะยะ เชอะ


คุณลุงเลี้ยงควายอยู่บนเนินเขา เลี้ยงไปร้องเพลงไป


สุดลูกหูลูกตา สวยงามมาก เหมือนในนิยายจีนโบราณที่อ่านมาเลย









ของที่ระลึกแถวนี้คือ น้ำผึ้งค่ะ มีขายเยอะแยะไปหมด


ใครเหนื่อย จะใช้บริการเกวียนก้อได้นะคะ เก๋ๆ


หลังจากได้ชื่นชมวิวสมใจแล้ว ก้อตัดสินใจกลับโรงแรม เพื่อหาอะไรกิน และเดินชมเมืองเล็กน้อยยยย....ก่อนจะเดินทางไปจุดชมวิวต่อไป "Logsitan"ปรากฏว่าผิดหวังกับเมืองมากค่ะ....ไม่มีอะไรให้กินเลย คือดูแล้วไม่มีอะไที่เราสามารถกินได้ ต้องขอบอกว่าเมือง Louping นี้ นอกจากทุ่ง Rapeseed แล้ว ไม่มีอะไรให้เที่ยวเลย ถือว่าชนบทมากๆ
ไม่มี fastfood ใดๆให้เห็น หรือแม้แต่กระทั่งร้านอาหารจีนดีๆ ก้อหาได้น้อยมากค่ะ ฝุ่นเยอะมาก ถึงมากที่สุด โชคดีเจอซูเปอร์มาร์เก็ต วันนี้เลยต้องพึ่งคัพนู๊เดิล กับผักกาดดอง ซึ่งต้องบอกว่าอร่อยมว๊ากกก หุๆๆ ติดใจกันเลยทีเดียว
พอหาอะไรกินง่ายๆเสร็จ ก้อเดินไปยังสถานีขนส่งอีกรอบ คราวนี้ไม่ง่ายอย่างตอนไปจุดชมวิวแรก เพราะ Longsitan นี้อยู่ไกลออกไปอีก คนขับส่วนใหญ่คิดราคาแพงเว่อร์มากก พอโบกแท็กซี่ ก้อยิ่งแพง ก้อเลยเดินไปเดินมา เจอรถรถตู้เล็กๆคันหนึ่งจอดอยู่ข้างทาง...แปะป้ายไว้หน้ารถว่าไป Longsitan พอเข้าไปหา ปรากฏว่าพี่เค้าหลับอ่ะค่ะ ไม่กล้าปลุก เลยเดินวนเวียน เวียนวนอยู่นานมาก เกือบจะชั่วโมงได้ พอเค้าตื่นก้อเข้าไปหาพี่เค้า ต่อรองราคากันไปมาด้วยความช่วยเหลือของ talking dict เค้าคิดเรา 40หยวนไปกลับ ซึ่งถูกมากกกก เพราะเจ้าอื่นๆคิดไม่ต่ำกว่า100หยวน เราก้อเลยโอเค จุดนี้คือ เราไม่สนใจอะไรแล้ว ทุกอย่างในทริปนี้ของเราคือ อะไรก้อได้ ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก ลุยไปเรื่อยๆ โชคดีที่มักดวงดี ได้เจอเพื่อนใหม่ และคนช่วยเหลือดีๆ ตลอดการเดินทาง

ปรากฏ พอรถออก พี่แกก้อเริ่มชวนคุย เราเริ่มรำคาญคิดว่าเค้าชวนคุยเรื่อยเปื่อย ฟังๆก้อไม่รู้เรื่อง เลยทำเงียบๆไป แล้วก้อเริ่มสงสัยทำไมขับไปโรงแรมอะไรอีก สรุป....มาถึงบางอ้อ ก้อเมื่อมีหนุ่มสาววัยรุ่นชาวจีนอีกสองคนขึ้นรถมาด้วย เธอสองคนพูดภาษาอังกฤษได้ (555โชคดีอีกแลวเรา) เค้าก้อเลยบอกเราว่า พี่คนขับคนเนี๊ยะ...รอเวลามารับเค้ากับแฟนที่โรงแรมเพื่อไป Longsitan พอดี ทางโรงแรมเป็นคนจองให้ พี่เค้ารับเราขึ้นมาด้วย เพราะเห็นว่าไหนๆก้อไปแค่สองคน (โชคดีมากๆๆๆๆๆ)
ลองคิดดูสิ ค่ารถไปกลับ Longsitan อย่างเดียวก้อ 100กว่าหยวนล๊ะ แต่นี่....40หยวน!!!มีเพื่อนเที่ยวน่ารักๆ/มีคนขับรถน่ารักๆ/พาจอดจุดชมวิวสวยๆทุกที่/ใช้เวาลานานเท่าไหร่ก้อได้ มันเป็นความโชคดีขนาดไหน อิอิ


เพื่อนร่วมทริปวันนี้ นางฟ้าและเทวดามาโปรดสาวแบกเป้อย่างเรา 555


Longsitan จุดชมวิวเด็ดๆอีกที่หนึ่งใน Louping ขับรถออกไปจากเมืองประมาณ 30นาทีน่ะ ขึ้นไปเรื่อยๆบนเขา ผ่านหมู่บ้านชนบทขึ้นไป


สวยมากอ่ะ ทุ่งที่มนุษย์ตัวเล็กๆ สร้างขึ้นมา

จบแล้วค่ะ Louping 1 day trip ของเรา จริงๆหนุ่มสาวคู่นี้ ชวนเราเที่ยวกับเค้าต่อพรุ่งนี้เช้าตรู่อีกหนึ่งวัน เพื่อไปน้ำตก(จำชื่อไม่ได้ เดี๋ยวไว้เจอชื่อแล้ว จะเข้ามาบอกอีกทีนะคะ)ที่เป็นจุดชมวิวสวยๆอีกหนึ่งจุด แต่ไม่ได้อยู่ในแผนของเรา เพราะเราอยากเดินทางไปคุนหมิงเช้าวันต่อไปเลย กลัวเสียเวลาไม่เป็นไปตามแผน เลยตัดน้ำตกออกไป แต่ต้องบอกว่าพี่คนขับรถ กับสองหนุ่มสาวนี้ เป็นเหมือนนางฟ้าเทวดามาโปรดจริงๆ เพราะหลังจากแยกกันไปแล้ว เกือบครึ่งชั่วโมง เราเดินหลงทางอยู่เค้ายังอุตส่าเห็น เรียกให้ขึ้นรถ แล้วพาไปส่งสถานีรถไฟเพื่อจองตั๋วรถไฟ แถมรอรับกลับ ซึ่งปรากฏว่าไปเสียเที่ยวเพราะซื้อตั๋วไม่ได้อีกตะหาก เค้าก้อขับกลับมาส่งโรงแรม ประทับใจ และซึ้งใจมาก ขอบคุณค่าาาา

วันรุ่งขึ้น เราเดินออกไปสถานีขนส่งเพื่อต่อรถไปคุนหมิงแต่เช้า ขอบอกว่าเป็นการเดินทางที่ปวดหัวที่สุด เพราะคนสูบบุหรี่กันแบบไม่แคร์สื่อมากๆ
และอย่างที่เกริ่นไว้ว่า Louping เปรียบเสมือนชนบทมากๆ เดินทางมาครึ่งประเทศจีน ต้องบอกว่าระบบขนส่ง รวมถึงการใช้ชีวิตของคนที่เมืองนี้ ไม่มีระเบียบที่สุดแล้วอ่ะค่ะ

พนักงานขับรถ และกระเป๋า สูปกันเป็นบ้องๆแบบนี้เลยค่ะ และสูบแทบจะทุกครึ่งชั่วโมง การสูบบุหรี่แบบนี้มีให้เห็นได้ที่ Louping เยอะแยะเลย

ของกินระหว่างทาง..ไข่ต้มสมุนไพร กะมันต้ม หรูสุดละ เป็นของที่ซื้อกินระหว่างทาง ตอนรถจอดพักข้างทาง บางครั้งต้องอดเปรี้ยวไว้กินหวาน ไม่กล้ากินสุ่มสี่สุ่มห้า เอาปลอดภัยกระเพาะไว้ก่อง


ถึงคุนหมิงแล้วจ้าาา รสทัวร์สถานีอยู่นอกเมืองปู้นนนน ต้องนั่งรถเมล์เข้าเมืองมาลงสถานีรถไฟอีกตั้งไกล จากนั้นก้อเดินๆๆๆๆๆ จนมาถึง "The Hump" ที่พัก back packer ขึ้นชื่อของคุนหมิง อยู่ใจกลางเมืองเลย ชอบๆ


นอนคนเดียว สบายย คืนละ300กว่าบาท หุๆๆ
ห้องอาบน้ำและห้องน้ำอยู่ข้างนอก ใช้รวมกัน สะอาดมาก


บรรยากาศของ hostel ต้องขอบอกว่าโฮสเทลที่จีนแทบทุกที่ ถูกและดีจริงๆ สะดวกสบายด้วย ผิดคาดมากๆ


มาถึงก้อเปิบกันหน่อย อาหารขึ้นชื่อของคุนหมิง ไม่ลองไม่ได้
Brothers jiang "Cross the bridge noodle" restaurant! อยู่ข้างล่างที่พักเลย


Cross the Bridge noodle.อาหารขึ้นชื่อของเมืองคุนหมิง อร่อย เผ็ดสะใจ(เลือกแบบเผ็ดอ่ะ) พร้อมกับเครื่องดื่ม รถคล้ายๆน้ำแห้ว ใส่วุ้น แปลกดี
อาหย่อยๆ
ทั้งหมดเนี่ย 50บาท


กินเสร็จก้อออกไปสถานีรถไฟ เพื่อจองตั๋วรถไฟตู้นอนสำหรับไปลี่เจียงพรุ่งนี้ เพราะถ้าไปซื้อเอาดาบหน้าพรุ่งนี้เย็น เกรงว่าจะไม่มีตั๋ว เนื่องจากที่คุนหมิง คนเยอะมากกกกกกกก
ในรูปจะเห็นน้ำแข็งใส ขอบอกว่า....อร่อยเว่อร์ เป็นเกล็ดน้ำแข็งไสใส่ผลไม้เชื่อม ชื่นใจมากกกก เบิ้ลสองเลย อิอิ

วันนี้เหนื่อยละ เพราะเดิน(หาโรงแรม)เยอะเกิน 555 กลับไปพักผ่อน พรุงนี้ค่อยออกสำรวจเมืองคุนหมิง
เรามาแวะคุนหมิงแค่เป็นทางผ่าน(อีกละ) อิอิ ไม่ได้อยากไปดูภูเขาหิน สวนหินอย่างใครเค้า เพราะจริงๆเมื่อวานตอนนั่งรถมาจากLouping เราก้อผ่านสวนหินเต็มไปหมดเลย รู้สึกเฉยๆ อย่างที่บอก เราไม่เน้นเที่ยวธรรมชาติ ชอบวัฒนธรรมมากกว่าจ้า


เช้าวันใหม่.....หลังจากฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม (แต่ checked out เรียบร้อยแล้ว) ก้อออกสำรวจคุนหมิงค่าเวลา โดยไปที่แรกคือ วัดหยวนทอง วัดสำคัญของที่นี่


แก๊งค์คุณป้า เรามีเรา น่ารักอ่ะ คนจีนชอบเที่ยวนะ เท่าที่ผ่านมา คนจีนทั้งนั้นเลยที่เที่ยว เค้าว่ากันว่ามีคนจีนหลายคนไม่เคยเดินทางออกนอกประเทศ เพราะแค่ประเทศตัวเองก้อเที่ยวไม่ทั่วแล้วววว


ดอกบ๊วยกำลังบานเลย ช่อใหญ่ และสวยไม่แพ้ซากุระ


ใครอยากเปลียนใจไปชมดอกบ๊วยบานที่จีน แทนการชมซากุระที่ญี่ปุ่นก้อได้นะคะ สวยมาก




เหมือนในหนังจีนเลยอ่าา ชอบบรรยากาศมากๆ(^^)


วันนั้นอากาศดีมากค่ะ






ได้เวลาเปิบพิศดารที่เมืองคุนหมิง...มันฝรั่งคลุกพริก อร่อยๆๆๆๆๆๆๆ
มันฝรั่งฝานไม่หนาไม่บาง ทอดน้ำมันจนสุก แล้วคลุกซอสพริกที่ปรุงไว้ โรยผัก แล้วเขย่าๆๆๆใส่ถุง โอ้ววว มีแค่ที่คุนหมิงเท่านั้น


คิดถึงๆ อยากกลับไปกินอีก อร่อยแบบง่ายๆ แต่ได้ใจความ 555


แวะมาเดินเล่นสวนสาธารณะ CuiHu Green lake park.


คนจีนชอบสวนสาธารณะมาก ไปที่ไหนก้อจะเห็นคนมาทำกิจกรรมแบบนี้ เป็นความสนุกของเค้าเลย


Street Fashion (^o^)


คู่หวานวันนี้ คุณลุงคงเมื่อย เลยมานั่งพักม้านั่งตัวเดียวกับเรา ส่วนคุณป้าก้อยืนนวดให้ พอจะถ่ายรูปก้อยิ้มแก้มปริเลย คนที่นี่ชอบถ่้ายรูป


ได้เวลากลับที่พักล๊ะ กลับไปเอากระเป๋า แอบอาบน้ำอาบให้สบายตัวสักรอบ แล้วหาอะไรกินอร่อยๆแถวโฮสเทล ก่อนเดินทางไปสถานีรถไฟเย็นนี้ หนทางยังอีกยาวไกล
มื้อสุดท้ายที่คุนหมิง ซี่โครงหมูบาบีคิว เลิศม๊าากค่ะ


ลาก่อนคุนหมิง ไว้มีโอกาส ข้าจะกลับมาใหม่


To be continued....



Create Date : 25 มกราคม 2555
Last Update : 28 มกราคม 2555 19:37:40 น.
Counter : 1783 Pageviews.

6 comment
จอมยุทธหญิงตะลุยเดี่ยว 25วัน ในเมืองจีน ตอนที่ 1 --- ผิดแผน!!


สมัยด็ก ชอบดูหนังจีนมากกกกก จำได้ว่าปิดเทอมทีไรพ่อต้องพาตระเวนไปเช่าวีดีโอหลายสิบม้วน (ตั้งแต่สมัยยังเป็นเทปวีดีโอใหญ่ ๆ )
ผ่านมาหลายปี เดี๋ยวนี้ไม่ได้ดูหนังจีนสักเท่าไหร่ เพราะรู้สึกว่าไม่ขลังเหมือนสมัยก่อน เลยเปลี่ยนมาอ่านนิยายแนวจีนๆแทน ทำให้ความทรงจำต่างเกี่ยวกับจีนหลั่งไหลกลับมาอีกครั้ง เป็นทีมาทำให้อยากไปตะลุยเมืองจีนดูสักครั้ง ใครๆเค้าก้อตามรอยซีรีย์เกาหลีกัน แต่เราขอตามรอยหนังจีนกำลังภายใน อิอิ

ตัดสินใจเดินทางคนเดียว เพราะได้แรงบันดาลใจจากพี่ผู้หญิงคนนึง ที่เคยไปอ่านเจอเรื่องราวของเค้าในเวปท่องเที่ยวเวปหนึ่ง ว่าเค้าก้อเดินทางคนเดียวไปเมืองจีน เราเลยรู้สึกว่า ท้าทายดีนะ พี่เค้ายังทำได้ แล้วทำไมเราจะทำบ้างไม่ได้ เลยลางานยาว เพื่อทริปนี้โดยเฉพาะ มีเวลาทั้งหมด 25วัน วางแผนล่วงหน้า 1เดือน โดยหาข้อมูลจากทางเน็ทล้วนๆ ไม่มีหนังสือเดินทาง มีแต่กระดาษแผ่นเล็กแผ่นน้อย เต็มไปด้วยข้อมูลของสถานที่ท่องเที่ยว/ข้อมูลที่พัก และวิธีการเดินทาง รวมทั้งหมด 13 เมืองด้วยกัน

เอาล่ะ มาดูการผจญภัยของเรานะคะ ว่าจะโหด มันส์ ฮา แค่ไหน ภาษาจีนไม่กระดิกแม้แต่นิดเดียว มี talking dictเป้นเพื่อนเท่านั้นในทริปนี้ หลงทางเป็นว่าเล่น แผนไม่เป็นไปตามแผน(ตลออออดทริป)
เราใช้ชื่อทริปนี้ว่า จอมยุทธหญิงตะลุยยุทธภพ

ออกจากบ้านแต่เช้าตรู่วันที่ 23 ก.พ.2554 เพื่อขึ้นเครื่องไปฮ่องกง และต่อเครื่องไปกุ้ยหลิน นี่คือแผนของเรา....


สัมภาระมีเท่านี้ล่ะค่ะ ไม่ชอบพกของเยอะ ทุกอย่างไปหาเอาดาบหน้าได้
เนื่องจากมีคนพูดให้ฟังเยอะถึงความลำบากเรื่องห้องน้ำ กับอาหารการกินที่ไม่สะอาดในบางครั้ง รวมถึงความกดอากาศที่อาจทำให้เราเหนื่อยได้ เพราะต้องขึ้นเขาลงห้วยเยอะอยู่ เราจึงเลือกเตรียมของจำเป็นเช่น ทิชชู่เปียก/ทิชชูแห้ง/ขวดน้ำเล็กๆเอาไว้เติมน้ำได้/เกลือแร่/ลูกอม ยาดม ยาหม่อง


เสื้อผ้าเอาไปน้อยมาก เพราะรู้มาว่าตามที่พักแต่ละที่มีบริการซักผ้า เลยไม่ต้องห่วงเรื่องเสื้อผ้าสกปรก




เมื่อถึงฮ่องกง ปรากฏว่าวันนั้น สายการบิน Dragon Air ไม่มีไฟล์ไปกุ้ยหลิน!!!ซะงั้น
มาวันแรกก้อเพี้ยนซะแล้ว แผนการช๊านนนน(--!) แต่ไม่เป็นไร เรามีแผนสำรอง A B C D E F G...555
ยาวเลยงานนี้


เลยตัดสินใจเปลี่ยนแผน นั่งรถทัวร์จากฮ่องกงเข้ากวางเจา เพื่อต่อรถไฟตู้นอนจากที่นั่นไปกุ้ยหลินแทนก้อได้ เพราะไม่อยากเสียเวลาอยู่ฮ่องกงอ่ะ
ใจจริงอยากนั่งรถไฟที่ฮ่องกงยาวไปกวางเจาเลยนะ แต่เวลาไม่พอ เพราะจากสนามบินฮ่องกงต้องต่อโน่น นี่ นั่น อีกหลายต่ออ่ะ เสียเวลาเยอะ กลัวเข้ากวางเจาไม่ทัน


รถจากสนามบินฮ่องกงเพื่อข้ามเข้าเขตจีนแผ่นดินใหญ่ก้อจะเป็นรถตู้ พาเราไปต่อรถทัวร์ที่ท่ารถ(ราคารวมหมดแล้วทั้งค่ารถตู้ที่ไปส่งท่ารถ และค่ารถทัวร์เข้ากวางเจา) การเดินทางก้อสะดวก ผ่านพิธีการ ต.ม. และศุลกากร กันตอนอยู่บนรถนั่นล่ะ นั่งชิวๆอยู่บนรถเฉยๆ ยื่นพาสปอร์ตกะ immigration card ให้ทางหน้าต่าง ไม่นานก้อจะออกเขตเมืองฮ่องกงกันแล้วววว
ระยะเวลาจากท่ารถทัวร์ถึงกวางเจาใช้เวลาประมาณ...2 ชั่วโมงกว่าๆได้

เนื่องจากกวางเจาไม่ได้อยุ่ในแผน(อย่างแรง!) เลยไม่มีข้อมูลอะไรซักกะอย่าง
อีคนขับรถทัวร์ปล่อยเราลงกลางเมือง เราใช้ talking dict ถามว่าไปสถานีรถไฟยังไง ก้อชี้มือชี้ไม้บอก ลงตรงนี้ๆ ไปทางนั้นๆๆ แล้วชี้ไปที่นาฬิกา 10นาทีๆ
เราก้อเชื่อ ปรากฏว่าาา 10นาทีแม๊วมากกกก ผ่านไปครึ่งชั่วโมงเดินจนโมโห พอถึงสถานีรถไฟก้อสายเกินไปล๊ะ รถไฟไปกุ๊ยหลินเที่ยวสุดท้ายของเย็นนั้นเพิ่งออกไปแป๊บเดียวเอง แง๊ๆๆ ผิดแผนอีกแล้วววววว!!

เอาไงล่ะทีนี้ ต้องค้างกวางเจา เสียเวลาไปเต็มๆอีก 1 วัน เพราะกว่ารถไฟจะออกอีกทีก้อพรุ่งนี้เย็น เฮ้อออ ช่วยไม่ได้ จากนั้นเลยจองตั๋วรถไฟเตรียมไว้ เป็นการจองตั๋วรถไฟครั้งแรกที่....งงมาก โชคดีที่มีสาวจีนคนหนึ่ง ยื่นมือเข้ามาช่วย ประดุจนางฟ้าตัวน้อยๆ 555 เธอพูดภาษาอังกฤษได้ และช่วยจองตั๋วให้เสร็จสรรพ ถ้าขาดเธอ ชั้นคงยืนเอ๋ออยู่ตรงนั้นล่ะ555


ปัญหาตอนไปคือ ไม่รู้จะพักที่ไหน เลยสุ่มๆเอาที่ใกล้สถานีรถไฟที่สุด แบบเดินออกมาถึงเลย ก้อไปได้โรงแรมน่ากัวๆ โรงแรมหนึ่ง ทั้งเก่า ทั้งอับ ชื้น น้ำไม่ร้อน ตู้ เตียงเก่ามากกก รอดมาได้ไงไม่รู้ ไม่โดนผีหลอก 555 เหมือนโรงแรมในหนังผีจีนอย่างแรง แต่ก้อช่วยไม่ได้ ไม่ได้ทำการบ้านมา ได้โรงแรมไหนก้อต้องยอม เพราะมืดแล้ว เหนื่อยมากด้วย
พอตอนเช้าก้อตื่นอออกไปสำรวจกวางเจาฆ่าเวลา โดยฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมได้ แม้ว่าจะ checked out แล้วก้อตาม
แถวนั้นมีแตงโมขายเต็มไปหมดเลย เลยซื้อกินซะหน่อย 10บาท




กวางเจาก้อไม่มีอะไร อย่างที่บอกไม่ได้อยากเที่ยวกวางเจาตั้งแต่แรก ก้อเลยแค่นั่งรถไฟฟ้าไปโน่น ไปนี่ ใกล้ๆ ซึ่งที่กวางเจารถไฟฟ้าสะดวก และถูกด้วย ค่าขึ้น 15บาทโดยประมาณ ก้อเลยขึ้นลงสถานีใกล้ๆไปวัดแถวๆนั้น เดินเล่นผ่านที่พักของท่านเหมา แล้วก้อกลับมาหาอะไรกินแถวสถานีรถไฟกวางเจา คุณลุงและคนในร้านตลกมาก ที่สำคัญคนที่นี่ชอบถ่ายรูปมากโดยเฉพาะถ่ายกับคนต่างชาติ แต่อยากจะบอกว่า...อาหารมื้อแรก เกิดอาการอาหารเป็นพิษ ท้องเสียอย่างแรงก้อเพราะร้านเนี้ยอ่ะ ซื้อเป็ดกับข้าวผัดไปไว้กินบนรถไฟตอนเย็น งานเข้าเลย นึกว่ามาจีน คงได้กินเป็ดอร่อย กลายเป็นว่าเป็ด MK บ้านเราอร่อยสุดแล้ว ไม่กล้ากินเป็ดจีนอีกเลยทั้งทริปนี้

ด้านล่างนี่ก้ออะไรไม่รู้ เหมือนน่องไก่หมัก ไม่ค่อยมีคนซื้อนะ ไม่รู้ไก่เน่า ไก่ตายมาย้อมแมวขายเหมือนในข่าวหรือเปล่า ไม่กล้าลอง ขายกันเกลื่อนสถานีเลยค่ะ


ส่วนนี่...หน้าตาเป็ดกับข้าวผัดที่ทำเราท้องเสีย

ได้เวลาขึ้นรถไฟแล้ว เย้ๆๆๆ ดีใจที่สุด ลาก่อนกวางเจา ทำไมชั้นต้องมาที่นี่ด้วยยยย
ปล.สองรูปสุดท้ายเป็นรูปโฮสเทลที่กุ้ยหลินนะคะ แอบติดมาด้วย อิอิ



Create Date : 24 มกราคม 2555
Last Update : 28 มกราคม 2555 20:06:21 น.
Counter : 2222 Pageviews.

14 comment

pulsedownfoot
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



ท่องเที่ยว ในระหว่างที่ยังมีแรง และโอกาส แบกเป้ลุยไปเรื่อยๆ เหนื่อยก้อพัก หลงก้อขำๆไป(^^) การหลงทาง ทำให้เราค้นเจออะไรสนุกๆ และการหลงทางจริงๆแล้วก้อเป็นความสนุกอย่างนึงในการเดินทาง อยากแชร์ความสุข และความสนุกจากการเดินทางของเราให้เพื่อนๆได้อมยิ้มกันนะคะ