A balanced state of mind is YOGA 
 
แบกเป้ ตลุยเดี่ยวของครูหยี (อีกแล้ว) สู่ลีเจียง ปีนเขาเสือกระโจน ตามหาแชงกรีลาดินแดนในฝัน

ถึงเวลาเดินทางอีกรอบแล้ว ความสุขเริ่มตั้งแต่วางแผนการเดินทางแล้วค่ะ การเดินทางแต่ละครั้งนอกจากการเรียนรู้แล้ว ก็ยังเป็นการออกจาก "comfort Zone" เสียบ้าง ออกจากความเคยชิตในชีวิตประจำวัน ออกจากความสะดวกสะบายในชีวิต และเป็นการก้าวเข้าไปหาความไม่รู้บ้าง ถือเป็นการฝึกการตื่นตัว ฝึกสมองได้ดีด้วยนะค่ะ 

คราวนี้วางแผนไว้ว่าจะไปจีนแถบยูนนานค่ะ ด้วยชอบธรรมชาติ เดินป่า และเมืองเล็ก ๆ ทริปนี้ก็เริ่มที่เมืองสบาย ๆ ชิวเอ้าท์ที่ลีเจียง ต่อด้วยเดินป่าอีก 1-2 วัน ส่งท้ายก็เมืองจงเตียน  เดินทางคนเดียวเหมือนเช่นเคย โดยเลือกช่วง 25 ก.ค - 7 ส.ค 58 บินออกจากเชียงใหม่ ปลายทางที่ลีเจียเลือกใช้สายการบิน China Southern Airline ที่จีนช่วงที่เดินทางก็จะเป็นหน้าฝนเหมือนบ้านเราแต่อากาศก็จะเย็นกว่าโดยเฉพาะช่วงเย็น ๆ และเช้า อาจจะลงมาถึง 14 - 15 องศา แต่โดยรวม ๆ แล้วก็ถือว่าสบาย ๆ คนที่เดินทางไปจีนต้องเตรียมภาษานิดหนึ่ง อย่างน้อยต้องสื่อสารภาษาจีนกลางพื้นฐานได้บ้าง เพื่อความอยู่รอดของตัวเราเอง เพราะร้อยละ 90 ไม่พูดภาษาอังกฤษแม้แต่ในโรงแรมเองก็ตาม สำหรับครูหยีภาษาจีนเป็นภาษาพื้นฐานของตนเพราะบรรพบุรุษมาจากแถบยูนนานเลย เพราะฉนั้นไปคราวนี้เหมือนกลับบ้านตนเองอย่างไงอย่างนั้น

เดินทางแต่ละครั้ง หยีพยายามใช้ชีวิตให้เรียบง่าย อยู่ง่าย กินง่าย ใช้เงินเท่าที่จำเป็น และขนของให้น้อยที่สุด อย่างคราวนี้ 2 อาทิตย์ ขนของไปประมาณนี้ ก็อยู่ได้สบาย ๆ





กระเป๋าใหญ่ 10 กิโล เล็กประมาณ 1 กิโล เสื่อโยคะคู่ใจ และรองเท้าผ้าใบคู่เท้า สำหรับการเดินทาง 14 วัน แล้วอย่าลืมขอวีซ่าเข้าจีนด้วยนะ หากเป็นไปได้แลกเงินหยวนไว้เลย ครูหยีใช้บริการที่ สากลการค้า ถนนเจริญประเทศ rate ดีกว่าที่อื่น ๆ หากสนใจก็เข้าดูรายละเอียดที่ //www.sakolexchange.com/th  โทร 053 818118 เวลาจีนเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง ปรับให้เรียบร้อย พร้อมลุยเลย




ถึงสนามบินลีเจียใน่ช่วงบ่าย ๆ อากาศกำลังดีแต่พยากรณ์อากาศบอกว่าเย็นนี้พายุจะเข้า สนามบินอยู่นอกเมือง มีรถประจำทาง  (20 หยวน) และ taxi (ประมาณ 50-80 หยวน) ให้เลือกใช้ ประมาณ 45 นาทีก็ถึงเมืองเก่าแล้วค่ะ

เดินหาที่พักสักพักใหญ่ เพราะไม่ได้จองล่วงหน้า  มีโรงแรมให้เลือกหลายแบบอยู่ค่ะ เลือกพักแบบ hostel แบบห้องรวม hostel ที่เลือกอยู่บนเขาเดินไกลนิดหนึ่ง แต่ก็สะดวกสบาย เพราะในเมืองเก่าห้ามรถเข้า ไปทุกแห่งต้องเดินอย่างเดียว (ชอบที่สุด)  timeless Hostel น่าอยู่มาก ขอเข้าไปชมห้องพร้อมสอบถามราคาก็ตกลงพักที่นี้เลย ในราคาห้องพักรวม 8 เตียงราคา 35 หยวน (ประมาณ 190-200 บาท)/คืน ห้องน้ำอย่างดี แถมห้องครัวไว้ทำอาหารได้ด้วยนะ นอกจากห้องรวม ที่นี้ก็มีห้องพักแบบห้องเดียว ห้องคู่ ห้องสูท ราคาก็แตกต่างกันไป สนใจเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ www.booking.com/Timeless-Hostel‎   หรือติดต่อโดยตรงที่ lijiang.timeless@gmail.com





ห้องรวม 8 เตียง มีห้องน้ำในตัว ราคา 35 หยวน



ห้องน้ำกว้างใหญ่ สอาดมาก มีคนมาทำความสอาดทุกวัน



หน้าห้องพักของพวกเรา ซึ่งเป็นจุดที่ทุกคนจะมารวมสังสรรค์หาข้อมูลกันค่ะ


ชั้นสอง จัดเป็นซุ้ม ๆ สำหรับนั่งอ่านหนังสือ หรือรับประทานอาหาร นอกจากนั้นใน hostel ยังมีห้องคอม ห้องดูหนัง ห้องหนังสือใด้ด้วยแหละ




ที่ฝึกโยคะและนั่งสมาธิทุกเช้า ฝนจะตกพายุจะมาก็ไม่มีเว้นนะจะบอกให้ หลังจากจัดที่อยู่เข้าที ได้ที่พักที่ถูกใจ ก็ถึงเวลาไปสำรวจเมืองเก่าลีเจียอันสวยงามกันได้แล้วนะ

....................................................

เริ่มจากให้เห็นหลังคาของเมืองเก่าแห่งลีเจียงว่าใหญ่แค่ไหน และที่เห็นไกล ๆ คือภูเขาหิมะมังกรหยก (ช่วงนี้ไม่มีหิมะค่ะ ก็เลยดูธรรมดาเหมือนดอยสุเทพบ้านเราเลยเน้อ)




ก่อนชมเมืองก็ต้องมารู้ประวัติกันสักนิดหนึ่งนะ ลี่เจียงเป็นเขตการปกครองของจีน อยู่เหนือระดับน้ำทะเลราว 2400 เมตร (เจียงใหม่บ้านเฮ้าอยู่เหนือระดับน้ำทะเลราว 300 เมตรเองนะ)  อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลยูนนาม มีเขตแนวติดเทือกเขาทิเบต กับเทือกเขายูนกุย พื้นที่ 95% เป็นภูเขา ชนเผ่าหน่าซิ ถือเป็นชนเผ่าพื้นเมืองที่อาศัยในลี่เจียงมากที่สุด จุดเด่นของเมืองเก่าคือภาพของอาคารแบบจีนสีแดงที่เรียงรายกันตามแนวแม่น้ำอวี้เหอ บ้านเรือนที่จัดเรียงลดหลั่นไล่ตามระดับไปในทุกมุมของเมืองอายุของเมืองก็น่าจะกว่า 800 ปี สิ่งที่เป็นเสน่ห์อีกอย่างของเมืองคือสายน้ำไหลผ่านแทบทุกจุดไม่ว่าจะเดินไปที่มุมไหนของเมืองเก่าก็จะได้ยินเสียงสายน้ำไหลเอื่อย ๆ ให้ความรู้สึกสบาย ๆ ซึ่งในเมืองก็จะแบ่งเป็นโซนห้องพัก โรงแรม โซนร้านค้าขายของพื้นเมือง และโซตร้านอาหาร แล้วก็จะเป็นโซนที่พักอาศัยของชาวพื้นเมืองก็จะอยู่สูงขี้นไป บริเวณรอบเมืองเก่าจะมีเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัย รวม ๆ แล้ว เมืองเก่าลี่เจียงเหมาะมากสำหรับการใช้ชีวิตแบบ slow life สบาย ๆ ค่าครองชีพก็กลาง ๆ นะคะ อย่างเช่นอาหารเช้าเป็นชุด แบบ ซาละเปา ปลาท่องโก้ น้ำเต้าหู้ แถมข้าวต้มให้อีก (แบบบุฟเฟ่ต์ด้วยนะ) ประมาณ 10 หยวน (คุณ 5.3) อาหารจานเดี่ยวราดข้าว 15-20 หยวน แต่ที่แพงคือค่าเข้าชมสถานที่สำคัญต่าง ๆ ประมาณ 80-100 หยวนขึ้นไป






ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากเมืองเก่าลี่เจียงในบรรยกาศที่สบาย ๆ อากาศใส่ ๆ อย่างที่เห็นเลยค่ะ มีคนสงสัยว่าไปคนเดียวแล้วใครถ่ายรูปให้ แฮะ ๆ เรื่องนี้มีลุ้นค่ะ บอกแล้วไงว่า การเดินทางคนเดียวไม่โดดเดี่ยวเหมือนที่กลัวหรอกนะ ชิลล์เอาท์ที่ลี่เจียงวันแรกกับหนุ่มจีนจากปักกิ่งค่ะ ได้มีโอกาสคุยแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์การเดินทาง ประสบการณ์ชีวิตพอประมาณ แล้วเราก็ลาจากกันด้วยมิตรภาพอันดีค่ะ Smiley



----------------------------------------------------------

เมืองเก่าลี่เจียงเป็นเมืองใหญ่พอสมควร รถยนต์เข้าไม่ได้ค่ะ ต้องใช้วิธีเดินอย่างเดียวเลย แรก ๆ ก็หลงวันละหลายรอบ อยู่ไปหลาย ๆ วันก็จำได้เองแหละ เมืองนี้เหมาะกับการใช้ชีวิตแบบสบาย ๆ เพราะในเมืองเก่ามีทุกอย่างตั้งแต่โรงแรม ร้านอาหาร ร้านขายของทัวไป ผับ ฯลฯ อากาศดี บรรยกาศดี สงบ เดินไปทางไหนก็จะได้ยินเสียงน้ำไหล โรแมนติกมากขอบอกSmiley  ไม่เชื่อก็รูปภาพเลย














ในเมืองลี่เจียงนอกจากเมืองเก่าก็ยังสถานที่หลาย ๆ แห่งที่คนไทยชอบไปกันค่ะ เช่น สระมังกรดำ , ขึ้นเขามังกรหยก ชม IMPRESSION LIJIANG โชว์อันยิ่งใหญ่ แต่เนืองด้วยหยีชอบที่สงบ ๆ แบบเมืองเก่า ขออยู่กับเสียงนก เสียงน้ำไหล เพลงพื้นบ้าน กินอาหารพื้นเมืองมากกว่า ภาพที่เห็นก็เลยเป็นแบบเรียบ ๆ สบาย ๆ ตามแบบฉบัยของหยีนะ จริง ๆ เมืองเก่าส่วนอื่น ๆ ก็มีที่นักท่องเที่ยวเบียดกันแถบไม่มีที่เดิน ร้านอาหารมากมายจนเลือกไม่ถูกว่าจะกินอะไร เสียงคุยกันจนจับไม่ได้ศัพท์ว่าพูดอะไรกัน ...................ขอหลีกมาอยู่เงียบๆ กับลมหายใจ จิตใจที่เบิกบาน มีความสุขกับหนังสือเล่มโปรดSmiley








ช่วงสาย ๆ ชาวพื้นเมืองก็จะมาร่วมตัว ร้องเพลง เต้นรำ ซึ่งนักท่องเที่ยก็สามารถเข้าร่วมด้วยนะ








วิถีชาวบ้านแท้ ๆ ก็ยังให้เห็นกันทั่วไป



อาหารเช้าแบบง่าย ๆ ราคาสบาย ๆ (ประมาณ 10 หยวน)





ขนมเค้กยูนนาน ทำจากแป้งข้าวเจ้าและราด้วยน้ำเชื่อมสัม (ไม่ได้ลองค่ะ เลยไม่รู้ว่าอร่อยหรือเปล่านะ)



ผลไม้ช่วงที่ไป (ก.ค - ส.ค) เห็นมีหลายอย่าง เช่น ท้อ ลูกไหน มะม่วง สาลี ราคาไม่แพงเลยคะ ท้อนี้ก็ต่อกิโลละ 3-4 หยวน



มะม่วงสีแดง ราคาก็อย่างที่เห็น กินทุกวันเลยค่ะ หอม หวาน กว่ามะม่วงน้ำดอกไม้บ้านเราด้วยนะ

-----------------------

1 อาทิตย์ผ่านไปเร็ว ๆ หยีได้ใช้ชีวิตแบบ slow life จริง ๆ เลย เช้าโยคะ นั่งสมาธิ อาหารเช้ากับชาวบ้านตามเพิงหมาแหงน สายไปตลาดของชาวบ้าน ซื้อผัก ผลไม้ สด ๆ จากสวน บ่าย ๆ กลับมาทำอาหารง่าย ๆ หัค่ำออกไปเม้ากับอาม่า อาแปะข้างโรงแรม ค่ำ ๆ สุ้มหัวกับเพื่อนร่วมห้องนักเดินทาง ซึ่งก็เปลี่ยนหน้ากันได้ทุกวัน และแปลกแต่จริงที่พบนักธุรกิจชาวอังกฤษมาร่วมแชร์ห้องกับเราด้วย (ลืมบอกว่าห้องเป็นแบบรวมชายหญิง) ได้คุยกับหนุ่มใหญ่บอกว่าชอบบรรยากาศของ hostel ดูอบอุ่่น และไม่เห็นความจำเป็นต้องอยู่ห้องเดี่ยวเพราะใน hostel ก็มีส่วนกลางตั้งแต่ห้องนั่งเล่น ห้องดูหนัง ห้องครัวไว้ให้พร้อมแล้ว ห้องนอนก็แค่อาศัยนอนเท่านั้นเอง แล้วจะไปจ่ายแพงทำไม่ ดีเน้อ คิดแบบนักธุรกิจแต่ก็เห็นด้วยแหละ แฮะ ๆ สรูปคือมันถูกนี้เอง

ถึงจะชอบเมืองเก่าลี่เจียงแค่ไหน 1 อาทิตย์ผ่านไป ก็เริ่มมองหาความท้าทายค่ะ พอดีมีเพื่อนร่วมห้องช่วงไปเมืองเก่านอกเมือง ชื่อว่าเมือง ไป่ซา ไปเช้าเย็นกลับ เมืองเล็ก ๆ แบบพื้นบ้านจริง ๆ นักท่องเที่ยวยังไม่ค่อยมาเท่าไหร่ บรรยากาศดี วิวสวย อากาศก็ดีด้วยแหละ




นี่เลยค่ะ เมืองไป่ซา กับเพื่อนใหม่คู่สามี-ภรรยาจากออสเเตเลีย เดินทางเที่ยวติดต่อมา 6 เดือนแล้วกำลังจะกลับไปเริ่มทำงานที่บ้านเกิด (การเดินทางคนเดียว ขอบอกว่าไม่เหงาเลย ขอให้ภาษาอังกฤษพอใช้ได้ มนุษยสัมพันธ์ดีบ้าง กล้า ๆ นิดหนึ่ง) รับรองสนุก ได้ความรู้ ได้ประสบการณ์ดี ๆ และมีโอกาสคลุคลีกับชาวบ้าน เห็นภาพแท้จริงของเมือง สรุปก็ชอบSmiley โอ้ ลืมบอก อากาศที่ลี่เจียงเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ทั้งหนาวมาก ฝนตกมาก ร้อนมาก เพราะฉนั้นการเดินทางออกจากโรงแรมแต่ละครั้งต้องมีเลยค่ะเสื้อกันหนาวที่ถอดออกได้ง่าย (เพราะเดียวมันก็จะร้อนมาก ๆ ) ร่ม เสื้อกันฝน ได้ใช้แน่นอน

--------------------------------------------------------

และแล้วก็ถึงเวลาต้องลาจากเมืองเก่าลี่เจียงเพื่อไปต่อ โดยได้วางแผนที่จะขึ้นหุบเขาเลือกระโจน Tiger leaping Gorge

ช่องเขาเสือกระโจน (Tiger Leaping Gorge) เป็นช่องหุบเขาเหนือแม่น้ำแยงซีตั้งอยู่ห่างจากเมืองลี่เจียงในมณฑลยูนนานประเทศจีนไปทางทิศเหนือประมาณ 60 กิโลเมตร

ช่องหุบเขานี้ความยาว 15 กิโลเมตร ตำแหน่งที่ตั้งอยู่ในบริเวณที่แม่น้ำไหลผ่านระหว่างภูเขาหิมะมังกรหยกที่สูง 5,596 เมตร และภูเขาหิมะฮาป่าที่สูง 5,396 เมตร ซึ่งเป็นบริเวณที่น้ำไหลเชี่ยวและอยู่ใต้หน้าผาสูง 2,000 เมตร ตามตำนานกล่าวว่า มีเสือตัวหนึ่งได้หนีการตามล่าจากนายพราน โดยกระโดดข้ามแม่น้ำที่จุดที่แคบที่สุด (กว้าง 25 เมตร) จึงเป็นที่มาของชื่อของช่องเขาแห่งนี้

ช่องเขาเสือกระโจนเป็นหนึ่งในหุบเขาเหนือแม่น้ำที่ลึกที่สุดในโลก ผู้อยู่อาศัยในบริเวณนี้มีจำนวนเพียงเล็กน้อย ส่วนใหญ่เป็นชนพื้นเมืองชาวหน่าซีโดยจะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆบริเวณใกล้เคียง และหาเลี้ยงชีพโดยการเพาะปลูกและรับจ้างนำทางคนต่างถิ่น


เส้นทางการเดินชมหุบเขาเสือกระโจนมีสองเส้นทางเส้นทางแรกคือถนนคอนกรีตเลียบแม่น้ำจินชาทางฝั่งขวา (ฝั่งภูเขาหิมะมังกรหยก) ใช้เวลาเดินประมาณ 2 ชั่วโมง ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่ทัวร์ท้องถิ่นส่วนใหญ่มักจะพามาที่นี่ ส่วนอีกเส้นทางนึงคือ Upper Trekking Route เป็นทางเดินลัดเลาะไปตามสันเขาทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำ (ฝั่งภูเขาหิมะฮาปา) โดยเส้นทางปกติจะใช้เวลาเดินประมาณ 2 วัน ซึ่งระหว่างทางก็จะมี Guest house น่ารัก ๆ ให้เหลือพักได้ด้วยค่ะ

หยีต้องใช้เวลาตัดสินใจอยู่หลายวันค่ะ ว่าจะเลือกทางไหนดี แฮะ แฮะ ก็ผู้หญิงสาวและสวยอย่างเรา เดินในป่าคนเดียว และได้คำบอกเล่าต่าง ๆ นานา เช่น ถึงแม้ทางจะเดินง่ายแต่ต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินสูงเนื่องจากทางด้านขวาของทางเดินเป็นหน้าผาลึกเกือบ 2 กิโลเมตรดิ่งลงไปถึงแม่น้ำด้านล่างแทบจะตลอดทางและทางเดินไม่มีรั้วกั้นแถมบางช่วงทางเดินยังแคบมากอีกด้วย เรียกได้ว่าชีวิตต้องฝากไว้กับสายลมและแสงแดดเลยที่เดียว แล้วเห็นว่าทางขึ้นเขาที่เรียกว่า 28 โค้ง สูงและชัน ออกซิเจนก็น้อยด้วย คิดว่าหลาย ๆ คนฟังแล้วก็คงถอดใจไปแล้ว เพราะเห็นเจ้าหน้าที่โรงแรมเสนอว่าหากไม่อยากเดิน ก็มีรถไปส่งถึงที่ Middle trekking มีที่พักให้เสร็จ แล้วอีกวันค่อย ๆ เดินลงไปที่ ช่องเขา ไปกลับไม่เกิน 3 ชั่วโมง น่าคิดอยู่น่า......... และแล้วหญิงเกร่งอย่างเราก็เลือกเดินขึ้นป่าค่ะ  จะใช้เวลา 1 หรือ 2 หรือ 3 วัน ก็จะลุย โดยจองรถให้มารับที่โรงแรมไปส่งที่จุดเริ่มเดิน (ต้องจ่ายค่าผ่านทางด้วยค่ะ คนละ 55 หยวน)  ส่วนกระเป๋าใหญ่สามารถฝากไปกับรถเพื่อไปเก็บไว้ที่ปลายทาง




ทางเดินที่จะต้องเดินคือUpper Trekking Route เป็นทางเดินเทรคความยาว 24 กิโลเมตร จุดเริ่มต้นของเส้นทางเดินคือเมืองเฉียวโถว (Qiaotou; 桥头) และสิ้นสุดที่ Tina’s Guesthouse บริเวณหุบเขาเสือกระโจนตอนกลาง  ตามแผนที่จะเห็นว่าระหว่างทางจะมี guest house อยู่ ซึ่งแต่ละทีก็ห่างกัน 2-3 ชั่วโมง และระดับสูงสุดที่เดินนั้น สูงถึง 2670 เมตรจากน้ำทะเล  (ดอยอินทนนท์บ้านเราสูง 2565 เมตร) ก็คิดดูเถิคค่ะว่าจะสูงแค่ไหน แล้วต้องเดินด้วยซิ ตัดสินใจแล้วค่ะ เป็นไงเป็นกัน สู้ สู้Smiley



ช่วงแรกที่เริ่มเดิน จะพอมีเพื่อนร่วมทางที่นั่งรถมาด้วยกันค่ะ เช่นน้องคนนี้จาก ฮอแลนด์ และอีกหลาย ๆ คน แต่พอทางขึ้นเขาและเริ่มชัน ก็ต่างคนต่างเดินและไม่มีแรงคุยกันแล้ว ใครเดินไวก็ไปหน้าใครเดินช้าก็อยู่หลัง (แรกกๆ อิฉันก็อยู่หน้าอยู่หรอก เดินไปเดินมาทำไมเดินอยู่ด้านหลังสุดได้) Smiley



ถึงแม้จะเดินอยู่คนเดียวก็ไม่รู้สึกกลัวอะไรนะคะ วิวก็สวย ๆ อากาศก็ดี เท่าที่เดินผ่านมายังไม่เจอหมู่บ้านและไม่ค่อยเห็นคนท้องถิ่นเดินสวนมาด้วย นักเดินทางวันที่เดินก็ไม่มาก นับ ๆ ที่เดินผ่านตนเองไปก็ไม่น่าเกิน 10-15 คน (กรุ๊ปจีนหรือทัวร์ส่วนใหญ่จะนั่งรถไปถึงปลายทางเลย)




ทางเดินแคบจริง ๆ และบางช่วงต้องลอดใต้น้ำตกไปด้วย



จงเดินอย่างมีสติ และคิดถึงบุญกุศลที่ได้ทำไว้เถิด เพราะไม่มีใครและอะไรช่วยเจ้าได้แล้วล่ะ Smiley




บางช่วงก็สบาย ๆ เดินลงเขาทางราบ



เหนื่อยสุดยอดก็ตอนเดินขึ้นเขา 28 โค้ง หายใจไม่ออก เดิน 10 นาที พัก 5 นาทีตลอดทางขึ้นเขาเลยค่ะ คิดว่าตนเองแข็งแรงนะ พอมาเจอสภาพนี้แล้ว ขอบอกว่า เหนื่อยที่สุดในชีวิตเลยค่ะ ก็เพิ่งจะเข้าใจว่าเหนื่อยจนจะขาดใจ และหัวใจเต้นจนจะหลุดออกจากอกก็วันนี้แหละ แต่ต้องเดินค่ะ เพราะงานนี้ถอยก็ไม่มีทีไป ยิ่งช้าก็จะมืดและดูเหมือนฝนกำลังจะตกด้วย Smiley อะไรจะมันขนาดนี้ (ตอนเขียนนะ แต่ตอนเดินจะตายค่ะ) ยังดีที่ยังพอมีนักเดินทางผ่าน ๆ มาบ้าง ได้มีโอกาศคุยกันบ้าง ถ่ายรูปให้กันและกันบ้าง ....




ที่พักกลางทาง เป็น guest house เล็ก ๆ ซึ่งมีบริการทั้งห้องพักราคาไม่แพงค่ะ 40-50 หยวน และมีร้านอาหาร (สวยมาก ๆ)



โอ๋ แม่เจ้า บันไดนี้เอาไว้ทำอะไรค่ะ Smiley นึกว่ากรรมหมดแล้วจาก 28 โค้ง ยัง ยัง ค่ะ ปีนค่ะ ท่านไม่มีทางเลือก เพราะนั้นคือทางเดียวที่จะออกจากเขา จะบอกว่าสูงมาก มองจากข้างล่างมองไม่เห็นยอด ตอนนี้เข้าใจแล้วค่ะว่าแค่เห็นบันไดก็ขาสั่นเป็นอย่างไง เท่าที่ดูไม่มีประกันใดจะคุ้มครองท่านได้แล้ว นอกจากบุญอย่างเดียวเลยค่ะ  เอาไงดี ก่อนอื่นก็ขออนุญาติเบิกบุญมาไว้กับตัวแล้ว.........ก็ปีนไป สั่นไป สวดมนต์ไป เฮ้ยSmiley.........ถึงแล้ว......สวรรค์






พอขึ้นสูงสุดแล้ว ตอนนี้ลงต่ำสุดอีกแล้วค่ะ กำลังเดินลงไปที่ ช่องเขาเสื้อกระโจนที่ lower trekking Route ถึงแม้จะเหนื่อยแสนเหนื่อย พอได้พักสักนิดก็หายเหนือยเลยคะ กลับรู้สึกสดชื่นและมีพลังขึ้นมากว่าเดิมอึก อยู่กับธรรมชาติก็ดีอย่างนี้เอง ได้รู้สึกถึงความอบอุ่นของแสงแดด สัมผัสถึงความชุ่มฉ่ำของสายฝน หายใจได้อย่างเต็มปอด สุขใดจะเท่าหนอ......อยากอยู่นาน ๆ จัง



ถึงแล้ว Smiley  Jinsha River ไหลเชียว และ ลึกมาก การเดินขึ้นเขาเครั้งนี้กือบสิ้นสุดแล้วค่ะ รู้สึกถึงความสดชื่นและร่างกายมีแรงและพลัง มีความสุขจังค่ะ การเดินป่าเขาก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ตนชื่นชอบ เพราะได้ฝึกทั้งกายและจิตอย่างแท้จริง สิ่งที่ตนพิชิตแต่ละครั้งจากการเดินเขาคือจิตของตนค่ะ โดยธรรมชาติของจิตคือชอบสบาย ชอบสนุก ชอบอร่อย พอมาอยู่สภาพแวดล้อมในป่าอยู่กับธรรมชาติ กินง่าย นอนง่าย แรก ๆ เห็นเลยว่าจิตจะต่อต้านไม่อยากเดิน เบื่อ สุดท้ายก็กลัว สิ่งที่ตนทำคือให้เห็นถึงสภาพจิตอย่างที่มันเป็น แต่ไม่ได้เป็นอย่างที่มันอยากให้เป็น เห็นแล้ววาง เห็นอย่างที่เห็น ไม่ปรุงแต่ง ้เดินไปที่ละก้าวอย่างมีสติและมีความสุขที่ได้เดิน พอสุดท้ายรู้สึกเลยค่ะ ว่าจิตเรามีกำลังมากขึ้น ไม่หลง อยู่กับปัจจุบันได้ดีขึ้น มีความเพียร มึวามเข้มแข็ง และที่สำคัญมีความสุขและสงบมากขึ้น ดีจังจะฝึกไปอีกเรื่อย ๆ ค่ะ Smiley




เดินมาทั้งหมด12 ชั่วโมง ได้พักเสียที เลือกพักอยู่แถว Middle Tiger Leaping Gorge นอกจาก Tina house ที่คนนิยมไปพักแล้ว ก็ยังมีอีกหลายแห่งในบริเวณใกล้เคียง ตนและเพื่อน ๆ trekking ที่เจอกันและร่วมเดินกันในช่วงสุดท้าย เลือกพักที่ Tibet Guest house มีห้องพักแบบรวม 3 เตียงรวมชาย หญิง และห้องเดี่ยว เลือกพักห้องเดียวค่ะเพราะราคา 40 หยวนเอง แต่แชร์ห้องน้ำนะ วิวสวยมาก แต่สิ่งที่ประทับใจที่สุดคือน้ำใจและบริการอย่างญาติมิตรของเจ้าของค่ะ อาหารอร่อยมาก เห็นว่ามีคนไทยไปพักอยู่บ่อย ๆ นะคะ



พัก 1 คืนแล้วก็ต้องเวลาต้องลาจากแล้วค่ะ เลือกไปต่อที่เมืองจงเตียนซึ่งเมืองจีนได้เปลี่ยนชื่อเรียกใหม่ว่า แชงกรีลา เมืองแห่งความใผ่ผันของหลาย ๆ คน การเดินทางสะดวกค่ะ ซึ่งสามารถจองรถกับที่พักได้เลยค่ะ เดินทาง 3 ชั่วโมง ค่ารถประมาณ 55 หยวน ส่งถึงโรงแรม .......................



...........................................................................................................................

เรามารู้จักเมืองจงเตียน หรือ แชงกรีล่ากันสักหน่อยค่ะ แชงกรีลา ซึ่งแผลงมาจากคำว่า ซัมบาลา(Shambala)ในภาษาธิเบต หมายถึงทางนำไปสู่ดวงตะวันและดวงจันทร์โดยดวงจิต ซึ่งเมืองแชงกรีล่าในนิยายจะอยู่ระหว่างรอยต่อของจีนกับธิเบต และมีนักเดินทางมากมายที่พยายามค้นหาว่าแชงกรีล่าอยู่แห่งหนใด ดินแดนที่มีเทือกเขาสูงเสียดฟ้า เบื้องบนปกคลุมด้วยหิมะ เบื้องล่างเป็นหุบเขาที่ปูลาดด้วยทุ่งหญ้าเขียวชะอุ่ม ท้องน้ำอุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ทองคำซึ่ต่อมาทางการจีนจึงได้ค้นหาว่าเมืองใดคือเมืองที่ว่านั้น  และในปี พ.ศ. 2545 รัฐบาลจีนได้เปลี่ยนชื่อเมืองจงเตียนเป็น แชงกรีล่า

นิยายยอดนิยม เรื่อง Lost Horizon ได้กล่าวไว้ว่า  "ดินแดนที่ บริสุทธิ์และงดงาม ตัดออกจากจากโลกภายนอก ผู้คนอาศัยสุขสงบ มีชีวิตเป็นยืนยาว ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและมีความสุขว่า แชงกรีลา(Shangri-La) "

เรามาดูกันเถิดว่าจริงดังว่าหรือเปล่า...............................






รถไต่เขาขึ้นไปเรื่อย ๆ  เห็นว่าบางจุดของเมืองจงเตียนสูงจากน้ำทะเลกว่า 3000 -4000 เมตร (แล้วจะหายใจได้อยู่ไหมเนียSmiley) วิวข้างทางเป็นภูเขาที่สวยงาม อากาศกำลังดีค่ะ แค่เย็น ๆ ถนนถือว่าดีมาก



ถึงแล้วค่ะ เมืองจงเตียน เป็นเมืองค่อนข้างใหญ่ ที่หลบอยู่ในหุบเขา ได้บรรยากาศของธิเบตขึ้นมาบ้างแล้วค่ะ จากธง และวัดแบบธิเบต




ร้านกาแฟ & อาหารเบา ๆ







วัดส่วนใหญ่อยู่บนเขาอย่างที่เห็นแหละค่ะ เนื่องจากอากาศที่บางเบา แค่เดินขึ้นบันได อิฉันก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมง ๆ แล้วล่ะ เพราะฉนั้นวันหนึ่ง ๆ ไปได้ 2 วัดก็เก่งแล้ว มาที่นี่ไม่ค่อยเห็นพระธิเบตเดินอยู่บนถนนเลยค่ะ ในวัดก็มีบางไม่กี่คน วัดนี้อยู่กลางเมืองเก่า สามารถขึ้นไปถึงบนสุดเลยแต่ในวิหารปิดค่ะ เลยไม่รู้ว่าเป็นวัดนิกายไหน และนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ตั้งใจมาไหว้พระ ขึ้นไปชมวิว ถ่ายรูป พักให้หายเหนื่อย แล้วก็ลงเลย



ในเมืองเก่าจะมีสถูปลักษณะนี้อยู่โดยรอบ ๆ พักที่จงเตียน 2 คืนก็กลับมาลีเจียงแลยค่ะ เมืองจงเตียนเป็นเมืองที่กลายเป็นเมืองท้องเที่ยวที่ไม่หลงเหลือกลิ่นไอของเมืองธิเบตอย่างที่คิดไว้ ถึงแม้เมืองพยายามที่จะคงเอกลักษณะทางวัตถุไว้ แต่สัมผัสไม่ได้ด้วยจิตวิญญาณเหมือนที่ธรรมศาลา


****หรือว่า ดินแดนที่ บริสุทธิ์และงดงาม ตัดออกจากจากโลกภายนอก ผู้คนอาศัยสุขสงบ มีชีวิตเป็นยืนยาว ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและมีความสุขว่า แชงกรีลา(Shangri-La) นี้แท้จริงแล้ว ดินแดนที่ว่าอยู่ในใจเรานี้เอง คุณเท่านั้นที่จะตอบได้ ......Smiley


...............................................................................................................................

การเดินทางแต่ละครั้ง ก็มักจะมีความทรงจำที่ดี ๆ ที่นำกลับมาเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกันได้ค้นพบศักยภาพของร่างกายตนว่ามีพลังอยู่มหาศาลแต่น่าเสียดายจังเรานำใช้จริงไม่ถึง 10% ได้เห็นถึงการปรุงแต่งของจิตที่ทำเรื่องไม่เป็นเรื่องให้เป็นเรื่อง ชีวิตจริงหรือเรื่องที่เกิดขึ้นจริงไม่น่ากลัวเท่ากับความคิดของเราหรอกนะ  หยีว่าก่อนอื่นฝึกคิดให้น้อยลง ใช้ชีิวิตปัจจุบันให้มากขึ้น เผชิญกับปัญหาด้วยสติ ปัญญา ด้วยจิตใจที่ผ่อนคลาย มีความเมตตา ยอมเป็นคนแพ้บ้าง ยอมถูกเอาเปรียบบ้าง ชีวิตกลับมีสีสันกว่ากันนะ ........

ยิ่งเดินทางมากขึ้น ยิ่งตระหนักมากขึ้นว่า การเตรียมตัวในการเดินทางในแต่ละครั้งนอกจากแผนการเดินทาง เงิน จองตั๋วต่าง ๆ แล้ว สิ่งที่สำคัญยิ่งเลยคือ บุญ ค่ะ เพราะในบางเหตุการณ์เงินก็ช่วยอะไรคุณไม่ได้ ประกันชั้นไหน ๆ ก็ช่วยคุณไม่ได้ แต่แปลกจัง ทำไม่อยู่ ๆ ใครก็ไม่รู้จักยื่นมือเข้ามาช่วยคลี่คลายให้เรื่องดีขึ้น ทำไม่เรามาถูกจังหวะเวลาพอดีจัง เชื่อเถิดค่ะนั้นค่ะ บุญรักษา เพราะฉนั้นลองสำรวจตนสิค่ะ เรามีบุญพอหรือยัง สำรวจง่าย ๆ ค่ะ ดูในชีวิตประจำวันของเรานี้เลยค่ะ หากชีวิตมีแต่ความสงบ ผู้คนที่เจอก็เป็นคนดี ใจร่มเย็นเป็นสุข นั้นแหละค่ะมาถูกทางแล้ว หรือกลับกัน มีแต่ทุกข์ คนที่เจอก็ไม่ดี  ชีวิตก็มีแต่ปัญหา  นั้นก็แสดงว่าท่านมาผิดทางแล้ว เพราะโลกอยู่ในใจตนค่ะ สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเราเป็นสิ่งที่สะท้อนออกจากจิตใจของเราเองนะ ถึงเวลาหรือยังค่ะที่จะเริ่มสะสมบุญตั้งแต่บัดนี้เลยค่ะ

---เริ่มเลยนะคะ ชีวิตนี้มันสั้นนัก แต่สังสารวัฏนั้นยาวไกลนัก ตราบใดที่ยังไม่ถึงนิพาน เราก็ยังต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสงสารวัฏไม่รู้อีกกี่ภพกี่ชาติ เราหาทรัพย์ภายนอกมามากพอแล้ว แค่พอมีพอใช้ มีมากก็แบ่งปัน และใช้เวลาที่ยังเหลืออยู่ในชาตินี้มาสะสมทรัพย์ภายใน หรืออริยทรพัย์เถิดค่ะ พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้แล้วค่ะ สำหรับผู้ยังครองเรือนก็เริ่มจาก ทาน ศีล ภาวนา และคำว่าทานก็อย่าไปจำกัดเพียงให้ทานทางวัตถุอย่างเดียว ทำให้ทั่ว ๆ เลยค่ะ เช่น การให้อภัยเป็นทาน การให้ธรรมะเป็นทาน การให้ความเมตตาเป็นทาน ค่อย ๆ ฝึกไปพร้อมกันนะคะ ถือศีลเริ่มจาก 5 ช้อก่อน และที่สำคัญฝึกพัฒนาจิตบ้าง แล้วลองสังเกตุค่ะ ชีวิตจะเปลี่ยนไป ....Smiley









Create Date : 15 สิงหาคม 2558
Last Update : 25 กันยายน 2558 10:21:04 น. 0 comments
Counter : 1397 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 
 

ดอยวาวี
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




ชื่อจริง บุษรา รัตนวาวี ชื่อเล่น ลูกหยี ค่ะ เป็นคนเหนือโดยกำเนิด ศึกษาและทำงานที่เชียงใหม่ จนอายุเกือบ 30 ปี จึงได้ตัดสินใจไปศึกษาปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งตอนที่เรียนที่ประเทศอังกฤษ ได้มีโอกาสรู้จักโยคะเป็นครั้งแรกและได้ฝึกมาตลอด ถึงแม้ว่าหลังจากสำเร็จการศึกษาและได้งานประจำที่กรุงเทพ แต่ก็ไม่เคยละทิ้งโยคะเลย ได้ศึกษโยคะหลาย ๆ แบบ ได้เข้าฝึกกับผู้ฝึกทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ จนค้นพบว่าโยคะที่เหมาะกับตนเองและคิดว่าจะฝึกไปตลอดชีวิตเลยคือ หะฐะโยคะ ซึ่งถือเป็นโยคะดั้งเดิมจากอินเดีย จึงได้ฝึกเฉพาะหะฐะโยคะตั้งแต่นั้นมา และมีโอกาสที่เข้าฝึกเป็นครูโยคะ ที่สุนีย์โยคะ กรุงเทพ เป็นเวลา 100 ชั่วโมง และได้สอนในโอกาสต่าง ๆ ในวันที่ว่างเว้นจากงานประจำ จนกระทั่งสิ้นปี 2009 จึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำ เดินทางไปศึกษาโยคะและอายุรเวทที่อินเดียอย่างจริงจัง เป็นเวลา 3 เดือน (หลักสูตรครูโยคะ 1000 ชั่วโมง) ซึ่งเป็นเวลา 3 เดือนที่ได้ใช้โยคะเป็นวิถีแห่งชีวิต ได้มีโอกาสสอนคนทั้งคนแก่ คนท้อง เด็ก ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง และรู้สึกถึงความสุขที่แท้จริง จึงได้ตัดสินใจที่จะแบ่งปันความรู้ ประสบการณ์ที่ตนเองได้ประสบมาจากการรู้จักโยคะ และได้ใช้โยคะเป็นวิถึชีวิต กับชาวเชียงใหม่ค่ะ

มารู้จัก บ้านหยีโยคะ ด้วยนะคะ
**ปัจจุบันนี้ ปี 2561 บ้านหยีโยคะ ได้เปิดมาครบ 7 ปีแล้วค่ะ
.....................................................................

บ้านหยีโยคะ ถูกสร้างขึ้นในบริเวณที่แวดล้อมด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ในเดือนธันวาคม 2553 ด้วยความรักบวกกับความตั้งใจของครูหยีเพื่อโยคะโดยเฉพาะ และเน้นนโยบายของครูหยีเองว่า เพื่อช่วยเหลือคนอื่น โดยใช้ประสบการณ์ ความรู้ของตน พร้อมแบ่งปัน แลกเปลี่ยนความรู้กับสมาชุก ที่สำคัญสุดรายได้ส่วนหนึ่งจากค่าสมาชิกจะใช้เพื่อการกุศล ตลอดเวลา 1 ปีที่ครูหยีได้เปิดสอนมานั้น ได้รับการต้อนรับจากชาวเชียงใหม่หรือแม้แต่คนต่างจังหวัดเป็นอย่างดีมาก ถึงแม้ครูหยีจะเปิดสอนเพียง 3 วันต่ออาทิตย์ก็ตาม รายได้ได้ถูกนำไปสร้างบุญสร้างกุศลอย่างมากมาย ตั้งแต่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่าง ๆ จนถึงร่วมทำบุญซื้อที่ดินถวายวัด ช่วยเหลือเป็นทุนการศึกษา ค่าอาหารต่อเด็กยากจน ตลอดจนเป็นปัจจัยสำหรับอาหารสำหรับผู้ปฏิบัตธรรมตามสถานที่ปฏิบัติธรรมต่าง ๆ แต่สิ่งที่ครูหยีประทับใจที่สุดคือสมาชิกหลายท่านมีสุขภาพทั้งกายและใจดีขึ้นมาก มีสติ หันมาศึกษาธรรมะ ดูแลสุขภาพของตนจากภายใน รักตนเองมีความมั่นใจในตนเอง พร้อมสิ่งดี ๆ อีกมากมาย ถึงแม้ว่าสิ่งที่ครูหยีทำอยู่อาจจะไม่ใช่สิ่งยิ่งใหญ่ แต่ตนเองก็ภูมิใจที่ได้ทำและจะทำไปเรื่อย ๆ เท่าที่เหตุปัจจัยจะนำพาไป ครูหยีขอถือโอกาสนี้กราบขอบคุณสมาชิกทุก ๆ ท่าน ที่ได้ให้การสนับสนุนบ้านหยีโยคะ และให้กำลังใจครูหยีในการทำความดีตลอดมา (ไป) ค่ะ
------------------------------------------------------------
update มกราคม 2556

ผ่านไปอีกปีหนึ่งแล้วค่ะ บ้านหยีโยคะก็เปิดมาแล้วครบ 2 ปี และกำลังก้าวย่างสู่ปีที่ 3 ในปีที่สองที่ผานมาบ้านหยีโยคะได้มีกิจกรรมทำร่วมกับสมาชิกมากขึ้น ไม่ว่าจะไปปฏิบัติธรรมร่วมกัน ร่วมออกโรงทาน หรือไปแสวงบุญไกลถึงอินเดียร่วมกัน ซึ่งกิจกรรมดี ๆ หลายอย่างก็ยังจะทำต่อเนื่องกันไปต่อไปค่ะ และการเปลี่ยนแปลงอีกอย่างก็คือบ้านหยีโยคะได้เน้นกลุ่มลูกค้าที่ชัดเจนขึ้นคือจะเน้นรับสมาชิกที่เป็นวัยทำงาน ตั้งแต่ 30 ปีขั้นไป และในช่วงเช้าจะเน้นวัยผู้ใหญ่ที่ 40 ปีขึ้นไป เพราะครูหยีเห็นว่าผู้หญิงในแต่ละวัยมีการเปลี่ยนแปลงทั้งร่างกายและจิตใจที่ต่างกัน ควรจะได้รับการดูแลที่ถูกต้อง พร้อมกันนี้ ครูหยีได้เพิ่มและเน้นเรื่องของโภชนาการมากขึ้น แบ่งปันความรู้ในด้านของอายุรเวทมากขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมายอย่างชัดเจนเลยค่ะ คือให้สมาชิกของเรานั้นได้มีความสมบูรณ์ทั้งกายและใจ ฝึกเป็นหมอของตนเองค่ะ สังเกตุการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย ปรับธาตุด้วยอาหาร ด้วยอารมณ์ ซึ่งได้รับความสนใจนำไปปฏิบัติจากสมาชิก เช่น การรับประทานอาหารเช้าที่เป็นประโยชน์มากขึ้น ลดกินแป้ง ลดน้ำตาล ลดชา ลดกาแฟ ล้างพิษ ดำเนินชีวิตประจำวันอย่างผู้ฉลาด อย่างมีสติเป็นต้น และสมาชิกหลาย ๆ ท่านก็ได้นำความรู้ด้านอื่น ๆ มาแบ่งปันกันในกลุ่มสมาชิกด้วย ซึ่งครูหยีจะเน้นให้สมาชิกให้ดูแลร่างกายและจิตใจไปพร้อม ๆ กันอย่างเป็นองค์รวม ให้รักตนเองและดูแลตนเองให้ดีที่สุด เพื่อที่เราจะได้มัพลัง มีแรงที่จะไปรักและดูแลตนอื่นได้ค่ะ

แน่นอนว่าการที่บ้านหยีโยคะได้อยู่จนครบ 2 ปี และยังก้าวต่อไปพร้อมทั้งกิจกรรมมากมายที่เกิดขึ้นและกำลังจะเกิดขึ้นนั้น ได้รับการสนับสนุนและให้กำลังใจจากสมาชิกทุก ๆ ท่านและร่วมถึงครอบครัวของสมาชิกด้วย ครูหยีขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งมา ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ ขอความดีทั้งหลายที่ท่านทั้งหลายได้ทำและสะสมมาจงคุ้มครองให้ท่านได้พบเจอแต่สิ่งดีงามและพบทางพ้นทุกข์ด้วยเทอญ

สำหรับตัวครูหยีเองก็ยังดำเนินชีวิตตามอุดมการณ์เดิมค่ะ ขอใช้ชีวิตอย่างพอเพียง แบ่งปันให้มากที่สุด มีความสุขกับทุกลมหายใจ ปฏิบัติธรรมเพื่อศึกษาจิตตนให้ละเลิกกิเลสให้มากที่สุดและพัฒนาปัญญาให้เกิดขึ้นได้เห็นทุกข์และมีโอากาสได้ออกจากทุกข์ในเร็ววันค่ะ
--------------------------------------------------------------
update มกราคม 2557

ผ่านไปอีกปีแล้วค่ะ บ้านหยีโยคะได้อยู่ครบ 3 ปีแล้ว และกำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 4 ตลอด 2556 ที่ผ่านมาบ้านหยีโยคะได้มีโอกาสต้อนรับพี่ ๆ น้อง ๆ อา ๆ ป้า ๆ กว่าร้อยท่าน หลาย ๆ ท่านอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เปิดครั้งแรกจนถึงปัจจุบัน ได้เห็นถึงสุขภาพกายและใจที่ดีขึ้น ๆ ของสมาชิก เป็นความรู้สึกปลาบปลื้มปิติจริง ๆ ค่ะ ขอขอบคุณที่รักตัวท่านเอง ขอขอบคุณที่ท่านได้ให้โอกาสกับบ้านหยีโยคะได้สร้างสิ่งดี ๆ ร่วมกันกับท่าน การพบแล้วจากเป็นธรรมดาของโลก แต่การเจอของเราในครั้งนี้ ไม่ธรรมดาค่ะ เพราะเราได้สร้างบุญสร้างกุศลร่วมกันและต่างก็เป็นเนื้อนาบุญของกันและกัน ของบุญรักษาท่านด้วยเทอญ

สำหรับตัวครูหยีเอง เป็นปีที่เดินทางบ่อยถึงบ่อยมาก อย่างที่ครูหยีชอบพูดอยู่เสมอว่าการเดินทางเป็นการเรียนรู้ค่ะ ระหว่างทางเราอาจจะเจอคนมากมาย ได้พบและเรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ และที่สำคัญที่สุดคือเรียนรู้ตนเองค่ะ ตลอดเวลาตั้งแต่เกิดมาพวกเราก็เรียน เรียนกันมาตลอด เราติดตามข่าว รู้เรื่องชาวบ้าน เพื่อนบ้าน แต่คนที่เรารู้จักน้อยที่สุดกลับเป็นตนเราเอง ตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตอย่างสงบ โดยเฉพาะช่วงปีที่ผ่านมาได้เรียนรู้ตนเองมากขึ้นอีกนิดหนึ่งแล้วค่ะ มีชิวิตที่เป็นอิสระ เบา สบายมากขึ้น ทรัพสินภายนอกอาจจะไม่เพิ่ม แต่อริยทรัพย์ภายในเริ่มมีบ้างแล้ว ก็เป็นกำลังใจที่จะเดินเส้นทางนี้ต่อไปอีก ครูหยีซาบซึ้งใจอยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งดี ๆ ในชีวิตที่เกิดขึ้นกับครูหยีนั้นต้องขอบคุณครอบครัวที่ประกอบด้วยน้องชายทั้งสอง น้องสาว น้องสะใภ้ทั้งสองและหลาน ๆ ที่เป็นกำลังใจและช่วยเหลืออยู่เสมอ สมาชิกบ้านหยีโยคะทุก ๆ ท่าน และกัลยาณมิตรทุกท่าน ที่ให้การสนับสนุน ช่วยเหลือ ให้กำลังใจอยู่เสมอมา ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

----------------------------------------------------------------
update เมษายน 2558

ผ่านไปแล้วอีก 1 ปี บ้านหยีโยคะอยู่อย่างมั่นคงครบ 4 ปี และกำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 5 แล้วค่ะ ตลอดปีที่ผ่านมาบ้านหยีโยคะได้ต้อนรับสมาชิกมากมาย บางท่านอยู่กันหลายเดือน บางท่านก็ฝึกด้วยกันเพียงเดือนเดียว ซึ่งดิฉันเชื่อเสมอค่ะ พวกเราได้มาเจอกันก็ด้วยบุญ -กุศลที่ได้ร่วมสร้างกันมา ทุกคนที่เข้าสู่บ้านหยีโยคะจึงเสมอเหมือนญาติพี่น้องที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง และพวกเราก็หนี้สัจธรรมไม่พ้นค่ะ ทุกอย่างคือความไม่แน่นอน ทุกอย่างคือการเปลี่ยนแปลง เมื่อมีพบย่อมมีจากเป็นธรรมดาของโลกจริง ๆ นะคะ อย่างไรก็ตาม ก็ขอขอบพระคุณท่านสมาชิกที่ได้แวะเวียนเข้าสู่ครอบครัวบ้านหยีโยคะ ท่านมาเราดีใจ ท่านจากเราคิดถึงนะคะ

ตลอดปีที่ผ่านมา พวกเราก็ยังมุ่งในการสร้างบุญสร้างกุศลมิได้ขาด โดยเฉพาะช่วงหลัง ๆ มีภัยพิบัติเกิดขึ้นอย่างมากมาย ปัจจัยส่วนหนึ่งก็ได้แบ่งปันไปยังผู้ประสบภัยเหล่านั้นด้วยค่ะ ยิ่งอยู่นาน คงทำให้ประจักษ์ว่า ชีวิตนี้เหลือน้อยแล้ว ก็จำต้องเร่งสร้างบุญสร้างกุศล ฝึกจิตให้สูงขึ้น ลด ละ เลิก ในความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้ได้มากขึ้น

ขอบุญรักษา
----------------------------------------------------------------
ประวัติโดยย่อ ของครูหยี

ปัจจุบัน
เจ้าของและครูสอนโยคะที่บ้านหยีโยคะเชียงใหม่
ดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง สงบ และมีความสุขกับทุกลมหายใจ
* ศึกษาและปฏิบัติธรรม
* ทำความดี
* นักเดินทาง

**สนใจและศึกษาเกี่ยวกับ

* จิต
* ธรรมชาติบำบัด
* อาหารบำบัดโรด
* สมาธิกับการดำเนินชีวิตประจำวัน
* เข้าอบรม และศึกษาโยคะอยู่สม่ำเสมอตั้งในประเทศและ
ต่างประทศ


ประวัติด้านโยคะ

- หลักสูตร Yoga Teacher training course จำนวน 1 ,000 ชั่วโมง ณ Yoga Institute, Mumbai อินเดีย (ปี2010)
- หลักสูตร ครูผู้นำโยคะ โดย โรงเรียนสุนีย์ โยคะ กรุงเทพ จำนวน 100 ชั่วโมง
- ฝึกและสอนโยคะมามากกว่า 10 ปี ทั้งในประเทศอินเดีย และไทย

** สำเร็จหลักสูตรครูสมาธิรุ่นที่ 29 กับสถาบันพลังจิตตานุภาพ วัดธรรมมงคล ปี 2555

ประวัติการศึกษา
- ปริญญาโท ด้านการโรงแรมและการท่องเที่ยว Bournemouth University ณ ประเทศ อังกฤษ (ปี 2000)
- ปริญญาตรี ด้านการบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัย พายัพ เชียงใหม่


ประวัติการทำงาน

- ผู้จัดการแผนกการศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ บริษัท Planit Consultants Bangkok กรุงเทพฯ (ปี2001-2009)
- ผู้จัดการฝ่ายการตลาดโรงพยาบาลราชเวช เชียงใหม่
- หัวหน้าแผนกลูกค้าสัมพันธ์โรงพยาบาลราชเวช อุมลราชธานี
- ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายขาย โรงแรมสุริวงค์เชียงใหม่
- ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายขาย โรงแรมเชียงใหม่พลาซ่า เชียงใหม่
- เจ้าหน้าที่ฝ่ายขาย โรงแรมดิเอ็มเพรส เชียงใหม่

[Add ดอยวาวี's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com