|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
Harry Potter and the Daugher Twin ตอนที่ 1
ตอนที่ 1
“แฮ่ก ๆๆ” สวบ...สวบ ท่ามกลางป่าที่มืดมิด ชายหนุ่มคนหนึ่งพยายามประคองร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลให้ก้าวเดินในขณะที่ความเจ็บปวดเข้ามาช่วงชิงความมีสติสัมปัญชัญญะอย่างช้า ๆ เขาเซไปกระแทกกับต้นไม้ใหญ่เมื่อขาเริ่มไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าเผือดซีดเหยเกด้วยความเจ็บปวดเพราะแรงกระแทก เขาสะบัดหน้า พยายามไล่ความพร่ามัวในดวงตาออกไป “ให้...ตาย...” เขาครางออกมาก่อนจะล้มไปทั้งยืน

หลายปีต่อมา.... “เอมิจัง...เอริจัง...” เสียงเรียกดังขึ้นทำให้ร่างสองร่างที่แอบอยู่ไม่ไกลนักถึงกับสะดุ้ง เอมิกับเอริมองหน้ากัน “ทำยังไงดีล่ะเอมิจัง” เอริถามพี่สาวฝาแฝดของตนอย่างกังวล เอมิพยายามอุ้มนกฮูกตัวใหญ่ที่ดิ้นรนเอาไว้แน่นด้วยท่าทางเป็นกังวลไม่แพ้กัน “ดูสิ นกฮูกตัวนี้เจ็บแย่เลย” “เป็นเพราะเอริจังแหล่ะ” เอมิโทษ “ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเอริจังบอกว่าอยากช่วยเอาของที่ติดอยู่ที่ขานกฮูกตัวนี้ออกล่ะก็เรื่องก็คงไม่เป็นอย่างนี้หรอก” เอริเม้มปาก เธอก้มลงมองซองจดหมายซองหนาที่อยู่ในมือ เมื่อตอนที่เธอเห็นอะไรบางอย่างถูกผูกติดอยู่ที่ขานกฮูก เธอนึกว่าคงจะมีใครแกล้งนกฮูกตัวนี้เล่น จนกระทั่งแกะมันออกเธอจึงเป็นว่ามันเป็นซองจดหมาย “นั่นแน่ มาทำอะไรกันอยู่ตรงนี้จ๊ะเด็ก ๆ”
เอมิกับเอริสะดุ้งเฮือกเมื่อเจ้าของเสียงเรียกก่อนหน้านี้เดินมาเจอพวกเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ “ตายจริง! ทำไมนกตัวนี้บาดเจ็บอย่างนี้ล่ะลูก ไหนขอแม่ดูสิ” เอมิส่งนกฮูกให้อย่างอิดออดแล้วก็ต้องเบะปากเมื่อเห็นสายตาตำหนิที่จ้องมองมา “นี่เป็นฝีมือลูกใช่มั้ยเอมิจัง” “คือ...” “เป็นความผิดของเอริเองค่ะคุณแม่ อย่าว่าเอมิจังเลยนะคะ” เอริรีบออกรับแทน “เป็นเพราะเอริบอกว่าอยากได้นกตัวนี้เอมิจังเขาก็เลยจับให้” ยูมิก้มลงมองปีกนกข้างหนึ่งที่มีกิ่งไม้เสียบอยู่ “ก็เลยใช้วิธีการด้วยการปากิ่งไม้ใส่มันงั้นเหรอ พวกลูกไม่รู้กันหรือยังไงว่าถ้าไม่มีปีกนี้ นกฮูกตัวนี้ก็จะบินไม่ได้ แล้วเผลอ ๆ มันก็อาจจะตายได้” “ขอโทษค่ะคุณแม่” เอมิกับเอริเสียงอ่อย “ลูกสองคนกลับเข้าไปในห้อง แล้วอย่าออกมาจนกว่าจะถึงเวลาอาหารเย็น แม่จะพานกตัวนี้ไปหาหมอ” เอริกับเอมิทำตามอย่างเศร้า ๆ “เดี๋ยวก่อนเอริจัง” ยูมิทักเมื่อเห็นซองจดหมายที่อยู่ในมือลูกสาวคนเล็ก “นั่นซองจดหมายอะไร” เอริเพิ่งนึกได้ “อ๋อ ซองนี้มากับนกฮูกค่ะคุณแม่” เธอชูหน้าซองให้ยูมิดู “ดูสิคะคุณแม่ หน้าซองจ่าไว้ว่า ‘ถึง คุณแฮร์รี่ พอตเตอร์’ ด้วยล่ะ”

“คุณคิดว่ายังไงคะเรื่องจดหมายนี่” ยูมิถามสามีที่นั่งจ้องจดหมายอยู่เป็นเวลานาน ‘แฮร์รี่ พอตเตอร์’ มองมันนิ่ง ลายมือหน้าซองดูคุ้นตา แต่เพราะเวลาที่ผ่านไปหลายปีทำให้เขาไม่แน่ใจว่าเป็นของใคร จะบอกว่าเป็นการติดต่อถามสารทุกข์สุขดิบงั้นเหรอ...ไม่มีทางเป็นไปได้แน่ ครั้งเดียวที่เขาทำการติดต่อกับโลกของผู้วิเศษก็คือหลังจากที่เขาเดินทางออกมาจากอังกฤษแล้ว แล้วทำหนังสือมอบอำนาจแต่งตั้งให้รีมัส ลูปินเป็นผู้มีอำนาจในการจัดการส่วนของทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลแบล็กได้โดยชอบธรรม โดยผลประโยชน์ทั้งหมดที่ได้จากทรัพย์สินเหล่านั้น ส่วนหนึ่งจะถูกเก็บไว้ในตู้เซฟของเขาที่ธนาคารกริงกรอส ส่วนที่เหลือจะถูกโอนเข้าเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของรีมัส ลูปิน และในตอนนั้นเขาก็แน่ใจแล้วว่าได้ใช้คาถาในการกลบเกลื่อนร่องรอยทั้งหมดที่มีไปจนหมดสิ้น และเริ่มต้นชีวิตใหม่ในประเทศที่ห่างไกลจากบ้านเกิด จนถึงตอนนี้ ‘แฮร์รี่ พอตเตอร์ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิต’ จากโลกของผู้วิเศษได้หายไปเหลือเพียงตำนาน จะมีก็แต่ ‘แฮร์รี่ พอตเตอร์ มักเกิ้ลหนุ่ม’ จากคนที่ไม่มีอะไรเลย ตอนนี้เขาเป็นเจ้าของไร่เล็ก ๆ ทางตอนเหนือของประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ตอนนี้เขาชักไม่แน่ใจว่าคาถาในตอนนั้นมันใช้ไม่ได้แล้วหรือยังไง เพราะไม่อย่างนั้น จดหมายฉบับตรงหน้าเขานี้ไม่มีทางเล็ดลอดเข้ามาได้แน่
“แฮร์รี่คะ” แฮร์รี่เงยหน้ามองยูมิ ก่อนจะหยิบจดหมายขึ้นมา เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ เมื่อเปิดดูด้านในแล้วเขาก็ต้องย่นคิ้วเพราะแทนที่จะมีจดหมายกลับมีซอง 2 ซองอัดแน่นอยู่ในนั้น “เอ๊ะ...อะไร...หรือว่า...” เขารีบดึงซองออกมา แล้วก็ต้องถอนใจเมื่อเห็นตราอันคุ้นเคยที่ประทับอยู่ด้านหลังซอง “ให้ตาย...” เขาครางออกมา “มีอะไรหรือคะ” ยูมิรีบถามเมื่อเห็นเขาทิ้งตัวเอนพิงพนักโซฟาเหมือนหมดแรง “นี่ผมลืมไปได้ยังไงกันนะ” “ลืม?” “ไม่ว่ายังไงเราก็ไม่สามารถรอดพ้นไปจากฮอกวอตส์ได้” “ฮอกวอตส์? หมายถึงโรงเรียนเก่าของคุณหรือคะ” “ใช่...” เขามองซองทั้งสองที่จ่าหน้าถึงเอมิกับเอริ “ปีนี้ลูกเราอายุครบ 11 แล้วใช่มั้ยคุณ”

“จริงหรือคะ คุณพ่อพูดจริง ๆ หรือ” “คุณพ่อไม่ได้ล้อพวกเราเล่นใช่ไหมคะ” เอมิกับเอริเสียงดังลั่นเมื่อได้ยินเรื่องที่ไม่คาดคิดในเช้าวันหนึ่ง “พ่อพูดความจริง” แฮร์รี่ต้องรีบวางจานไว้บนโต๊ะเมื่อลูกสาวทั้ง 2 โผเข้ากอดด้วยความดีใจ “ไชโย!!! ดีใจจังเลย” “เอริรักคุณพ่อที่สุดเลยค่ะ” แฮร์รี่ก้มลงจูบกลางกระหม่อมลูกสาวทั้งคู่ “พ่อก็รักพวกลูกจ๊ะนางฟ้า” ยูมิถือถาดอาหารเข้ามา “เอาล่ะจ๊ะเด็ก ๆ แม่ว่าเราระงับเรื่องตื่นเต้นกับสักเดี๋ยวแล้วเรามาทานอาหารเช้ากันก่อนดีมั้ย”
“แล้วพวกเราจะไปที่ไหนกันบ้างคะ” “เราจะได้ไปบ้านคุณพ่อด้วยใช่ไหมคะ” แม้จะนั่งลงทานอาหารแล้วแต่เด็กสาวทั้ง 2 ก็ยังคงตื่นเต้นจนทานอะไรไม่ลง ยูมิส่ายหน้า “ดูลูกตื่นเต้นกันจังนะ เราแค่จะไปเที่ยวกันเท่านั้น” “แต่ แหม...คุณแม่ขา นี่เป็นครั้งแรกเลยนะคะที่เราจะได้ไปเยี่ยมบ้านเกิดของคุณพ่อ” “จริงด้วยค่ะ” เอริลอบมองแฮร์รี่ที่เอาแต่นั่งยิ้มไปทานข้าวไป “ไม่ใช่แค่นั้นนะคะ” “ยังมีอะไรอีกเหรอเอริ” “ก็คุณพ่อน่ะปกติแล้วจะไม่ค่อย...” เอริหยุดเมื่อเอมิเตะที่ขาเธอเบา ๆ “พ่อไม่ค่อยอะไรเหรอเอริ” แฮร์รี่ถามลูกสาวคนเล็กอย่างสนใจ “เอ่อ...คือ...” เอริอยากจะพูดแต่เอมิก็ยังเตะขาเธอไม่หยุด “เอมิ...” “ขา!!” เอมิตกใจที่จู่ ๆ แฮร์รี่ก็หันมาทางเธอ “ลูกเลิกเตะขาน้องซะที” แล้วหันไปทางเอริใหม่ “หนูอยากจะพูดอะไรก็พูดออกมา” เอริลังเล เธอหันไปมองเอมิที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทานอาหารแล้วหันไปมองพ่อกับแม่ที่ให้ความสนใจกับเธอเต็มที่ “ว่ายังไงล่ะลูก” แฮร์รี่ถามเบา ๆ “เอริ” เขาลงเสียงหนักขึ้นเมื่อเอริยังคงอึกอัก “คือ...”
“คุณพ่อไม่เคยเล่าอะไรให้เราฟังเลย!!” เอมิโพล่งออกมา “นอกจากเรื่องที่คุณปู่คุณย่าเสียแล้ว คุณพ่อไม่เคยพูดอะไรเลยสักนิด ไม่เคยพูดถึงญาติคนอื่น ๆ ไม่เคยพูดถึงอดีตของคุณพ่อ ทำเหมือนกับคุณพ่อไม่เคยมีตัวตนมาก่อนอย่างงั้นแหล่ะ!!” “เอมิจัง!!” ยูมิอุทานออกมาด้วยความตกใจ “พูดอะไรของลูกน่ะ หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!” “ไม่ค่ะ เอมิไม่หยุด เพราะคุณพ่อไม่เคยพูดอะไรเลย พวกเราก็เลยไม่เคยรู้อะไรสักนิด ทำเหมือนกับเราไม่ใช่ลูกของคุณพ่ออย่างนั้นแหล่ะ!!” “ปัง!! เอมิลี่ พอตเตอร์!! พอสักที เลิกพูดได้แล้ว!!” ยูมิตบโต๊ะเสียงดังลั่น “แม่เคยบอกแล้วใช่ไหม ว่าเราเป็นเด็กไม่ควรก้าวก่ายเรื่องของผู้ใหญ่ และที่สำคัญก็คือหนูไม่ควรกวนใจคุณพ่อ คุณพ่อเหนื่อยกับงานมามากพอแล้ว อย่าให้คุณพ่อต้องมาเหนื่อยกับความเอาแต่ใจของหนูอีก” “แต่...” “แม่บอกให้หยุดไง!!”
“คุณ...พอทีเถอะ อย่าดุลูกเลย” แฮร์รี่ปราม เขาวางมีดกับส้อมแล้วฝืนยิ้มให้ลูกสาวทั้งสอง “พ่อขอโทษ พ่อไม่เคยคิดจะปิดบังอะไรพวกลูกหรอก แต่บางครั้ง เรื่องในอดีตมันค่อนข้างจะกวนใจพ่อ มันเป็นความทรงจำที่...ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ พ่อก็เลยอยากจะลืม ๆ มันไปมากกว่าจะพูดถึง” เขายิ้มออกมาเศร้า ๆ “แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความทรงจำดี ๆ หรอกนะ” เขาฝืนทำร่าเริง “ความทรงจำดี ๆ น่ะมีเยอะเหมือนกัน แต่เพราะว่าพ่ออยากจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ก็เลยไม่อยากมองย้อนกลับไปในอดีตอีกก็เท่านั้น”

คืนนั้น แฮร์รี่หยิบกล่องไม้ใบเล็กที่วางแอบอยู่ด้านในสุดของตู้เสื้อผ้าออกมา เขาตั้งสติชั่วครู่แล้วก็ไขกุญแจเปิดกล่องออก ภายในกล่องมีเพียงถุงหนังใบเก่าใบหนึ่งวางนิ่งอยู่ เขาเหม่อมองมันนิ่งจนไม่รู้สึกถึงภรรยาที่เดินมานั่งอยู่ข้าง ๆ “คุณคะ” “ความทรงจำมากมายอยู่ในถุงใบนี้” แฮร์รี่พูดเสียงแผ่ว “ผมไม่เคยเปิดถุงใบนี้อีกเลย ตั้งแต่วันนั้น...วันที่ผมตัดสินใจว่าจะ...เริ่มต้นใหม่” ใช่...วันนั้น เธอเองก็จำได้ดี วันที่สามีของเธอให้คำสัตย์กับตัวเองไว้ว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ จะหันหลังให้กับอดีตเดิมไม่หันกลับไปหามันอีก ถ้าหากว่าวันหนึ่งพวกเขาจะไม่ได้รับจดหมาย...จากฮอกวอตส์…และนั่นก็คือเหตุผลที่ทำให้พวกเขาต้องเดินทางไปอังกฤษในครั้งนี้
ยูมิมองดูแฮร์รี่เปิดปากถุงหนังออก ตั้งแต่วันแรกที่เธอรู้จักเขาจนกระทั่งถึงวันนี้...19 ปีแล้ว แต่เธอไม่เคยเอ่ยถามเรื่องที่เป็นส่วนตัวของเขาเลยนอกจากเขาจะหลุดปากออกมาเอง เหมือนกับเรื่องถุงหนังนี่เหมือนกัน ถุง...ที่เก็บกักอะไรหลายอย่างที่เป็นความลับของเขา แม้ว่าอยากจะรู้ว่าภายในนั้นมีอะไร แต่เธอก็ไม่เคยเอ่ยปากถามสักที แฮร์รี่ล้วงของออกมาจากถุงหนังวางเรียงกันอยู่บนเตียง มีทั้งแผนที่ตัวกวน ไม้กวาดไฟร์โบลต์ขนาดย่อส่วนยาวไม่เกินฝ่ามือ รูปภาพ 4-5 ใบ ไม้กายสิทธิ์ 3 อัน ผ้าคลุมล่องหน เศษกระจกที่แตกแล้ว จดหมายที่ลิลลี่เขียนถึงซีเรียส และอื่น ๆ อีกมากมาย
ยูมิหยิบรูปภาพใบที่อยู่ใกล้ที่สุดมาดู มันเป็นรูปแฮร์รี่ที่ยังเด็กมากมีเพื่อนชายหนึ่งคนหญิงหนึ่งคนยืนขนาบข้าง ด้านหลังเป็นภาพปราสาทเก่าที่เธอไม่แน่ใจว่ามันมีอายุกี่ปีขนาดใหญ่ตั้งตระหง่าน “รูปภาพพวกนี้ เป็นอย่างนี้หรือคะ” เธอถามอย่างพิศวงเมื่อเห็นคนในภาพขยับไปมา แฮร์รี่ยิ้ม “มันเคลื่อนไหวได้ใช่ไหมล่ะ มันไม่เหมือนกับรูปที่พวกเราถ่ายกันหรอก” เขาแยกข้าวของออกเป็นกอง ๆ “คุณรู้มั้ย ว่าผู้วิเศษบางคน แม้จะตายไปแล้ว แต่วิญญาณของพวกเขาก็ยังคงวนเวียนอยู่ บางคนสิงอยู่ในรูปภาพพวกนั้นด้วยซ้ำ” เขาชะโงกหน้ามองรูปในมือของภรรยา “รูปนั้นผมถ่ายตอนอายุ 11 ปี สองคนนั้นเป็นเพื่อนสนิทของผมเอง ผู้ชายชื่อ โรนัลด์ วีสลีย์ ส่วนผู้หญิงชื่อ เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์...แต่ตอนนี้คงจะเป็นคุณนายวีสลีย์แล้วมั้ง” เขาอมยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องราวสมัยก่อน มันมีทั้งสุขและเศร้าปะปนกันไป เขาหยิบรูปภาพจากงานแต่งงานให้ยูมิดูอย่างกระตือรือร้น “นี่งานแต่งงานพ่อกับแม่ผม” ยูมิมองเจมส์แล้วเงยหน้ามองแฮร์รี่ “เป็นไง เหมือนกันอย่างกะแกะเลยใช่มั้ยล่ะ” เขาถามเมื่อเห็นสีหน้าของภรรยา “หน้าตาผม ถอดพ่อมาแป๊ะเลย ยกเว้นดวงตาเท่านั้น...ผมได้ตาของแม่” แล้วเขาก็ชี้ไปยังชายหนุ่มผมเข้มที่ยืนหัวเราะอยู่ข้าง ๆ เจ้าบ่าว “นี่เป็นเพื่อนรักที่สุดของพ่อ...ท่านเป็นพ่อทูนหัวของผมเอง” “พ่อทูนหัวหรือคะ” “ใช่ ตามธรรมเนียมของเราแล้ว เด็กทุกคนที่เกิดมาจะต้องมีพ่อทูนหัวหรือแม่ทูน” “แล้วตอนนี้พ่อทูนหัวของคุณ...” ยูมิชะงักเมื่อเห็นแฮร์รี่หน้าหมองลง “ท่าน...เสียไปแล้วน่ะ” เสียงแฮร์รี่สั่นน้อย ๆ “ท่านเสียไปตอนที่ผมอายุ 15 ปี เพราะ...ไปช่วยผม” เขาหยิบเศษกระจกที่ได้มาจากซีเรียสขึ้นมาดู “ผมรู้ตัวว่ามีพ่อทูนหัวตอนอายุ 13 ปี แล้วจากนั้นอีกแค่เพียง 2 ปี ผมก็ต้องเสียผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นทั้งพ่อและก็พี่ชายคนหนึ่งไป…ทุกอย่างมันเป็นเพราะความโง่เง่าและก็ดื้อรั้นของผม” แฮร์รี่พูดอย่างเจ็บปวด “ทั้งโง่ทั้งดื้อ และก็ยึดติดแต่กับความต้องการของตัวเอง จนไม่ยอมฟังเสียงของคนรอบข้าง” แฮร์รี่หลับตาลง ยูมิจับมือข้างที่ถือเศษกระจกของสามีไว้เมื่อเห็นว่ามันสั่น แฮร์รี่ลืมตาขึ้น ดวงตาสีมรกตฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำตา ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี ความเจ็บปวดจากการที่ต้องสูญเสียซีเรียสไปก็ไม่เคยลดน้อยถอยลงเลย
แฮร์รี่วางเศษกระจกลง แล้วหยิบรูปที่ฉีกขาดไปเกือบครึ่งส่งให้ที่ยูมิดู “นี่...รูปผมเอง ถ่ายก่อนที่พ่อกับแม่จะ...ถูกฆ่า...ได้ไม่กี่วัน” ยูมิมองภาพเด็กชายที่มีวัยเพียงขวบเดียวที่ขี่ไม้กวาดอันเล็กพร้อมกับยิ้มร่าในภาพแล้วเจ็บแปล๊บขึ้นมา อา...นี่คงจะเป็นภาพความสุขครั้งสุดท้ายของครอบครัวนี้สินะ ความสุขที่แม้แต่เจ้าตัวเองก็คงจะนึกไม่ออก ถ้าไม่ได้เห็นรูปถ่ายใบนี้ ยูมิวางรูปลง แล้วมองสามีที่หยิบข้าวของขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียดทีละชิ้นเหมือนกับจะทบทวนถึงความหลังแต่เก่าก่อน ก่อนจะเก็บเข้าไปในถุงหนังเหมือนเดิม “แล้วนี่คุณจะบอกลูกเมื่อไหร่คะ” “ผมกะเอาไว้ว่า ให้ไปถึงที่นั่นก่อน แล้วค่อยเล่าทุกอย่างให้ลูกฟัง”
“เฮ้อ...” เสียงถอนใจดังขึ้นเบา ๆ แฮร์รี่ละสายตาจากถุงหนังตรงหน้าหันไปมองภรรยาที่นั่งอยู่อย่างสนใจ “เป็นอะไรไปหรือคุณ” “อ๊ะ!! ปะ...เปล่าค่ะ” ยูมิปฏิเสธ เธอรีบเอนตัวลงนอนบนเตียง แฮร์รี่เก็บถุงหนังไว้ที่เดิมแล้วเสียงถอนใจก็ดังมาอีกเป็นครั้งที่ 2 เขาปิดประตูตู้เสื้อผ้าเดินมาเอนตัวลงนอนข้างภรรยา เขาหันไปแตะต้นแขนยูมิเบา ๆ “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า มีอะไรไม่สบายใจเหรอ” ยูมิพลิกตัวกลับมา เธอมองดวงตาสีมรกตที่มองเธออย่างเป็นห่วงเป็นใยแล้วก็ยิ่งรู้สึกผิด “ฉัน...ขอโทษนะคะ” “ขอโทษ? เรื่องอะไร” “ก็เรื่องเมื่อเช้านี้เป็นเพราะฉัน...” “ไม่ มันไม่ใช่ความผิดของคุณเลย ที่ลูกพูดน่ะมันถูกแล้ว” แฮร์รี่ค้านเสียงอ่อนโยน เขารั้งร่างบอบบางของภรรยาเข้ามาแนบชิด ยูมิซบหน้ากับอกกว้าง “จริงอย่างที่ลูกว่านั่นแหล่ะ เพราะผมไม่เคยพูดอะไร ลูกก็ยิ่งสงสัยยิ่งอยากรู้มากขึ้น ยิ่งคุณดุแก ห้ามแก แกก็จะยิ่งน้อยใจแล้วก็เลยรู้สึกเป็นคนนอก” แฮร์รี่ถอนใจ “เอาไว้ถ้าเราไปถึงอังกฤษกันแล้วเราจะลองคุยกับลูกอีกที” ยูมิเงยหน้ามองสีหน้าไม่สบายใจของสามี “คุณไม่อยากกลับไปใช่ไหมคะ” “บ้านน่ะนะ ไม่มีใครหรอกไม่คิดถึง ถึงพ่อแม่ของผมจะเสียไปแล้ว แต่ผมก็ยังมีเพื่อนอีกหลายคนที่รอการกลับไปของผมอยู่ เพราะการสูญเสียคนที่รักมากมายในครั้งนั้นทำให้ผมทำใจที่จะอยู่ที่นั่นอีกไม่ได้ ถึงต้องออกมาให้ห่างจากอังกฤษ” ยูมิหน้าหมองลง “แต่ถ้าคุณกลับไปคราวนี้ เธอคงจะเสียใจมากกว่าเดิม” แฮร์รี่ก้มลงมองหน้าภรรยาอย่างสงสัย “เธอ? ใครกัน” ยูมิพลิกตัวหันหลังให้ “คนรักของคุณไงคะ ‘จินนี่’ เธอคงจะรอการกลับไปของคุณอยู่เหมือนกัน” แฮร์รี่ยิ้ม เขาก้มลงกดริมฝีปากกับใบหูบางของคนขี้น้อยใจอย่างรักใคร่ “อุ๊ย!! อย่าสิคะ” ยูมิเบี่ยงตัวหนี ขนลุกซู่เมื่อเขาเม้มใบหูเธอไปมา แฮร์รี่รั้งร่างบางโอบรัดไว้แน่น
“ครั้งแรกที่ผมเหยียบบนพื้นดินของประเทศนี้ ตอนนั้นผมบอกช้ำทั้งกายและใจ” เขารำลึกถึงอดีต ยูมิเองก็จำได้ดี เธอเป็นลูกกำพร้า ตั้งแต่เล็กมาบ้านเดียวที่เธอจำได้ก็คือสถานรับเลี้ยงเด็กเล็ก ๆ ของเมืองนี้ วันนั้นเธอตามแม่ครัวออกไปซื้อของจากเมืองข้าง ๆ และขากลับเธอก็พบชายหนุ่มแปลกหน้านอนสลบอยู่กลางป่า เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล พวกเธอพาเขากลับไปรักษา แม้บาดแผลทางกายจะใช้เวลาเพียงไม่นาน แต่บาดแผลทางใจนั้นไม่ว่าจะพยายามยังไงก็ไม่สามารถรักษาได้เลย เกือบครึ่งปีที่เขาช่วยทำงานที่สถานรับเลี้ยงเด็ก แม้ตำรวจจะพยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับเขายังไงก็ไม่สามารถทำได้ เพราะเขาไม่เคยตอบคำถามใด ๆ ของตำรวจ แม้จะถูกจับขังคุกอยู่หลายวันเพราะถูกสงสัยว่าอาจจะหนีคดี แต่ไม่นานก็ถูกปล่อยเพราะไม่สามารถเอาผิดเขาได้
“ผมจำได้ดี ตอนนั้นผมเป็นคนแปลกหน้าไม่เป็นที่ต้อนรับของคนในเมืองนี้” “ไม่ใช่ว่าคุณไม่เป็นที่ต้อนรับหรอก” ยูมิค้าน “แต่เป็นเพราะว่าคุณต้องการที่จะปกปิดตัวตนที่แท้จริงของคุณ คุณก็เลยปิดกั้นตัวเองจากคนอื่น ไม่ยอมคบหากับใคร คนอื่นก็เลยต้องพากันถอยห่าง” “แต่ไม่ใช่กับคุณใช่มั้ย” เขาถามยิ้ม ๆ “ผมจำได้ว่าคุณพยายามลากผมไปโน่นไปนี่ด้วยบ่อย ๆ จนใครต่อใครพากันล้อเวลาเราอยู่ด้วยกัน” ยูมิเขิน ตอนนั้นเธอเป็นเพียงเด็กสาววัย 16 ปีที่ขี้อายที่สุดในบ้าน การที่เธอแสดงความสนใจแฮร์รี่จนออกนอกหน้าจึงไม่แปลกอะไรที่คนอื่นจะสังเกตเห็น “ก็ตอนนั้นพวกครูต่างเป็นห่วงคุณนี่คะ ท่านผู้อำนวยการเองก็เปรยกับฉันบ่อย ๆ “ “เด็กดีอย่างคุณก็เลยออกหน้าแทนงั้นสิ” แฮร์รี่ล้อ ยูมิหยิกเขาเบา ๆ “คุณน่ะ ทำไมชอบล้อฉันนักนะ” แฮร์รี่หัวเราะ เขาแกล้งรัดเอวบางแน่นจนเธอต้องประท้วง
ครืน...เปรี้ยง!!!!! เสียงฟ้าผ่าดังสนั่น แฮร์รี่ผงกหัวขึ้น เขามองออกไปนอกหน้าต่างแล้วก็ลุกขึ้นเมื่อจู่ ๆ ฝนก็ตกลงมาอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาก้มลงจุมพิตริมฝีปากภรรยาเร็ว ๆ “คุณนอนก่อนเถอะที่รัก เดี๋ยวผมจะไปดูลูกหน่อย ไม่รู้ว่าลูกปิดหน้าต่างกันหรือเปล่า”

แฮร์รี่ปิดหน้าต่างบานใหญ่ในห้องนอนของลูกสาว แม้ว่าตรงนั้นจะมีหลังคายื่นออกไปไกลจนฝนสาดเข้ามาไม่ถึง แต่ลมเย็น ๆ ที่ปัดเข้ามาก็อาจทำให้เจ้าของห้องไม่สบายได้ เขาเดินเข้าไปดูเอริที่หลับสนิทพอเดินไปที่เอมิก็เห็นดวงตาที่ถอดแบบมาจากเขานั้นมองมาที่เขาอยู่ก่อนแล้ว “เอมิ...ทำไมยังไม่นอนอีกล่ะลูก นี่มันดึกมากแล้วนะ”
เอมิลุกขึ้น เธอสวมกอดบิดาที่ทรุดตัวลงนั่งที่ขอบเตียง “คุณพ่อขา เอมิขอโทษ” “ขอโทษเรื่องอะไรลูก” “ที่เอมิก้าวร้าวกับคุณพ่อเมื่อตอนเช้าน่ะสิคะ เอมิขอโทษค่ะ เอมิ...” แฮร์รี่ลูบเส้นผมสีดำสนิทอย่างปลอบโยน “คุณพ่ออย่าโกรธเอมิเลยนะคะ” “เอาเถอะลูก แค่หนูกับน้องเข้าใจ พ่อก็สบายใจ จะว่าไปพ่อเองก็มีส่วนผิด เพราะพ่อปิดกั้นพวกหนู” “ไม่ค่ะ เอมิต่างหากที่ผิด...” เอมิรีบท้วง แฮร์รี่มองหน้าเอมิแล้วหัวเราะ “นี่มันยังไงกันนี่ พวกเราติดนิสัยแม่เขามาหรือเปล่าฮึ เอะอะอะไรก็ขอโทษยัน” เอมิหัวเราะคิก “คุณแม่พูดบ่อย ๆ นี่คะคุณพ่อว่าให้ขอโทษก่อน แล้วหลังจากนั้นค่อยมาคิดกันอีกทีว่าที่ขอโทษไปเมื่อกี้นี้มันเรื่องอะไร” “เอ๊า เป็นงั้นไป” “แถมคุณแม่ยังย้ำอยู่บ่อย ๆ ว่าอย่าทำให้คุณพ่อโกรธ เพราะถ้าคุณพ่อโกรธเมื่อไหร่ล่ะก็...บึ้ม!!!” เอมิทำเสียงระเบิด “ว่าแต่คุณพ่อโกรธเป็นด้วยหรือคะ เอมิไม่เคยเห็นคุณพ่อโกรธเลย”
“คุณพ่อ...เอมิจัง...” เอริทำเสียงงัวเงียมาจากอีกเตียงหนึ่ง “ทำไมยังไม่นอนกันอีกคะ อ๊า!!! เอมิจังขี้โกงนี่” เอริโวยลั่นเมื่อเห็นแฮร์รี่นั่งกอดเอมิอยู่บนเตียง เอริรีบลุกขึ้นไปกอดแฮร์รี่บ้าง “คุณพ่อกอดเอมิจังคนเดียวได้ยังไง ต้องกอดเอริด้วยสิคะ” แฮร์รี่หัวเราะเขากอดคู่แฝดแน่น
“แม่ก็ว่าทำไมคุณพ่อยังไม่กลับห้องซะที ที่แท้ก็มาโดนสาว ๆ ห้องนี้กักตัวไว้นี่เอง” เสียงยูมิดังขึ้นจากประตูห้อง เธอมองภาพตรงหน้าอย่างมีความสุข แฮร์รี่เงยหน้ามองภรรยาแล้วก้มลงบอกลูกสาว “เด็ก ๆ วันนี้อยากไปนอนห้องพ่อกับแม่มั้ย” เอมิกับเอริตาโต “จริงเหรอคะ” “ได้หรือคะ” “ได้สิลูก” “เย้!!!” ทั้งสองส่งเสียงเฮลั่น “เอาล่ะ ไปจองที่ได้เลยนางฟ้า ใครช้าอดน้า” เอริรีบลุกขึ้น “เอริจะนอนข้างคุณพ่อ” “ไม่!!! เอมิต่างหากจะนอนข้างคุณพ่อ” เอมิรีบวิ่งตามน้องสาวออกไป เสียงเถียงกันดังลั่นทางเดิน
แฮร์รี่เดินมาสมทบกับยูมิที่มองตามร่างเล็ก ๆ นั้นอย่างเหงา ๆ “อีกหน่อยบ้านคงจะเงียบ ไม่ครึกครื้นเหมือนอย่างนี้” แฮร์รี่กุมมือยูมิอย่างปลอบโยน “ไม่เอาน่าที่รัก” “แฮร์รี่คะ ถ้าเราจะ...” เธอพยายามจะต่อรอง แต่แฮร์รี่ส่ายหน้าเสียก่อน “ที่รัก เราตกลงกันตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วนี่ ถ้าจดหมายฉบับนั้นไม่ถูกส่งมา เราจะเลี้ยงพวกเขาอย่างเด็กทั่วไป แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น เราจะต้องบอกความจริงกับเขา ให้สิทธิ์เขาในการตัดสินใจ” ยูมิตาแดง เธอเอนซบกับไหล่กว้าง “แล้วหลังจากนั้นเราจะตัดสินใจกันอีกทีว่าจะเอายังไง”
TBC....

ฟิคเรื่องนี้เกิดขึ้นเนื่องจากการพูดคุยกันในกลุ่มเพื่อนค่ะ
คุยกันไปคุยกันมา ก็เลยตัดสินใจว่าจะลองเขียนดู อยากลองดูว่าจะไปได้สักกี่น้ำ
ตอนแรกตั้งใจเอาไว้ว่าจะยังไม่เอาฟิคเรื่องนี้มาลงให้หรอกค่ะ เพราะเห็นว่ายังมีฟิคเรื่องอื่นค้างอยู่
แต่เห็นว่า ไหน ๆ มันก็ปีใหม่แล้ว ก็น่าจะมีฟิคเรื่องใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาอย่างน้อยสักเรื่อง
สำหรับฟิคเรื่องนี้นั้น เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากที่แฮร์รี่ได้ปราบโวลเดอมอร์ไปแล้ว
ระยะเวลาที่หายไป ก็อ้างอิงจากหนังสือคือ 19 ปี แต่จะต่างกันที่รายเอียดเกี่ยวกับนักแสดงเท่านั้น
ตอนที่ได้อ่านเล่ม 7 ก็แต่งเรื่องหนี้ไปได้มากพอสมควร ก็เลยต้องมาปรับเปลี่ยนเป็นการใหญ่ ตอนที่แต่งมาก่อนหน้านี้ก็ตัดทิ้งไปก็ไม่น้อยเลยทีเดียว คิด ๆ ไปก็น่าเสียดาย
ชอบไม่ชอบยังไง ก็บอกกันได้ค่า

หมายเหตุ : * จินตนาการอันบรรเจิดของฟิคเรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนที่หนังสือเล่มที่ 7 จะวางจำหน่าย เพราะฉะนั้นอาจจะมีเนื้อหาในบางส่วนของฟิคเรื่องนี้จะผิดเพี้ยนไปจากเล่มที่ 7 บ้าง แต่ในบางส่วนของเนื้อหา ผู้เขียนก็ขอที่จะยึดตามหนังสือเพื่อไม่ให้เกิดความแตกต่างกันจนเกินไป
Create Date : 08 มกราคม 2552 |
Last Update : 8 มกราคม 2552 16:12:55 น. |
|
6 comments
|
Counter : 2169 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: นักเดินทาง (s_sut ) วันที่: 20 มกราคม 2552 เวลา:16:10:27 น. |
|
|
|
โดย: view (viewwrom ) วันที่: 23 พฤษภาคม 2552 เวลา:20:02:27 น. |
|
|
|
โดย: 296_20 IP: 222.123.9.129 วันที่: 29 พฤษภาคม 2552 เวลา:16:03:24 น. |
|
|
|
โดย: นักเดินทาง (s_sut ) วันที่: 10 มิถุนายน 2552 เวลา:11:01:51 น. |
|
|
|
โดย: K9<3 IP: 203.144.240.232 วันที่: 7 พฤษภาคม 2556 เวลา:13:15:06 น. |
|
|
|
|
|
|
|