Group Blog
 
All Blogs
 

โรคนั่งนาน ภัยเงียบของคนทำงาน

ผมเก็บเรื่องนี้มาจากบทความเรื่อง "พังเก้าอี้ทำงานของคุณให้ไม่เหลือซาก" ในนิตยสาร ไทยแลนด์ Bloomberg Businessweek ฉบับเดือนสิงหาคม 2555 เนื้อหามีรายละเอียดเกี่ยวกับแนวโน้มใหม่ของการใช้โต๊ะทำงานแบบยืนทำงาน กับรายละเอียดของงานวิจัยและกลุ่มผู้ที่เริ่มปรับเปลี่ยนโต๊ะทำงานกันไปแล้วในอเมริกาและยุโรป 

เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงเพื่อนคนหนึ่งที่แม้ไม่ได้ทำงานประจำในออฟฟิศ แต่เขากลับนั่งแช่อยู่กับเก้าอี้ในห้องนอนตัวเองเกือบจะตลอดทั้งวันทั้งคืน จนเริ่มมีปัญหาสุขภาพหลายอย่าง เป็นคนอ้วนที่ป่วยเป็นโน่นเป็นนี่บ่อย กินยาเป็นประจำ จนวันหนึ่งเขาชวนผมไปร้านเฟอร์นิเจอร์เพื่อเลือกซื้อเก้าอี้เบาะหนังอย่างดี แบบที่จะทำให้นั่งได้สบายขึ้น ราคาตัวละหลายหมื่นบาท 

บางทีสิ่งที่เขาควรทำเพื่อสุขภาพของตัวเองน่าจะเหมือนกับคำแนะนำในบทความนี้คือ ลุกออกไปเดินเล่นซะบ้าง แล้วยกเก้าอี้แสนสบายตัวนั้นให้คนอื่นไปซะ 



หมอบอกว่าการนั่งทำงานทั้งวันจะทำให้อายุสั้นลง ถึงเวลาแล้วหรือยังที่คุณจะต้องยืนทำงานบ้าง?

แม้ว่าเก้าอี้ทำงานของคุณจะทำมาจากหนังวัวแท้ที่นิ่มสบายหรือเก้าอี้ Aeron เบาะตาข่ายที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง แต่เก้าอี้ดังกล่าวเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ 

งานวิจัยทางการแพทย์ล่าสุดหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า คนที่ใช้เวลานั่งอยู่กับที่ทุกวันยิ่งมากเท่าไร ก็จะมีแนวโน้มมากขึ้นที่เขาหรือเธอจะเป็นโรคหัวใจ เบาหวาน โรคอ้วน โรคมะเร็ง และที่เลวร้ายที่สุดก็คือ เสียชีวิตก่อนวัยอันควร 

งานวิจัยล่าสุดชิ้นหนึ่งจากศูนย์วิจัยชีวการแพทย์ Pennington ในเมือง Baton Rouge เมือง Los Angeles ที่เฝ้าติดตามชาวแคนาดาจำนวน 17,000 คนมากว่า 12 ปี พบว่าคนที่นั่งทำงานเกือบจะทั้งวันมีแนวโน้มที่จะเสียชีวิตจากหัวใจวายถึง 54 เปอร์เซ็นต์ มากกว่าคนที่ไม่ได้นั่งทำงานนานๆ ผลการวิจัยดังกล่าวทำให้เกิดการวินิจฉัยโรคใหม่ นั่นคือ “โรคนั่งนาน” และที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือ การออกกำลังกายเป็นประจำและทานอาหารเพื่อสุขภาพก็ช่วยคุณไม่ได้ ถ้าคุณนั่งบนเก้าอี้เป็นเวลาแปดชั่วโมง 

นักวิจัยหลายรายกล่าวว่า หลายปัญหาสามารถแก้ไขได้โดยง่ายดายจากการลุกขึ้นยืนและยืดกล้ามเนื้อทุกหนึ่งชั่วโมงหรือเดินลงไปที่ห้องโถงเพื่อพูดคุยกับใครสักคนแทนที่จะอีเมล์หากัน 

อย่างไรก็ตาม พนักงานบริษัทจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เลือกสิ่งที่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ นั่นคือ พวกเขาจะไม่นั่งเก้าอี้ ผู้ช่วยชีวิตของพวกเขาคือโต๊ะทำงานแบบยืน

โต๊ะทำงานแบบยืนนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่เลย Ernest Hemingway ก็เคยใช้โต๊ะทำงานแบบนี้ Vladimir Nabokov และ Winston Churchill ก็เคยเหมือนกัน รวมทั้ง Henry Clay ส่วน Thomas Jefferson ออกแบบโต๊ะยืนของเขาเอง ผู้ที่สนับสนุนโต๊ะยืนกล่าวอ้างว่า Leonardo da Vinci เป็นกลุ่มเดียวกับพวกเขา เช่นเดียวกับ Michelangelo อย่างน้อยที่สุด ก็ช่วงที่เขาไม่นอนทาสีภาพวาดบนเพดานโบสถ์ Sistine  ...

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันนี้โต๊ะทำงานแบบยืนเริ่มกลายเป็นกระแสโดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกเทคโนโลยีที่มีที่ทำงานเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวบวกกับความชอบด้านเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โต๊ะทำงานแบบยืนถูกนำมาใช้ในบริษัท Google, Facebook, Twitter และท่าอากาศยาน เป็นต้น 

Steelcase บริษัทผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์สำนักงานกล่าวว่า ยอดขายโต๊ะทำงานแบบยืนเพิ่มขึ้นกว่าสัดส่วนการขายโต๊ะทำงานแบบดั้งเดิมถึงสี่เท่า นอกจากนี้ บริษัท Ergo Desktop ซึ่งเป็นบริษัทขนาดย่อมที่นำอุปกรณ์เสริมมาติดเข้ากับโต๊ะเพื่อเปลี่ยนโต๊ะทำงานแบบเดิมให้เป็นแบบยืนกล่าวว่า ยอดขายในปีนี้กำลังเพิ่มสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาสามเท่า 

เมื่อเรานั่งลงกล้ามเนื้อของเราจะฝ่อลง หลังของเราจะงอและการเผาผลาญอาหารของเราจะช้าลง ตามที่ James Levine ผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อจาก Mayo Clinic ได้เขียนไว้ว่า “การนั่งบนเก้าอี้เป็นเวลานานเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ สิ่งที่น่าวิตกเรื่องหนึ่งก็คือ สำหรับคนส่วนใหญ่ที่อยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว การนั่งบนเก้าอี้เป็นเวลานานถือเป็นเรื่องปรกติ” 

อย่างไรก็ดี ถ้าการนั่งเป็นอันตรายถึงตาย การยืนตลอดทั้งวันก็อาจเป็นเรื่องยากลำบากต่อร่างกาย การยืนทำให้หัวใจทำงานหนักมากขึ้นและสามารถเพิ่มโอกาสเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งและเส้นเลือดขอดได้ “คุณจะต้องนึกไว้เสมอว่า เมื่อ 100 ปีที่ผ่านมา งานส่วนใหญ่เสร็จสิ้นเพราะคนที่ยืนทำงานและนั่นเป็นเหตุผลที่ว่าเพราะเหตุใดเราจึงพยายามทำให้คนเรานั่งลงบ้าง เพราะว่ามีปัญหาหลายอย่างเกิดขึ้นตามมานั่นเอง” Alan Hedge ศาสตราจารย์ด้านการออกแบบและการวางรูปแบบสถานที่ทำงานจากมหาวิทยาลัยคอร์แนล กล่าว “การยืนทุกวันมันไม่ได้เป็นเรื่องดีสำหรับคุณเลยนะ” 

คำสำคัญในบรรดานักออกแบบพื้นที่สำนักงานในปัจจุบันคือ “การเปลี่ยนอิริยาบถ” กล่าวคือ นั่งบ้าง ยืนบ้าง และก็ทำซ้ำ Michael Mullen ดีไซน์เนอร์จาก Anthro ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ Oregon ได้ออกแบบ Station ซึ่งเป็นโต๊ะทำงานแบบยืนที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ Mullen แบ่งวันทำงานของเขาระหว่างยืนทำงานเพื่อวาดเค้าโครงภาพบนคอมพิวเตอร์ขนาดกะทัดรัดและนั่งทำงานที่เครื่องพีซีของเขาโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยออกแบบงาน เขากล่าวว่า พนักงานหลายคนที่บริษัทลูกค้าของ Anthro หลายแห่งเริ่มปรับใช้กิจวัตรประจำวันแบบนี้บ้าง “บางทีพวกเขาอาจจะยืนทำงานในตอนเช้าและนั่งทำงานในช่วงบ่าย หรือไม่พวกเขาก็นั่งทำงานสักชั่วโมงสองชั่วโมงแล้วค่อยมายืนทำงานเพื่อผ่อนคลายความเครียด” 

โต๊ะทำงานนั่งยืนที่กำลังได้รับความนิยมอย่าง Station ของ Steve หรืออย่าง Workfit ที่มีราคาย่อมเยากว่า ผลิตขึ้นมาเพื่อความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ในเดนมาร์กมีกฎหมายบังคับนายจ้างให้พนักงานของตนทำงานที่โต๊ะทำงานที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยของ Hedge และนักวิจัยคนอื่นๆ แสดงให้เห็นว่า โต๊ะทำงานแบบนั่งหรือยืนนั้นไม่ใช่ยาครอบจักรวาล Hedge เฝ้าสังเกตการณ์ใช้งานโต๊ะทำงานว่าถูกนำมาใช้ที่บริษัท Intel อย่างไรบ้าง และพบว่าเมื่อความรู้สึกเห่อของใหม่หมดลง ผู้ใช้มีแนวโน้มที่จะเลิกปรับโต๊ะทำงานแล้วมานั่งทำงานทั้งวันเหมือนเดิม 

บริษัทบางรายรวมถึง Mutual of Omaha และ Blue Cross Blue Shield แซงหน้าไปหนึ่งก้าวแล้ว พวกเขาใช้โต๊ะทำงานที่มาพร้อมกับลู่วิ่งที่ทำให้พนักงานบางส่วนสามารถทำงานไปด้วยและเดินไปด้วย (อย่างช้าๆ ด้วยความเร็วที่ไม่เกินสองไมล์ต่อชั่วโมง) 



ครับ คีย์เวิร์ดก็คือ เปลี่ยนอิริยาบถ นั่นเอง ผมเคยอ่านหนังสือที่เล่าถึงวิวัฒนาการของสัตว์จนมาเป็นมนุษย์ มีตอนหนึ่งบอกไว้ว่าสรีระของมนุษย์นั้นยังเทียบเคียงได้กับปลาซึ่งน่าจะเป็นบรรพบุรุษรุ่นแรกๆ ของเผ่าพันธุ์เรา มีข้อสังเกตอันหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ พวกปลาไม่ค่อยเป็นโรคหัวใจหรือเบาหวาน เพราะพวกมันเคลื่อนไหวอยู่เกือบจะตลอดเวลา ... โครงสร้างร่างกายและอวัยวะภายในของเราไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อการนั่งจุ้มปุ๊กอยู่กับเก้าอี้นานๆ วันละหลายๆ ชั่วโมง 




 

Create Date : 25 สิงหาคม 2555    
Last Update : 25 สิงหาคม 2555 23:07:18 น.
Counter : 1124 Pageviews.  

ตกงาน อาจเป็นช่วงเวลาที่โอกาสเปิดกว้างที่สุดสำหรับคุณก็ได้

อารียาเพิ่งยื่นจดหมายลาออกหลังจากอดทนกับการงานอันน่าเบื่อหน่ายมาหลายปี ทันทีที่ข่าวการลาออกของเธอแพร่ออกไปในบริษัท ก็เกิดแรงกระเพื่อมตามมาอย่างเห็นได้ชัด

เพื่อนร่วมงานบางคนที่คิดว่าอยากจะลาออกเหมือนกันได้แวะเวียนมาสอบถามความคืบหน้าจากเธอ พวกเธอแลกเปลี่ยนความเห็นกันว่าใครคิดจะลาออกเมื่อไหร่

กระทั่งลูกน้องของอารียาเองซึ่งเธอบ่มเพาะและสร้างมากับมือ จนสามารถช่วยงานเธอได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ช่วยแบ่งเบาภาระต่าง ๆ ของเธอไปได้มาก เมื่อได้ข่าวว่าหัวหน้าจะลาออก น้อง ๆ ก็เริ่มหวั่นไหว

หลังจากที่เทียวถามอยู่หลายรอบจนยอมเชื่อแล้วว่าคราวนี้ลูกพี่เอาจริง ลูกน้องบางคนก็เริ่มคิดแล้วว่าจะเอายังไงต่อกับอนาคตตัวเองดี เพราะมีแนวโน้มว่าถ้าอารยาไม่อยู่ พวกเธอคงถูกหัวหน้าคนอื่นใช้งานกันอย่างไม่บันยะบันยัง ที่ผ่านมาก็ได้อารยานี่แหละที่คอยปกป้องไม่ให้พวกเธอต้องทนรับแรงเสียดทานจากแผนกอื่น ๆ มากเกินไป

"น้องกะว่าถ้ากิจการของแฟนมั่นคงกว่านี้เมื่อไหร่น้องก็จะออกเหมือนกันค่ะพี่" น้องคนหนึ่งในฝ่ายเปิดเผยความในใจ

"หนูอยากออกไปเปิดร้านขายของที่ตลาดนัดค่ะพี่ แต่พ่อแม่หนูไม่ยอม พวกเค้าอยากให้หนูมีงานทำเป็นหลักแหล่ง แต่หนูจะพยายามขายของนอกเวลางานไปก่อน ทำให้พ่อแม่เห็นว่าหนูทำได้ คิดว่าถึงตอนนั้นเค้าคงจะยอมค่ะ" น้องเล็กสุดในฝ่ายเล่าแผนการอนาคตให้ฟัง

"พอรู้ว่าพี่ออกแน่ ๆ น้อยก็ไปคุยกับแม่ค่ะ น้อยจะขอเอาที่ดินของพ่อแม่ไปทำเกสต์เฮ้าส์ แล้วเปิดร้านเล็ก ๆ ของตัวเองที่ชั้นล่าง น้อยอยากให้พี่มาช่วยน้อยด้วย เรามาร่วมหุ้นกันทำก็ได้ ทำกับพี่น้อยก็สบายใจ" น้อยซึ่งเป็นลูกน้องคนสนิทที่สุดของอารยา ติดสอยห้อยตามอารยามาหลายปี นอกจากจะคิดหาลู่ทางอนาคตใหม่ของตัวเองแล้ว ยังเสนอโอกาสนี้ให้ลูกพี่เข้ามามีส่วนร่วมด้วย

ผมคิดว่าประเด็นเรื่องโอกาสนี้น่าสนใจดีครับ คนอย่างน้อยคงไม่คิดจะไปทำอะไรอีกถ้าได้ทำงานอยู่กับอารยาไปเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่บ้านตัวเองก็มีที่มีทาง แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องดิ้นรนเอาไปลงทุนพัฒนาอะไรให้เหนื่อย ทำงานอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ก็พอแล้ว

แต่เมื่อมีเหตุที่อารยาจะออกจากงาน มันทำให้เธอพยายามมองหาโอกาสอย่างอื่นในชีวิตบ้าง

และโอกาสที่เธอเสนอมาก็เป็นโอกาสที่ดีสำหรับตัวอารยาเองด้วยเหมือนกัน ลองคิดดูว่าถ้าอารยาไม่ตัดสินใจลาออก ประตูแห่งโอกาสแบบนี้คงไม่เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ เพราะด้วยการงานอันล้นปรี่ที่เธอแบกอยู่ มันไม่เหลือช่องว่างให้โอกาสอื่น ๆ เข้ามาสู่ชีวิตเธอได้ การที่เธอลาออกโดยที่ยังไม่มีงานใหม่รออยู่ เท่ากับเป็นการเปิดทางโล่ง ๆ ไว้ให้โอกาสดี ๆ ต่าง ๆ สามารถผ่านเข้ามาถึงตัวเธอได้อย่างสะดวก

ผมจึงมองว่าการ "ตกงาน" อาจไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป เพราะถ้าเรามองในอีกแง่มุมหนึ่ง การ "ว่างงาน" ก็คือการมีพื้นที่ว่าง ๆ ที่รอคอยเราอยู่ เปิดให้เราเติมอะไรใหม่ ๆ เข้าไปได้

มันเหมือนกับว่าคุณต้องเทน้ำเก่าในแก้วออกเสียก่อน จึงจะเติมน้ำใหม่ ๆ ลงไปได้นั่นแหละครับ




 

Create Date : 17 สิงหาคม 2554    
Last Update : 17 สิงหาคม 2554 23:46:42 น.
Counter : 492 Pageviews.  

องค์กรที่พนักงานคิดแต่ว่าจะลาออกเมื่อไหร่ดี

"เธอจะออกแล้วเหรอ รอชั้นก่อนสิ" พิมมาลาอ้อนเพื่อนที่เพิ่งยื่นใบลาออก

"ชั้นก็สงสารเธอนะ แต่ชั้นอยู่นี่ไม่มีความสุขเลย สุขภาพกายทรุดโทรม สุขภาพจิตก็แย่ลงเืรื่อย ๆ " ดาวประดับแสดงความเห็นใจเพื่อน แต่ดูเหมือนจะสงสารตัวเองมากกว่า

"เธอก็อดทนเอาหน่อยนะ เดี๋ยวเรื่องนี้มันก็ผ่านไปแล้ว อยู่ด้วยกันก่อนเถอะนะ" พิมมาลาแสดงอาการอาวรณ์เพื่อนสุด ๆ

"ถึงเรื่องนี้จะผ่านไปไ้ด้ แต่ก็คงจะมีเรื่องอื่น ๆ ตามมาอีกเหมือนเดิม วงจรเดิม ๆ ไม่จบไม่สิ้น ชั้นทนไม่ไหวหรอก แล้วเธอล่ะ เธอก็รอให้ลูกเรียนจบก็จะออกเหมือนกันไม่ใช่เรอะ จะมารั้งชั้นไว้ทำไม" ดาวประดับย้อนกลับเอาให้มั่ง

"... ก็จริง" พิมมาลาเคยบอกเพื่อนไว้อย่างนั้น และคิดว่าเมื่อลูกเรียนจบก็คงจะออกจริง ๆ แค่นี้ที่บ้านก็บ่นกันจะแย่อยู่แล้ว

"นี่พวกเธอ ไม่สงสารคุณผู้จัดการบ้างเหรอ ถ้าพวกเธอออกกัน เขาคงจะลำบากน่าดู" พี่สมศรีสอดแทรกขึ้นมา ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ที่ชี้ให้มองความรู้สึกคนอื่นด้วย

"พี่สมศรีคะ พี่จำไม่ได้เหรอคะ คราวก่อนที่ผู้จัดการทะเลาะกับบอสใหญ่น่ะ ผู้จัดการเองนั่นแหละที่ยื่นใบลาออกโดยไม่บอกพวกเราซักคำ ไม่ไหวหรอกค่ะอย่างนี้ อยู่ไปก็มีแต่จะรันทดกันไปเรื่อย ๆ หรือพี่ว่าไม่จริง" ดาวประดับยังจำความรู้สึกตอนที่ผู้จัดการพยายามตัดช่องน้อยแต่พอตัวลาออกโดยไม่บอกเพื่อนเลยซักคำ แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด ต้องกลับมาอยู่อย่างอดทนต่อไป

"อือ ความจริงพี่ก็อยากออกเหมือนก๊าน แต่พี่มันเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่เหมือนเด็ก ๆ อย่างพวกเธอ ถ้าพี่ปุบปับออกไปเฉย ๆ แล้วต่อไปจะเข้าหน้าบอสได้ยังไง พี่ก็ว่าจะรออีกซักสองสามปีค่อยออก" พี่สมศรีเองนั้นถูกบอสใหญ่บี้จนสะบักสะบอมมาหลายครั้ง หลัง ๆ แกก็เปรย ๆ หลายครั้งแล้วว่าอยากออก แต่สำหรับแกมันไม่ง่ายเลยที่จะเอ่ยปากเรื่องนี้กับบอส

---

ผมฟังบทสนทนาทำนองนี้ด้วยความเศร้าแกมสมเพช ในความรู้สึกผม องค์กรนี้เหมือนตายไปแล้ว เหลือแต่ซากที่ยังเดินอยู่ คุณดูเอาเถิด พนักงานพูดกันแต่เรื่องว่าใครจะออกเมื่อไหร่

และที่น่าเศร้ายิ่งกว่าสำหรับเจ้าของกิจการคือ เขาเหมือนไม่ได้รับรู้อะไรเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย เพราะไม่มีใครคิดที่จะพูดความจริงให้เขาฟังเลยซักคน ทุกคนต่างอยู่ด้วยความอดทน ความกลัว และการเอาตัวรอดไปวัน ๆ




 

Create Date : 16 สิงหาคม 2554    
Last Update : 16 สิงหาคม 2554 23:01:17 น.
Counter : 645 Pageviews.  

จ้างมือดีที่สุดไว้ทำงาน

ชื่อหัวข้อนี้มาจากหนังสือที่ผมยืมมาจากห้องสมุดในเมือง เป็นหนังสือแปลจากชื่อภาษาอังกฤษว่า Hire and Keep the Best People

เป็นหนังสือเล่มไม่หนานัก อ่านประมาณชั่วโมงนึงก็จบแล้ว ผู้เขียนได้รวบรวมแนวทางในการจ้างพนักงานและวิธีที่จะรักษาพนักงานที่ดีเอาไว้กับองค์กรนาน ๆ แต่ละบทก็สั้น ๆ อ่านเข้าใจง่ายดีครับ

หนังสือเล่มนี้ทำให้ผมนึกถึงที่ทำงานของแฟนผม เพื่อนผม รู้สึกว่าที่ทำงานหลายแห่งไม่ได้ใส่ใจกับการคัดเลือกและรักษาบุคลากรเท่าไหร่ แล้วทำให้ผู้จัดการหรือผู้บริหารต้องสูญเสียทรัพยากรและพลังงานไปกับเรื่องบุคลากรมากมาย รวมทั้งเรื่องหงุดหงิดอารมณ์เสียเพราะปัญหาเรื่องคนทำงานไม่ได้ ลาออกบ่อย ฯลฯ

"ตัวบังคับที่สำคัญต่อความก้าวหน้าและความสำเร็จของธุรกิจของคุณหรือธุรกิจใดก็ตามคือ ความสามารถที่จะดึงดูดและรักษาบุคลากรที่ดีเอาไว้ให้ได้ ทรัพยากรอื่นนั้นมีอยู่ทั่วไป และสามารถหาได้ไ่ม่ยาก คุณสามารถหาสิ่งที่คุณต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเงินทุน ที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ เฟอร์นิเจอร์ ความพร้อมทางด้านการผลิตและการจำหน่าย และวัสดุสำหรับการบรรจุภัณฑ์ และการตลาด แต่ิสิ่งที่จะทำให้ปัจจัยทั้งหลายเหล่านั้นสร้างผลและมีกำไรคือ คุณภาพของบุคลากรที่อยู่เบื้องหลัง"

นี่คือสิ่งที่เขียนไว้ในบทแรกเลยครับ ซึ่งผมเห็นด้วยอย่างมาก ผมเชื่อว่าเจ้าของกิจการหรือผู้นำองค์กรหลาย ๆ คนก็เห็นด้วยกับความเชื่อนี้เหมือนกัน เพียงแต่หลาย ๆ ครั้ง หลายคนมักจะหลงลืม หรือละเลยเพิกเฉย ปล่อยให้เรื่องการดูแลคนเป็นไปตามยถากรรม จนเกิดปัญหาคนดีไหลออก คนกระจอกไหลเข้า

ท่ามกลางปัญหาต่าง ๆ มากมายในการทำธุรกิจหรือบริหารองค์กร เป็นการง่ายที่เราจะมองข้ามเรื่องการดูแลคนทำงาน เพราะเรื่องนี้มักเป็นเรื่องที่ทำแล้วไม่เห็นผลในทันที มันเป็นงานที่ต้องใช้เวลาเอาใจใส่กันเป็นเวลานานและสม่ำเสมอ คล้าย ๆ กับการปลูกต้นไม้ กว่าจะได้ดอกผลให้ชื่นใจนั้นใช้เวลาเป็นเดือนเป็นปี ในขณะที่งานด้านการขาย การเงิน หรือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าทางเทคนิคต่าง ๆ จะเรียกร้องความสนใจจากผู้บริหารทั่ว ๆ ไปได้ดีกว่า

องค์กรที่แฟนผมทำงานอยู่ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าองค์กรขนาดที่มีพนักงานหลายร้อยคน จะยังไ่ม่มีฝ่ายทรัพยากรบุคคล ไม่มีระบบบริหารงานบุคคลที่ชัดเจน ทุกอย่างยังขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าของหรือคนในครอบครัวเป็นหลัก ซึ่งหลายครั้งก็เกิดจากอารมณ์ที่ขึ้น ๆ ลง ๆ

พนักงานทุกคนทุกระดับที่จะลาป่วยหรือลากิจต้องโทรศัพท์ไปขอลาโดยตรงกับเจ้าของกิจการคนเดียวเท่านั้น

การพิจารณาเงินโบนัสประจำปีแม้จะมีการพิจารณามาก่อนโดยหัวหน้างานแต่ละระดับ แต่สุดท้ายต้องส่งให้เจ้าของกิจการเป็นคนแก้ตัวเลขทั้งหมด

แม้ว่าองค์กรนี้จะไม่ถึงกับล้มเหลว ยังคงดำเินินกิจการต่อไปได้ แต่ผมไม่เชื่อเลยว่ามันจะเติบโตขึ้นเป็นองค์กรชั้นนำได้ และผมก็เชื่อด้วยว่า หากสภาพการณ์ภายในยังเป็นอย่างนี้อยู่ต่อไป ไม่ช้าก็เร็ว แฟนผมและอีกหลายคนคงจะค่อย ๆ ทยอยไหลออกไป จนอาจถึงขั้นทำให้องค์กรล้มเหลวได้

ก็หวังว่ามันจะไม่เป็นอย่างที่ผมเชื่อนะครับ




 

Create Date : 20 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 20 พฤษภาคม 2554 9:33:10 น.
Counter : 586 Pageviews.  

เอาพี่ไปฟิกซ์อย่างนั้นไม่ได้หรอก

หลายวันก่อนผู้หญิงที่นอนเตียงเดียวกับผมเล่าเรื่องหัวหน้าแผนกคนหนึ่งใน ที่ทำงานของเธอให้ฟัง ผมฟังแล้วก็รู้สึกทึ่งในวิธีคิดของเขามาก จึงขอนำมาเล่าสู่กันฟังในบล็อกนี้ครับ

เรื่องมันเกิดขึ้นระหว่างการประชุมร่วมกันระหว่างแผนกบัญชีและแผนกธุรการ วาระการประชุมก็คือการจัดคนเข้าเวรวันเสาร์ช่วงเช้าเพื่อเฝ้าออฟฟิศและรับ โทรศัพท์ โดยจะให้ทุกคนผลัดเปลี่ยนกันมาเฝ้าออฟฟิศ พนักงานในแผนกก็ช่วยกันจัดเวรกันมาบ้างแล้ว ทีนี้ก็นำมาเสนอในที่ประชุมเพื่อพิจารณาร่วมกันอีกครั้ง

ในการจัดเวรเฝ้าออฟฟิศนี้ คนเป็นหัวหน้าหาได้มีอภิสิทธิ์ไม่ต้องเข้าเวรแต่อย่างใด นอกจากนั้น ในฐานะหัวหน้าก็ควรจะเข้ามาเป็นผู้ดูแลพนักงานและออฟฟิศตามหน้าที่ด้วย กรณีนี้หัวหน้าแผนกธุรการซึ่งรู้สึกผูกพันกับลูกน้อง ก็มักจะแวะเข้ามาในทุกวันเสาร์อยู่แล้ว บรรดาพนักงานจึงไม่ได้เรียกร้องให้เขาต้องลงตารางเข้าเวรอีก

แต่สำหรับหัวหน้าแผนกบัญชี เธอมีท่าทีแสดงออกชัดเจนว่าไม่อยากเข้าออฟฟิศในวันเสาร์ ปกติในวันทำงานธรรมดาก็ชอบแวบหายไปบ่อย ๆ อยู่แล้ว และไม่ค่อยมีใครรู้ด้วยว่าเธอหายไปไหน ในการจัดเวรเฝ้าออฟฟิศครั้งนี้ พนักงานในฝ่ายอยากให้เธอเข้ามาช่วยดูออฟฟิศบ้าง แต่ก็ไม่อยากใช้เสียงส่วนใหญ่บีบคั้นเธอจนเกินไป จึงคิดว่าจะให้เธอได้เลือกวันที่คิดว่าสะดวกที่จะมาเอง

หลังจากแจกเอกสารตารางเวลาให้ทุกคนดูแล้ว ก็มีการหารือเรื่องวันที่แต่ละคนจะสะดวกกัน ซึ่งก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร เพราะหากวันไหนพนักงานที่ต้องเข้าเวรเกิดมีธุระจำเป็นขึ้นมาก็สามารถแลกวัน กับเพื่อนได้ไม่ยาก ในระหว่างนี้หัวหน้าแผนกบัญชีก็นั่งเงียบ เหมือนจะไม่สนใจวาระการประชุมเท่าไหร่ แต่จู่ ๆ ก็มีพนักงานรุ่นน้องคนนึงโพล่งขึ้นมาว่า

"แล้วพี่ อ. คิดว่าจะลงวันไหนดีคะ ให้พี่เลือกวันก่อนดีกว่า ที่เหลือพวกหนูจัดกันเองได้"

"ไม่ได้ ไม่ได้หรอกน้อง น้องอย่าเอาพี่ไปฟิกซ์อย่างนั้น น้องต้องปล่อยให้พี่อยู่ลอย ๆ ไว้ เพราะพี่ต้องดูแลงานหลายอย่าง พี่ต้องดูภาพรวม เอาพี่ไปฟิกซ์อย่างนั้นไม่ได้หรอก" น้ำเสียงของเธอพยายามอย่างมากที่จะทำให้เหตุผลที่อ้างนี้ฟังดูเป็นจริงเป็นจัง

ผมฟังแล้วก็ทั้งขำทั้งรู้สึกสงสารหัวหน้าแผนกคนนี้จริง ๆ ไม่คิดบ้างหรือว่าที่พูดไปนั่นพวกลูกน้องเขาจะคิดยังไง




 

Create Date : 08 เมษายน 2554    
Last Update : 9 เมษายน 2554 9:15:06 น.
Counter : 506 Pageviews.  

1  2  

PoojeeChunn
Location :
ภูเก็ต Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




พิเชษฐ์ บุญย์วิรุฬห์ (ชุน) เกิดปี พ.ศ. 2515 ที่จังหวัดสงขลา เรียนหนังสือ เติบโต และเริ่มทำงานที่กรุงเทพฯ เคยไปทำงานที่ประเทศจีนห้าปี กลับมาทำงานประจำได้ไม่นานก็ลาออก แต่งงาน ย้ายมาอยู่ที่ภูเก็ต ทดลองทำโน่นทำนี่อีกหลายอย่าง จนได้มาเรียนรู้เรื่องการทำเว็บ จึงได้ก่อตั้งบล็อกชื่อ Chinese Web info ขึ้น เป็นจุดเริ่มต้นของการทำเรื่องใหม่ที่ยังไม่รู้ว่าจะพาผมไปลงเอยที่ไหน
Friends' blogs
[Add PoojeeChunn's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.